Friday, July 18, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 13

เช้าวันจันทร์ ผมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตอนตีห้า เมื่อเสียงนาฬิกาดัง ผมรีบลุกขึ้นมาจากที่นอนทันที ปกติผมจะโอ้เอ้เมื่อต้องตื่นเช้าๆเสมอ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะเป็นการเริ่มเรียนวันแรกในโรงเรียนใหม่ ซึ่งเป็นวันที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอด

ผมรีบอาบน้ำ แต่งตัว โชคดีที่เอ๊ดไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแย่งห้องน้ำกัน ใช้เวลาเพียง ๔๕ นาที ผมก็อาบน้ำ แต่งตัว และพร้อมที่จะออกจากบ้าน

ผมคว้ากระเป๋านักเรียนซึ่งเป็นกระเป๋าหนังสีดำ ใหม่เอี่ยม ข้างในบรรจุไว้ด้วยหนังสือและสมุดหลายเล่ม ที่จริงก็ไม่รู้หรอกครับว่าวันแรกจะเรียนอะไร หยิบไปมั่วๆยังงั้นเอง แต่คิดว่าวันแรกคงไม่น่ามีการเรียน เป็นเพียงการแนะนำเสียมากกว่า

“ไปละเอ๊ด” ผมบอกเอ๊ดเมื่อจะเดินออกจากห้อง เอ๊ดซึ่งนอนซุกหน้าอยู่ในหมอนเพราะรำคาญแสงไฟ ยกมือโบกไปมา แต่ดูท่าโบกมือแล้วผมไม่แน่ใจว่าเป็นการบ๊ายบาย หรือว่าโบกมือไล่ให้รีบไปกันแน่

เมื่อลงไปชั้นล่าง ผมยกมือไหว้ลาคุณลุง คุณป้า ซึ่งทั้งสองตื่นตั้งนานแล้ว คนมีอายุก็แบบนี้แหละครับ ตื่นแต่เช้า

“คุณลุง คุณป้าครับ ผมไปละครับ” ผมพูด

“ตั้งใจเรียนนะลูก” ป้าพูดอย่างปรานี แล้วก็ไม่วายกำชับ “เลิกเรียนแล้วรีบกลับบ้านล่ะ อย่าไปไถลที่ไหน มาให้ทันกินข้าวเย็นนะลูก”

ธรรมเนียมการกินอาหารเย็นของที่บ้านนี้ก็คือ ทุกคนจะร่วมโต๊ะกินอาหารเย็นพร้อมกันในเวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. ถ้าใครกลับมาช้าก็จะรอกัน เหตุผลก็คือ คุณลุง คุณป้าอยากให้กินข้าวเย็นพร้อมหน้ากัน พูดแล้วก็เหมือนกำปั้นทุบดิน แต่ว่าก็เป็นแบบนั้นจริงๆ คือเป็นเหมือนธรรมเนียมในครอบครัว ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ เรื่องธรรมเนียมเป็นสาเหตุหลัก ส่วนสาเหตุประกอบก็คือ คุณป้าอยากให้เรากินอาหารทั้งที่ยังร้อนๆ ถ้าใครกลับช้า กินอาหารที่เย็นชืดแล้วจะไม่ดี ครั้นจะเอาอาหารไปอุ่นก็วุ่นวาย กลับมาตรงเวลานั่นแหละดีที่สุด

เรื่องธรรมเนียมการกินอาหารนั้นต่างจากบ้านที่ทำค้าขาย เพราะคนทำการค้ามักต่างคนต่างกิน เพราะเวลาว่างไม่ตรงกัน ใครว่างก็ไปกิน คนหนึ่งกิน อีกคนก็สลับมาเฝ้าหน้าร้าน โอกาสที่จะได้กินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันจะค่อนข้างน้อย

๕.๔๕ น. ฟ้าสางแล้ว ผมรีบเดินจ้ำออกจากบ้าน เพราะกลัวว่าจะขึ้นรถตอนหกโมงเช้าไม่ทัน แล้วจะไปโรงเรียนสาย

เมื่อถึงปากซอย ผมเดินข้ามถนนไปยังท่ารถเมล์สาย ๘ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ที่นั่นเอง ผมเห็นไอ้นัยยืนหิ้วกระเป๋ารออยู่ตรงหน้าโรงรับจำนำ เสื้อขาวกางเกงดำรัดรูปของมัน ผมว่าดูดีกว่าตอนมันใส่เสื้อขาวกางเกงน้ำเงินเยอะทีเดียว

“มารอนานแล้วเหรอ” ผมทักมัน พร้อมเอามือตบหัวมันเบาๆ

“ไอ้เวร” ไอ้นัยด่า “เดี๋ยว...”

“กูรู้ๆ” ผมรีบพูดแทรก “เดี๋ยวมึงเยี่ยวรดที่นอน”

“รู้แล้วยังเสือกทำอีก” ไอ้นัยบ่นอุบอิบ แต่มันไม่ได้โกรธจริงหรอกครับ ถ้าโกรธก็คงโกรธไปนานแล้ว และอีกอย่าง ยังไม่เคยปรากฏว่ามันเยี่ยวรดที่นอนสักที

“กูมารอมึงตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ยังไม่สว่างเลย ยุงเยอะชิบหาย” ไอ้นัยพูดต่อ พร้อมกับทำหน้าน่าสงสาร

“ทำไมมาเช้าจังวะ” ผมงง “ก็นัดกันหกโมง”

“ก็วันแรก กูกะเวลาไม่ถูก กลัวมาไม่ทันน่ะดิ” ไอ้นัยบอก “รีบขึ้นรถเถอะ มัวแต่คุยเลยไม่ได้ไปโรงเรียนสักที”

ว่าแล้วไอ้นัยก็ฉุดผมขึ้นไปนั่งรอบนรถเมล์คันที่จอดอยู่หน้าสุด บนนั้นมีคนนั่งรออยู่แล้วพอสมควร ผมกับไอ้นัยนั่งด้วยกัน โดยผมนั่งตรงที่นั่งริมหน้าต่างเพราะอยากดูวิว

“กูขอนั่งริมหน้าต่างนะ” ผมบอกไอ้นัย

และหลังจากนั้นมา ก็เลยกลายเป็นที่รู้กัน ไอ้นัยมักจะให้ผมนั่งที่ริมหน้าต่างเสมอ

หลังจากนั่งรอได้ไม่นาน รถเมล์ก็เต็มไปด้วยผู้โดยสาร ส่วนใหญ่ก็ออกมาจากซอยภาวนาและซอยแถวนั้นนั่นเอง และหลังจากที่รถออกจากท่าและวิ่งไปถึงปากทางลาดพร้าว รถเมล์ก็แน่นจนถึงกับต้องห้อยโหนกันที่ประตูรถ

เราสองคนนั่งคุยกันไปตลอดทาง กับไอ้นัย ดูเหมือนว่าผมจะมีเรื่องคุยกับมันได้ไม่มีวันหมด การจราจรในเช้าวันแรกของการเปิดภาคเรียนค่อนข้างแออัด กว่าเราจะไปถึงสะพานพุทธได้ก็ประมาณ ๗.๓๐ น.

อากาศยามเช้าถึงจะดีกว่าวันก่อนตอนที่เราทดลองนั่งรถเมล์ แต่ถึงอย่างไรก็ยังร้อนและเต็มไปด้วยควัน

เราสองคนลงจากรถ ไอ้นัยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาถูที่ใบหน้า ปรากฏว่าผ้าเช็ดหน้ามีรอยดำจางๆ

“แย่วุ้ย” ไอ้นัยบ่น “นั่งรมควันจนหน้าดำ สิวขึ้นแน่เลย”

ผมเช็ดหน้าของผมดูบ้าง หน้าก็ดำเพราะควันและเขม่าเหมือนกัน ผมเพิ่งสังเกตในตอนนี้เองว่าไอ้นัยเริ่มพัฒนานิสัยรักสวยรักงาม รวมทั้งการแต่งตัว ตอนนี้มันเป็นวัยรุ่น ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้มันล้ำหน้าไปกว่าผม เพราะผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรนัก

“หน้ามึงมีสิวนิดเดียวเอง จะห่วงไปทำไมวะ” ผมถาม เพราะหน้าของมันตอนนั้นมีสิวเพียงเม็ดสองเม็ดเท่านั้น รวมกับรอยสิวที่เกิดขึ้นตอนชั้น ป.๖ อีกนิดหน่อย ก็เท่านั้นเอง

“ไม่ได้ดิ เดี๋ยวไม่หล่อ อ้อ แต่ที่จริงมีสิวนิดหน่อยก็ดูเท่ดีนะ” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ ท่าทางดูภูมิใจกับใบหน้าของตนเอง

“อ้วก” ผมบอก “หล่อตายห่าละ”

ผมพูดขัดคอมันไปยังงั้นเอง ที่จริงไอ้นัยหล่อและดูดีเสมอในสายตาของผม

เราเดินลอดใต้สะพานพุทธ ผ่านไปทางลานกว้างหน้าสะพาน ที่ลานหน้าสะพาน มีนักเรียนทั้งหญิงและชายจากโรงเรียนต่างๆหลายสิบคน ต่างก็กำลังเดินไปยังโรงเรียนของตนเอง ก็อย่างที่ผมบอก ในย่านนั้นมีโรงเรียนอยู่หลายแห่ง

จากลานกว้าง เราเดินไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ข้ามถนนแล้วเดินต่อไปอีก มีนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเราเดินร่วมทางกันมาอีกหลายคน สักพักใหญ่ก็มาถึงประตูโรงเรียน ที่หน้าประตูโรงเรียน มีครูยืนรอต้อนรับอยู่ ซึ่งต่างจากที่โรงเรียนเก่าของเรา เพราะที่นั่น คนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือ รปภ.

นักเรียนยกมือไหว้เพื่อสวัสดีครู

“สวัสดีจ้ะ เชิญเข้าข้างในเลย” ครูหญิงวัยกลางรับไหว้นักเรียนทุกคนอย่างอารมณ์ดี

อาคารเรียนของเราไม่ใช่ตึกเดียวกับที่ลงทะเบียนเรียนเมื่อวันก่อน แต่เราก็รู้ตำแหน่งแล้ว เพราะได้รับการอธิบายมาตั้งแต่วันลงทะเบียนแล้ว อาคารที่ผมกับไอ้นัยเรียนแม้เป็นคนละอาคารกัน แต่ก็อยู่ติดกัน และมีทางเดินเชื่อมถึงกัน

อาคารเรียนของเราทั้งสองเป็นอาคารรุ่นเก่า ถ้าจะบอกว่ารุ่นโบราณก็คงไม่ผิด อาคารที่ผมเรียนนั้นสร้างมาก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐ เสียอีก ส่วนตึกของไอ้นัยที่อยู่ติดกันนั้นดูจะเก่าแก่ยิ่งกว่า แต่สภาพยังดูดีอยู่

อาคารที่ผมเรียน ด้านหนึ่งเป็นหอประชุม ส่วนอีกด้านหนึ่งใช้เป็นอาคารเรียน มีห้องเรียนทั้งหมด ๖ ห้อง คือ ห้อง ม. ๑/๑ ถึง ๑/๖ แบ่งเป็นชั้นล่าง ๓ ห้อง ชั้นบน ๓ ห้อง แล้วก็มีห้องกิจกรรมอีกสองสามห้อง ส่วนห้องเรียนตั้งแต่ ม. ๑/๗ เป็นต้นไป ก็จะอยู่บนชั้นสองของอาคารติดกัน

ผมเรียนห้อง ๑/๒ จึงอยู่ชั้นล่างของอาคารหอประชุม

อาคารนี้เป็นอาคารทรงโรมัน ตัวอาคารใช้การก่ออิฐโบกปูน แต่มีส่วนประกอบของไม้อยู่มาก อย่างพื้นก็เป็นไม้กระดานชิ้นใหญ่ ประตูห้องเรียนก็เป็นประตูไม้เนื้อแข็งบานเบ้อเริ่ม เหมือนประตูอุโบสถ หน้าต่างก็หน้าต่างไม้เนื้อแข็งบานใหญ่ เวลาจะเปิดหน้าต่างต้องเอาขอโลหะสับเอาไว้ด้วย เพื่อกันลมตี ทุกอย่างดูเป็นของเก่าแก่ไปหมด ต่างจากโรงเรียนเก่าของผมอย่างลิบลับ ที่นั่นเป็นอาคารเรียนคอนกรีต ประตูไม้อัด หน้าต่างก็เป็นไม้เนื้อแข็งผสมไม้อัด


<รถเมล์ที่วิ่งบนถนนลาดพร้าว ในตอนที่ผมเรียนมัธยม เป็นรถปรับอากาศหรือว่า ปอ. เพียงไม่กี่สาย ที่จำได้ก็มี รถ ปอ.๒ ที่วิ่งระหว่างบางกะปิ สีลม ส่วนรถที่วิ่งจากลาดพร้าวไปสะพานพุทธนั้นไม่มีรถ ปอ. เลย ดังนั้นจึงต้องทนนั่งรถร้อนดมควันไปตลอดเวลาที่เรียน>

3 comments:

Anonymous said...

เอาอีก เอาอีกนะครับ คุรลุง ชอบขอบอก

Anonymous said...

สวัสดีครับอาอู

หลาน Arus

Anonymous said...

ขอบคุณมากคับอู
เก็บรายละเอียดได้ดีมาก สนุก

หลับตานึกมองเห็นเลยคับ

เด็กนักเรียน ม.1 ใส่ชุดนักเรียนเสื้อสีขาว
กางเกงสีดำ สองคนไปโรงเรียนด้วยกัน
นั่งรถเมล์คุยกันไป เดินจับมือกันเข้าโรงเรียนไป
สำหรับเดินจับมือนี่ ผมคิดเอาเองนะคับ
เดินไปเผลอๆ อูก้อแอบหอมแก้มนัยหนึ่งที
นัยก้อดุอูว่า "อูทำไร" แล้วก้อยิ้มให้อู
พออูเผลอ นัยก้อแอบหอมแก้มอูหนึ่งที่
นักเรียนคนอื่นๆมองดูนักเรียนสองคนนี้
ด้วยสายตากรุ้มกริ่มอมยิ้มไปตามกัน
เพราะโรงเรียนนี้มีแต่ผู้ชายล้วนๆ
5555
มีความสุขกันจังเลยสำหรับการมาโรงเรียนวันแรก
ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตัวเองไป
อูก้อหันไปจูบปากนัยจุ๊บๆๆๆๆ
แล้วโบกมือเดินแยกไป
นัยบอกว่า "เดี๋ยวเที่ยงกินข้าวออกมาเจอกันหน้าโรงอาหารนะ แล้วนัยก้อโบกมือแยกไป

อูคับผมหลับตานึกมองเห็นนานไปหน่อยเป็นเรื่องเป็นราวหวานซะไม่มี
5555555 เอิ๊กเอิ๊กเอิ๊ก
เป็นกำลังใจนะและจะรอตอนต่อไปค้าบบบบบ
นิก KTB บานนิดนิดคับ
เอิ๊ก!!!