Sunday, July 13, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 12

วันเสาร์ก่อนเปิดปีการศึกษาใหม่วันนั้นเป็นวันที่น่าเบื่อมาก ผมต้องช่วยเอ๊ดทำงานบ้านเกือบทั้งวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน คืองานบ้านเล็กๆน้อยๆตอนอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดก็เคยทำละครับ แต่ว่าไม่เคยทำมากมายขนาดนี้

ผมกับเอ๊ดต้องช่วยกันถูบ้านทั้งหลัง โดยแบ่งกันไปคนละชั้น เอ๊ดถูพื้นชั้นล่าง ผมถูชั้นบน การถูบ้านนั้นเราไม่ได้ใช้ที่ถูพื้น แต่ใช้มือ คือคุกเข่ากับพื้นแล้วเอามือจับผ้าถูพื้นเอา ที่ไม่ใช้เครื่องทุ่นแรงเพราะว่าคุณป้าบอกว่ามันไม่สะอาด สู้ใช้มือกับผ้าไม่ได้

ที่จริงบ้านนี้แม้มีบริเวณบ้านค่อนข้างกว้างขวาง แต่ว่าตัวบ้านก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายนัก เป็นขนาด ๓ ห้องนอน ๓ ห้องน้ำ ห้องนอนห้องหนึ่งถูกดัดแปลงกลายเป็นห้องพระ แต่ละห้องก็มีขนาดพอประมาณ ไม่ใหญ่มาก ดังนั้นงานถูบ้านจะว่ามากก็ไม่มาก แต่คงเป็นเพราะผมยังไม่คุ้นเคยมากกว่า

การถูบ้านนั้นก็ต้องมีขั้นตอน จะถูเลยก็ไม่ได้ ต้องกวาดบ้านเสียก่อน บ้านนี้ไม่มีเครื่องดูดฝุ่นใช้ครับ ใช้ไม้กวาด หลังจากนั้นก็ต้องเอาผ้าชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ มาเช็ดฝุ่นตามเครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ตอนเช็ดฝุ่นนี่แหละครับที่กินเวลา ผมเช็ดจนเซ็ง เพราะเป็นงานที่ละเอียด ต้องค่อยๆทำ ยิ่งโต๊ะกินข้าวที่บ้านนี้เป็นไม่แกะสลักด้วย ทั้งโต๊ะและเก้าอี้จึงมีแต่ร่องและซอกมุมต่างๆ เช็ดยากมาก ผมเช็ดไปก็อู้ไปเพราะว่าเบื่อ

“อู ทำไมเช็ดนานนักวะ เก้าอี้ตัวหนึ่งเช็ดตั้งชั่วโมง” เอ๊ดบ่น

“ก็เบื่ออะ” ผมบอกตรงๆ แต่พูดเบาๆ เพราะกลัวใครจะได้ยินเข้า “เช็ดตัวละชั่วโมง กว่าจะครบ ๖ ตัวก็ตกเย็น กินข้าวเย็นพอดี”

“โธ่เอ๊ย ทำงานบ้านวันแรกก็บ่นซะแล้ว ยังงี้จะไปรอดเรอะ” เอ๊ดพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

ผมไม่ชอบน้ำเสียงแบบนั้นเลย แต่มันก็เป็นความจริง แค่วันแรกผมก็รู้สึกไม่อยากทำเสียแล้ว แล้วต่อไปจะอยู่ในบ้านนี้ได้อย่างไร

สภาพความจำเป็นบังคับให้ผมต้องแข็งใจทำต่อไป เบื่อก็เบื่อ แต่ว่าพอทำไปนานๆเข้า ผมก็รู้สึกชินกับมันขึ้นบ้าง และพบเคล็ดลับว่า ทำไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดมาก อย่าไปเร่งให้มันเสร็จ ถ้ายิ่งจดจ่อกับมัน จะยิ่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าและน่าเบื่อ แต่ถ้าพยายามไม่คิดอะไร เวลาก็จะผ่านไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ติดตัวมาจนโตก็คือ ผมมีนิสัยไม่ชอบใช้เครื่องเรือนที่มีซอกมุมมากๆ เช่น พวกเครื่องแกะสลักทั้งหลาย ผมชอบเรียบๆ คือพวกเครื่องแกะสลักนั้นชอบดู แต่ไม่ซื้อเอาไว้ใช้ คงเป็นเพราะเข็ดขยาดกับการเช็ดฝุ่นตั้งแต่สมัยเด็กนั่นเอง

หลังจากเช็ดฝุ่น ถูบ้าน เสร็จ เราก็ไปกวาดใบ้ไม้และตัดกิ่งไม้ในสวนเป็นรายการต่อไป

“ถูบ้านจนเข่าด้านหมดเลย ดูดิ” ผมกวาดใบไม้ไป พลางบ่นอุบอิบ

“ขี้บ่นจริง” เอ๊ดพูด “ถูแป๊บเดียว เข่ายังไม่ทันด้านหรอก ถูสักปีค่อยว่าไปอย่าง”

นอกจากกวาดใบไม้แล้ว ยังยังต้องเปลี่ยนน้ำในบ่อปลาเล็กๆในสวนด้วย ปลาในบ่อนี้มีแต่ปลาหางนกยูง น้ำในบ่อปลานี้ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย เดือนละครั้งเท่านั้น คุณลุงบอกว่าเลี้ยงเอาไว้กินลูกน้ำยุง แต่ผมไม่เห็นด้วยอยู่ในใจ ถ้าจะเลี้ยงให้กินลูกน้ำยุง สู้อย่าทำบ่อปลาดีกว่า จะได้ไม่มีน้ำให้ยุงมาไข่

เมื่อเสร็จงานในบ้าน และงานในสวนแล้ว ก็เป็นอันว่าเสร็จสิ้นภารกิจประจำสัปดาห์ กว่าจะเสร็จก็บ่าย ที่จริงสัปดาห์นี้ยังดี หลังจากนี้ไป ยังมีงานซักผ้าและรีดผ้าเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย แต่สัปดาห์นี้ยังไม่มีเนื่องจากเราเพิ่งเดินทางมาถึง เสื้อผ้ายังไม่ได้ถูกใช้ไป จึงยังไม่มีอะไรให้ซักรีด

ทำงานบ้านจนเหงื่อไหลไคลย้อย ที่จริงก็ไม่เหนื่อยหรอกครับ เพราะไม่ใช่งานหนักอะไร แต่อากาศร้อน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ผมก็รู้สึกเคว้ง เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เอ๊ดไปนั่งดูโทรทัศน์กับคุณลุง คุณป้า ส่วนผมนั้นยังไม่คุ้นกับเจ้าของบ้านทั้งสองท่านนี้นัก และรู้สึกเกร็งๆเมื่ออยู่ใกล้ จึงยังไม่อยากไปนั่งดูทีวีด้วย

“จะทำอะไรดีหว่า” ผมนึกในใจ

แล้วผมก็ได้คำตอบ นั่นคือ โทรศัพท์ไปคุยกับไอ้นัยดีกว่า

จะใช้โทรศัพท์ที่บ้านก็เกรงใจเจ้าของบ้าน ผมจึงเดินออกจากบ้านไปเพื่อไปโทรศัพท์ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร

ผมกดเบอร์โทรศัพท์บ้านไอ้นัยอย่างคุ้นเคย

“ฮัลโหล” เสียงแตกๆของเด็กวัยรุ่นรับสาย เดี๋ยวนี้เสียงไอ้นัยไม่ใสน่ารักเหมือนแต่ก่อนแล้ว กลายเป็นเสียงแตกและทุ้มขึ้น แบบเด็กวัยรุ่น

“ไอ้นัย กูเอง” ผมทักมัน

“บ้านใหม่เป็นไงบ้าง” ไอ้นัยทัก

“เซ็งฉิบหาย” ผมอดบ่นไม่ได้ ว่าแล้วก็เล่าภารกิจที่ทำไปทั้งหมดให้มันฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมโดนเทศน์เพราะพาไอ้นัยมาที่บ้าน เพราะไม่อยากให้มันรู้สึกไม่ดี

“ฮุฮุ แค่นี้ทำบ่น ไอ้ที่มึงเล่ามาเนี่ย กูก็ทำเป็นประจำ” ไอ้นัยคุยทับ “เด็กน้อยผิวบาง ไม่เคยทำงาน”

“ไอ้เปรต นึกว่ามึงจะเห็นใจกู ดันมาคุยข่มอีก” ผมด่ามัน

“ก็จริงนี่หว่า ทำงานนิดหน่อยบ่นไปได้ ยังงี้อีกหน่อยจะไปทำอะไรกิน” ไอ้นัยสั่งสอน

“โห มึงพูดเหมือนพี่กูเลยว่ะ ทราบแล้วครับพี่” ผมประชดมัน แต่ในใจก็รู้สึกขำ ที่มันพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่

“เออ จำไว้นะน้อง” ไอ้นัยรับมุข ว่าแล้วก็หัวเราะฮุฮุอีก

หลังจากที่ได้คุยกับไอ้นัย ผมรู้สึกดีขึ้นมาก น่าแปลกที่เอ๊ดก็พูดกับผมทำนองนี้ แต่ผมฟังแล้วรู้สึกขวางหูอย่างไรก็ไม่รู้ แต่พอไอ้นัยพูด ผมกลับรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบใจ

“วันจันทร์มึงจะไปโรงเรียนยังไงวะ” ผมถาม

“ก็นั่งรถเมล์ไปดิ” ไอ้นัยตอบกวน

“กูรู้แล้ว ไอ้เปรต” ผมด่ามันอีก

เนื่องจากบ้านของไอ้นัยอยู่เลยบ้านผมไปอีก ดังนั้นมันต้องนั่งรถจากบ้านมันเพื่อมาขึ้นรถเมล์สาย ๘ ที่ต้นทางปากซอยบ้านผม เราจึงนัดกันว่าจะเจอกันที่ท่ารถ เวลา ๖ น. และนั่งรถเมล์ไปเรียนด้วยกัน ที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าควรออกจากบ้านเวลาไหน แต่คุณอาไอ้นัยเป็นคนแนะนำว่า ควรเดินทางตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ไม่อย่างนั้นรถจะติดมากและอาจไปสายได้ โรงเรียนเข้าตอน ๘ โมงเช้า

คุยกับไอ้นัยอยู่นานพอสมควร หมดเงินไปหลายบาท จากนั้นผมก็กลับเข้าบ้านมา ในที่สุดผมก็นึกได้ว่าควรทำอะไรดี ... อ่านหนังสือ

ผมตรงไปที่ห้องนอน แกะลังใส่หนังสือออก จากบ้านมาคราวนี้ผมเอาหนังสือเล่มโปรดติดมาด้วยหลายเล่ม ใส่มาในลังเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นการ์ตูนพวกโอราเอมอน แล้วก็เป็นการ์ตูนฝรั่งของพวก ดีซี คอมิกส์ เช่น ซูเปอร์แมน สไปเดอร์แมน ไอออนแมน แล้วก็พวกการ์ตูนวอลต์ ดิสนีย์ ผมไม่ค่อยติดการ์ตูนญี่ปุ่นเท่าไร ติดการ์ตูนฝรั่งมากกว่า การ์ตูนที่ว่ามานี้แปลเป็นภาษาไทยแล้ว

ผมนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนไปเรื่อย อากาศก็ค่อนข้างร้อน ผมรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย

ผมอ่านหนังสือจนเย็น ตกค่ำก็เบื่อจนอ่านไม่ไหว หลังจากกินอาหารเย็นแล้วจึงเข้าไปนั่งดูโทรทัศน์บ้าง คุณลุงคุณป้าก็ชวนคุยโน่นคุยนี่ บรรยากาศชักเริ่มคล้ายกับบรรยากาศของครอบครัวขึ้นมาหน่อย ผมเริ่มมีกำลังใจขึ้น พร้อมทั้งคิดว่าต่อไปอะไรๆคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุด วันหนึ่งในบ้านใหม่ของผมก็ผ่านไป ...

- - -

วันรุ่งขึ้น เช้าวันอาทิตย์ เป็นวันจ่ายตลาด คุณป้าจะไปจ่ายตลาด ผมถูกเอ๊ดปลุกแต่เช้าเพื่อให้ตามไปจ่ายตลาดด้วย พูดให้ถูกก็คือไปช่วยหิ้วของนั่นเอง

เราเดินจากบ้านเพื่อไปจ่ายตลาด ตลาดที่คุณป้าไปจับจ่ายซื้อของก็คือตลาดสะพาน ๒ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ เป็นตลาดสดขนาดใหญ่ ใช้เวลาเดินประมาณ ๑๐-๑๕ นาทีก็ถึง ถ้าเลยตลาดสะพานสองนี้ไปอีกก็จะเป็นตลาดโชคชัยสี่ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าตลาดสะพานสองอีก แต่ว่าต้องนั่งรถไป คุณป้าจึงชอบที่จะเดินไปจ่ายตลาดที่ตลาดสะพานสองมากกว่า เพราะได้เดินออกกำลังด้วย

ที่ตลาด คุณป้าเลือกซื้อหมู ปลา ผัก พร้อมทั้งสอนให้เราเลือกซื้อของไปด้วย เช่น ปลาสดหรือไม่ต้องดูอย่างไร ฯลฯ เมื่อคุณป้าซื้อเสร็จ เราสองคนก็เป็นคนหิ้ว กว่าจะซื้อครบทุกอย่าง เราสองคนก็หิ้วของพะรุงพะรัง

วันอาทิตย์นั้นก็ผ่านไปอย่างน่าเบื่ออีกวัน ผมเซ็งแทบแย่ แต่ดูเอ๊ดไม่รู้สึกอะไร คงใช้ชีวิตอย่างสบายๆ คงเป็นเพราะความคุ้นเคยกับบ้านนั่นเอง

ตกกลางคืน ผมกับเอ๊ดรีบเข้านอน เพราะว่ารุ่งขึ้นต้องตื่นแต่เช้า แต่ผมกลับนอนไม่หลับ เพราะความตื่นเต้น นอนพลิกไปพลิกมา ใจก็คิดไปเรื่อยเปื่อยว่าชีวิตในวันรุ่งขึ้นจะเป็นอย่างไรบ้าง โรงเรียนใหม่ ครูใหม่ เพื่อนใหม่ ฯลฯ

แล้วผมก็ผล็อยหลับไป...


<รถเมล์สาย ๘ ในช่วงที่ผมเรียนมัธยม หน้าตาแบบนี้แหละครับ รถทรงสี่เหลี่ยม สีขาวคาดน้ำเงิน หน้าต่างใหญ่ รถรุ่นนี้ปัจจุบันไม่เห็นแล้ว>

6 comments:

Anonymous said...

คนแรกอีกแล้ว หุหุ ลุงอูขอบคุณคร้บ

Anonymous said...

สวัสดีครับคุณอา!!

หลาน Arus

Anonymous said...

ตอนต่อไปคงจะได้เจอเพื่อนใหม่ๆแล้วน่ะ

เอ่หรือว่า จะนั่งรถเมล์จนจบตอนน่า

ทีหนึ่งพัน

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับอู
อดทนหน่อยนะคับ เคยสดวกสบายอยู่หอพักโรงเรียนเก่า เป็นอิสระจะทำอะไรก้อได้ ไม่ทำอะไรก้อได้ แล้วมาอยู่กับคุณลุงคุณป้าที่ระเบียบจัด มันก้อคงจะอึดอัดมาก
ยังงัยก้อขอให้อดทนนะคับ เพื่อนัยสุดที่รักงัย
อย่าลืมดิที่อยากจะอยู่ใกล้กะนัยเรียนที่เดียวกะมัน
มันก้อต้องได้อย่างเสียอย่าง
แต่ว่าซักพักนึงก้อคงจะชินแล้วก้อเข้าที่เข้าทางก้อจะไม่เบื่อไม่เซ็ง
อูก้อจำเรื่องราวได้ละเอียดดีนะมีงานบ้านอะไรบ้างและทำยังงัย อ่านเพลินดี
อึดอัดในบ้านสองวันได้อยู่โรงเรียนกะนัยห้าวัน ก้อคุ้มอยู่นะ
แต่ว่าไม่รู้ว่าจะได้เรียนห้องเดียวกันปะนี่ดิ มีลุ้น 5555
คิดถึงชัชมันนะไม่รู้เป็นงัยมั่ง เมื่อก่อน สามคนเล่นเกมส์ว่าวและเอากัน ตอนนี้เหลือสอง โอกาสจะได้สนุกแบบนั้นก้อคงยาก
ยังงัยก้อเป็นกำลังใจให้ก้อแล้วกันนะคับ
ดูแลสุขภาพด้วย
นิกคับ
KTB (อะไรบานก้อไม่รู้)55555

Anonymous said...

ตอนหน้าก็เข้าเรียนแล้วครับ แค่นั่งรถเมล์จะเล่าอะไรกันทั้งตอน พอดีเบื่อแย่

นัยอยู่คนละห้องครับ รู้ตั้งแต่วันมอบตัวแล้ว มีรูปตึกเรียนให้ดูด้วย อุตส่าห์ไปย้อนอดีตหามาจนได้ เอาไว้ตอนต่อๆไปจะโพสต์ให้ดูครับ

อู

Anonymous said...

ขอบคุณครับอู ไม่ได้เข้ามาซะนานเข้ามาวันนี้ได้อ่านหลายตอนเลย ยังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมคับ