Sunday, May 25, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 8

ไอ้นัยมองที่เป้ากางเกงที่ค่อยๆขยายตัวของผม แล้วทำหน้ายิ้มๆ พลางเอ่ยปากแซว

“ควยลุกแต่เช้า อายเค้านะมึง”

ผมรีบปล่อยมือจากมือของไอ้นัย ขืนจับนานไปเป้ากางเกงจะตุงยิ่งกว่านี้ ที่จริงถึงมันแข็งตัวเต็มที่ก็ตุงไม่มากหรอกครับ เพราะว่าวันนั้นผมใส่กางเกงในตัวใหม่ มันค่อนข้างจะรัด แต่กางเกงขาสั้นรัดรูปของไอ้นัยนี่สิครับ ถ้าเกิดของไอ้นัยมันแข็งขึ้นมาเพื่อนๆคงรู้กันหมด

“ฮื่อ เห็นกางเกงมึงแล้วเกิดอารมณ์ว่ะ” ผมกระซิบบอกมัน “ทำไมมึงตัดกางเกงฟิตขนาดนี้วะ” ผมถาม

ไอ้นัยหัวเราะฮุฮุ ไม่ยอมตอบ

“ดีใจจังที่เจอมึงอีก ปิดเทอมโคตรเหงาเลย” ไอ้นัยพูด สมัยนั้นนิยมใช้คำว่าโคตรอยู่ข้างหน้า เช่น โคตรเหงา โคตรเซ็ง พวกโคตรเอาไว้ข้างหลัง เช่น เซ็งโคตร เหงาโคตร ยังไม่มี “ไม่รู้ว่าไอ้ชัชป่านนี้เป็นยังไงบ้าง”

“กูก็เหงา เพราะว่าเขียนจดหมายถึงมึงแล้วมึงไม่ค่อยยอมตอบ ไอ้ชัชก็เหมือนกัน” ผมต่อว่ามัน ตอนปิดเทอมเขียนจดหมายถึงไอ้สองตัวนี่คนละหลายฉบับ แต่มันไม่ค่อยยอมตอบกลับมา ถึงตอบมาก็สั้นๆ “มึงเปลี่ยนไปเยอะเลยนะไอ้นัย แม้แต่ทรงผมก็ยังเปลี่ยน”

“อยากลองเปลี่ยนดูอ่ะ ทรงเก่าเบื่อแล้ว” ไอ้นัยบอก

“แล้วเพื่อนเก่าๆอย่างกูล่ะ เบื่อหรือยัง” ผมถาม

“นัย เป็นไงบ้าง ปิดเทอมสนุกไหม” ก่อนที่ไอ้นัยจะตอบคำถามนี้ เสียงของพ่อก็แทรกเข้ามา พ่อเดินเข้ามามาทักทายไอ้นัย

ไอ้นัยยกมือไหว้เพื่อสวัสดีพ่อ ไอ้นัยมันมารยาทดีครับ แม้แต่ตอนเจอเอ๊ดมันก็ไหว้ ทั้งๆที่อ่อนกว่าเพียงไม่กี่ปี เพราะความมารยาทดีของมันนี่เอง ทำให้ทั้งพ่อ แม่ และเอ๊ด เอ็นดูมัน บางทีแม่ยังบ่นเลยครับว่าทำไมผมไม่เรียบร้อยอย่างไอ้นัยบ้าง

“หวัดดีครับพ่อ หวัดดีครับพี่เอ๊ด แม่กับพี่เอ๊ดไม่มาหรือครับ” ไอ้นัยทักทาย

“มา แต่ไปซื้อของให้อูเค้าน่ะ แล้วผู้ปกครองของนัยล่ะ” พ่อตอบ พ่อใช้คำว่าผู้ปกครอง ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าพ่อกำลังหมายถึงใคร

“พ่อกับแม่อยู่ไหนล่ะ จะได้ไปสวัสดี” ผมถามไอ้นัย

“คุณอาพามามอบตัวน่ะ” ไอ้นัยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

หลังจากนั้นไอ้นัยก็ไปพาคุณอาผู้ชายมาทักทายกับพวกเรา หลังจากทักทายกันสักครู่ พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปจัดการธุระเรื่องมอบตัว ลงทะเบียนเรียน และซื้อหนังสือเรียน ผมกับไอ้นัยลงทะเบียนกันคนละจุด หลังจากที่ทักทายและแยกกันแล้วก็ไม่เห็นมันอีกเลย

เมื่อลงทะเบียนเรียนเสร็จเรียบร้อย ผมกับพ่อก็หอบหนังสือเรียนที่ได้รับออกมานั่งรอไอ้นัยที่ระเบียง ผมมานั่งรอตรงนี้เพราะเป็นทางที่ไอ้นัยต้องเดินผ่าน ส่วนพ่อนั้นหลบออกไปรอที่อื่นแล้วเพราะว่าแถวนั้นเด็กแน่นไปหมด

หนังสือเรียนใหม่เอี่ยมถูกมัดด้วยเชือกฟาง เมื่อผมแกะออกมาดูก็เห็นมีหนังสือวิชาต่างๆที่ต้องใช้เรียนตอน ม.๑ เทอมต้นอยู่กว่าสิบเล่ม ส่วนใหญ่เป็นหนังสือกระดาษปรู๊ฟ สีเหลืองตุ่นๆแบบกระดาษที่ใช้พิมพ์หนังสือพิมพ์รายวัน กลิ่นหมึกพิมพ์โชยออกมาหอมฟุ้งในความรู้สึกของผม ผมชอบกลิ่นหมึกพิมพ์ที่ติดอยู่กับหนังสือใหม่จัง

หนังสือเรียนที่ได้รับมา ส่วนใหญ่เป็นแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พิมพ์โดยองค์การค้าคุรุสภา หน้าตาไม่ค่อยสวยนัก แต่ว่าราคาถูก เล่มหนึ่งไม่กี่สิบบาท ต่างจากโรงเรียนเก่าของผมที่ค่าตำราแพงมาก แต่ละเล่มเกือบร้อยหรือร้อยกว่าบาท เพราะส่วนใหญ่ใช้ตำราของสำนักพิมพ์เอกชน พิมพ์สวยๆ มีสี ใช้กระดาษปอนด์สีขาว สะอาดตาน่าใช้ ที่จริงเรื่องหนังสือเรียนนี่ทางโรงเรียนไม่ได้บังคับ ถ้าต้องการไปซื้อจากร้านศึกษาภัณฑ์หรือร้านขายแบบเรียนข้างนอก ก็เอารายการไปซื้อได้ แต่ที่จัดมาให้ก็เพื่ออำนวยความสะดวก

ผมพลิกหนังสือเรียนดูเล่นเพื่อฆ่าเวลา เล่มที่ผมรู้สึกสะดุดตาผมคือบทอาขยานภาษาอังกฤษ เล่มบางจ๋อย อาขยานก็คือบทกวีนั่นเอง ภายในเล่มมีบทกวีภาษาอังกฤษอยู่หลายบท เท่าที่ยังพอจำได้ก็มี My love is like a red, red rose ซึ่งเป็นบทกวีของ Robert Burns กวีชาวสก็อตที่ผมชอบมาก และยังจำได้จนถึงทุกวันนี้

ผมนั่งมองเพื่อนร่วมชั้นปีไปเรื่อยๆ ยังไม่รู้จักชื่อใครสักคนหรอกครับ แต่บางคนก็คุ้นๆหน้าเพราะลงทะเบียนในห้องเดียวกัน เรื่องหนึ่งที่ผมสังเกตก็คือ นักเรียนที่นี่ใส่รองเท้าผ้าใบกันเยอะมาก มีที่ใส่รองเท้าหนังเพียงส่วนน้อย ต่างจากที่โรงเรียนเก่าของผมซึ่งใส่รองเท้าหนังกันทั้งนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองประหลาดกว่าคนอื่นนิดหน่อย

สักพักเดียว ไอ้นัยกับคุณอาก็เดินมาจริงๆ เมื่อมันเห็นผมมันก็ยิ้มแฉ่งอย่างอารมณ์ดี ผมเริ่มรู้สึกว่ารอยยิ้มของมันมีเสน่ห์มากขึ้นและมากขึ้นทุกวัน ส่วนคุณอาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คงสมหวังในตัวหลานชายคนนี้มาก

“เสร็จนานแล้วเหรอ” คุณอาทักผม

“ครับ ผมเป็นคนต้นๆ เลยเสร็จก่อน” ผมตอบ แล้วก็หันไปถามไอ้นัยถึงเรื่องที่กำลังสงสัยอยู่ “นัย มึงสังเกตไหม ทำไมนักเรียนที่นี่ใส่รองเท้าผ้าใบกันเยอะมาก ใส่รองเท้าหนังนิดเดียวเอง”

ไอ้นัยทำหน้าครุ่นคิด “อ๋อ ไม่รู้อ่ะ”

“โธ่ว้อย” ผมบ่น นี่ถ้าคุณอาไม่อยู่ ผมคงเขกหัวมันไปแล้วด้วยความเคยชิน “ไม่รู้แล้วจะอ๋อทำไม”

“ช่างสังเกตนี่อู” เสียงคุณอาพูดขึ้น “เด็กนักเรียนโรงเรียนประถมของรัฐบาลน่ะ ส่วนใหญ่จะใส่รองเท้าผ้าใบ เพราะว่าราคาไม่แพง ส่วนนักเรียนโรงเรียนประถมเอกชนมักใส่รองเท้าหนัง แม้มันจะดูสวยกว่าแต่ก็แพงกว่า ที่เห็นนักเรียนใส่รองเท้าผ้าใบ แสดงว่าพวกนั้นน่าจะจบ ป.๖ มาจากโรงเรียนรัฐบาล” คุณอาเฉลยข้อสงสัยให้ผมฟัง ซึ่งสมัยนั้นแนวโน้มเป็นแบบนั้นจริงๆ

หลังจากนั้นคุณอาก็ถามผมว่าได้เรียนห้องไหน ผมได้เรียนห้อง ๒ หรือ ม.๑/๒ ส่วนไอ้นัยอยู่ห้อง ม. ๑/๘

ผมอดผิดหวังนิดหน่อยไม่ได้ อยากได้เรียนห้องเดียวกับไอ้นัยแต่ก็โชคไม่ดีขนาดนั้น

คุณอาเล่าให้ฟังต่อว่าที่โรงเรียนนี้ สมัยก่อนมีห้องคิงด้วย เด็กที่สอบเข้าได้คะแนนดีมากๆจะถูกจัดชั้นเรียนเป็นห้องพิเศษ คือให้พวกเด็กเก่งเรียนกับเด็กเก่งด้วยกัน เรียกว่าห้องคิง ส่วนที่เหลือก็จัดชั้นกันไปตามปกติ และเรียนกันไปจนจบมัธยมปลาย ใช้วิธีนี้มานาน แต่ต่อมาวิธีการนี้ถูกเปลี่ยนไป ห้องคิงถูกยกเลิก เด็กนักเรียนทั้งหมดถูกจัดห้องเรียนคละเคล้ากันไป แถมทุกปียังต้องจัดห้องใหม่ คือเมื่อเรียนจบปีหนึ่ง พอจะเรียนปีต่อไปก็จะถูกคละและจัดห้องเรียนใหม่อีก เป็นแบบนี้ทุกปี ทั้งนี้ เพื่อให้นักเรียนรู้จักกันให้ได้มากที่สุด แทนที่จะรู้จักเฉพาะเพื่อนในห้อง แล้วก็รู้จักกันแค่นั้นไปจนจบ ม.๖ ซึ่งผมกับไอ้นัยก็เข้ามาเรียนในยุคที่ต้องจัดห้องใหม่กันทุกปีนี่แหละ

6 comments:

Anonymous said...

มาเม้นให้คนแรกเลย มาต่อเร็วๆนะอู เยอะๆด้วยน้าค้าบ บาย

Anonymous said...

มาแล้วครับ
รายงานตัว
(ทำความเคารพ)
สวัสดีครับอาอู!!

Arus

Anonymous said...

เรียกอาเลยเหรอ :-(

Anonymous said...

คิดถึง อู นัย ชัช ครับ

Anonymous said...

เขียนเก่งแบบนี้ อย่างอื่นคงเก่งน่าดู อิจฉานัยจัง

Anonymous said...

ขอบคุณครับอู
ติดตามตลอดนะครับ
ไม่ได้หายไปไหน
ดีใจทุกครั้งที่ตอนใหม่ออกมา
สนุกมาก ชอบ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
และจะรอตอนต่อไปครับ
KTB