Thursday, January 17, 2008

ตอนที่ 83 (อวสาน)

หลังจากที่พ่อกลับไป ผมก็เดินมาจากตึกอำนวยการเพื่อกลับมาเข้าห้องเรียน ระหว่างนั้น แทนที่ผมจะรู้สึกดีใจ ผมกลับรู้สึกใจหาย คนเรานี่ก็แปลก เมื่อไม่ได้ไปก็ดิ้นรนอยากจะไป พอได้ไปจริงๆแล้วกลับใจหายไม่อยากไป คนที่สร้างความผูกพันและทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจากไปก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือไอ้ชัชนั่นเอง

ผมเดินกลับห้องเรียนด้วยความรู้สึกอ้างว้าง ความรู้สึกในตอนนั้นคือรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่ได้ตื่นเต้นยินดีแม้แต่น้อย คิดแต่ว่าจะบอกไอ้ชัชอย่างไรดี มันคงเสียใจมาก ที่มันบอกว่ามันทำใจได้ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า

เมื่อถึงห้องเรียน ผมเล่าเรื่องที่พ่อมาหาให้ไอ้ชัชกับไอ้นัยฟัง ไอ้นัยทำหน้าเฉยๆ ดูไม่ออกเหมือนกันว่ามันดีใจหรือเสียใจที่ผมไม่ได้ไปพักอยู่บ้านเดียวกับมัน ส่วนไอ้ชัชนั้นก็หน้าจ๋อยไป แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้

หลังจากวันนั้น ไอ้ชัชก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม ไม่เคยแสดงอาการโกรธเคือง งอน หรือเซ้าซี้ให้ผมเปลี่ยนใจอีกเลย ตรงกันข้าม มันกลับพยายามทำตัวให้ร่าเริงสนุกสนาน บอกไม่ถูกเหมือนกันครับว่าไอ้ชัชรู้สึกอย่างไร คล้ายกับว่ามันพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ของเราสองคนให้ดีที่สุดอะไรทำนองนั้น

เรื่องรายงานตัวของผมผ่านไปด้วยความเรียบร้อย แต่ก็หวุดหวิด หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนทางเอกสารเท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอใกล้ๆเปิดเทอมในปีการศึกษาใหม่ ค่อยมาทำการมอบตัวและอื่นๆ ซึ่งเรื่องยังอยู่อีกไกล

ในช่วงปลายเทอม การสอบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกเราทุกคนต่างก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวสอบ และการแลกเปลี่ยนกันเซ็นสมุดเฟรนด์ชิป ในวันสุดท้ายของการเรียน ก่อนที่การสอบปลายภาคจะเริ่มขึ้น พวกเราก็นัดร่ำลากันหลังเลิกเรียน วันนั้นถือเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันและร่ำลากัน เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นการสอบปลายภาค ซึ่งช่วงการสอบนั้นใครสอบเสร็จก็กลับก่อน อีกทั้งทุกคนก็มัวยุ่งกับการสอบ ดังนั้นจึงอาจร่ำลากันไม่ได้ทั่วถึง ก็เลยมาร่ำลากันอย่างเป็นทางการในวันเรียนวันสุดท้ายของภาค

บ่ายวันนั้น เราไม่ค่อยได้เรียนอะไร ส่วนใหญ่ก็วุ่นกับการร่ำลา ครูประจำชั้นเองก็เข้าใจเด็กๆ จึงปล่อยให้เด็กคุยกันตามสบาย บางคนก็เอาเสื้อนักเรียนมาให้เพื่อนๆเซ็นชื่อลงไปบนเสื้อ บางคนก็พิมพ์นามบัตรเอามาแจกเพื่อนๆ บางคนก็เอากล้องมาถ่ายรูปเพื่อนๆ เพื่อนหลายคู่ที่สนิทกันมากก็กอดคอกันน้ำตาซึม บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นซึ้งใจ มันเป็นบรรยากาศที่ผมไม่เคยประสบมาก่อน

ไอ้ชัช ไอ้นัย กับผม ตกลงกันไว้ว่าเราจะร่ำลากันในวันสอบวันสุดท้ายแทน เพราะว่ามันค่อยมีความหมายหน่อย และหลังจากการสอบปลายภาคเสร็จ ผมชวนไอ้ชัชกับไอ้นัยไปเที่ยวที่บ้านต่างจังหวัดเหมือนเมื่อปีที่แล้ว ไอ้นัยถามคุณอาแล้วไม่ขัดข้อง ส่วนไอ้ชัชนั้นไปด้วยไม่ได้ บอกว่าเมื่อสอบเสร็จวันรุ่งขึ้นพ่อจะมารับกลับบ้านทันที เพราะว่าพ่อมีธุระ แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ความรู้สึกลึกๆของผมบอกผมว่าไอ้ชัชพยายามเลี่ยงที่จะไปกับผมและไอ้นัยมากกว่า ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงไม่อยากไปเที่ยวด้วยกัน ทั้งๆที่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันในแบบเดิมๆ ต่อไปคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว แต่เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย เมื่อมองย้อนกลับไปก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของมันได้

ปลายเดือนกุมภาพันธ์

หลังจากที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินลงมาที่ใต้ตึก ที่นั่น ผมเห็นไอ้นัยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ไอ้นัยสอบเสร็จก่อนผมได้พักใหญ่ และหลังจากที่ผมลงมาไม่นาน ไอ้ชัชก็เดินตามลงมา

เราสามคนตกลงว่าจะร่ำลากันในวันนี้ ที่จริงผมยังคงอยู่ที่หอกับไอ้ชัชอีกคืนหนึ่ง ยังได้เจอกันอีกจนเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนไอ้นัยก็ยังได้เจอกันอีก ดังนั้นที่ว่าร่ำลาจริงๆแล้วเป็นการร่ำลาของไอ้ชัชกับไอ้นัยมากกว่า เพราะสำหรับไอ้นัยแล้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกัน

“กูไปละนะ ชัช” ไอ้นัยพูด พร้อมกับเอามือไอ้ชัชมากุมไว้

ไอ้ชัชทำตาแดงๆ บีบมือไอ้นัยเสียจนแน่น

“โชคดีนะไอ้นัย มึงคงไม่โกรธกูนะ” ไอ้ชัชพูด

“โกรธเรื่องไรอะ” ไอ้นัยถาม

“ก็...ก็ที่กูทำไม่ดีกับมึงไง” ไอ้ชัชตอบเสียงอ้อมแอ้ม คงจะเขิน

“ฮื่อ ไม่เป็นไรหรอก” ไอ้นัยตอบ

“ว่างๆก็มาเยี่ยมกูบ้างนะ” ไอ้ชัชพูดเสียงเครือ ส่วนไอ้นัยเองก็เริ่มตาแดงๆเหมือนกัน

“มึงพูดยังกับที่นี่เป็นสวนสัตว์ อือม์ แล้วกูจะมายี่ยมมึง จะเอากล้วยมาฝากด้วย” ไอ้นัยพูดแล้วก็หัวเราะกิ๊กทั้งที่ตายังแดงๆอยู่ ผมกับไ อ้ชัชเองก็อดขำไม่ได้ ในบรรยากาศซึ้งๆไอ้นัยยังปล่อยมุขออกมา

ไอ้ชัชเขกหัวไอ้นัยดังป๊อก

“โอ๊ย บอกกี่หนแล้วว่าอย่าเขกหัว เดี๋ยวเยี่ยวรดที่นอน” ไอ้นัยเอะอะ

“กูถามมึงจริงๆเถอะ ตั้งแต่มึงโดนเขกหัวมานี่มึงเคยเยี่ยวรดที่นอนบ้างไหม” ไอ้ชัชถาม

ไอ้นัยทำหน้านิ่งคิด “ไม่เคยอ่ะ”

ไอ้ชัชเขกหัวไอ้นัยอีกหนึ่งป๊อก “ถ้ายังงั้นป่านนี้มึงไม่เยี่ยวรดที่นอนแล้วล่ะ เพราะว่ามึงคงมีภูมิคุ้มกันแล้ว เอาไปอีกป๊อกก็แล้วกัน”

เราคุยร่ำลากันอีกสักพัก หลังจากนั้น เมื่อคุณอามารับไอ้นัยกลับ ผมกับไอ้ชัชก็เดินกลับเข้าหอไปด้วยกัน

ตอนกลางคืน

คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ผมได้พักอยู่ในพอนักเรียนประจำแห่งนี้ ผมรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา ทั้งเพื่อน ทั้งครู ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก มาถึงวันนี้ ผมจะต้องจากทั้งผู้คนและสิ่งที่ผมคุ้นเคยไป สำหรับผม ด้านหนึ่งมันคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น แต่อีกด้านหนึ่ง มันคือการพรากจาก ผมรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรจะตื่นเต้น หรือควรจะเศร้าสร้อยดี

คืนนั้น บรรยากาศในหอค่อนข้างเงียบ เพราะเด็กหอหลายคนกลับไปตั้งแต่สอบเสร็จตอนบ่ายแล้ว มีบางส่วนเท่านั้นที่ต้องพักที่นี่อีกคืนหนึ่งเพื่อรอกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น เรื่องการร่ำลาของชาวเด็กหอนั้นทำเสร็จไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันก่อนสอบ

ผมนั่งเล่นอยู่กับไอ้ชัชที่หน้าตึก วันนี้เราจะเข้านอนกี่โมงก็ได้ เพราะถือว่าเป็นวันสุดท้าย ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อะไรให้วุ่นวาย ผมเลยนั่งเล่นกับไอ้ชัชจนดึก ส่วนใหญ่จะนั่งเฉยๆ ใช้การสื่อสารทางความรู้สึกมากกว่า คุยกันไม่ค่อยมาก

“ปิดเทอมนี้กูจะเขียนจดหมายถึงมึงนะ แล้วเปิดเทอมแล้วจะมาหาด้วย” ผมบอก

“พูดแล้วอย่าคืนคำล่ะ” ไอ้ชัชพูดคาดคั้นเอาคำสัญญาจากผม

“ฮื่อ ไม่คืนคำหรอก มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู กูจะลืมมึงได้ไง” ผมพูด เอาตัวแนบเข้าไปชิดกับมัน

“อยากจะรู้เหมือนกันว่าเมื่อเราเจอกันตอนโตแล้วจะเป็นยังไง เรายังจะสนิทกับแบบนี้ไหม” ไอ้ชัชตั้งคำถามขึ้นมา มันเป็นคำถามที่น่าคิดเหมือนกัน

“นั่นสินะ มึงอย่าอ้วนก็แล้วกัน ผอมเป็นลิงแบบนี้ โตขึ้นกูจะได้จำได้ ถ้าอ้วนกูกลัวจำมึงไม่ได้” ผมพูดให้ตลก

“กูจะรอมึงนะ เผื่อมัธยมปลาย เราอาจได้เรียนด้วยกันอีก หรือไม่อย่างนั้นก็มหาวิทยาลัย” ไอ้ชัชพูด นัยน์ตาลอยเหมือนกำลังอยู่ในฝันอันแสนสุข

“ปีหน้า คงมีนักเรียนเข้ามาใหม่เยอะ มึงคงมีเพื่อนใหม่ ขอให้มึงได้เพื่อนที่ดีกว่ากูนะ” ผมพูดจากใจจริง “มึงเป็นเพื่อนที่ดีของกูเสมอ แต่กูเป็นเพื่อนที่เลวของมึง”

ไอ้ชัชเงียบ คงไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดี ผมนิ่งไปสักครู่ แล้วก็บอกไอ้ชัชให้คอยเดี๋ยว แล้วผมก็วิ่งขึ้นไปที่ห้องนอน

เมื่อกลับลงไป ผมยื่นของสองสิ่งให้ไอ้ชัช

“อ่ะ ของขวัญจากกู เอาไว้เป็นที่ระลึก แล้วนึกถึงกูนะ” ผมพูด หนึ่งในของสองสิ่งนั้นเป็นของขวัญที่อยู่ในกล่อง ผูกโบว์สีสวย แล้วใส่อยู่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลอีกที เพื่อพรางตา มันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ผมให้ไอ้ชัช หลังจากที่มันให้ของขวัญผมอยู่หลายปี

ไอ้ชัชแกะกระดาษห่อของขวัญออกอย่างระมัดระวัง

“ฉีกออกมาเลยก็ได้” ผมพูด “จะได้ดูข้างใน”

“ไม่อะ” ไอ้ชัชบอก “กูอยากเก็บกระดาษกับกล่องเอาไว้ด้วย... เอาไว้นึกถึงมึง”

เมื่อไอ้ชัชเปิดดูกล่องของขวัญ ข้างในเป็นกรอบรูปขนาดโปสการ์ด ในกรอบมีภาพของเราสามคน คือ ไอ้ชัช ไอ้นัย และผม ถ่ายอยู่ด้วยกันในชุดนักเรียน ภาพนี้เป็นภาพที่มีเพื่อนในห้องถ่ายเอาไว้เมื่องานวันปีใหม่ที่ผ่านมา ผมแอบไปฝากมันอัดโดยไม่ให้ไอ้ชัชรู้ แล้วก็เดินไปซื้อกรอบรูปสวยๆมาจากห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว

ไอ้ชัชดูกรอบรูปอันนั้น แล้วสะอื้นออกมาเบาๆ

“ไม่ถูกใจเหรอชัช” ผมถาม

ไอ้ชัชไม่ตอบ เอาแต่สะอื้น

ผมหยิบของสิ่งที่สองขึ้นมาให้ไอ้ชัช “เอ้า ช่วยเขียนให้กูหน่อย มึงยังไม่ได้เขียนให้กูเลย”

ของสิ่งที่สองนี้ก็คือสมุดเฟรนด์ชิปของผมนั่นเอง ไอ้ชัชยังไม่เขียนให้ผมสักที ยังไงวันนี้ผมต้องให้มันเขียนให้ได้

ไอ้ชัชยังสะอื้นไม่หยุด “กูก็ยังไม่ได้ให้มึงเขียน ขึ้นไปเขียนในห้องละกัน” ไอ้ชัชพูดไปสะอื้นไป

เราสองคนเดินขึ้นไปที่ห้องนอน จากนั้นแลกสมุดเฟรนด์ชิปกันเขียน ไอ้ชัชเขียนให้ผมว่าผมเป็นเพื่อนที่มันรักมากที่สุด ผมยังเก็บสมุดเล่มนั้นต่อมาอีกหลายปี ต่อมาเมื่อมาดูอีกที กลับพบว่าโดนปลวกกินไปจนเกือบหมด ของที่เก็บไว้สมัยเป็นเด็กเสียหายหมด ไม่ว่าจะเป็นจดหมายที่เขียนติดต่อกัน รวมทั้งสมุดเฟรนด์ชิปด้วย

หลังจากที่แลกกันเขียนสมุดเสร็จ ผมก็พูดกับไอ้ชัช “กูขออะไรมึงอย่างนึงดิ”

“อะไรเหรอ” ไอ้ชัชถาม ทำหน้าสงสัย

“กล่องทิชชู่รูปหมาอันนั้นน่ะ กูขอได้ไหม อยากได้ จะได้เอาไว้นึกถึงมึง” ผมบอก

ผมพยายามใจแข็ง ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนบ่าย ผมไม่ยอมร้องไห้เลย แต่ในที่สุด ผมก็กลั้นไว้ไม่อยู่ ต่อมน้ำตามาแตกเอาตอนที่ขอกล่องทิชชู่นั่นเอง ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนกับว่า ต่อไปจะไม่ได้เจอกับไอ้ชัชอีกแล้ว และอยากได้ของจากมันเอาไว้ดูต่างหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมีความรู้สึกแบบนั้น

ไอ้ชัชเดินไปหยิบกล่องทิชชู่ออกมาจากล็อกเกอร์ของมัน แล้วยื่นให้ผม

“กะจะคืนให้ตั้งนานแล้วล่ะ” ไอ้ชัชพูด มันไม่ได้พูดแก้ตัวหรอกครับ ผมเชื่อว่ามันไม่ได้คิดทวงกล่องทิชชู่คืนไปจริงๆ

ผมเห็นว่าตอนนั้นในห้องนอนไม่มีใคร จึงคว้าตัวไอ้ชัชมากอดเอาไว้จนแน่น น้ำตาไหลพรู อยากจะบอกให้มันรู้เหมือนกันว่าผมรักมันมากขนาดไหน ... แต่ผมก็ไม่เคยได้พูดออกจากปาก … ได้แต่ถ่ายทอดความในใจของผมด้วยการกอด...

กล่องทิชชู่รูปหมากล่องนั้นผมใช้ต่อมาอีกหลายปี เป็นของที่ผมรักมาก ตั้งเอาไว้ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน ใครจะว่ามันเก่าอย่างไรผมก็ไม่เปลี่ยน จนเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จึงได้เอามันเก็บไว้ในลัง เก็บไว้ที่กรุงเทพฯนี่เอง และต่อมาก็ถูกน้ำท่วมเสียหายไป

คืนนั้น หลังจากที่เราเข้านอนไปแล้ว ผมได้ยินไอ้ชัชร้องไห้สะอื้นเบาๆอีกเป็นเวลานาน มันคงยังทำใจไม่ได้ ผมก็เหมือนกัน แต่ผมพยายามเข้มแข็งเอาไว้ ไม่ร้องไห้ออกมา

- - -

วันรุ่งขึ้น

วันนี้เป็นวันที่เราต้องลาจากกันแล้วจริงๆ พ่อไอ้ชัชมารับตั้งแต่แปดโมงเช้า ผมยังจำภาพที่ไอ้ชัชเดินขึ้นรถได้ติดตา มันมองผมตลอด เดินช้าๆ เหมือนไม่อยากไป แต่แล้วในที่สุดมันก็ต้องจากไป ... ผมรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ... ลาก่อนนะ ไอ้เพื่อนรัก…

สิบโมงเช้า พ่อของผมมารับผมพร้อมกับไอ้นัย พ่อแวะไปรับไอ้นัยที่บ้านก่อน จากนั้นจึงมาหาผม

เราใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง ผมนั่งซึมไปตลอดทาง คิดถึงแต่เรื่องไอ้ชัช ความรู้สึกของการพรากจากนั้นมันยากจะบรรยายออกมาได้จริงๆ

ไอ้นัยเองก็นั่งเงียบ คิดว่ามันคงเข้าใจความรู้สึกของผม มีแต่พ่อเท่านั้น ที่ชวนคุยนั่นคุยนี่ เพื่อไม่ให้พวกเราเหงา

เมื่อมาถึงบ้านต่างจังหวัดของผม ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว หลังจากพักผ่อนสักครู่ ผมก็ชวนไอ้นัยขี่จักรยานไปที่บึงน้ำโลกส่วนตัวของผม การจากไปของไอ้ชัช ทำให้ผมคิดถึงโลกส่วนตัวแห่งนั้นเหลือเกิน คิดถึงเวลาที่เราสามคนเคยใช้ชีวิตในวัยเด็กด้วยกัน...

ที่นั่น ต้นเม่ายังคงยืนต้นอยู่อย่างเดิม ทัศนียภาพรอบบริเวณก็ยังเป็นอย่างเดิม อากาศยามบ่ายแก่ในตอนปลายเดือนกุมภาพันธ์เย็นสบาย เพราะยังเป็นฤดูหนาวอยู่ แต่ในความเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยความเหงาเดียวดาย

ที่นั่น ผมนั่งอยู่ที่ริมบึงน้ำกับไอ้นัย เราสองคนทอดสายตามองไปในบึง สายลมเย็นก่อระลอกเล็กๆพลิ้วประกายอยู่ในบึง ต้นหญ้าริมบึงไหวไปตามแรงลม

“ปีที่แล้วมากันสามคน” ผมพูด “ปีนี้มากันสองคน แล้วปีหน้า...”

“อย่าพูดเป็นลางดิ...” ไอ้นัยห้าม

ช่วงปีที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ชีวิตอีกมาก จากชีวิตที่เรียบง่าย มีทุกอย่างพร้อม กลายเป็นชีวิตที่หันเห ต้องดิ้นรน ถ้าเลือกได้ ผมอยากกลับไปเป็นอย่างเก่ามากกว่า แต่ผมรู้ดีว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้ ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย

“แปลว่ามึงจะไม่หนีกูไปไหนใช่ไหม” ผมถาม

ไอ้นัยเงียบ

“ว่าไง” ผมถามซ้ำ พลางอ้อมแขนไปโอบไอ้นัยเอาไว้ แล้วรั้งตัวมันเข้ามา

“ถ้ามึงยอมให้กูมา กูก็มาแหละ” ไอ้นัยตอบยิ้มๆ ไอ้นัยไม่ค่อยชอบแสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่เพียงคำตอบนี้ ผมก็พอใจแล้ว

“ถือเป็นสัญญานะ” ผมสรุป

ผมรั้งไอ้นัยให้เข้ามาใกล้อีก ไอ้นัยไม่ขืนตัวเลย ใบหน้ารูปไข่ที่ชอบตีหน้าตายเสมออยู่ใกล้กับใบหน้าของผม ไรหนวดเขียวๆที่ผมคุ้นเคย ภาพในอดีตไหลเข้ามาในสมองของผมเป็นฉากๆ ผมล้มตัวลง วงแขนของผมรั้งไอ้นัยให้ล้มลงไปนอนกับพื้นดินด้วย

“จะทำไรอะ” ไอ้นัยถาม

ผมไม่ตอบ แต่พลิกตัวขึ้น ใบหน้าของผมแทบจะติดกับใบหน้าของไอ้นัย ริมฝีปากสีชมพูใต้ไรหนวดเขียวนั้นยิ้มเล็กน้อย แล้วผมก็ประทับริมฝีปากของผมลงบนริมฝีปากสีชมพูนั้น…



ฟังเพลง

จบภาคหนึ่ง


37 comments:

Anonymous said...

... ลงก่อนอ่าน T-T ไหนว่าจะเขียนถึงม.3 ไง
โกรธนะ

Arus

Anonymous said...

ขอบคุณที่เขียนให้ติดตามมาเป็นปีนะครับ
ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ลง Comment ตอนแรกๆ
ยังเขินอยู่ แต่หลังๆ ผมพยายามมาลงให้คนแรก
ชดเชยแล้วนะ (วันนึงเปิดมาดู3-5รอบ)
ใจจริงผมอยากให้เขียนต่อให้จบม.3
แต่ถ้าคุณอูคิดว่าถ้าจบเพียงป.6 จะทำให้เรื่อง
ราวสวยงามและ Happy Ending ก็แล้วแต่
คุณอูครับ

รักเสมอนะ ขอ MSN ได้ไหม จะลองเวียนเข้า
มาดูว่าให้ไว้หรือยัง

หรือถ้าคุณอูช่วยลบข้อความให้ผมได้
ผมจะลงไว้ให้ แล้วคุณอูช่วยลบหลังได้MSN
ผมได้ไหมครับ กรุณาบอกด้วยครับ

Arus

Anonymous said...

อ่านมาตั้งนานแล้วอ่ะ แต่เพิ่งมาคอมเมนต์ไม่นานมานี้เอง

ยินดีกับความสุขที่มีนะครับ

ถึงจะเป็นเรื่องราวในอดีต แต่เขียนได้เข้าถึงอารมณ์ เข้าถึงความรู้สึกมากๆ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องแบบนี้ให้อ่านกันครับ

shoPr

Anonymous said...

อ่านแล้วก็คิถึงตอนเรียนจบเหมือนกัน แต่มันไม่เศร้าเท่านี้

ว่าแต่ว่าคุณอูจะมีเรื่องเล่าภาค2 หรือเปล่า ยังอยากอ่านต่อนะครับ

ทองก้อน

Anonymous said...

ชอบมากที่สุดครับ ผมก็เรียนแถวนั้นแหละ
เดินห้างแทบทุกวันเลย
อยากอ่านเรื่องของคุณอยู่เสมอ
ทำให้คิดถึงเพื่อนๆ
ชีวิตกับนัยเป็นยังไงบ้างมาเล่าให้ฟังบ้างสิครับ อย่าเพิ่งจบเลยยย

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับอู
ในที่สุดก็มาถึงตอนจบของภาคประถม
***เน้นนะครับ "ภาคประถม" ไม่ใช่จบเรื่องเลยนะครับ***แหะแหะหะ!!!! เป็นการห้ามไม่ให้อูจบแค่นี้นะครับผม
จบเรื่องใด้อย่างสวยงามมาก จากการที่หดหู่มาหลายตอนด้วยเรื่องราวที่เครียดหลาย ๆ อย่าง แล้วค่อย ๆ คลี่คลายลงอย่างลงตัว แม้จะใจหายกับการจาก(ชัช)

แต่ผมก้อยังได้ยิ้มกับ
***ริมฝีปากสีชมพูใต้ไรหนวดเขียวนั้นยิ้มเล็กน้อย แล้วผมก็ประทับริมฝีปากของผมลงบนริมฝีปากสีชมพูนั้น…***
=ชัดเจนมากเลยครับทั้งอูและนัยคงได้รู้จักหัวใจของตนเองดีแล้วนะครับ ว่ามันหมายความว่าอย่างไร การที่ผู้ชายสองคนประทับริมฝีปาก(ต้องใช้คำว่า "จูบ")กัน
อย่างมีความสุข
ตอนนี้ผมว่าอูและนัยคงไม่สับสนแล้วนะครับ
ควมรักของผู้ชาย2คนที่มีต่อกันไม่ใช่ฉันท์เพื่อน แต่เป็นฉันท์คนรัก(แฟน)นั้นมันก้อเหมือนเฉกเช่นผู้ชายรักผู้หญิงเหมือนกัน
ขอแสดงความยินดีกับความรักที่สวยงามของทั้งสองคนครับ นัยเองเป็นคนเฉยๆแต่ผมว่านัยก้อคงเข้าใจแล้วเหมือนกันสำหรับความรักที่ผู้ชายรักผู้ชายและนัยเองก้อมีใจรักอูเหมือนกันไม่งั้นคงไม่ "ยิ้มเล็กน้อย" ให้อู
เพราะหน้าอูมาอยู่ใกล้ ๆ นายนัย รู้แน่ ๆ ว่าอูจะทำอะไร
และพร้อมที่จะรับการกระทำสิ่งนั้นของอู โดยไม่ถามออกไปอย่างที่เคยว่า "เห้ยอูเองจะทำอะไรอะ"
เพราะนัยรู้แล้วว่าอูกำละงจะจูบนัย
จึงยิ้มรับการประทับริมฝีปากของอูกับปากสีชมพูของนัยนั่นเอง
การประทับรอนจูบนั้นคงจะนานเนิ่นนานอิ่มเอิบกับความหอมหวานที่เต็มไปด้วยความรักสุดหัวใจของคนทั้งสอง

โดยทิ้งให้ผู้อ่านเดากันเองต่อไปว่าหลังจากการจูบปากกันแล้ว อูจะทำรัยต่อ เพราะนัยคงไม่เป็นคนเริ่มต้น
มีแต่อูนั่นแหละ 5555555
จะทำรัยนัยต่อไป
ฉากต่อไปก้อคิดกันเองแล้วกัน

ขอบคุณอูอีกครั้งครับที่กรุณาต่อเรื่องจนจบ ตอนประถม
ผมยงอยากรู้เรื่องของอูต่อไปอีกครับผม
ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปกับการทำงานนะครับ
ขอตอนใหม่ "ภาค ม.ต้น"
สักอาทิตย์ละตอนก้อได้ครับ
อาจจะเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ก้อได้แค่เดือนละ 4 ตอนเอง ถ้าอาทิตย์ไหนไม่ว่างก้อข้ามไปก่อนได้คับ
ยังไม่อยากจากอูไปเหมือนกับ"ชัช" ครับ
ยังงัยก็ได้มาเจอกันอีกเรื่อย ๆ ไปเหมือนเดิมนะครับ

รักอูครับ
KTB

Anonymous said...

ทำไมอยุ่ๆ อูทิ้งพวกเราไปละ
ไม่อยากให้จบแบบนี้เลย
เศร้ามากมาย
อย่างน้อยน่าจะสรุปหน่อยว่าปัจจุบัน
ทุกคนเป็นไง พวกคุณเหมือนเพื่อนผมส่วนหนึ่งน่ะ
ผมอยากรู้ความเป็นไร หวังอยู่้น่ะว่าจะมาต่อให้อ่านบ้าง
ูู^^sky^^

Anonymous said...

อ่านสนุกมาก อิจฉาครับ อยากเล่าเรื่องของผมไห้สนุกน่าอ่านอย่างนี้บ้าง ผมและคู่รัก ต่างมียศ การงานที่ดี ภรรยาที่ดี ลูกที่ดี เราไม่เจ้าชู้ แต่หากพบกันและมีโอกาส เราก็ยังดูดให้กันและกันอยู่ครับ มีใครเป็นแบบผมบ้าง
ลุมพินี

Anonymous said...

อย่าเพิ่งเคืองนะครับ ที่ว่าอวสานหมายถึงอวสานภาคหนึ่ง

ยังไงก็จะเขียนต่อในภาคสองต่อไป แต่ผมว่าผมรักชีวิตตอนนี้มากที่สุด เพราะเป็นอไรที่ผมเขียนได้ยาวมากๆชิ้นแรก แม้มันอาจจะไม่ใช่งานที่ดีที่สุด หรือสนุกที่สุด แต่ผมว่าผมรักมันมากที่สุดนะ

ส่วนเรื่องติดต่อผมนั้น พูดแล้วชักเสียว ก็คือตั้งแต่ที่ผมเล่าเรื่องมา ผมก็บอกแต่่ต้นแล้วว่า ผมต้องพยาพยามเปลี่ยนหรือปกปิดเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่ เพราะไม่อยากให้มีผลกระทบกับใคร แต่ลืมไปคนหนึ่ง คนนั้นคือตัวผมเอง ไม่อยากให้เรื่องที่ผมเล่ามันเข้าตัวผมเองเหมือนกัน แต่ดูไปดูมา อีกหน่อยคงอาจจะวกมาเข้าตัวจนได้

ดังนั้นโปรดคิดเสียว่าไอ้อูเป็นตัวละครก็แล้วกันนะครับ ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง และเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพียงเรื่องแต่ง ผมไม่ใช่อู และอูไม่ใช่ผม ดังนั้นการติดต่อพูดคุยกับอูคงเป็นไปไม่ไเด้ เพราะมันเป็นแค่ตัวละครเท่านั้น ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะครับ หวังว่าคงได้รับความเห็นใจ :-(

Anonymous said...

เศร้าและก็สุข จะรอภาค2 ครับ

จักรราช

Anonymous said...

ถ้าอูคนน่ารักยอมมาต่อให้ก็จะลดความเคืองให้ส่วนนึง
ถ้าต่อได้น่ารักๆ ก็ไม่ต้องติดต่อกันก็ได้ครับ
คุณอูจะได้สบายใจ แต่ไม่ไง!! ผมจะส่งคุณอาฟ้า
และพลพรรคสมุน เช่นน้าแตงไปลุย!!
(ติดต่อได้ในเรื่องของพี่ฟ้า ^^Sky^^
*จูบแรกของผมกับไอหน้าหื่น รุ่นน้องเทคนิค*
ที่เล้าเป็ดนะครับ)

Arus

Anonymous said...

ซึ้งมากๆครับ สงสารชัชมากๆ

Anonymous said...

นึกว่าจะจบเลยนะเนี่ย

แต่ก็ดีครับ จะได้อ่านต่อ

ชีวิตน่ารักๆ ที่ผมได้เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง

ขอบคุณมากๆ อีกครั้งกับเรื่องทั้งหมดครับ

shoPr

Anonymous said...

แม้ว่าคุณจะเขียนเรื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมว่าคุณคงจะได้รับบุญที่ทำให้ผู้อ่านมีความสุขครับ

Anonymous said...

อูอ่านแล้วคงชื่นใจ กับคอมเมนต์มากมาย ^_^

Anonymous said...

อยากให้เขียนต่อภาคมัธยมอ่ะนะ
ตามอ่านมาตลอดแหละ แต่ไม่รู้จะเม้นท์ยังไง
ดูระบบมันวุ่นพิลึกอ่ะ

Zo.

Anonymous said...

สงสารชัชครับ
แล้วจะรออ่านภาคสองครับ

thom

Anonymous said...

กรี๊ดดดดดดดด

จบซะแล้ว...

รอภาคใหม่นะคับป๋ม.....

Anonymous said...

รอภาคต่อปายย

Anonymous said...

ผมเป็นอีกคนที่ตามอ่านมาตลอด
อยากบอกว่ายอดเยี่ยมมากครับ
ผมจะติดตามอ่านต่อไป

Anonymous said...

จะจบได้อย่างไร ยังไม่ได้เป็นเกย์เลย เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ก็มีประสบการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะเด็กรูปหล่อหน้าตาดีต้องเคยแน่นอน อย่างผมมีครอบครัวแล้วยังอยากดูดไอติมอยู่เลย คนไม่เคยก็ไม่รู้หรอกว่ามันสนุกปากอย่างไร จริงไหมครับ

Anonymous said...

จบภาคแรกแล้วถึงแม้ว่าจะจบแบบแฮบปี้ แต่ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันครับ ผมติดตามมาเป็นปีแล้วครับ เข้ามาช่วงแรกๆ ก้อเข้ามาอ่านทุกวัน แต่ตอนหลังต้องย้ายที่อยู่แต่ก้อติดตามทุกสัปดาห์ครับ รู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครมากครับ โดยเฉพาะอูถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยรู้จักกันแต่คิดว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันครับ ผมจะมารอคอยภาคสองต่อนะครับ ถ้ามาต่อภาคสองเมื่อไหร่ก้อแจ้งไปที่เมล์ผมด้วยนะครับ ที่ korn1709@hotmail.com ครับ หรือไม่ก้อช่วยไปโพสไว้ที่บอร์ดปาล์มนะครับจะคอยติดตามและเป็นกำลังใจให้อูตลอดไปนะครับ ถึงแม้ว่าจะจบภาคแรกผมก้อจะกลับมาอ่านอีกครับรู้สึกประทับใจมากครับ รัก อู ชัช นัย มากๆครับ
คิดถึงมากครับ
กร ครับ

Anonymous said...

เป็นเรื่องที่มีทุกอารมณ์เลย กลับมาเขียนอีกนะครับ

Anonymous said...

อยากให้แก้คำว่า"อวสาน" เป็น"จบภาคประถมปลาย"
น่ะครับ

Arus

Anonymous said...

ดีครับอู
ยังรออยู่เหมือนเดิมนะครับ
คิดถึงเสมอ
ช่วงนี้เงียบไปเลย
ไม่เห็นเข้ามาคุยมั่งเลยครับ
ยังรออยู่นะครับ
และเป็นกำลังใจให้อูเหมือนเดิม
เทคแคร์นะครับ
KTB

Anonymous said...

จ๊าก ไม่ได้เข้าแป๊บเดียวจบภาคซะแล้ววว

ชอบเรื่องนี้จัง ซึ้งๆกะความรักของเพื่อนๆในวัยเด็ก(แต่รู้สึกหลายอย่างมันจะเกินเด็กนะ55+)ขอบคุณมากๆสำหรับทุกเรื่องราวและความพยายามในการเขียนนะครับ

รอภาคต่อไปนะคร้าบ เป็นกำลังใจให้เสมอคับคุณอู ... ภาคต่อไปโตๆเป็นหนุ่มกันและ คงสนุกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมนะนี่ อิอิ

Anonymous said...

ต้องขอขอบคุณสำหรับความเห็นทุกๆข้อความครับ ช่วงนี้งานยุ่ง มีเรื่องเครียดๆเยอะ เลยขอพักสักหน่อย แต่อีกไม่นานจะมาเขียนต่อครับ

เด็กประจำมีแนวโน้มจะแก่แดดกว่าเด็กไปกลับอยู่แล้วครับ การเรียนรู้ต่างๆจะมาจากเพื่อนและรุ่นพี่เป็นส่วนใหญ่ ก็ขลุกกันอยู่ทั้งวันทั้งคืนนี่ครับ

ผมมานั่งทบทวนดู เรื่องทั้งหมดที่ผมเขียนไปในภาคประถม ๘๓ ตอนนี้เป็นไฟล์เวิร์ดขนาด ๓๒๐ กว่าหน้า ไม่เคยเขียนอะไรยาวแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ใ้ช้เวลาเล่ามาทั้งหมด ๑ ปี ๑๐ เดือน ภาพมัธยมต้นก็คิดว่าคงต้องใช้เวลาสักปี ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าต้องเล่าถึงมหาวิทยาลัย จะกินเวลานานขนาดไหน ถ้ามีลูก ลูกก็คงโตไปแล้วแน่เลย

ชีวิตของไอ้นัยยังมีอะไรอีกเยอะ ทั้งสุขและทุกข์ ผมเองพอเข้ามัธยมแล้วชีวิตก็เปลี่ยนไปมาก จากเด็กประจำเป็นเด็กไปกลับ ต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่่า ชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าเราจะพอใจหรือไม่ ยังไงเราก็ต้องเผชิญกับมัน

คิดถึงทุกคนนะครับ

อู

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับอู
ดีใจจังเลยที่อูเข้ามาคุยด้วย
ครับผม ตอนนี้งานอูยุ่งและเครียดอยู่
ก็ขอให้ผ่านพ้นไปด้วยดีนะครับ
ดูแลสุขภาพด้วย พักผ่อนเยอะ ๆ
ให้สบายใจก่อนแล้วค่อยมาเล่าเรื่องต่อนะครับ
ยังไงก้อจะคอยนะครับ
และเป็นกำลังใจให้อูตลอดไป
คิดถึงเสมอครับ
คิดถึงนัยด้วย
อย่าลืมเล่าเรื่องชัชด้วยนะครับ
ขอบคุณมาก
KTB

Anonymous said...

พักผ่อนเยอะๆ มีความสุขมากๆ ครับ อย่าหักโหมกับงานนะครับ

เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คน

Anonymous said...

ความรักเป็นสิ่งมีค่า ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ควรที่จะรักษาไว้ตลอดไป แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยเหตุใด ก็คงจะห่วงหา อาทร เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เพื่อความสุขของกันละกัน เพื่อความสุขของคนใกล้เคียงและมีความสุขในการใช้ชีวิตร่วมโลกกับทุกๆคน
ขอให้อู หายเครียดเร็วๆ ทุกอย่าง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปครับ

Anonymous said...

ยังมารอคอยภาค 2 อยู่นะครับและยังเข้ามาเป็นกำลังใจให้อูเหมือนเดิมครับ
กร ครับ

Anonymous said...

เม้นครั้งแรกเลยค่ะ

เขินจัง

คุณอูเก็บเรื่องราวตอนเป็นเด็กได้อย่างละเอียดมากเลยค่ะ ซึ่งเลาไม่เคยจำอะไรได้เลย ฮ่า ๆ ทึ่งอยู่เหมือนกัน

ตามอ่านมานานแล้วค่ะ ^^ ดีใจจริง ๆ ที่ได้อ่านจนจบภาค

คิดว่าจะไม่ได้อ่านแล้วด้วยซ้ำตอนที่ไปอยู่ในบอร์ดเก็บกะตัง - -*

ปล. ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ให้อ่าน T^T

ปล2. อยากอ่านต่อไปค่ะ แต่อยากให้จบอย่างมีความสุขอ๊ะ ซิก ๆ

ปล3. ไม่โกรธนะคะที่ม่ายเคยเม้น -*- แฮะ ๆ

YenOh

Anonymous said...

ยังรออูมาต่อเรื่องอยู่นะคับ
ผมกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
เมื่อไรอูจะมาต่อสักที
^^SKY^^

Anonymous said...

ช่วงนี้เขียนไม่ไหวครับ ต้องโทษด้วยจริงๆ บางวันกลับมาหัวถึงหมอนก็หลับไปเลย บางทีหัวยังไม่ถึงหมอนก็หลับไปแล้ว ต้องขอผัดไปอีกสักระยะนะครับ

อู

Anonymous said...

อ้อ กำลังคิดว่าจะเปลี่ยนชื่อเรื่องด้วยละครับ มีคนทักว่าชื่อไม่เอาไหนเลย แต่ยังคิดไม่ออก

จะตั้งชื่อว่า "รักแห่งลาดพร้าว" หรือ "รักแห่งจตุจักร" ก็คงแปลกๆอยู่

ถ้าใครมีชื่อเรื่องเก๋ๆแนะนำบ้างนะครับ เรื่องตั้งชื่อเรื่องนี่ไม่ถนัดเลย

อู

-SportGame- said...
This comment has been removed by the author.
-SportGame- said...

ผมอาจจะเป็นชายแท้คนเดียวล่ะมั้งที่มาอ่านเรื่องนี้

ผมไม่อยากให้ใครพูดว่าเรื่องในภาคนี้เป็นเรื่องการพัฒนาการของ 'เกย์'

แต่ผมอยากให้ทุกคนที่มาอ่านภาคนี้ ได้รู้ว่ามันคือ 'พัฒนาการของคำว่าเพื่อน' จะดีกว่า เพราะ ภาคนี้ พระเองของเรื่องยังไม่รู้จักคำว่า 'ความรัก' ดี

ตอนแรกที่เข้ามาอ่าน ผมก็รับไม่ได้บ้าง ก็อย่างที่บอกในตอนแรกไปว่าผมนั้นเป็นชายแท้ แต่ผมคิดว่า คง
เป็นเพราะโรงเรียนประจำ เรื่องอย่างนี้ก็คงมีอยู่ทั่วไปล่ะมั้งครับ(ในโรงเรียนประจำนะ) ผมเลยอ่านต่อไป พออ่านไป มันก็สนุกดีนะครับ ผมก็ได้เรียนรู้อะไรไปด้วยล่ะมั้งครับ ถ้าผมมีเพื่อนเป็นอย่างพวกอู ชัช และนัยจริงๆ ผมรับพวกเขาเป็นเพื่อนได้นะครับ เพราะถึงเขาจะเป็นเกย์อย่างนั้นจริง ถ้าพวกเขาเป็นเพื่อนผม ยังไงเขาก็เป็นเพื่อนผมล่ะครับ อาจจะเป็นเพราะอย่างงี้ล่ะมั้งครับ ผมจึงอ่านเรื่องนี้ได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อยเดียว

คุณอู สู้เขานะครับ ยังไงผมอยากจะหวังไว้ว่า ให้ทุกคนเป็นไบกันหมดนะครับ ไม่ว่าอู นัย และชัช เพราะว่า ผมอยากให้ทั้ง 3 คนนี้ มีความสุขกับสังคมเพื่อนในอนาคตข้างหน้า

ผมหวังไว้อย่างนั้นนะครับ ถึงผมจะมาเม้นท์ช้าซะหน่อย เพราะผมได้มาอ่านเรื่องนี้ก็ตอนที่คุณแต่งภาค 2ไปได้ 1 ปีแล้วล่ะครับ แต่ผมก็พึ่งอ่านภาค 1 จบก็วันนี้แหละครับ

ขอบคุณมากนะครับ ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ผมอาจจะได้เพื่อนที่เป็นเหมือนทั้ง 3 คนนี้ก็ได้ครับ และผมจะไม่เศร้าแล้วล่ะครับ ถ้าหากผมได้พลัดพรากจากเพื่อนคนใดคนหนึ่งของผมไปจริงๆ ผมจะไม่ขี้-น้อยใจและคิดมาก เพราะ ผมจะคิดว่า พวกเพื่อนๆ ของผมนั้น คงมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ต้องทำอย่างนั้น บางทีเขาอาจจะเซอร์ไพส์ผมเหมือนที่ชัชเซอร์ไพส์กับอูก็ได้ และบางที ผมอาจจะขอยืมคำพูดของอูมาใช้ก็ได้นะครับ เรื่อง 'วาสนา' ที่อูพูดกับชัชไปน่ะ เผื่อผมจะเจอเพื่อนที่ไม่อยากให้ผมจากไปเหมือนอย่างชัช ผมหวังว่าคุณจะได้อ่านเมนท์นี้นะครับ ทุกเรื่องผมพูดมาจากใจจริง และผมอยากย้ำว่าผมเป็นชายแท้ครับ

สู้เขานะครับ คุณอู ผมเป็นกำลังใจให้ เรื่องของคุณได้เข้ามาอยู่ในใจผมตอนนี้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ

-SportGame-