Saturday, January 5, 2008

ตอนที่ 80

และแล้ว ห้องนอนก็กลายเป็นสนามวิวาทะ เราโต้เถียงกันด้วยเสียงอันดัง จนเพื่อนๆที่นอนไปแล้วยังต้องตื่นขึ้นมา

ผมหันรีหันขวาง มองไปรอบๆ กำลังมองหาของที่ไอ้ชัชให้ผม ว่ามีอะไรอีกบ้าง จะได้คืนไปเสียให้หมดๆ มันจะได้ไม่ต้องมาทวงอีก แต่เมื่อไอ้ชัชเห็นอาการของผมแล้วก็เข้าใจผิดไป

“อ้อ มึงกำลังมองหาของ คิดว่าจะเอาอะไรคืนจากกูบ้างใช่ไหม ไม่ต้องหาหรอก มันไม่มี เพราะมึงไม่เคยให้อะไรกูมาก่อน” ไอ้ชัชพูด

คำพูดของไอ้ชัชทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นๆราดหัว มันเหมือนกับถ่านไม้ที่ร้อนแดงถูกโยนลงไปในน้ำ ความโกรธของผมหายไปหมดในทันที จริงสินะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไอ้ชัชให้ของผมตั้งหลายอย่าง ทั้งของขวัญวันเกิด วันปีใหม่ แต่ผมกลับไม่เคยให้ของขวัญอะไรมันเลย มันเองก็ไม่เคยทวงหรือบ่นอะไรสักคำ พอถึงเทศกาลหน้า มันก็เอามาให้อีก

ถึงตอนนั้น ผมไม่มีกะใจจะไปทะเลาะกับมันแล้ว รู้สึกหมดแรง สำนึกผิด และท้อไปหมด ระยะนี้อะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆกัน จนผมตั้งตัวไม่ติด ตอนนั้น ผมเริ่มตั้งข้อสังเกตขึ้นมาบ้างแล้วว่า ใครที่สนิทกับผมล้วนแต่มีเรื่องให้เดือดร้อนวุ่นวาย สงสัยผมคงเป็นตัวนำโชคร้ายให้เพื่อนๆ

“ไม่อยากทะเลาะกับมึงแล้วล่ะ” ผมพูดได้แต่เพียงเท่านี้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง ไม่สนใจใครอีก

ไอ้ชัชคงงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของผม แต่ผมคลุมโปงอยู่ เลยไม่รู้ว่าสภาพในห้องเป็นอย่างไร ผมได้ยินเสียงกุกกัก และเสียงคุยกันของเพื่อนในห้องอีกพักใหญ่ ต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงปิดไฟ แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆสงบเงียบลง

ผมคงเผลอหลับไปช่วงหนึ่ง มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เพราะว่าปวดฉี่ มัวแต่ทะเลาะกับไอ้ชัชจนลืมฉี่ก่อนนอน ผมมองดูนาฬิกาที่หัวเตียง ตอนนั้นตีหนึ่งแล้ว

ผมลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะไปห้องน้ำ เหลือบมองไปทางเตียงของไอ้ชัช ในความมืด เห็นมันนอนตะแคงหันหลังให้ผม นี่มันเกลียดผมถึงขนาดแม้ตอนนอนก็ยังหันหลังให้หรือนี่ ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย คำพูดเมื่อตอนหัวค่ำของไอ้ชัช มันทำให้ผมได้คิดอะไรขึ้นมาหลายๆอย่าง ผมไม่ได้โกรธมันแล้ว มีแต่รู้สึกเสียใจต่อมัน

ผมเห็นมันนอนนิ่ง คงจะหลับสนิท เลยย่องไปหอมแก้มมันเบาๆทีหนึ่ง

“ขอโทษนะ ไอ้เพื่อนรัก กูมันไม่ดีเอง” ผมพูดกับมันในใจ แต่ไม่ได้ออกเสียง เพราะยังไงก็ยังรู้สึกเขินที่จะรับผิดกับมัน อีกอย่าง ตอนนั้นมันเงียบมาก ผมกลัวว่าใครจะได้ยินเข้า

หลังจากไปเข้าห้องน้ำกลับมา ผมก็นอนไม่หลับอีกแล้ว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่นอนไม่หลับค่อนข้างบ่อย แต่เป็นการนอนไม่หลับแบบเด็กๆครับ คือหลับช้าหน่อย และหลับไม่ค่อยสนิท ฝันโน่นฝันนี่ ไม่เหมือนผู้ใหญ่นอนไม่หลับที่ลืมตาโพลงจนสว่าง

ผมคิดกลับไปกลับมา ตอนนั้นรู้สึกว่าจะฟุ้งซ่านค่อนข้างมากทีเดียว ชักจะเริ่มท้อและอยากยอมแพ้ เรียนต่อกับไอ้ชัชจนจบ ม.ปลาย ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

วันรุ่งขึ้น ผมนอนตื่นสายโด่ง เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ อีกทั้งเมื่อคืนนอนหลับไม่ค่อยสนิท หลังจากที่กินอาหารเช้าแล้ว ผมก็ขึ้นไปที่ห้องนอนอีก เก็บของบางอย่างใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของผม แล้วเขียนข้อความใส่กระดาษชิ้นเล็กๆ นำไปใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของไอ้ชัช ผมพยาพยามนึกอยู่นาน แต่ก็เขียนอะไรไม่ออก ได้แต่เพียงข้อความสั้นๆ

“ของที่มึงเคยให้ กูวางไว้ในล็อกเกอร์ของกู ขอโทษด้วยที่กูเป็นได้แค่เพื่อนเลวๆของมึง ขอโทษจริงๆเพื่อน”

ผมหนีไปนั่งเล่นชิงช้า ใช้ความคิดคนเดียวเงียบๆที่แผนกอนุบาล ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโรงเรียน วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกท้อมาก รู้สึกว่าไม่อยากดิ้นรน ไม่อยากคิด ไม่อยากปรึกษาใคร ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว ผมนั่งเฉยๆทั้งวัน ตกเย็นก็ไปกินข้าว จากนั้นก็รีบอาบน้ำ แล้วก็คลุมโปงนอนตั้งแต่หัวค่ำ ไม่คุยกับใคร ตอนนั้นหน้าหนาวยังเป็นหน้าหนาวอยู่ อากาศปลายเดือนมกราคมเย็นตลอดทั้งวัน และค่อนข้างหนาวในตอนกลางคืน ตอนนอนต้องห่มผ้าห่มด้วย

- - -

วันรุ่งขึ้น

บรรยากาศการเรียนในเช้าวันจันทร์นั้นค่อนข้างอึมครึม ผมกับไอ้ชัชนั่งเรียนเงียบๆ ไม่พูดคุยกัน ไอ้ชัชเองก็ไม่คุยกับไอ้นัย ไอ้นัยถามคำก็ตอบคำ ไม่พูดมาก ไม่พูดต่อความยาวสาวความยืดเหมือนเก่า จนไอ้นัยแปลกใจ มิหนำซ้ำ ในตอนเที่ยง ไอ้ชัชยังแยกไปกินคนเดียวอีกด้วย

“อาการของไอ้ชัชน่าเป็นห่วงนะ” ไอ้นัยพูดเปรยๆ มองไอ้ชัชที่นั่งกินอยู่ที่โต๊ะไกลออกไป

“ฮื่อ” ผมตอบ

“อู เที่ยงนี้กูไปนั่งกินกับมันนะ ไม่อยากให้มันน้อยใจ” ไอ้นัยพูด มันคงอึดอัดใจเหมือนกัน ที่ต้องเป็นคนที่อยู่ระหว่างกลาง เพราะวางตัวลำบาก

“ฮื่อ” ผมตอบ

“เอ... กูว่ามึงก็น่าเป็นห่วงไม่น้อยกว่ามันเลยนะ” ไอ้นัยพูด มองด้วยสีหน้าที่แปลกใจ “มึงเป็นไรไปวะ”

“เปล่า” ผมตอบ “มึงไปกินกับมันเถอะไป”

สัปดาห์นั้นทั้งสัปดาห์ ผมเงียบไปมาก ที่เงียบเพราะมีความในใจ คิดยังไงก็คิดไม่ตก วันหนึ่งอยากไป อีกวันอยากอยู่ บางวันก็คิดมาก บางวันก็ไม่อยากคิดอะไร ที่บ้านของผมก็เงียบ เอ๊ดก็เงียบ เวลานั่งเรียน ครูสอนก็เหมือนลมที่โชยผ่านหู ผมไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย จนครูเองก็เริ่มเป็นห่วงผม ไอ้นัยเองก็พยายามรักษาน้ำใจทั้งไอ้ชัชและผม บางวันก็ไปกินกับไอ้ชัช บางวันก็มานั่งกินกับผม

วันศุกร์ของสัปดาห์นั้น ผมตัดสินใจบอกกับไอ้นัย

“นัย กูคงไม่ได้ไปเรียนกับมึงแล้วนะ” ผมพูด

ไอ้นัยทำหน้าแปลกใจ เพราะมันคิดอยู่เสมอมาว่ายังไงเสียผมก็ต้องหาทางไปให้ได้ เพราะผมเคยบอกมันไว้เช่นนั้นเสมอ

“...” ไอ้นัยเงียบ ไม่พูดอะไร

ผมเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มันฟัง

“ไม่อยากดิ้นรนอะไรแล้วว่ะ อยู่นี่ก็ดีเหมือนกัน อยู่เป็นเพื่อนไอ้ชัชมัน อีกอย่าง ถึงอยากไปก็ไม่รู้จะทำไง”

ไอ้นัยนั่งฟังเรื่องของผมเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ผมเองอยากจะถามมันเหมือนกัน ว่ามันอยากให้ผมไปเรียนกับมันหรือไม่ แต่แล้วก็ไม่ได้ถาม

- - -

ต้นเดือนกุมภาพันธ์

ใกล้สอบไล่เข้ามาทุกทีแล้ว ตอนนั้นสอบไล่ประมาณวันที่ ๒๐ กว่าๆ สอบประมาณ ๓ วัน สอบเสร็จก็สิ้นเดือนกุมภาพันธ์พอดี

เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ สำหรับผมกับไอ้นัย แม้จะสอบเข้าโรงเรียนใหม่ได้แล้วก็จริง แต่ยังมีขั้นตอนเกี่ยวกับการรายงานตัว และขั้นตอนเอกสารที่ยังต้องดำเนินการต่อไปอีก ผมจำได้ว่าต้องไปรายงานตัวภายใน ๒ สัปดาห์หลังประกาศผลอย่างเป็นทางการ การเพิกเฉยไม่ทำอะไร ก็เท่ากับเป็นการสละสิทธิ์ ทางโรงเรียนจะคัดเลือกตัวสำรองมาเข้าเรียนแทน โอกาสของผมเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนกำลังใจนั้น ไม่ต้องพูดถึง มันหมดไปแล้ว

บรรยากาศเดือนกุมภาพันธ์ของนักเรียนชั้น ป.๖ ค่อนข้างคึกคัก เพราะสำหรับหลายๆคนที่จะไปเรียนต่อ ม.๑ ที่อื่น เดือนนั้นก็จะเป็นเดือนสุดท้ายที่จะได้เรียนด้วยกัน ดังนั้นเดือนนี้จึงเป็นเดือนแห่งการเซ็นสมุดเฟรนด์ชิป ในห้องของผมนักเรียนที่จะย้ายไปเรียนที่อื่นมีถึงเกือบครึ่งห้อง แต่สำหรับโรงเรียนที่ผมสอบได้นั้น ในห้องมีเพียงไอ้นัยกับผมสองคนเท่านั้น

นักเรียนทุกคนจะมีสมุดเฟรนด์ชิป บางคนก็เล่มใหญ่ บางคนก็เล่มเล็ก สมุดเฟรนด์ชิปในสมัยนั้นส่วนใหญ่จะทำปกอย่างสวยงาม ข้างในจะเป็นกระดาษสี พิมพ์รูปจางๆเอาไว้ เวลาเขียนจะได้ไม่รบกวนสายตา ภาพที่พิมพ์ในเล่มก็มักจะเกี่ยวกับมิตรภาพ บางเล่มก็จะมีโคลงกลอน หรือข้อความที่เกี่ยวกับมิตรภาพ ประกอบไว้ด้วย บางเล่มก็เป็นภาษาไทย บางเล่มก็เป็นภาษาอังกฤษ

การแลกกันเขียนสมุดเฟรนด์ชิปเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใช้เวลา เพราะนอกจากแลกกันเขียนแล้ว ยังต้องแลกกันอ่าน เพราะแต่ละคนยังชอบดูสมุดเฟรนด์ชิปของคนอื่นด้วย ดังนั้น ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์ จึงเป็นเดือนที่วุ่นวาย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความประทับใจ บรรยากาศแม้จะอบอวลไปด้วยมิตรภาพ แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ของการพรากจาก

“เฮ้ย ไอ้อู ตกลงมึงจะเรียนที่ไหนกันแน่วะ” เพื่อน ๆ หลายคนที่จะเรียนต่อที่เดิมพากันถามเมื่อได้อ่านสมุดเฟรนด์ชิปที่ผมเขียนให้ เพราะในนั้นมีข้อความบอกเป็นนัยๆว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันต่อไปอีก เพราะว่าก่อนหน้านั้นผมไม่ได้บอกใครเลย มีไอ้นัยคนเดียวเท่านั้นที่รู้ ส่วนไอ้ชัชจะรู้หรือเปล่าผมไม่แน่ใจ ถ้าจะรู้ก็คงรู้จากไอ้นัย แต่ถึงไอ้นัยจะนั่งกินข้าวกับไอ้ชัชบ้าง พยายามเอาใจมันบ้าง แต่ก็ไม่เห็นไอ้ชัชจะพูดกับไอ้นัยสักเท่าไร ผมคิดว่าไอ้ชัชมันคงโกรธผม ก็เลยพลอยโกรธไอ้นัยไปด้วย

“ก็คงแถวๆนี้แหละ” ผมตอบอย่างไว้เชิง เพราะการที่สอบได้แล้วไม่มีปัญญาไป เป็นเรื่องที่เสียหน้ามาก และไม่ค่อยจะปรากฏ สู้สอบไม่ได้เสียยังน่าอับอายน้อยกว่า

“มึงโง่หรือมึงบ้าวะเนี่ย สอบได้แล้วไม่เอา” ไอ้เชียรถามตรง

“ที่บ้านไม่ให้ไปโว้ย” ผมพยายามอธิบาย นึกว่าเหตุผลเข้าท่าแล้วเชียว

“โห งั้นต้องถามใหม่ ว่าที่บ้านมึงโง่หรือบ้าวะเนี่ย ลูกสอบได้แล้วไม่ให้ไป” ไอ้เชียรพูดอีก

หลังจากนั้น เพื่อนทั้งห้องก็เป็นอันรู้กันว่าผมจะไม่ไปไหน เหตุผลก็คือ ที่บ้านไม่สนับสนุน ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก ส่วนใหญ่ก็ว่าผมน่าสงสารและเสียดายโอกาสแทนผม หลายคนก็บอกว่าที่บ้านผมนี่คิดแปลกๆ สงสัยจะอยู่หลังเขา ก็วิจารณ์กันแบบเด็กละครับ คิดอะไรก็พูดตรงๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องรักษาน้ำใจกันเท่าไรนัก

- - -

วันตอนบ่ายวันเดียวกันนั้น ผมยื่นสมุดเฟรนด์ชิปให้ไอ้ชัช

“ชัช เขียนให้หน่อยนะ” ผมพูด ผมเห็นมันชะงักไป ก็กลัวว่ามันจะไม่ยอมเขียนให้ “กูรู้ว่ามึงเกลียดกู แต่อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน เขียนให้กูหน่อยละกัน”

ถ้ามันเขียนสมุดเฟรนด์ชิปให้ผม ก็แสดงว่ามันคงยอมให้อภัยผมบ้าง ผมคงจะรู้สึกสบายใจขึ้น

ไอ้ชัชรับสมุดมาแล้วก็พยักหน้า แล้วเก็บเอาไว้ ผมรู้สึกดีใจ คิดว่ามันคงเอาไว้เขียนตอนกลางคืน

คืนวันนั้น ขณะที่ผมนั่งอยู่คนเดียวที่หน้าตึก ผมมานั่งดูหนังสืออยู่นอกห้องดูทีวี เพราะอยากอยู่เงียบๆคนเดียว ช่วงนั้นยังหนาวอยู่ ยุงจึงมีน้อยมาก ทำให้นั่งได้สบายๆ

ไอ้ชัชเดินมาหาผม พร้อมกับเอาสมุดเฟรนด์ชิปมาคืนให้

“ไหน เขียนว่าไงบ้าง” ผมรับสมุดคืนมา พร้อมทั้งพลิกหาดูหน้าที่ไอ้ชัชเขียน

“ไม่มีนี่หว่า” ผมบอกมัน หลังจากพลิกสมุดทุกหน้าก็ยังไม่พบลายมือของมัน ผมเข้าใจแล้ว ไอ้ชัชไม่อยากเขียนให้ผม แต่มันคงอยากอ่านข้อความที่คนอื่นเขียนให้ผม ในนั้นมีข้อความของบางคนที่เขียนเรื่องผมไม่ได้ไปเรียนต่อด้วย แต่เขียนแบบกัดๆ ฮาๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายความรู้สึกของผม

“ไม่รู้จะเขียนอะไรอ่ะ” ไอ้ชัชพูด เสียงมันเนือยๆ ไม่ค่อยแฝงความกระตือรือร้นเหมือนแต่ก่อน

“แปลว่ามึงยังโกรธกู” ผมสรุป

“ถามอะไรหน่อยดิ” ไอ้ชัชพูด ว่าแล้วก็นั่งลงที่ข้างๆตัวผม “มึงไม่ไปเพราะอะไรกันแน่”

“ก็ป๋าไม่เห็นด้วยนี่” ผมพูด

“แค่นั้นจริงๆเหรอ” ไอ้ชัชถามซ้ำอีก พลางมองหน้าผม เหมือนกับจะค้นหาเอาความจริง

“มันก็ไม่เชิง มันท้อด้วย อะไรด้วย หลายๆอย่าง” ผมตอบ

“ไอ้โกหก” ไอ้ชัชพูด “เวลามึงโกหก เด็กมันยังดูออกเลย กูรู้ว่ายังมีอีก”

มันก็เป็นเรื่องแปลก ที่ไอ้นัยกับไอ้ชัชมักจะอ่านความในใจของผมออกเสมอ แต่ผมเองกลับอ่านความในใจของมันสองคนไม่ค่อยออก ในที่สุด ผมก็บอกความจริงที่ไม่ต้องการบอกกับมัน ที่ไม่อยากบอกก็เพราะว่าเขินครับ

“กูคิดจะอยู่เป็นเพื่อนมึงด้วยอ่ะ คือ... กูคงทำไม่ดีกับมึงไว้เยอะ กูอยากชดเชยให้มึงบ้างน่ะ”

ไอ้ชัชเงียบไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เรานั่งกันเงียบๆอยู่นาน รู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยตึงเครียด มันไม่เหมือนคนที่โกรธกัน แต่คล้ายกับเมื่อก่อนตอนที่เราสนิทกัน แล้วมานั่งคุยกันสองคน ชื่นชมบรรยากาศในฤดูหนาวกันมากกว่า ในความเงียบ ผมคิดย้อนไปถึงวันเวลาที่เราผ่านมาด้วยกัน ผมอยากกลับไปอยู่ในวันเก่าๆเหล่านั้นอีก

ในที่สุด ไอ้ชัชก็ทำลายความเงียบขึ้น

“ถ้ามึงจะอยู่เพราะกู ก็ไม่ต้องหรอกนะ มึงไปเถอะ กูดูแลตัวเองได้”

9 comments:

Anonymous said...

นึกว่าจะจบตอนป.6 ที่ตอน80เสียอีก

Arus

Anonymous said...

อ่านมาตลอด เห็นเขียนบ้าง ไม่เขียนบ้าง

แต่ช่วงนี้กำลังเข้มข้นเลยครับ น่าติดตาม

กำลังสนุก ช่วยมาเขียนบ่อยๆจนจบป 6เลยนะครับ

อยากรู้ว่าจะคลี่คลายยังไง

Anonymous said...

อ่านแล้วน้ำตาท่วมจอ T_____________T


น่ารักจังเลยอ่าาาาาาา ทั้งอู ชัช นัย เลย

Anonymous said...

เดิมก็ว่าตอน ๘๐ น่าจะจบ แต่จบไม่ลงครับ คงเลยไปอีกหน่อย

ไม่อยากเล่าข้ามๆครับ เพราะชีวิตในช่วงนี้มันก็คือชีวิตในวัยเด็กของใครๆอีกหลายยคนด้วย มีทุกข์ มีสุข และที่สำคัญคือ มันมีผลต่อการก้าวเข้าไปสู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ด้วย ว่าจะเล่าข้ามไปบ้างก็เสียดาย ข้ามไม่ลง หวังว่าคงไม่ติว่ายาวไปนะครับ

อู

Anonymous said...

น่ารักดีนะครับ หวัดดีปีใหม่ด้วยนะครับ เพ่งได้ติดตามงานของอูเมื่อว่านนี้เอง 4/1/2008 วันนี้เพ่งผ่าตัดเสร็จมาก้อมาอ่านต่อนะครับ ผมก้อชายล้วนเหมื่อนกันครับ เป็นร.ร.ประจำจังหวัด แต่ไม่ได้เป็น ร.ร.ประจำนะครับ ปีใหม่นี้ขอให้นายมีความสุขมาก ๆ นะครับ ร่วมถึงนัย กับ ชัช ด้วยนะค๊าฟ บะบายงับ on2106@msn.com

Anonymous said...

อย่าข้ามเลยพี่อู อย่างงี้แหละ น่าอ่าน น่าติดตาม

shoPr

Anonymous said...

หวัดดีปีใหม่ค้าบคุณอู :) ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ ทั้งคนเขียนและคนอ่านเลย ;)

ไม่มีใครติว่ายาวไปหรอกครับ จะบอกให้เขียนยาวๆด้วยซ้ำไป อย่าข้ามเหตุการณ์หรือเขียนย่อจนเกินไปเลยครับ เพราะบางครั้งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี่หล่ะ มาประกอบกันทำให้การกระทำและความรู้รู้สึกต่างๆมันมีเหตุผลและความหมายขึ้นมา ... นอกจากนั้นมันยังทำให้เรื่องราวต่างๆสมบูรณ์ขึ้นด้วยนะ :)

อย่างนึงที่อยากบอกคืออูนี่ความจำดีมากๆๆเลยนะครับ ผมเนี่ย เรื่องราวตอนประถมกลับจำไม่ได้ดีแบบนี้ สงสัยจะเพราะชีวิตตอนนั้นผ่านไปเรื่อยๆแบบเด็กๆ ไม่มีอะไรหวือหวา(หรือติดเรท อิอิ)แบบอู ก็เล่นๆบ้าๆบอๆแบบเด็กๆอ่ะ

ยังเป็นกำลังใจให้ทุกคนทั้งอู ชัช และนัย นะครับ .... อยากให้เขียนต่อจนถึงปัจจุบันจังเลยยยยย ไม่รู้จะเป็นไปได้รึเปล่าน้า ;)

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับอู
สาฟ้าแลบจริงๆผมไม่ได้เปิดเนทแค่ 2วันเอง
ผ่านไป7 commnts แล้ว
ถึงตอนนี้แล้วขอหยุดทายเหตุการณ์ดีกว่า
ขออ่านเรื่องตามความเป็นจริงดีกว่า
อูเล่าแบบละเอียดดีแล้วครับ
อย่าย่อเลย ความจะได้สมบูรณ์
ผมยังเป็นกำลังใจให้อูเหมือนเดิมนะครับ
ด้วยความขอขคุณสุดซื้ง สำหรับเรื่องดี ๆ เช่นนี้
ทำให้ผมรักอู รักนัย รักชัช โดยเฉพาะชัช
ผมเห็นใจมากครับสงสารด้วย
เหตุการณ์จะเป็นยังงัยขอรออ่านต่อไปนะครับ

KTB

Anonymous said...

ใช่ครับ
ไม่ได้เข้ามาหลายวัน เข้ามาอีกทีได้อ่านสามตอนเลยครับ หุหุหุ ขอบคุณมากๆครับอูและสวัสดีปีใหม่ด้วยนะครับ อ่านตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายเยอะครับไม่ต้องได้ลุ้นดี มีเรื่องลุ้นอยู่เรื่องเดียวคืออูจะได้ไปเรียนต่อกับนัยหรือป่าว ถ้าไม่ได้ไปเสียดายโอกาสเเทนอูจริงๆครับยังงัยก้อเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ ขออย่างเดียวอย่าให้เรื่องนี้จบเลยนะครับ จะได้อ่านไปนานๆ ครับ
คิดถึงนะครับ
กร ครับ