Sunday, December 2, 2007

ตอนที่ 70

“ไอ้นัย มึงสอบติดแล้วนะ” ผมตะโกนบอกไอ้นัย ไอ้นัยเองพยักหน้าเป็นทีว่าเห็นแล้ว ผมเห็นมันยิ้มแป้น ใบหน้าฉายแววแห่งความยินดีออกมา ขณะนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้ชั่วคราว ผมไม่ได้เห็นไอ้นัยยิ้มกว้างแบบนี้มานานแล้ว มันทั้งร่าเริง สดใส และเป็นธรรมชาติ มันทำให้ผมนึกถึงความสุขในช่วง ป. ๕ ที่ผ่านมา ผมพยายามมองหน้าที่เปี่ยมด้วยความยินดีของไอ้นัยเอาไว้ พยายามเก็บภาพนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ... เหมือนกับรู้ว่าต่อไปผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้อีก

“อู คิดไรอยู่ หลบให้คนอื่นเขาดูบ้างดิ” เสียงไอ้นัยเรียกผม ทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์ ผมยืนคาอยู่ที่หน้าบอร์ดตั้งนาน มัวแต่มองไอ้นัยเพลินไปจนลืมไปว่าผมกำลังบังใครอีกหลายๆคนที่กำลังหารายชื่อของตนเองอยู่

ผมกับไอ้นัยถอยออกมาจากหน้าบอร์ด ปล่อยให้คนอื่นๆได้ตรวจหารายชื่อกันบ้าง ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตว่าเด็กนักเรียนที่มาออกันดูผลสอบนั้นมีกิริยาอาการต่างๆกัน บางคนก็ยินดีจนออกนอกหน้า บางคนก็เฉยๆ บางคนก็แสดงอาการเศร้าสร้อยออกมาจนเห็นได้ชัด ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น บางคนเศร้ากันทั้งเด็กและผู้ปกครอง การสอบเข้าชั้น ม.๑ ในยุคนั้นก็มีความหมายมากเหมือนกันครับ เพราะว่าหลายๆโรงเรียนมีเพียงแค่ประถม ๖ ถ้าใครเรียนจบแล้วไม่มีที่เรียนต่อก็ต้องเคว้ง วิ่งหาโรงเรียนกันให้วุ่น ต่างจากโรงเรียนที่มีชั้นมัธยมด้วย เพราะหากใครสอบเข้า ม.๑ ที่อื่นไม่ได้ ถึงอย่างไรก็สามารถเรียนต่อที่เดิมได้

คนที่สอบเข้าไม่ได้ในรอบแรก ต่อไปจะมีการจัดโรงเรียนให้รอบสอง คือเป็นการรวบรวมที่ว่างจากโรงเรียนต่างๆหลังจากการสอบรอบแรก ว่าโรงเรียนใดยังรับได้อีกเท่าไร แล้วก็จัดสรรให้แก่นักเรียนที่สอบเข้าที่ไหนไม่ได้ บางคนก็ได้รับจัดสรรโรงเรียนไกลบ้าน บางคนก็ได้โรงเรียนที่ผู้ปกครองไม่ค่อยพอใจนัก พูดง่ายๆก็คือ ได้โรงเรียนที่คิดว่าไม่ค่อยดี พวกนี้ในที่สุดก็อาจต้องไปเข้าโรงเรียนเอกชน เพราะไม่ถูกใจโรงเรียนที่ตนเองได้รับจัดสรรให้

วันนั้นเองที่ผมได้เริ่มเรียนรู้ความโหดร้ายของชีวิตจริง ในวัยเด็ก ชีวิตของผมมีแต่ความราบรื่น เรียน เล่น ชีวิตอยู่แต่ในโรงเรียนประจำที่มีการดูแลอย่างดี แต่ที่นี่ ผมได้เห็นถึงการแก่งแย่ง ความสำเร็จ และความล้มเหลว ซึ่งในที่สุดผมก็คงหนีวังวนเหล่านี้ไม่พ้นเช่นกัน

เมื่อเดินห่างออกมาจากบอร์ด คุณอาของไอ้นัยก็เดินเข้ามาสมทบ ใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงออกถึงความยินดี คุณอาเห็นกิริยาของไอ้นัยก็คงเดาได้ว่าผลการสอบเป็นอย่างไร คุณเอาเอามือลูบหัวไอ้นัยด้วยความเอ็นดู

“เก่งมากนะนัย นี่แหละ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น” อาผู้ชายพูด

ไอ้นัยยิ้มแป้น หน้าบาน ส่วนผมเองรู้สึกอิจฉาเล็กๆ เพราะพ่อของผมไม่เคยแสดงความรู้สึกชื่นชมยินดีในความสำเร็จของผมแบบนี้มาก่อน นี่ถ้าพ่อผมรู้ พ่อคงไม่ยินดีแบบอาของไอ้นัย และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้น อาจไม่ยอมให้ผมย้ายโรงเรียนก็ได้

“อู เป็นไรไปน่ะ ตกลงสอบได้หรือไม่ได้ ทำไมเดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวซึม” อาผู้ชายหันมาทักผมบ้าง

ผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความคิดอีกครั้งหนึ่ง

“สอบได้ครับ” ผมตอบ

“แล้วทำไมดูซึมๆล่ะ คิดอะไรอยู่” อาผู้ชายถามอีก

“เอ้อ...” ผมตอบแล้วก็หยุด “คือผมสงสารคนที่สอบไม่ได้น่ะครับ แล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าป๋าจะให้เรียนต่อที่นี่ไหม”

“ขี้สงสารจริงเรานี่” อาผู้ชายพูด “ชีวิตคือการต่อสู้นะอู มันก็ต้องมีคนสมหวัง และมีคนผิดหวัง ส่วนเรื่องป๋าน่ะ ลองค่อยๆคุยดู แล้วอาจะลองช่วยพูดให้อีกแรง”

ที่จริงอาผู้ชายก็ไม่ได้สนิทกับพ่อของผมเท่าไรนัก แต่เนื่องจากผมสนิทกับไอ้นัย และมีเรื่องต้องพึ่งคุณอาอยู่เสมอ ทั้งสองคนเลยมีโอกาสได้คุยกันบ้าง และพ่อผมก็ให้ความเกรงใจอาของไอ้นัยอยู่ไม่น้อย

ขั้นตอนต่อไปหลังจากการประกาศผลสอบในวันนี้ก็คือ สัปดาห์หน้าเราต้องมาสอบสัมภาษณ์ เมื่อสอบสัมภาษณ์ผ่านจึงจะถือว่าสอบเข้าเรียนต่อผ่านโดยสมบูรณ์ เรายังเหลืออีกด่านหนึ่ง แต่อาผู้ชายบอกว่าการสอบสัมภาษณ์นี้ไม่น่ากลัวนัก ส่วนใหญ่จะผ่านกันหมด ยกเว้นพวกที่ผิดปกติจริงๆ

“ผิดปกตินี่คืออะไรครับ” ไอ้นัยถาม

“ก็... อย่างเช่นสติไม่ดี คุยไม่รู้เรื่องมั้ง” อาผู้ชายตอบ

“สติไม่ดีแล้วจะสอบข้อเขียนผ่านได้ยังไง” ไอ้นัยย้อน แล้วหัวเราะ มันคงไม่ได้หวังคำตอบอะไรจริงจังนัก

หลังจากดูผลสอบเสร็จ คุณอาก็ขับรถกลับมาที่หอเพื่อมาส่งผม ตลอดทางที่เรานั่งรถกลับ ไอ้นัยคุยอย่างร่าเริงไปตลอดทาง วันนี้เป็นวันที่มันพูดมากที่สุดนับตั้งแต่เรารู้จักกันมา ผมเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

เมื่อกลับมาถึงหอ ตอนนั้นคุณอากับไอ้นัยกลับไปแล้ว ไอ้ชัชก็ปราดเข้ามาหาผม

“เฮ้ย มึงกับไอ้นัยสอบได้เหรอ” ไอ้ชัชทัก

“รู้ได้ไงวะเนี่ย กูยังไม่ได้บอกมึงเลย” ผมถามด้วยความงุนงง

“เซ่อจริง มึงนี่” ไอ้ชัชด่า “ก็คนในหอไปดูผลสอบกันตั้งหลายคน มันก็เอามาบอกน่ะสิ”

จริงสินะ ผมก็ลืมไป ตอนที่ไปดูผลสอบนั้นจำได้ว่าเห็นเพื่อนๆในชั้น ป.๖ บางคน แต่เป็นเด็กห้องอื่น ตอนนั้นบรรยากาศตอนดูผลสอบค่อนข้างชุลมุนวุ่นวาย ก็เลยไม่ได้คุยกัน แต่เด็กที่อยู่ในหอนั้นผมไม่เห็นเลยสักคน ไม่รู้ว่าหลงหูหลงตาไปได้อย่างไร

“ยังเหลืออีกด่านหนึ่ง ต้องสอบสัมภาษณ์อีก ถ้าผ่านถึงจะได้เรียน” ผมตอบ

ไอ้ชัชอ้าปากหวอ “นี่มึงจะไปสอบสัมภาษณ์ด้วยเหรอ”

“อ้าว” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายงงบ้าง “แล้วทำไมกูจะไม่สอบล่ะ”

“ก็ป๋าไม่ให้มึงย้ายโรงเรียน มึงจะไปสอบทำไม” ไอ้ชัชว่า มันก็เรียกพ่อผมว่าป๋าตามผม

“ก็กูอยากย้ายโรงเรียนอ่ะ”

คราวนี้ไอ้ชัชอึ้งไป

“นี่มึงเอาจริงเหรอ กูนึกว่ามึงจะสอบเล่นๆเพื่อแข่งกับคนอื่นๆเท่านั้น”

ก็อย่างที่เคยเล่าเอาไว้ ว่าการสอบเข้า ม.๑ ในยุคนั้นค่อนข้างมีความหมายทีเดียว เพราะเป็นค่านิยม ใครที่สอบเข้าได้โรงเรียนดังๆ ถือว่าโก้ และเก่ง รุ่นผมนั้น ป.๖ ทั้งระดับ มีคนสอบเข้าได้โรงเรียนเดียวกับผมเพียงไม่กี่คน ห้องผมนั้นมีเพียงผมกับไอ้นัยสองคนเท่านั้นที่สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในชีวิตวัยเด็กของผม เพราะว่าผมแค่ซื้อหนังสือมาอ่าน ไม่ได้ไปติวที่ไหน ก็ยังสอบได้ ในขณะที่อีกหลายๆคนเสียเงินติวไปตั้งมาก แต่ก็ยังสอบไม่ได้

“ตอนแรกก็ว่าจะสอบเล่นๆหรอก แต่ในเมื่อมันติด จะทิ้งไปก็เสียดายอ่ะ” ผมว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ ใครสอบเข้าได้โรงเรียนนี้แล้วไม่เอา สงสัยคงเพี้ยน ตอนแรกผมไม่ค่อยมีความหวังเท่าไร เผื่อใจเอาไว้เลย แต่ก็พยายามเต็มที่ พอได้มาแล้วกลับกลายเป็นทุกขลาภ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ไอ้ชัชฟังแล้วก็หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วกูล่ะ” ไอ้ชัชพูด

“มึง? ทำไมเหรอ” ผมถาม ตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของมัน

“ตกลงมึงจะทิ้งกูไปเหรอ” ไอ้ชัชถามตรง

“แล้วจะให้กูทำยังไงล่ะ ก็มันสอบได้นี่นา” ผมตอบ ฟังดูกำปั้นทุบดินอยู่เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากจริงๆครับ คิดแต่เพียงว่า ในเมื่อไอ้นัยสอบติด และผมสอบติด ถึงอย่างไรผมก็ต้องไป ลืมนึกไปว่าไอ้ชัชจะคิดและรู้สึกอย่างไร

ไอ้ชัชทำตาแดงๆ คล้ายจะร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องออกมา

“ไม่ไปไม่ได้เหรอวะ” ไอ้ชัชถาม น้ำเสียงเศร้าสร้อย

“สอบติดแล้วไม่เอา มีอย่างที่ไหนวะ” ผมตอบแบบข้างๆคูๆ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันครับ เพราะว่าคาดไม่ถึงว่าจะเจอปัญหานี้

4 comments:

U Nakrub said...

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรื่องใต้สะดือครับ เพราะว่ามันเป็นไปตามจังหวะของชีวิต ช่วงก่อนมีโอกาส แต่ช่วง ป.๖ เทอมปลาย มีเรื่องราวต่างๆเข้ามาในชีวิตมาก เลยหาโอกาสมีอะไรกับไอ้นัยได้ค่อนข้างยาก เพราะกลางวันหาโอกาสยาก แต่กับไอ้ชัชก็มีบ้างตอนดึกๆ ว่าวกันตอนอาบน้ำก็ยังมี ถือว่าเป็นเรื่องตามปกติ เลยข้ามๆไปบ้าง ไม่ได้เล่าครับ

Anonymous said...

พูดตรงๆเลยนะถ้ามีเพื่อนอย่าง อูเนี่ย
ผมเลิกคบไปแล้ว
ไม่มีความรู้สึกดีๆกับเพื่อนที่ไม่ใช่นัยเลย

ตอนที่ผมอยู่ป.6เนี่ยแล้วต้อแยกย้ายไปเรียนกันที่อื่น
แทบจไม่มีใครอยากย้ายไปเลย แต่ก็ต้องย้ายกัน เพราะไม่มีม.1ต่อ
แต่เกือบทุกคนนี่แทบจะร้องได้เพระไม่ได้เรียนที่เดียวกันทุกคน
บางคนไปคนเดียวก้สงสาร ร้องไห้กันไม่หยุด เป็นภาพที่ซึ้งมากไ
จนถึงวันนี้เพื่อนสมัยประถมเกือบทั้งรุ่นก็ยังคบกันอยุ่เป็นเวลาเกือบ20ปีแล้ว

Anonymous said...

ไม่รู้ว่าการสอบติดของอู จะเป็นผลร้ายหรือผลดี แต่ที่แน่ๆ รู้สึกสงสารไอ้ชัชจริงๆครับ เป็นผมผมก้อคงมีความรู้สึกอย่างชัชเหมือนกันเพราะว่า เพื่อนที่เคยนอนด้วยกันเล่นด้วยกันอยู่ๆก้อจะจากไปเรียนที่อื่นรู้สึกใจหายเหมือนกันครับ แต่มันก้อคงเป็นแค่ช่วงหนึ่งนะครับผมว่าพอผ่านพ้นไปอะไรๆก้อคงเป็นปกติเหมือนเดิม
คิดถึงครับ
กร ครับ

Anonymous said...

ขอบคุณค่ะสำหรับบทความดีๆ