Tuesday, October 2, 2007

ตอนที่ 62

“ไอ้นัย ไปซื้อของกันดีกว่า” เสียงไอ้ชัชเรียก ไอ้ชัชได้รับมอบหมายจากหัวหน้าห้องให้ดูแลเรื่องการประดับตกแต่งห้องเรียน มันก็เลยต้องไปซื้อพวกสายรุ้ง ระย้า ตุ้ม หมวกปีใหม่ เป็นหมวกกระดาษทรงแหลมๆน่ะครับ มาตกแต่ง งบประมาณก็ลงขันเฉลี่ยกันทั้งห้อง ครูประจำชั้นก็ช่วยออกด้วยส่วนหนึ่ง

จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นบัดดี้ของไอ้ชิดเสียที แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ผมก็ทำดีที่สุดแล้ว (มั้ง) ส่วนบัดดี้ของไอ้สองตัวนั่นเป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าถามมันมันก็ไม่บอก จะดูว่ามันดีกับใครเป็นพิเศษก็ไม่เห็นมี

“ไปดิ” ไอ้นัยตอบ มันเองก็ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเด็กรับใช้ทั่วไป ช่วยคนโน้นนิด ช่วยคนนี้หน่อย

ว่าแล้วทั้งสองคนก็พากันเดินออกไปซื้อของที่ร้านค้านอกโรงเรียน ผมชักฉุนที่ไอ้ชัชไม่ชวนผม ปกติมันมีอะไรก็มักชวนผมเสมอ แต่วันนี้ไม่

เพิ่งเดินออกไปพ้นห้องเรียน ไอ้ชัชกับไอ้นัยก็ย้อนกลับมาอีก ไอ้ชัชเข้ามาถามผม

“กูจะซื้อของขวัญจับฉลากมาด้วย มึงจะฝากซื้อไหม”

ตอนนั้นของขวัญจับฉลากกำหนดกันไว้ว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่า ๕๐ บาท เงิน ๕๐ บาทกับเด็ก ป.๖ สมัยนั้นก็ถือว่าไม่มากไม่น้อย ถึงจะไม่ได้ของอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก แต่ก็พอสนุกๆ เช่น สมุดเฟรนชิป กรอบรูปเล็กๆ ฯลฯ

ดูมันทำสิครับ แทนที่จะชวนผมไปเลือกซื้อด้วยกัน มันกลับถามว่าผมจะเอาอะไรแล้วจะไปกับไอ้นัยกันสองคน

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูไปเลือกซื้อเอง” ผมตอบ พยายามทำเสียงให้ปกติ แต่ตอนนั้นเคืองมาก

“อยากเดินเมื่อยก็ตามใจ” ไอ้ชัชพูด ว่าแล้วก็เดินไปกับไอ้นัย

มันหายกันไปชั่วโมงกว่าสองชั่วโมง แล้วก็กลับมาพร้อมกับของพะรุงพะรัง นอกจากของแต่งห้องแล้วยังมีน้ำหวานกับถุงขนมติดมือไอ้นัยมาด้วย สมัยก่อนตอนเด็กๆน้ำหวานยังไม่ได้ใส่เป็นถ้วยกระดาษหรือถ้วยพลาสติกแบบสมัยนี้ มีแต่พวกโค้ก เป๊ปซี่ ตระกูลน้ำอัดลมต่างๆที่กดจากเครื่องเท่านั้นที่ใช้ถ้วย หากเป็นน้ำหวานหรือน้ำอัดลมที่เทจากขวดก็จะใช้ถุงพลาสติกแล้วก็เอาหนังยางมัดปากถุง ปักหลอดลงไป แล้วก็หิ้วไปดูดไป

“โห มีขนมด้วย กินไม่แบ่งเลยนะมึง” ผมพูดกับไอ้นัย แกล้งหน้าชื่นไปยังงั้นแหละครับ พยายามเก็บอารมณ์อย่างเต็มที่

“ไอ้ชัชมันเลี้ยงอ่ะ ดูดิ ของเต็มเลย” ไอ้นัยบอกด้วยเสียงอู้อี้พราะขนมยังเต็มปากอยู่ พลางชูถุงขนมให้ผมดูชัดๆ

ผมฉุนกึกขึ้นมาทันที ความไม่พอใจในครั้งนี้เอาไปรวมกับครั้งที่แล้วที่มันไปมีอะไรกันสองคนโดยไม่บอกผม เหมือนกับเงินต้นทบดอกเบี้ย มันทำให้ผมรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ไอ้นัย มาช่วยกูแต่งห้องเร็วๆ เดี๋ยวไม่ทัน” ไอ้ชัชเรียกพร้อมทั้งดึงตัวไอ้นัยไปช่วยแต่งห้อง “อ้อ ไอ้อู มาช่วยกูหน่อยดิ”

ไอ้ชัชเรียกผม เฮอะ ในที่สุดมันก็เรียกให้ผมไปช่วย แต่ช้าไปแล้วครับ ตอนนั้นเคืองมันทั้งคู่ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เคืองไอ้ชัชมากกว่า

“ไม่ว่างโว้ย” ผมตอบเสียงขุ่นๆ

“ไม่ว่างอะไรกัน เห็นมึงนั่งซื่อบื้ออยู่ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย มาช่วยกันหน่อยเร็ว”

ไอ้ชัชพูดพลางเข้ามาดึงมือผม ถึงตอนนั้นจะงอนก็งอนไม่ออกแล้ว เพราะถ้าไม่ช่วยมันหรือพาลใส่มัน ผมก็ดูจะเป็นฝ่ายขาดเหตุผล ก็เลยฝืนใจช่วยมันไปก่อน แต่ก็ทำไปแบบแกนๆ

“โฮ้ย ชักช้าจริงไอ้อู” ไอ้ชัชบ่นผมเมื่อเรียกให้หยิบนั่นหยิบนี่แล้วผมทำช้าๆ ก็คนมันไม่เต็มใจทำนี่ครับ อีกทั้งกำลังเคืองด้วย ก็เลยใจลอยนิดหน่อยพำราะเอาแต่โมโห

“มาๆๆ ไอ้นัยช่วยกูแขวนระย้าหน่อย” ไอ้ชัชเรียกไอ้นัยแทน พลางบ่นผมอุบอิบ

ในที่สุดก็กลายเป็นว่าไอ้นัยเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของไอ้ชัชไป วันนี้มันเอางานเอาการดีครับ ที่จริงปกติมันก็เอางานเอาการอยู่แล้ว ถ้าได้รับมอบหมายอะไรก็มักทำงานเต็มที่ แม้ปกติจะดูขี้เล่นไม่มีสาระก็ตาม

มันเรียกใช้ไอ้นัยไม่หยุดปาก เดี๋ยวก็นั่น เดี๋ยวก็นี่ ไม่สนใจผมอีกเลย มันยิ่งทำให้ผมขุ่นเคืองใจหนักยิ่งขึ้น แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้

บ่ายวันนั้น เราตกแต่งห้องและเตรียมงานปีใหม่กันจนเย็น ทุกคนสนุกสนานเฮฮากับการเตรียมงาน ยกเว้นผม

- - -

วันรุ่งขึ้น ...

และแล้ว วันที่พวกเรารอคอยกันก็มาถึง วันงานปีใหม่ ที่จริงปีใหม่ปีนี้เป็นงานที่มีความหมายเป็นพิเศษสำหรับเด็ก ป.๖ เพราะมันอาจเป็นการฉลองปีใหม่ครั้งสุดท้ายกับเพื่อนๆ ณ โรงเรียนแห่งนี้ เนื่องจากบางคนอาจต้องไปเรียนต่อที่อื่น และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นก็คือมันเป็นวันหายนะของเราทั้งสามคน เหตุการณ์ในวันนั้นยังสร้างรอยแผลเป็นอยู่ในหัวใจและวิญญาณของผมจนถึงทุกวันนี้...

ตั้งแต่เมื่อบ่าย ตอนกลางคืนวันวาน ตลอดมาจนถึงวันนี้ ผมพูดกับไอ้ชัชน้อยมาก มันถามคำหนึ่งผมก็ตอบคำหนึ่ง ไอ้ชัชเองก็รู้สึกผิดสังเกตและพยายามถามผม แต่ผมก็บอกว่าไม่มีอะไร จนมันขี้เกียจถาม ก็เลยปล่อยผมเงียบอยู่อย่างนั้น

เราไปถึงที่ห้องเรียนกันแต่เช้า พวกที่ดูแลเรื่องอาหารก็ไปรับอาหารเที่ยงที่สั่งเอาไว้แล้วจากแม่ค้าในโรงอาหาร ไอ้ชัชเอาหมวกปีใหม่มาแจกเพื่อนๆ คนที่มีกล้องก็เอากล้องมาถ่ายรูปกัน สมัยนั้นยังเป็นกล้องใช้ฟิล์มอยู่ ไม่ใช่กล้องดิจิตอลแบบปัจจุบัน ฟิล์มม้วนหนึ่งดูเหมือนจะ ๕๐ บาท ประมาณนี้แหละครับ กล้องที่เด็กๆใช้กันส่วนมากเป็นกล้องโกดัก เพราะเป็นกล้องราคาประหยัด แต่คุณภาพก็พอใช้ได้ ราคาไม่กี่ร้อยบาทเอง ถ้าเป็นกล้องดีหน่อยก็จะเป็นพวกโอลิมปัส ยี่ห้อนี้จะมีรุ่นอินสแตนต์ให้เลือกเยอะหน่อย มีอยู่คนหนึ่งเอากล้องโพลารอยด์มา ถ่ายปุ๊ป ภาพก็ไหลออกมาปั๊บ ทันใจดี

กล้องอินสแตนต์ที่ว่าคือกล้องที่ถ่ายได้เลย ไม่ต้องปรับโฟกัส เพราะว่าโฟกัสตายตัว ถ่ายไปก็ชัดทั้งภาพ ระบบออโตโฟกัสยังไม่รู้จัก คงยังไม่มีกระมังครับ เด็กๆก็ใช้ได้แค่กล้องอินสแตนต์แหละครับ กล้องที่ดีกว่านั้นบางบ้านก็มีใช้กัน แต่ผู้ใหญ่คงไม่ยอมให้เอามาเพราะว่าราคาแพง

4 comments:

Anonymous said...

ขอบคุณครับ ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตามครับ ว่าจะมีอะไรพิเศษหรือปล่าวครับ อย่าลืมมาต่อเร็วๆนะครับ
เป็นกำลังใจครับ
กร ครับ

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับอู ตอนนี้มาเร็วดี เป็นกำลังใจให้อีกเป็นสองเท่าเลยครับผม
ไม่ต้องไปหงุดหงิดกะไอ้ชัชเลยครับ รู้ป่าวไอ้ชัชมันจับชื่อได้เป็นบั๊ดดี้กะไอ้นัยงัยครับอูไม่รู้เหรอครับ
แล้วอยากรู้จังเลยว่านัยจับชื่อได้เป็ยบั๊ดดีของใคร
อูไม่ต้องซีเรียสนะครับแค่งานปีใหม่วันเดียวปล่อยไอ้ชัชไปวันนึงก้อแล้วกันครับ
หลังวันปีใหม่อูก้อสนิทกะนัยเหมือนเดิมชวนกันไปโม๊กในห้องน้ำก้อได้นี่ ไม่ต้องชวนไอ้ชัชมัน เพราะไอ้ชัชมันของตายประจำหออยู่แล้วครับ 55555
ให้กำลังใจอูต่อไปนะครับ ผมรอตอนต่อไปครับ
KTB

Anonymous said...

หูย ...

รู้ได้งัยว่าไอ้ชัชจับได้ไอ้นัย ... เก่งจัง

ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับ ไม่ทันเฉลียวใจ แต่ว่าเรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น

ไอ้ชัชไปกับไอ้นัยสองคน มันมีลับลมคมนัยอีกเรื่องที่ไม่บอกผม แม้ผมเองก็นึกไม่ถึงมาก่อนครับ

อู

Anonymous said...

กล้องถายรูปแบบนี้ เรียกกันว่า กล้องปัญญาอ่อน เพราะปรับอะไรไม่ได้ ถ่ายได้อย่างเดียว