Sunday, July 29, 2007

ตอนที่ 49

ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจะเป็นของใหม่ ต่อจากที่หยุดเขียนไปเมื่อปีก่อนครับ

เด็กก็คือเด็ก ใจค่อนข้างเปิดกว้าง ยอมรับสิ่งใหม่ๆได้ง่าย ดังนั้นเพียงใช้เวลานาน พวกเราก็รับนักเรียนโค่งอย่างไอ้ชิดได้อย่างไม่เคอะเขิน พูดจากูมึงกับมันเหมือนเป็นเพื่อนอายุไล่เลี่ยกัน ไอ้ชิดนี่แม้มันวางตัวเป็นหัวโจก แต่ก็ไม่ค่อยเกเรครับ ไม่รังแกเพื่อนในห้อง ใครยกมันเป็นลูกพี่มันก็รับ ใครไม่สนใจมันมันก็ไม่ว่าอะไร เรียกว่ากลุ่มใครกลุ่มมัน

การเรียนของไอ้ชิดไม่ค่อยดีนัก แม้อายุจะเยอะแล้วแต่ดูเหมือนไม่ค่อยมีความรู้อะไรเท่าไร เรียนอะไรก็ไม่ค่อยจำ ครูต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่เรื่อย ประวัติของมันไม่ค่อยมีใครรู้ครับ เพราะว่ามันไม่ค่อยเล่า ไม่รู้ว่าจะลับอะไรนักหนา แต่ที่มันเคยหลุดๆเล่าออกมาก็มี อย่างเช่น มันเล่าว่าเคยชกมวยมาก่อน ตอนอายุประมาณ ๑๔ อยู่ค่ายมวยอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าเป็นต่างจังหวัด มิน่าล่ะ หุ่นถึงได้หนา บึกบึน

เนื่องจากไอ้ชิดนั่งห่างจากพวกผม แต่นั่งใกล้กับไอ้พงษ์ ดังนั้นมันจึงไปสนิทกับไอ้พงษ์มากกว่า อีกทั้งอายุก็ห่างกันไม่มากนักด้วย กลุ่มของไอ้ชิด ไอ้พงษ์ก็มีอยู่ด้วยกันประมาณสี่ห้าคน

เนื่องจาก ป. ๖ เทอมปลาย เป็นชั้นปีสุดท้ายของระดับประถม เทอมนี้จึงเป็นเทอมที่แตกต่างจากเทอมอื่นๆที่ผ่านมา จากชีวิตที่เคยมีความสุขกับการเรียนและการเล่น ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนอะไร (ยกเว้นเรื่องผลการเรียน สำหรับคนที่ผลการเรียนไม่ค่อยดี) กลายเป็นชีวิตที่สับสน แสวงหา และแข่งขัน มันเหมือนกับว่าผ่านไปเพียงเทอมเดียวพวกเรากลับโตขึ้นอีกเยอะเลย

ไอ้นัยจากเดิมที่เอาแต่ยิ้มอารมณ์ดีทั้งวัน กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้น เพราะมุติวกับดูหนังสืออย่างหนัก ไรหนวดเขียวที่ริมฝีปากของมันยิ่งทำให้หน้ามันดูเข้มและขรึมยิ่งขึ้นไปอีก แต่มองไปอีกทีก็น่ารักไปอีกแบบครับ แต่ก่อนน่ารักแบบเด็กๆ เดี๋ยวนี้น่ารักแบบวัยรุ่นหล่อๆ

เมื่อเห็นไอ้นัยมุมานะเอาจริง ผมเองก็ต้องเอาจริงตามไปด้วย เพราะตอนนั้นติดไอ้นัยมาก คิดแต่ว่าอยากได้เรียนที่เดียวกับมันต่อไป ถ้าผมไม่เอาจริง เกิดมันสอบเข้า ม.๑ ได้ที่โรงเรียนอื่นแล้วผมสอบไม่ได้ ผมก็คงไม่มีโอกาสเจอมันอีกเลยตลอด ม. ปลาย ทั้ง ๖ ปี ตอนนั้นผมเองก็รู้สึกกดดันเหมือนกันนะครับ ไม่ได้กดดันเพราะตั้งเป้าหมายเรื่องเรียนไว้เหมือนอย่างไอ้นัยหรือคนอื่นๆ แต่กดดันเพราะผมอยากอยู่ใกล้ชิดกับไอ้นัยต่อไปให้ได้ แต่ถึงสาเหตุแตกต่างกัน แต่เป้าหมายก็คืออย่างเดียวกัน หน้าตาผมจะเคร่งเครียดอย่างหรือไม่ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะสังเกตตัวเองมันดูไม่ค่อยออก

ส่วนไอ้ชัชนั้น เทอมนั้นผมเองก็สังเกตเห็นมันซึมๆ เครียดๆไปเหมือนกัน แม้มันไม่ได้มีแผนการจะไปเรียนต่อที่อื่นก็ตาม ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจกับการเปลี่ยนแปลงของมันเท่าไรนัก เพราะเทอมนั้นส่วนใหญ่ก็เอาเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังกันเกือบทุกคน ดังนั้นจึงคิดเอาเองว่าถึงไอ้ชัชมันจะหน้าเครียดๆบ้างก็ไม่เห็นจะผิดปกติอะไร

ส่วนพวกที่ไม่เห็นจะเครียดอะไรกับชีวิตเลย ดูเหมือนจะมีอยู่กลุ่มเดียว นั่นคือกลุ่มของไอ้ชิด ไอ้พงษ์ เพราะสองรายนั้นเพิ่งเข้ามาใหม่ ตอน ป.๖ แสดงว่าคงคิดเรียนต่อ ม.๑ ที่นี่ วันๆก็เอะอะเฮฮาไปตามเรื่อง

ตอนนั้นเรื่องการจับจู๋กันเล่นตอนพักเที่ยง โดยเฉพาะจับของไอ้นัย ตอน ป.๖ เทอมปลายไม่มีแล้ว เพราะที่ทางไม่สะดวก ไม่ค่อยลับตาแล้ว แถวนั้นมีพวกเด็กประถมอื่นๆมาเล่นกันมากขึ้น อีกทั้งตอนพักเที่ยงหลายๆคนก็มักหลบไปนั่งท่องหนังสือกัน เพราะจะต้องสอบคัดเลือกเข้า ม.๑ ประมาณเดือนธันวาคม ซึ่งก็เหลืออีกเพียงเดือนกว่าๆเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี ดอไอ้นัยก็ยังถือเป็นของสาธารณะสำหรับเพื่อนๆเช่นเดิม เพราะใครอยากจะจับของมันเล่นมันก็เฉยๆ ยอมให้จับแต่โดยดี แต่ผมเองสิครับ หลังๆชักรู้สึกไม่ค่อยพอใจไอ้นัยเท่าไร

“ไอ้นัย ทำไมมึงถึงยอมให้ใครต่อใครจับควยมึงได้ตามสบายวะ” ผมถามมันในตอนพักเที่ยงของวันหนึ่ง หลังจากที่มันโดนเพื่อนคนหนึ่งจับเป้ากางเกงเล่น แต่แค่จับข้างนอก ไม่ได้ล้วงอะไรออกมา

ไอ้นัยทำหน้าเหรอหรา นึกไม่ถึงว่าผมจะถามคำถามแบบนี้

“ไม่รู้ดิ มันก็จับกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่หว่า มึงก็ด้วยแหละ แล้วยังมาถามอีก” ไอ้นัยตอบ ทำหน้ากวนๆ เวลามันยิ้ม ไรหนวดเขียวๆของมันยิ่งทำให้มันดูหล่อยิ่งขึ้น ผมเห็นแล้วยิ่งไม่พอใจ

“ต่อไปมึงอย่าทำแบบนี้อีกได้ป่าว” ผมพูดเสียงแข็ง

“ทำแบบไหน” ไอ้นัยถามพร้อมแกล้งทำหน้าเซ่อ

ผมตบหัวมันไปทีนึง “อย่าให้ใครจับควยมึงอีก ได้ป่าว”

“รวมทั้งมึงด้วยเหรอ” แน่ะ ตอนนั้นผมซีเรียส มันยังทำทะเล้นอีก

“ไอ้เปรต ไม่ใช่โว้ย” ผมชักฉุน ที่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่จะพูดกับมันตรงๆก็พูดไม่ออก “กูหมายถึงกูไม่ชอบน่ะ ไม่อยากให้มึงทำอีก”

“แน้ ตอบไม่ตรงคำถาม มึงเป็นไรเหรอไอ้อู” คราวนี้ไอ้นัยทำหน้าสงสัย ชักเกิดสงสัยขึ้นมาจริงๆว่าผมจะพูดเรื่องนี้ทำไมกัน

“เอ้อ ... คือ ... กู ... อ้า...” ผมอึกอัก “เอาน่า เอาเป็นว่ากูขอละกัน”

“แล้วไอ้ชัชล่ะ จับได้ป่าว” ไอ้นัยยังไม่หายสงสัย

“เอ้อ .. ไอ้ชัช เอ้อ ... โฮ้ย มึงจะซักหาอะไรกันวะไอ้นัย” ผมไม่รู้จะตอบยังไง เลยทำเนียนโวยเอาเสียเลย

คราวนี้ไอ้นัยมองหน้าผม จ้องตาผมเลย พร้อมกับถาม “มึงหวงเหรอ ไอ้อู”

ผมเจอคำถามนี้เข้าถึงกับอึ้งเลย เพราะมันจี้ใจดำ ใช่ครับ ตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าอยากเป็นเจ้าของไอ้นัยเอาไว้คนเดียว ไม่อยากแบ่งความรู้สึกนี้ให้กับคนอื่น ... แม้แต่กับไอ้ชัช ... แต่มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างเลือนราง จับต้นชนปลายไม่ถูก จนบางครั้งผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่

คราวนี้ผมเองกลับเป็นฝ่ายที่ต้องถอย เพราะไม่สามารถตอบคำถามของมันได้ ต้องหลบสายตามันและเสไปพูดเรื่องอื่นเพื่อกลบเกลื่อนแทน เริ่มรู้สึกเหมือนกันว่าไอ้นัยเองก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่อะไรก็ได้ ยอมเพื่อนๆทุกอย่าง กลับกลายเป็นคนที่รุกคนอื่นเป็น

7 comments:

Anonymous said...

ผมมาคอยอ่านตอนใหม่ของคุณ อู ทุกวันวันนี้โชคดีจังที่ได้อ่านตอนที่ 49 ต่อ รีบมาต่อเร็วๆ นะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ มาลงทีละหลายๆตอนไม่ได้หรอครับ อยากอ่านอ่ะครับ
คิดถึงคุณอู นะครับ
กรครับ

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับ สำหรับอนที่ 49
ความรู้สึกของอู ตอนนี้เริ่มพัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ถึงขั้น "หวง"เห็นใครมายุ่งกับ นัย จะรู้สึกไม่พอใจขวางหูขวางตาไปหมด พาลให้ไม่พอใจกับ นัย มันด้วย พฤติกรรมของการเป็นเกย์ชอบผู้ชาย เริ่มเห็นชัดขึ้น เกิดความรักความหวงชัดขึ้น
ส่วน "นัย" นั้นในใจของนัยนั้นตอนนี้ เราไม่ทราบว่า
ได้มีการพัฒนาความเป็นเกย์ชอบผู้ชายขึ้นแล้วหรือยัง
เพราะทั่วๆไปเราก้อยังเห็น นัย ทำตัวปกติกับคนอื่นทั่ว ๆ ไป เหมือนเดิม เลยดูไม่ออก
เพราะเรื่อง(U's story) อู เป็นผู้เล่าเรืองเอง
เพราะฉะนั้นความในใจของ นัย จริงๆ นั้น อูก้อยังไม่รู้
เลยบอกไม่ได้ว่านัยมันเริ่มชอบผู้ชายด้วยกันแล้วยัง
โดยทั่ว ๆ ไปขณะนี้เราผู้อ่านก้อยังไม่รู้ว่า จริง ๆ นัย
เริ่มเป็นเกย์แล้วยัง เพราะพฤติกรรมของการชักว่าวกับเพื่อน และการเอากันกับอูและชัช มันก้อเป็นกานทดลองสนุกๆ ในฐานะเพื่อนกันมากกว่า แต่พฤติกรรมการจูบปากกัน อู ก้อเป็นคนเริ่ม นัยมันก้ออึ้งเหมือนกัน
แต่ก้อเล่นไปด้วย นี่เป็นเรื่องรายที่ออกมาจากปากของอู ผู้เล่า
ผมผู้อ่านก้ออยากจะรู้เหมือนการว่าตอนนี้ นัย รู้สึกอย่างไร กับเรื่องของการเป็นกย์ชอบผู้ชาย แต่ก้อมีหลักฐานโผล่มานิด ที่ถามอูว่า "มึงหวงเหรอ" แต่แค่นี้ก้อยังบอกไม่ได้ว่า นัย มัน คิดรักอูแล้ว
ไม่เป็นรัยคับผมจะรอดูเรืองในตอนต่อ ๆ ไปครับ
แต่อย่างไรก้อตามผมก้อเอาใจช่วยอู นะครับ ขอให้
ความรักของอูกับ นัย เป็นจริงนะครับ
จะรอดูต่อไปครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่งที่น่าติดตามอ่าน เป็นเรืองราวที่น่ารักของเด็ก ๆ จากไร้เดียงสาแล้วค่อยๆพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ สนุก และน่ารักมาก
ชอบมากครับ
เป็นกำลังใจให้อูนะครับ
ขอบคุณครับผม
รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ หุหุหุ
สนุกมากเรื่องในวัยเด็กนี่

Anonymous said...

ลืมแจ้งไปครับ comment ที่ 2 ของผมเองครับ
KTB ผมเข้ามา comment โดยไม่ระบุชื่อมาหลายครั้งแล้ว ตอนแรกก้อระบุชื่อ แต่ตอนหลังเข้า comment ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ระบุชื่อเข้าได้
ผมก้อเลยใช้มาเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าผมจะใช้ไม่ระบุชื่อเป็นคนแรกครับ
ผมอยากให้ผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาอ่านช่วย comment เป็นกำลังใจให้คุณ อู ด้วยครับ ถ้าเข้าไม่ได้ก้อใช้ comment แบบไม่ระบุชื่อก้อได้ เมื่ออ่านเรื่องแล้วขอสละเวลาสักนิด comment ให้หน่อย คุณอูจะได้มีกำลังใจเข้ามาโพสต์ให้เราอ่านงัยครับ
ผม KTB ครับ

Anonymous said...

อูยยยยยยย อุตส่าห์ลุ้นง่ะคุณอู ว่าจะได้หลุดบอกรักกันสักทีมั้ย ดันเฉออกไปเรื่องอื่นจนได้ ชิส์ๆๆ T-T

ผมว่านะคับ ตานัยในสมัยนั้นรู้ทุกอย่างแล้วแหละคับเพียงแต่ไม่พูดออกมาแค่นั้นเอง ผมว่าหลังจากตานัยได้อ่านหนังสือ ได้รู้จักเรื่องเกย์ คงได้ข้อมูลเก็บไว้เยอะอยู่นะคับ อุอุ ^o^

เข้ามาทักทายคุณอูคับพ้ม ^^

Anonymous said...

อูยยยยยยย อุตส่าห์ลุ้นง่ะคุณอู ว่าจะได้หลุดบอกรักกันสักทีมั้ย ดันเฉออกไปเรื่องอื่นจนได้ ชิส์ๆๆ T-T

ผมว่านะคับ ตานัยในสมัยนั้นรู้ทุกอย่างแล้วแหละคับเพียงแต่ไม่พูดออกมาแค่นั้นเอง ผมว่าหลังจากตานัยได้อ่านหนังสือ ได้รู้จักเรื่องเกย์ คงได้ข้อมูลเก็บไว้เยอะอยู่นะคับ อุอุ ^o^

เข้ามาทักทายคุณอูคับพ้ม ^^

Anonymous said...

กรำ โทดทีคับ กดส่งพลาด กลายเป็นซ้ำไป T T

Anonymous said...

รออ่านมาปีนึง สมใจครับ


เป็นกำลัีงใจให้นะครับ