Sunday, July 1, 2007

ตอนที่ 43

หลังจากสอบปลายภาคหนึ่งเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงวันที่พวกเราทุกคนในห้องจะต้องแยกย้ายจากกันชั่วคราวเป็นเวลาประมาณเกือบ ๑ เดือน พวกนักเรียนประจำก็ทยอยถูกผู้ปกครองรับกลับบ้านเหมือนเช่นทุกเทอม

เมื่อผมหวนคิดดู ปีที่แล้ว เวลาประมาณตอนนี้แหละ ที่ไอ้ชัชผมแอบพาไอ้นัยเข้ามาเล่นในหอนักเรียนประจำ และที่นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและเรื่องราวทั้งหลายแหล่

มาปีนี้ เมื่อปิดเทอมภาคหนึ่งแล้ว พวกเราตกลงกันว่าน่าจะไปเที่ยวที่บ้านของใครสักคน ซึ่งก็ไม่ใช่บ้านของใครที่ไหน บ้านต่างจังหวัดของผมนั่นเอง เพราะว่าสะดวกมากที่สุด บ้านพ่อแม่ของไอ้นัยอยู่ไหนก็ไม่รู้ มันพยายามไม่พูดถึง ก็เลยตัดออกไป ส่วนบ้านของไอ้ชัชก็ไม่ค่อยสะดวกนักเพราะเป็นตึกแถวทำการค้า ไม่ค่อยจะมีที่เที่ยวที่เล่น ก็ตัดออกไป มีบ้านผมนี่แหละที่ทุกคนติดใจ เพราะเป็นชนบท ที่เล่นเยอะ และที่สำคัญที่สุดมีโลกส่วนตัวของพวกเราสามคนอยู่ที่ท้ายสวนด้วย

แต่แล้วก็เกิดความไม่สะดวกเนื่องจากไอ้นัยต้องเรียนกวดวิชา ถ้าไปเที่ยวที่บ้านผมก็คงต้องขาดเรียนหลายวัน ก็เป็นอันว่าปิดเทอมนี้พวกเราคงไม่ไปได้ไปเที่ยวที่ไหนด้วยกัน แต่ตกลงกันไว้ว่าก่อนเปิดเทอมจะไปนอนค้างที่บ้านคุณอาไอ้นัยสักคืนหนึ่งหรือสองคืนแทน

ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายจากกัน ไอ้นัยได้ไปซื้อหนังสือกวดวิชาเข้า ม.๑ มาให้คนละเล่ม เนื่องจากมันมีติว แต่ผมกับไอ้ชัชไม่สามารถไปติวด้วยได้เพราะพ่อแม่ไม่สนับสนุน ก็เลยทำได้อย่างดีก็แค่ซื้อหนังสือกวดหรือติวเข้า ม.๑ มาดูแทน แม้การดูหนังสือเองจะมีโอกาสสอบเข้าได้น้อยก็ตามเพราะคงได้ความรู้สู้เด็กที่เรียนกวดวิชาไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เตรียมตัวอะไร

หนังสือตัวที่ไอ้นัยเอามาให้นั้น ผมกับไอ้ชัชฝากมันไปซื้อที่สะพานควาย ร้านธนบุรีการค้าไงครับ สมัยก่อนเป็นร้านขายเครื่องเขียนแบบเรียนที่ใหญ่ที่สุดในย่านสะพานควายไปจนถึงลาดพร้าว ใครจะหาอะไรก็ต้องไปที่นั่น ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว ยังมีอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้

หนังสือที่ไอ้นัยหามาให้เป็นหนังสือปกสีเขียวใบไม้ หนาพันกว่าหน้า ราคาจำไม่ได้แล้ว เป็นหนังสือที่หนาที่สุดในชีวิตตั้งแต่เรียนหนังสือเป็นตัวเป็นตนมาจน ป.๖ จำได้ว่าลองเอาไปหนุนหัวนอนจะให้มันซึมเข้าไปแต่ก็ต้องคอเคล็ดเพราะหนังสือหนากว่าหมอนมาก

ข้างในหนังสือก็เป็นการสรุปและมีโจทย์ในวิชาที่ต้องสอบหลายวิชา มีกี่วิชาผมก็ลืมๆไปแล้วละครับ แต่อย่างน้อยก็ภาษาไทย คณิตศาสตร์ สังคม ฯลฯ แล้วท้ายเล่มก็จะมีรวมข้อสอบเก่าๆที่เคยใช้สอบมาสำหรับเข้าโรงเรียน...ที่พวกเราสามคนต้องการจะสอบเข้า

ผมกับไอ้ชัชต่างก็หอบหนังสือเล่มยักษ์นั้นกลับบ้าน ไอ้ชัชมันเอาไปหนุนหัวนอนบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าปิดเทอมปีนั้นน่ะผมไม่มีความสุขเอาเลย เพราะเอาเป็นเอาตายกับหนังสือเล่มนั้นมาก ตั้งหน้าตั้งตาท่อง ท่อง และท่อง พยายามจำทุกอย่าง โดยเฉพาะแนวข้อสอบเก่าที่เคยออกมา เพราะหนังสือหนามาก กลัวจะอ่านไม่ทัน ดังนั้นผมตั้งเป้าว่าอย่างน้อยที่สุดปิดเทอมนี้ก็ต้องอ่านให้จบทั้งเล่ม เพราะเราจะสอบกันประมาณเดือนธันวาคม ปิดเทอมอ่านให้ได้สักรอบหนึ่ง แล้วเวลาส่วนที่เหลือหากทวนเพิ่มได้อีกก็ถือว่าได้กำไรไป

ปกติเมื่อกลับบ้านต่างจังหวัดจะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆก็เลิกหมด วันๆส่วนใหญ่ก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องชั้นบนของบ้าน จนเอ๊ดพี่ชายอดเป็นห่วงไม่ได้ มันชอบบ่นว่าสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับมันก็ไม่เอา ทำไมต้องถ่อไปสอบโรงเรียนไกลๆ พ่อแม่เองก็บ่นๆเหมือนกันว่าไหนบอกว่าจะสอบเล่นๆ ทำไมเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ผมก็แก้ตัวไปว่าเพื่อนๆในห้องหลายคนต่างก็จะสอบเข้าโรงเรียนนี้กัน ผมก็เลยจะสอบด้วยเพื่อวัดฝีมือกัน ถ้าไม่เอาจริงเมื่อแพ้มันก็จะอับอาย ก็แก้ตัวประมาณนี้แหละครับ ส่วนใครจะเชื่อหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ความจริงที่ถูกเก็บซ่อนภายอยู่ภายในก็คือผมต้องการเรียนที่เดียวกับไอ้นัยให้ได้ ดังนั้นยังไงก็ต้องขอให้สอบได้เอาไว้ก่อน ผมไม่ใช่คนเหลวไหลนะครับ มีความมานะพยายามพอสมควร แม้จะไม่มากนักก็ตาม

เนื่องจากปิดเทอมกลางค่อนข้างสั้น ดังนั้นเรื่องการเขียนจดหมายติดต่อกันก็เลยไม่ได้ทำ เพราะถึงเขียนส่งไป กว่าจะได้รับการตอบกลับก็คงเปิดเทอมพอดี ถ้ายังงั้นก็อย่าเขียนเสียดีกว่า

หลังจากท่องหนังสืออย่างหนัก ในที่สุดช่วงเวลาปิดเทอมก็ใกล้สิ้นสุดลง ปรากฏว่าผมท่องหนังสือจนจบเล่มไม่ทัน เหลือส่วนข้อสอบเข้าเก่าๆท้ายเล่มที่ยังไม่ได้อ่านเลย เอาวะ เอาไปท่องต่อที่กรุงเทพฯตอนเปิดเทอมก็ได้ ทุกคนในบ้านต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปีนั้นเป็นปีที่ผมทำตัวเรียบร้อยที่สุด ก็แน่ละสิครับ วันๆนั่งดูแต่หนังสือเล่มเขียว ไม่ทำอย่างอื่น มันก็ต้องเรียบร้อยอยู่แล้ว

ก่อนเปิดเทอมใหม่สามวัน พ่อก็พาผมไปส่งที่บ้านอาไอ้นัย ส่วนพ่อไอ้ชัชก็พามันมาส่งเช่นกัน ตอนนี้ชักคุ้นเคยกันแล้วครับ บรรดาผู้ปกครองของพวกเราต่างก็รู้หน้าที่เป็นอย่างดี อิอิ ทุกอย่างก็เลยกลายเป็นเรื่องง่าย ค้างสักสองคืน แล้วก็ให้คุณอาไอ้นัยพาผมกับไอ้ชัชไปส่งที่หอแทนผู้ปกครองก่อนเปิดเทอมหนึ่งวัน ซึ่งอาไอ้นัยก็ตกปากรับคำว่าจะจัดการให้

ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน ไอ้ชัช ไอ้นัย ต่างก็ยังอย่างเดิมละครับ ไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไรเหมือนเมื่อจากกันช่วงปิดเทอมปลาย แต่สิ่งที่แตกต่างกันออกไปบ้างก็คือช่วงปิดเทอมเราไว้ผมยาวได้ ตอนมานั้นยังไม่ได้ตัดผม เดี๋ยวก่อนเปิดเทอมพวกเราค่อยไปตัดร้านเดียวกับที่ไอ้นัยตัด

ไอ้นัยเมื่อไว้ผมยาวจนหวีเป๋ได้ หน้าตามันน่ารักมากเลย ไอ้ชัชก็ดูดีขึ้น จากที่ดูคล้ายลิงก็คล้ายคนมากขึ้นมาอีกหน่อย ส่วนผมน่ะเหรอ ไม่เอาครับ ไม่วิจารณ์ตัวเองดีกว่า หุหุ ทุเรศน้อยลงหน่อยมั้ง

ทุกอย่างก็จะคล้ายๆอย่างเดิมกับเมื่อตอนมาค้างที่บ้านไอ้นัยเมื่อคราวก่อน กล่าวคือ พอเวลาอยู่คุณอาอยู่บ้าน พวกเราก็จะเรียบร้อยปานผ้าพับไว้ จะมีหลุดๆซนออกมาบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อันนี้ต้องขอชมตัวเองว่าเล่นละครบทหน้าไหว้หลังหลอกได้ดีกันทุกคน รวมทั้งไอ้นัยเองด้วย แต่พออามันไม่อยู่ก็ออกลิงออกข้างกันเสียงลั่นบ้าน โดยเฉพาะไอ้ชัช แหกปากเสียงดังกว่าเพื่อน แต่ก็อย่างที่บอกแหละครับว่าเพื่อนบ้านติดกันไม่มี มีก็อยู่ไกลลิบๆ ดังนั้นเรื่องหนวกหูบ้านอื่นจึงไม่มีปัญหา และก็โชคดีเป็นของพวกเราที่อาไอ้นัยมักไม่ค่อยอยู่บ้านเสียด้วย

การไปเที่ยวบ้านไอ้นัยครั้งนั้น ตอนแรกผมไปในสภาพที่สติสตังค์ไม่ค่อยครบถ้วนนัก เพราะกำลังเมากับหนังสือเตรียมสอบเล่มเขียวอยู่ จนไอ้สองตัวนั่นทักว่าซึมไปเยอะ ส่วนไอ้ชัชนั้นเฮฮาเหมือนเดิม บอกว่าอ่านจบเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่ามันเอาจริงขนาดไหนและอ่านประสาอะไร ขนาดผมที่ปกติอ่านหนังสือเร็วกว่ามันยังอ่านไม่ทันเลย

ส่วนไอ้นัยก็ไปติวเข้มช่วงปิดเทอมเกือบทุกวัน แล้วก็ยังไม่จบดี พอเปิดเทอมแล้วยังต้องไปติวทุกวันเสาร์อีกหลายครั้ง สงสัยจะติวกันจนถึงสอบเลย ไอ้นัยได้ชีตติวมาค่อนข้างเยอะ ผมกับไอ้ชัชเลยขอแบ่งมันเอามาดูบ้าง สมัยนั้นเรื่องการถ่ายเอกสารนั้นเด็กๆไม่ใช้กันหรอกครับ เพราะค่าถ่ายยังแพงอยู่ ผมก็เลยใช้ยืมอ่านเอา


พอมาถึงบ้านไอ้นัยแล้วผมยังต้องปรับสภาพอีกพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะกลับกลายเป็นลิงได้ตามเดิม ลิงก็เป็นลิงวันยังค่ำ ในที่สุดพวกเราก็โยนหนังสือและเรื่องสอบทิ้งไป กลับมานั่งดูทีวี ฟังเพลง และเล่นเกมกันเหมือนเดิม

พวกเรามาถึงในตอนเช้า ตกบ่ายอาไอ้นัยออกไปแล้วครับ สงสัยทนดูพวกเราไม่ไหว อิอิ และแล้วโลกทั้งโลกก็กลับมาเป็นของพวกเราอีกครั้งหนึ่ง

“ไอ้นัย หนังสือพวกนั้นยังอยู่ไหม” ไอ้ชัชถามขึ้นเมื่อพวกเราอยู่กันพร้อมหน้าสามคนในห้องนอนของไอ้นัย เป็นคำถามที่ผมอยากจะถามไอ้นัยพอดี คงรู้นะครับว่าหมายถึงหนังสืออะไร

“อึ๊” ไอ้นัยส่ายหัวทำเสียงปฏิเสธ “เอาไปทิ้งคืนที่เดิมหมดแล้ว กลัวอามาเจอเข้าอ่ะ แล้วมันก็มีคนมาเก็บไปแล้วด้วย ตอนนี้ไม่มีแล้ว”

“น่าเสียดายจัง” ผมบ่น “อยากอ่านอีก”

1 comment:

Anonymous said...

สวัสดีครับผม

มาอ่านครั้งแรก อ่านทีเดียวรวดเดียว ปวดตาแทบตาย

อิอิอิ

แต่ชอบนะครับ นัยดูๆ ไปแล้วน่ารักดี

เนื้อเรื่องอึมครึมๆ บีบใจจังเลยครับ

แง้ๆ

อยากอ่านต่อเร็วๆ จังเลย