Monday, October 1, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 63


“พี่อู พี่อู พี่อูโว้ย” เสียงป้อมเรียกพร้อมกับเอาเท้ามาเขี่ยที่เท้าของผมทำให้ผมสะดุ้งตื่น

“เอ้อ มีอะไรเหรอป้อม เดี๋ยวนี้เอาตีนเขี่ยพี่เลยเหรอ” ผมทำเสียงดุทั้งๆที่ยังงัวเงีย

“ก็ป้อมเรียกตั้งหลายทีพี่อูก็ยังนั่งหลับ เลยต้องลงมือลงไม้” ป้อมพูดด้วยเสียงดุบ้าง แต่ถึงดุยังไงก็ยังเป็นเสียงงุ้งงิ้ง “จะมาสอนหนังสือหรือจะมานั่งหลับกันแน่”

“นี่พี่หลับไปเหรอ” ผมยังไม่หายงัวเงีย พยายามคิดทบทวนว่าเมื่อกี้ทำอะไรอยู่ “ไม่ได้หลับเสียหน่อย”

“หลับไปตั้งนาน ยังจะเถียงอีก” ป้อมเอาสองเท้าของป้อมมาหนีบเท้าของผมเอาไว้แล้วถูเล่น พร้อมกับมองหน้าผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่อูเหนื่อยเหรอ”

น้ำเสียงที่จริงจังพร้อมกับสายตาห่วงใยที่ป้อมจ้องดูผม ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมมานานแล้วนับแต่ตั้งผมกับบอยเริ่มเหินห่างกัน ผมรู้สึกแปลกใจตนเองที่ทำไมจู่ๆจึงเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งได้

“ฮื่อ เมื่อคืนพี่อดนอนนิดหน่อยน่ะ มีเรื่องต้องทำหลายอย่าง” ผมตอบ ที่จริงไม่ใช่เรื่องธุระสำคัญอะไรหรอก เพียงแต่พวกคนในหอมาใช้ห้องผมเป็นโรงหนังชั่วคราวและดูอยู่จนดึกเท่านั้นเอง

“งั้นพี่อูไปนอนที่โซฟาสักงีบก่อนไหม” ป้อมพูด สองเท้ายังถูเท้าของผมเล่นอยู่ เหมือนพี่น้องที่สนิทกันกำลังคุยเล่นกัน

“ไม่หรอก” ผมปฏิเสธ พร้อมทั้งพูดดักอย่างรู้ทัน “ทำยังงั้นได้ไง เฮอะ ป้อมจะหาโอกาสอู้ละสิ”

“ไม่อู้ พี่อูไปนอนก่อนไป เดี๋ยวป้อมนั่งทำการบ้านไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเป็นห่วง” ป้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีก ดูไม่คล้ายกับการปล่อยมุข “ป้อมอยากให้พี่อูพักบ้าง”

“แน่ใจนะ” ผมเริ่มคล้อยตาม ที่จริงก็ง่วงเต็มทน ข้อเสนอของป้อมเย้ายวนจนผมไม่อาจปฏิเสธได้

“ไว้ใจได้น่า” ป้อมรับรอง

“งั้นของีบสักสิบห้านาทีก็แล้วกัน เดี๋ยวครบเวลาแล้วถ้าพี่ไม่ตื่นก็ปลุกได้เลย” ผมกำชับ พร้อมกับยืดตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วย้ายไปนอนที่โซฟาแทน

- - -

“เฮ้ย ตายละ นี่มันสี่โมงกว่าแล้วนี่” ผมโวยวายกับป้อมหลังจากที่ตื่นขึ้นมาและดูนาฬิกาข้อมือ “พี่บอกให้ป้อมปลุกแล้วทำไมไม่ปลุก”

“พี่อูนอนยังกะหมู เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น ยังจะมาว่าป้อมอีก” ป้อมดุกลับ

“ไม่จริงหรอก” ผมไม่เชื่อ

“ถ้าพี่อูไม่เชื่อก็ไปส่องกระจกดูสิ” ป้อมพูดพลางทำหน้าเหมือนกับอมยิ้ม

“ส่องกระจกดูทำไมกัน” ผมงง

“ก็ไปส่องกระจกดูจะได้รู้ว่าพี่อูง่วงขนาดไหนไง” ป้อมอมยิ้มอีก

“ไม่เอา ไม่ต้องส่องหรอก พี่หายง่วงแล้ว” ผมพูด แต่ก็ยังอดบ่นป้อมไม่ได้ “ดีนะที่พ่อไม่มาเห็น ไม่งั้นพี่โดนหักเงินแน่”

“ป้อมอุตส่าห์หวังดี ปล่อยให้นอนสบายๆ ยังจะมาว่าป้อมอีก” ป้อมทำหน้าน้อยใจ “ไปผูกคอตายดีกว่า”

ผมได้คิด ที่ป้อมพูดมันก็จริง ป้อมหวังดีแต่ผมกลับเอาแต่ต่อว่าป้อม ผมไม่น่าจริงจังกับเรื่องนี้เกินไป

“อะ อะ พี่ขอโทษคร้าบ” ผมเดินไปโอบไหล่ป้อม “คุณชายพูดถูก พี่ไม่ควรต่อว่าคุณชายเลย”

ป้อมเอามือโอบแขนของผมเอาไว้ พลางเอียงหน้าซบท่อนแขนของผม เราอยู่ใกล้กันจนผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของป้อม ความอบอุ่นจากแก้มของป้อมแผ่ซ่านมาตามท่อนแขนของผมและค่อยๆลามไปสู่หัวใจ... ผมรู้สึกว่าภายในตัวของผมเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้น กางเกงที่ใส่อยู่ก็เริ่มอึดอัด...

ผมดึงแขนออกจากซอกแก้มของป้อม จากนั้นเอาสมุดของป้อมมานั่งตรวจดู ป้อมทำงานไปได้เยอะทีเดียว แสดงว่าไม่ได้อู้ตามที่ได้รับปากเอาไว้จริงๆ

“ดีมาก” ผมชมป้อม “วันนี้ทำได้เยอะแฮะ ต่อไปพี่ต้องหลบไปนอนอีกน่าจะดี ป้อมจะได้ทำงานเยอะๆ”

“เฮอะ นอนแล้วติดใจละสิ” ป้อมประชด

ผมหัวเราะ พลางปิดสมุดของป้อมลง

“พี่ต้องกลับแล้วละ เย็นแล้ว” ผมพูด พลางเก็บของลงในเป้

“พี่อู พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า” ป้อมถาม

“ก็ทำงานบ้าน ไม่มีอะไรพิเศษ” ผมตอบ

“งั้นตอนเช้าไปว่ายน้ำกัน แล้วสายๆไปดูหนัง” ป้อมชวน

“เอางั้นเหรอ” ผมพูดอย่างลังเล ผมไม่ได้ลังเลที่จะไปเที่ยวกับป้อม เพียงแต่ลังเลเรื่องการไปว่ายน้ำนิดหน่อย

“นะ นะ ไปนะพี่อู” ป้อมทำสีหน้าอ้อนสุดชีวิต

“ก็ได้ ไปสิ” ผมตอบตกลงอย่างง่ายดาย “จะดูหนังเรื่องอะไรล่ะ”

จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องหนังที่ป้อมอยากดู หลังจากตกลงเรื่องหนังและนัดเวลากัน ผมก็หิ้วเป้เตรียมกลับบ้าน

“ไปละ พรุ่งนี้เจอกัน” ผมอำลาป้อม

“เดี๋ยวก่อนพี่อู” ป้อมหัวเราะ เมื่อป้อมเห็นผมงงก็หัวเราะอีก “พี่อูไปส่องกระจกก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน”

ผมเอะใจ รีบเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจกทันที

ที่หน้ากระจกเงา ผมเห็นที่แก้มของผมมีรอยเย็บเป็นตัวตะขาบสีน้ำเงินยาวเฟื้อย รอยเย็บนี้ไม่ใช่รอยเย็บจริงๆแต่เป็นรอยสีเมจิก คนที่เขียนรอยนี้ลงบนหน้าผมจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้

“เฮ้ย มันมาได้ไง” ผมเอะอะ แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าใครทำ

“ฝีมือป้อมเองแหละ” ป้อมหัวเราะชอบใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “อยากเรียกแล้วไม่ตื่น ดูสิ เขียนขนาดนี้พี่อูยังไม่ตื่นเลย”

หากเป็นเมื่อก่อนผมคงโกรธ แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกขำไปด้วย ไม่ได้โกรธป้อมเลย เห็นสีหน้าที่แจ่มใสของป้อมแล้วทำให้โกรธไม่ลง

ผมเอาสบู่ล้างรอยตะขาบที่แก้มออก แต่สีเมจิกไม่ได้ล้างออกง่ายๆ ป้อมเอาสก็อตไบรต์ขัดอ่างมาช่วยถู

“บ๊องใหญ่แล้วป้อม” ผมดุ พลางเบือนหน้าหลบสก็อตไบรต์ “เอาไอ้นี่ถูหน้าพี่พังพอดี”

“สก็อตไบรต์พังละไม่ว่า” ป้อมหัวเราะอีก ดูป้อมอารมณ์ดีมากที่สามารถแกล้งผมได้

หลังจากล้างอยู่ชั่วครู่ รอยตะขาบบนใบหน้าก็จางลงไปบ้างแต่ก็ยังออกไม่หมด

“แล้วจะกลับบ้านยังไงวะเนี่ย” ผมเปรย “อายเค้าตายเลย”

“อยู่ค้างคืนที่นี่ก็ได้พี่อู” ป้อมชวน “ดีเสียอีก พรุ่งนี้รีบออกแต่เช้าได้เลย ไม่ต้องไปๆมาๆ”

ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในใจอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นข้อเสนอที่ผมคาดไม่ถึง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าป้อมให้ความสนิทสนมกับผมมากเพียงใด

“ไม่ได้หรอก ไม่ได้เอาชุดอะไรมาเลย พรุ่งนี้ใส่ชุดนี้อีกพอดีเน่า” ผมตอบ ที่จริงเรื่องชุดก็ปัญหาหนึ่ง แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือไม่รู้จะพูดกับพ่อแม่ของป้อมยังไงมากกว่า

ในที่สุดผมก็กลับบ้านทั้งๆที่มีรอยตะขาบสีเมจิกจางๆอยู่บนใบหน้า ตลอดทางที่กลับบ้าน หลายคนในรถเมล์มองผมอย่างขำๆ แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

- - -

การเที่ยวในสัปดาห์นั้นดูป้อมสนุกมาก ส่วนผมเองก็รู้สึกสนุกไปด้วยเช่นกัน เราปล่อยมุขใส่กันบ่อยๆ ยิ่งนานป้อมก็ยิ่งช่างพูด ย้อนหลังไปเมื่อหลายเดือนก่อน ป้อมในวันนี้กับป้อมเมื่อหลายเดือนก่อนแทบเป็นคนละคนกัน ส่วนผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าการวางตัวของตนเองเปลี่ยนไปเช่นกัน ยิ่งนานผมก็ยิ่งไม่เหมือนกับครูสอนพิเศษของป้อม แต่เหมือนกับเป็นพี่ชายหรือพี่เลี้ยงมากกว่า

“วันพุธนี้พี่อูมาใช่มั้ย” ป้อมพูดกับผมก่อนที่เราจะแยกย้ายกันกลับบ้านในตอนเย็น

ช่วงปิดเทอม บางครั้งผมก็มาติวให้ป้อมในระหว่างสัปดาห์ด้วย แรกๆก็ไม่ค่อยอยากไปนักเพราะว่าไกล แต่มาระยะหลังๆหากสัปดาห์ไหนไปสอนเพียงวันเดียวผมกลับรู้สึกเหงาๆเหมือนกับชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง

“พรุ่งนี้พี่จะกลับบ้าน” ผมตอบ “อาจจะอยู่บ้านหลายวันหน่อย คงมาอีกทีวันเสาร์มากกว่า”

“เหรอ” ป้อมดูหน้าจ๋อย “งั้นวันอาทิตย์หน้าเรามาดูหนังกันอีกนะ”

เรื่องวันพุธกับเรื่องวันอาทิตย์ดูไม่ค่อยจะเกี่ยวกันเท่าไร แต่ป้อมก็โยงเข้ามากี่ยวกันจนได้

“ได้ ไปสิ” ผมตามใจ ตอบตกลงในทันที

“เดี๋ยวนี้พี่อูพูดง่ายจัง” ป้อมหัวเราะ

หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับ ระหว่างที่รอรถเมล์ที่หน้ามาบุญครอง ผมคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่รู้แน่ว่าผมหมดหวังเรื่องบ้านแล้วผมก็เซ็งไปมาก อุตส่าห์พยายามเดินหาบ้านที่ถูกใจจนรองเท้าสึก แต่แล้วก็ไม่มีเงินซื้อ ความพยายามที่สูญเปล่าบั่นทอนกำลังใจผมไปมาก ดีที่สองวันนี้ได้เจอป้อม ทำให้รู้สึกหายเซ็งไปได้ ยามอยู่กับป้อมทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อแยกจากกัน ผมก็กลับมาคิดเรื่องเดิมอย่างเซ็งๆอีก

คิดเรื่อยเปื่อยอยู่นานทีเดียว ตอนนั้นรู้สึกท้อ คิดว่าจะเลิกสนใจเรื่องบ้านแล้ว เอาไว้เรียนจบแล้วค่อยหาเงินซื้อบ้านเองก็ได้ แต่แล้วก็ทำใจไม่ได้ แม้ในยามที่แทบจะสิ้นหวังผมก็มักมีความหวังเหลืออยู่ใยหนึ่งเสมอ จะเรียกว่าหวังลมๆแล้วๆหรือรอปาฏิหาริย์ หรือจะเรียกอะไรก็ตามที แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องให้สิ้นหวังผมก็มักรู้สึกเช่นนี้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

ผมเกิดนึกอยากได้นิตยสารบ้านและที่ดินขึ้นมาอีก จึงแวะเข้าไปซื้อที่ร้านหนังสือข้างในมาบุญครอง แล้วซื้อมาอีกสองสามฉบับ

หลังจากที่กลับถึงหอพัก ผมก็เอานิตยสารฉบับเก่ากลับมาย้อนอ่านดูอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งฉบับใหม่ที่ซื้อมานี้ด้วย โดยในครั้งนี้ผมให้ความสนใจทาวน์เฮ้าส์เป็นพิเศษ ครั้งก่อนผมไม่ค่อยสนใจทาวน์เฮ้าส์นัก เพียงแค่อ่านผ่านๆ หลังที่ไปดูมาแล้วก็ดูแบบไม่ค่อยอยากได้ คือไหนๆผ่านไปแล้วก็ดูไปยังงั้นเอง เพราะใจอยากได้บ้านเดี่ยวมีรั้วรอบขอบชิดมากกว่า แต่เมื่อที่บ้านไม่มีกำลังพอ ผมก็หันมาสนใจทาวน์เฮ้าส์เพราะว่ามีราคาถูกกว่า บางที... ถ้าโชคดีก็อาจได้ทาวน์เฮ้าส์ที่ถูกใจและราคาไม่แพงสักหลัง บางทีพ่ออาจพอมีกำลังซื้อก็ได้

- - -

วันพุธ

ผมออกเดินทางเพื่อกลับบ้านต่างจังหวัดตั้งแต่เช้าตรู่ รถทัวร์วิ่งผ่านถนนเส้นเดิม... ถนนที่พาผมกลับสู่บ้านเกิด แม้จะเป็นเส้นทางเดิม แต่กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป เส้นทางกลับบ้านของผมในครั้งนี้สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สีซีดเพราะอมฝุ่นเอาไว้ ทุ่งนาสีน้ำตาลหลังเกี่ยวข้าว และผืนดินที่แห้งแล้งเพราะขาดน้ำ...

ขณะที่อยู่ในรถทัวร์ ขณะที่ดูทิวทัศน์สองข้างทาง ผมก็ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกล...

ผมไม่ได้กลับบ้านในวันจันทร์ตามที่ได้พูดไว้กับป้อม ทั้งนี้ เนื่องจากผมใช้เวลาในวันจันทร์กับอังคารเพื่อดูทาวน์เฮ้าส์มือสอง แน่นอน ผมต้องเดินจากปากทางลาดพร้าวยันซอยโชคชัยสี่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะนอกจากผมเดินดูบ้านตามประกาศในนิตยสารแล้วผมยังอาศัยการดูป้ายประกาศขายตามปากซอยและตามเสาไฟฟ้าในซอยด้วย คราวก่อนไม่ได้สนใจทาวน์เฮ้าส์อย่างจริจัง ครั้งนี้จึงต้องมาเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด

แสงแดดกลางหน้าร้อนร้อนอย่างสาหัส ผมรู้สึกว่าเพียงแค่สองวันที่ผมเดินตากแดด ผิวของผมคล้ำลงไปอีกมาก การเดินตระเวนดูทาวน์เฮ้าส์ในรอบนี้ได้ผลไม่ค่อยดีนัก ไม่มีที่ถูกใจมากๆเลยสักหลัง แต่ก็อาจเป็นเพราะว่าผมฝังใจกับการอยู่บ้านเดี่ยวก็ได้ จึงไม่ค่อยเปิดใจยอมรับทาวน์เฮ้าส์นัก แต่ที่พอกล้อมแกล้มรับได้ก็มีอยู่หลังหนึ่ง อยู่ในซอยภาวนา ราคาล้านต้นๆ แม้ว่าจะเก่าและดูยังแพงอยู่ แต่ก็ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก เดินไม่ไกลก็ถึงถนนใหญ่แล้ว น่าจะต่อรองราคาได้อีก แต่ก็มีตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างคือบ้านหลังนี้อยู่ในละแวกเดียวกับบ้านคุณลุงคุณป้า หากได้อยู่ที่นี่จริงสักวันคงต้องเดินปะกันที่หน้าปากซอยบ่อยๆเป็นแน่

ผมเดินลงจากรถประจำทางที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาสายแล้ว แสงแดดยามสายร้อนแรงราวกับตอนเที่ยง ผมสังเกตว่าปีนี้แถวบ้านของผมดูแห้งแล้งกว่าปกติ บรรยากาศที่แห้งแล้งดูแล้วเศร้าปนเหงา จู่ๆผมก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ผมเดินเข้าบ้านอย่างเงียบๆ ผ่านหน้าร้านที่เงียบเชียบไม่มีลูกค้า ทักทายกับลูกน้องของพ่อนิดหน่อย จากนั้นก็เดินเข้าสู่ชั้นใน วันนี้ผมเห็นพ่อนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน จึงแวะเข้าไปทัก

“ป๊า” ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง “อูกลับมาแล้ว”

“อ้อ อู” พ่อเงยหน้าจากกองบิลและเอกสารอื่นๆ “เป็นไงบ้างล่ะ”

“ปีนี้อากาศร้อนเหลือเกิน อูว่าบ้านเราร้อนกว่าทุกปีเลยนะ” ผมชวนคุย

“ป๊าก็ว่ายังงั้น ปีนี้แถวบ้านเราแล้งกว่าทุกปีจริงๆด้วย” พ่อเห็นด้วย

“เอ๊ดอยู่ไหมป๊า” ผมถามถึงเอ๊ด

“อยู่ข้างใน” พ่อตอบ “เข้าไปหาแม่สิ แม่บ่นถึงอูบ่อยๆว่าไม่ค่อยกลับบ้าน” พ่อพูดด้วยเสียงเรียบๆ ไม่มีน้ำเสียงต่อว่าหรือประชดประชันแต่อย่างใด

ผมออกจากห้องทำงานของพ่อและเดินเข้าไปในบ้าน เดินไปจนถึงห้องครัวจึงเห็นแม่และเอ๊ดอยู่ในนั้น แม่กำลังทำครัวส่วนเอ๊ดเป็นผู้ช่วย

“แม่” ผมทัก “เป็นไงบ้างเอ๊ด”

“อู” แม่ทำเสียงแปลกใจ “ทำไมมาเงียบยังงี้ละ”

“แล้วต้องให้ตีฆ้องมาก่อนเหรอแม่” ผมกวน

“ก็ทุกทีอูมาต้องเอะอะเอ็ดตะโร วันนี้มาเงียบๆ ไม่สบายหรือเปล่า” แม่รู้สึกผิดสังเกต

จริงสินะ แม่ไม่ทักผมก็แทบไม่ได้สังเกตตนเองเหมือนกัน ทุกครั้งที่ผมมมาผมมักเอะอะจริงๆด้วย

“ไม่มีอะไรหรอกแม่ อากาศร้อน อูเลยรู้สึกเนือยๆ” ผมอธิบาย พูดไปยังงั้นแหละ ที่จริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ผมจึงรู้สึกเนือย

“เห็นว่าช่วงนี้ดูบ้านเป็นการใหญ่เลยเหรอ” เอ๊ดทัก

“ฮื่อ” ผมตอบ “เนี่ย สองวันนี้ก็ไปดูมาอีก โคตรร้อนเลย เดินแล้วเหมือนจะละลาย”

“จะไปดูอีกให้เหนื่อยทำไม” แม่ถอนใจแล้วพูดเบาๆ “ก็บอกแล้วว่ายาก”

“แม่ ฟังอูก่อนสิ คราวนี้อูไปดูทาวน์เฮ้าส์มา ราคาประมาณล้านบาทต้นๆเอง” ผมพูด “อูรู้ว่าซื้อบ้านไม่ไหว เลยลองไปดูเป็นทาวน์เฮ้าส์แทน”

ผมเอาเป้ลงจากไหล่ จากนั้นดึงข้อมูลที่จดเอาไว้ออกมา เมื่อพูดถึงเรื่องบ้านผมก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“แม่ดูนี่สิ” ผมพูดพลางกางข้อมูลที่จดออกมาดู

“โอ๊ย แม่ทำครัวอยู่ ยังไม่ดูหรอก” แม่ปฏิเสธ มือกำลังง่วนอยู่กับการหั่นผัก

ผมจ๋อย ดูแม่ไม่ค่อยสนใจนัก ทั้งๆที่แม่เองก็เป็นคนที่เปรยเรื่องบ้านขึ้นมา เมื่อเห็นแม่ไม่สนใจผมก็รู้สึกท้อขึ้นมาอีก

“ไหนอู เอามาดูกันหน่อยสิ” เอ๊ดเรียกผม ผมรู้ดีว่าเอ๊ดทำเพื่อรักษากำลังใจของผม

ผมเอารายละเอียดของบ้านคุณอาคม และทาวน์เฮ้าส์ในซอยภาวนาให้เอ๊ดดู แล้วก็บรรยายรายละเอียดให้ฟังตามที่ได้ไปดูและคุยกับเจ้าของบ้านมา

“เอ๊ดได้งานหรือยัง” ผมถาม

“ได้แล้ว อยู่บางกระดีโน่น” เอ๊ดตอบ

“จังหวัดอะไรหว่า” ผมงง ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “จะไปเลี้ยงปลาเหรอ”

“บางกระดี อยู่ปทุมธานี ไม่ใช่ปลากระดี่” เอ๊ดหัวเราะ

“แล้วเริ่มงานเมื่อไร พักที่ไหนล่ะ” ผมอยากรู้

“เริ่มงานต้นเดือนพฤษภา คงต้องหาที่พักแถวโรงงาน” เอ๊ดตอบ “อยู่ใกล้โรงงานก็สะดวกหน่อย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง”

ผมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเราก็คุยกันต่อในเรื่องอื่นๆ

ผมพักอยู่ที่บ้านสามวันและเดินทางกลับในเย็นวันศุกร์ ผมมีโอกาสคุยกับพ่อและพูดเรื่องทาวน์เฮ้าส์ให้พ่อฟัง พ่อฟังแล้วก็เฉยๆ พ่อเฉยนี่ไม่แปลก แต่แม่ก็เฉยและเอ๊ดก็เฉยด้วยนี่สิ ที่ทำให้ผมหมดกำลังใจ

“แม่ อูไปละนะ” ผมลาแม่ก่อนจะออกจากบ้านในตอนหลังเที่ยงของวันศุกร์ หลังจากที่กินอาหารเที่ยงเสร็จ

“เมื่อไรจะมาอีกล่ะ” แม่ถาม “ช่วงนี้เอ๊ดได้อยู่บ้านนานหน่อย แต่ต่อไปทำงานแล้วก็คงไม่ค่อยได้กลับบ้าน”

น้ำเสียงของแม่ฟังแล้วใจหายนิดๆ ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ แม่คงรู้สึกเหงา ผมเข้าใจความเหงาดีเพราะว่ามันเป็นเพื่อนสนิทของผมมาแต่ไหนแต่ไร

“แม่” ผมพูด “แม่คุยกับป๊าเรื่องบ้านให้หน่อยสิ ทาวน์เฮ้าส์ก็ได้ เอ๊ดทำงานอยู่ที่ปทุมฯ ถ้ามีบ้านก็คงไปกลับได้ทุกวันหรืออย่างน้อยก็กลับเสาร์อาทิตย์ แม่เองก็อาจจะมาพักอยู่กับอูกับเอ๊ดได้บ่อยๆ มันน่าจะดีนะแม่”

“แล้วจะปล่อยป๊าอยู่บ้านคนเดียวได้ไง ทำยังงั้นไม่ได้หรอก” แม่พูดเฉไปเรื่องพ่อ เป็นยังงั้นไป แม่ห่วงนั่นพะวงนี่ โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี จนผมไม่รู้จะพูดยังไง ผมรู้สึกว่าการกลับบ้านในครั้งนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า

42 comments:

Anonymous said...

ได้เม้นท์คนแรกแว้ววววว.....

ใกล้สอบยังไงก็ต้องแวะมาอ่านเรื่องของอาก่อน ช่วงนี้ฝนตกๆรักษาสุขภาพกันด้วยนะคร้าบอาและทุกๆคนเลย...

ปล.น่าจะรวมตัวจัด meeting กันสักครั้งนะคับ

นายครับ said...

หวัดดีครับพี่อู...ขนาดเข้ามาช้ายังได้ที่1 น่ะ หุ หุ

ไปอ่านก่อนน่ะครับ ขอบคุณครับพี่สำหรับตอนใหม่ครับ

นายครับ said...

อ่าว...ชวดที่1 อีกล่ะ

♥ said...

ถึงตอนที่มีป้อมแล้ว อาอูรู้มั้ยผมรอตั้งนาน 555+

ปิดเทอมแล้ว อกมาเยอะหน่อยนะคร้าบ อยู่บ้านแล้วมันเหงา

Anonymous said...

ขอบคุณคราบที่ยังไม่ทิ้งกัน555
เดียวไปอ่านก่อน..

ตังค์

พี said...

ขอบคุณครับ.....


ได้อ่านต่อแล้วดีใจจัง...


กับป้อมไม่มีคอมเม้นต์ เพราะอูเคยบอกแล้ว เป็นได้แค่พี่ชาย


*** PEE ***

Unknown said...

ดีใจที่ได้อ่านต่อเสียที
ฝนตกน้ำท่วม รถติด
แต่ก็ยังไม่คิดเลิกอ่านนะครับ
จนกว่าคุณอูจะเลิกเขียนนะครับบบบบบ

คิดถึงครับ
กัน

Anonymous said...

กับป้อมพี่ว่าน่าจะยากอยู่นา..
แต่เรื่องบ้าน มีลุ้นนน
ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันไปค่ะอู

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

9... แบงค์ครับ

อู said...

ขอบคุณครับที่ติดตามมาตลอด ถึงช้าก็ยังรออ่าน ปลื้มใจ ^_^ ก็เขียนไปเรื่อยแหละครับ ฝนตกน้ำท่วมก็ยังเขียน คิดถึงทุกคนเช่นกัน นึกถึงว่าเมื่อไรต้องเดินไปสู่ตอนอวสานแล้วก็อดใจหายไม่ได้ ไม่เอา ยังไม่คิดดีกว่า

น้องป้อมของผมน่ารักขึ้นทุกวัน ตอนนั้นแอบชอบไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็หลวมตัวอีกจนได้ จะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลยครับ

วันก่อนสี่แยกลาดพร้าวตรงสถานีรถใต้ดิน รวมไปถึงถนนรัชดาภิเษก กลายเป็นคลอง ไปไหนไม่ได้เลย รถไม่ติด เพราะรถวิ่งผ่านไม่ได้ เลยดูโล่งๆ แต่ไปติดหนักบริเวณอื่นแทน พี่สาวลาดพร้าวเจอน้ำไหมครับ เดินทางต้องเผื่อเวลาเยอะเลย

ช่วงนี้โพสต์เร็วขึ้นหน่อยแล้วนะครับ 20 วันมาตอนนึง เมื่อเมื่อ 30 วัน อัตราดีขึ้นหน่อย จะพยายามต่อไปอีกครับ

นายครับ said...

หวัดดีครับพี่อู

นั่นแน่...สุดท้ายก็เิปิดเผยมาแล้วว่าแอบรักน้องป้อมเข้าให้

ก็น้องป้อมทั้งน่ารัก, ขี้อ้อนซ่ะขนาดนั้น พี่อูจะอดใจไหวได้ไง5555

แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าน้องป้อมจะแค่เหงาๆและต้องการแค่พี่ชายหรือป่าวน๊าาา....ก็ต้องลองลุ้นกันต่อไปครับ

เรื่องบ้านผมคิดว่าได้น่ะครับพี่อู

ขอบคุณน่ะครับสำหรับตอนที่63 : และขอบคุณครับสำหรับคำพูดที่ว่าจะเขียนไปเรื่อยๆ(ผมถือเป็นคำสัญญาน่ะครับพี่อู)

Anonymous said...

อย่ามีอะไรเกินเลยกับน้องป้อมนะ
เดี๋ยวมันจะ"ยุ่งอิ๋บอ๋าย"

ป้าขวัญ

มะขามดอง said...

อั่ยย่ะ ตอนที่ 63 คลอดแล้วววววววว...
สวัสดีคุณอาและแฟนคลับคุณอาด้วยนะครับ
ผมชอบตอนนี้จัง โดยเฉพาะฉากที่ป้อมเอาหน้าแนบกับท่อนแขนของอู มันเป็นภาพที่น่ารักดีครับ
ความรู้สึกคนเรามันห้ามกันได้ที่ไหนละครับคุณอา เป็นผมก็อดชอบน้องป้อมไม่ได้หรอกครับ ^^
ช่วงนี้ที่ร้านผมค่อนข้างวุ่นวายเพราะมีอาหารออกใหม่ ปวดหมองเลยผมต้องฆ่าปลาฆ่าปู ถ้าคุณอามีเวลาแวะมาชิมได้นะครับ ผมจะปรุงให้สุดฝีมือเลย อ่ะ ๆๆๆๆ
รักษาสุขภาพนะครับทุกคน

Anonymous said...

กลับมารายงานตัวครับ ไม่อยู่หลายวัน กลับมาเจอพี่อูอัพเดตตอนใหม่ ขอบคุณมากครับ

ทอป

Unknown said...

คุณอูครับ

เมื่อคิดถึงตอนอวสานแล้ว ก็ใจหายเหมือนกัน
ก็คิดว่ายังอีกนานกว่าจะจบ แต่ถ้ายังไม่จบ แล้วไม่ได้เขียนต่อ อันนี้ก็ไม่อยากคิด ไม่รู้ว่าใครเคยคิดแบบนี้บ้างครับ
ช่วงที่คุณอูทิ้งช่วงไม่เขียน ก็แอบคิดเหมือนกันนะครับ ว่าจะไม่มีตอนจบ(ใจหาย)
ทิ้งไว้คิดต่อครับ

คิดถึงนะครับ
กัน

Unknown said...

สวัสดีครับ ผมชอบมากเลย

คนเขียนท้าทางงานจะยุ่งนะคับปีนี้เห็นเขียน เดือนละตอน
เรื่องนี้มีบางส่วนที่ตรงกับชีวิตผมมาก

ยังไงผมก็จะรออ่านต่อนะคับ.....แล้วผมจะรอ

อู said...

ตอนนี้หัวฟูอยู่เลยครับ เมื่อก่อนได้เดือนละหลายตอน เดี๋ยวนี้เข็นได้แค่นี้ พยายามแล้วแต่ยังไม่เร็วขึ้นเท่าไร

ขอบคุณสำหรับคำเตือนของป้าขวัญครับ แต่สงสัยช้าไปแล้วละ

อู said...

อ้อ เมนูใหม่ของขามคืออะไร อยากชิมจัง เตรียมรับเทศกาลเจใช่ไหม เพราะว่าใกล้เข้ามาแล้ว หากมีโอกาสจะแอบแวะไปชิมครับ แต่จะรู้ได้ไงว่าจานไหนฝีมือขาม

กันครับ ถ้าโพสต์ในอัตรานี้เราคงอยู่ด้วยกันอีกหลายปีครับ วันนี้มีความสุขก็ชื่นชมกับวันนี้ให้เต็มที่ อนาคตค่อยว่ากันอีกทีครับ

ต่อไปวันไหนจะโพสต์จะพยายามบอกนายก่อน จะได้มาที่หนึ่งเสียที :-) ที่หนึ่งของบล็อกนี้เหมือนขนมหม้อแกงเมืองเพชรครับ แบ่งๆกันไป อีกหน่อยก็ได้แหละน่า



นายครับ said...

หวัดดีครับพี่อู และ ทุกๆคนที่ติดตามผลงานพี่อูน่ะครับ

นี่ขนาดป้าขวัญออกตัวป้องกันไว้ก่อนแล้วยังช้าไปอีกหรือครับนั่นแสดงว่า...

พี่อูครับถ้าคิดอะไรกับน้องป้อมแล้วถ้าพี่นัยกลับมาอะไรเกิดขึ้นครับ...คิดไว้หรือยังงงง

ขอบคุณน่ะครับที่เข้ามาโพสท์คุยบ้างไม่หายเงียบไปเหมือนก่อนๆ...พูดแกมหยิกเล็กๆน่ะครับ:)

ปล. รออีก 2 หนุ่มมาเมนต์อะไรบ้าง : พี่นัย, พี่ชู ครับ

มะขามดอง said...

ป่าวคับอา
เปนพวก seafood อ่าคับ
ผมอยู่กะกลางวันครับอา
ถ้ามาตั้งแต่ 12.00 - 17.00 น. ได้ชิมรสมือขามแน่ ๆ คร้าบ

Choo said...

แอบอ่านเพลินๆ ไหง "นายครับ" ขอให้มาเม้นพี่อูซะแล้ว

ยังไม่ขอเม้นต์อะไรพี่อูดีกว่าครับ ขอให้กำลังใจกันก่อนดีกว่า เห็นว่างานยังยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาเขียน เกิดเมนต์ไปเมนต์มา พี่อูของน้องๆ เกิดอาการเคืองแล้วหยุดเขียนขึ้นมา แล้วจะทำอย่างไรกันละครับ

นายครับ พี่นัยคงไม่กลับมาง่ายๆ หรอกครับ ลองกลับไปดูชื่อภาค 4 ดูซิ พี่อูบอกอยู่แล้วนะว่าพี่นัยอยู่ที่ไหน อิ อิ ไม่เชื่อก็ลองถามพี่นัย คนข้างๆ แอบอ่านอยู่เหมือนกันตอบละกัน....

อูเดินไปข้างหน้านะดีแล้ว เอาอดีตเป็นบทเรียนก็พอ

โอ้...เม้นต์เป็นสาระมากเกินหรือเปล่าเนี้ย

ชู

อู said...

รอนัยจนเหนื่อยแล้วครับ ไม่มาสักที ไม่เชื่อถามพี่ชูได้ ไม่รอแล้ว คงยุ่งมาก ไม่มาก็ไม่ง้อ เขียนตอนต่อไปดีกว่า

นายครับ said...

นั่นแน่...พี่ชูครับ พี่ชูมาพูดคุยแบบนี้แหละครับผมชอบมากๆ ผมก็มองแบบที่ตัวเองชอบ--คืออยากให้พี่นัยกลับมาน่ะครับ แต่พอพี่ชูพูดว่าให้พี่อูเดินไปข้างหน้า แล้วเอาอดีตเป็นบทเรียนผมก็เลยได้คิดน่ะครับ อืม...จริงแฮ่ะ นี่แหล่ะคำพูดแบบนี้แหล่ะที่ผมอยากได้ยินจากพี่ชู

ส่วนพี่นัยก็รอต่อไป5555 (ล้อเล่นน่ะครับพี่ : แต่มีบางคนอาจจะงอนจริงๆก็ได้...)

นายครับ said...

post แล้วข้อความหายอ่ะครับพี่อู เซ็งจังเลย

อู said...

ข้อความไม่หายครับนาย เพียงแต่โดนอุ้มไปชั่วคราว เป็นเพราะระบบกรองสแปมของ blogger.com

ถ้าโพสต์ข้อความแล้วโดนอุ้มไปก็ไม่ต้องโพสต์ใหม่ เมื่อผมเข้ามาก็จะเอามาคืนให้ เพียงแต่รอหน่อยเท่านั้นเองครับ

Nai said...

ไปตั้งหลักรอคนเขียน อยู่ที่ปลายฟ้าโน้นนนนน

เขียนเดือนละตอน แล้วเมื่อไหร่ คนรอจะได้เจอกันซักที

สวัสดีครับพี่ชู นาย และคนอื่นๆครับ เหมือนพี่ชูแอบอ่าย

เพลินๆ ว่าจะว่าจะ เม้นต์

นัย

Anonymous said...

เมื่อไหร่อาอูจะมาต่อเนี่ย

คนเค้ารอกันเยอะนะ

ผมก็อ่านมานานแล้วไม่เคยเมนต์สักที ^^"

เป็นกำลังใจให้คับ

sun

Choo said...

และแล้วพี่นัยก็มาเฉลยซะแล้ว ว่าหนีไปอยู่ไหน

หนีไปหนีมา ก็ยังแอบอ่านอยู่ข้างๆ พี่อูนั้นแหละ

แล้ว "นายครับ" ซื่อ นาย หรือชื่อ นายครับ ละนี้
พี่ว่าพี่ไม่ได้พูดนะ แค่เขียนเฉยๆ

เข้ามาหลายรอบแล้ว เห็นแต่ตอนเดิม พี่อูของน้องๆ น้องอูของป้าขวัญ ไม่มาต่อซักที คนที่ปลายฟ้าก็ยังรอไม่ไหว ออกมาบ่นแล้ว 5555

ชู

Bomber_Boy said...

คิดถึงนะครับ

Bomber_Boy

นายครับ said...

หวัดดีครับพี่อู พี่ชู พี่นัยและทุกๆคน

555555พี่ชูก็เข้าใจแซ็วน่ะครับเรื่องชื่อเนี่ย ผมชื่อ นาย ไม่ใช่นายครับ แม้ว่าชื่อจะคล้ายพี่นัยก็ตาม แต่รับรองว่าไม่ได้อยู่ที่ปลายฟ้าแน่ๆครับ

เข้ามาเป็นกำลังใจให้พี่อูเขียนตอนต่อไปครับ ฝากบอกพี่นัยด้วยน่ะครับว่าปลายฟ้ามันไกลไปอากาศท่าจะหนาวรีบๆกลับมาน่ะครับ

mgkrise said...

หลังๆเนี่ย พี่อูเริ่มมีอารมณ์หวานๆอีกแล้วนะเนีย อิอิอิ

♥ said...

ถึงช้าแต่อย่างน้อยอัตราการออกก็เพิ่มขึ้น ดีกว่าเดิมมากเลย ขอถามหน่อยนะ พวกที่เคยเรียนร.ด.อะ มันโหดมั้ยครับ เอาไว้ตัดสินใจว่าจะเรียนไม่เรียนดี

นายครับ said...

ตอบcommentด้านบนน่ะครับ...

ร.ด.ไม่โหดครับ แต่เหนื่อยนิดหน่อยครับ มีทดสอบเบื้องต้นเล็กน้อยพอสนุกๆ แต่ต้องทำให้ได้ตามเกณฑ์ครับ

ถ้าได้ตามเกณฑ์ก็ได้เรียนทุกคนครับ

พี่อูครับคราวนี้จะมาต่อวันไหนครับนี่...คิดถึงน่ะครับ

OokhanoO said...

รีบเขียนต่อนะครับ T^T ชอบมากเลย

อู said...

รด. ไม่โหดหรอกครับ แต่ไหนแต่ไรมาไม่โหดจนเกินไปอยู่แล้ว อย่าไปเกรียนมากก็แล้วกัน

หากไม่เรียน อนาคตก็ต้องไปจับใบดำใบแดงวัดดวง หรือไม่ก็ต้องไปเกณฑ์ทหาร เมื่อเรียนจบแล้วไปทำงานถือว่ายังติดพันธะทางทหารอยู่ หางานยากหน่อยครับ หน่วยงานอยากรับคนที่ไม่มีพันธะทางทหารมากกว่า

กำลังเขียนตอนใหม่อยู่ ยังไม่รู้เสร็จวันไหนเหมือนกันครับ เขียนๆหยุดๆ

♥ said...

ขอบคุณครับที่แนะนำให้ แม่กับพ่อก็ยกเรื่องต้องไปเกณฑ์ทหารมาขู่ผมเหมือนกัน และพี่ก็ว่าไม่โหดเท่าไหร่ แต่ที่ผมกลัวก็ไอ้ที่พี่ผมไปแล้วกลับมาตัวดำนี่สิ เห็นสภาพแล้วก็ไม่ค่อยอยากไปเลย

♥ said...

แล้วที่อาอูว่าเกรียนนี่เกรียนไงอะครับ แบบไม่ฟังคำสั่งหรืออะไรอะ

♥ said...

นายครับ said...

น้องครับ...ที่พี่อูบอกว่าอย่าเกรียนหมายถึงว่า อย่าทำนิสัยเกเรเช่น ซ่ายกพวกต่อยกันในกรม, ชอบเเซวครูฝึกเวลาสอน, ไว้ผมยาวผิดระเบียบ อะไรทำนองนี้อะครับ...เรียนเถอะครับน้อง สนุกดี ที่ว่าผิวดำขึ้นมันก็ไม่มากหรอกครับ หล่อเข้มซ่ะอีก สู้ๆน่ะครับ

♥ said...

อ่อครับ เข้าใจแล้ว ถึงผมไม่เรียนยังไงเพื่อนมันก็คงเซ้าซี้อยู่ดี 55+

อู said...

เรียน รด. สบายกว่าไปเกณฑ์ทหารอยู่แล้วครับ เรียนสัปดาห์ละครึ่งวัน สามปีจบ คิดคร่าวๆแล้วเป็นวันเรียนเพียง 100 เท่านั้น แล้วร้อยวันนี่มีเรียนทฤษฎี มีฝึกบ้าง สลับกัน วันไหนบริจาคเลือดก็ให้หยุดอีก แต่หากต้องเกณฑ์ทหารนี่ฝึกหลายปีเลย

มีเพื่อนอาบางคนไม่เรียนเพราะไม่อยากตัดผมทรง รด. อยากตัดรองทรง สุดท้ายก็โดนเกณฑ์ หัวเกรียนไปหลายปี มันก็บ่นว่าไม่คุ้ม ไม่รู้ตอนนั้นกูคิดได้ไง

ไปเขาชนไก่ไม่กี่วันเอง กลับมาอ้วนเสียอีก กินดีอยู่ดี แดดร้อนไม่ต้องกลัว เดินในเมืองก็ตากแดดผิวดำเหมือนกัน ฟ้าเดียวกันแดดเดียวกันครับ

เกรียนก็หมายถึงตามที่นายว่า ตามนั้นเลย ขอบคุณนายมาก อธิบายได้ดีกว่าผมอีก

Vin said...

ชอบเรื่องของพี่นะครับ
ฉากหลังในเรื่องกับชีวิตของผมก็ไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่ชีวิตผมไม่โลดโผนเท่าพี่อิอิ
ขอคุณนะครับ มันทำให้ผมหวนนึกถึงวันเก่าๆคนเก่าๆ แค่นี้ก็ยิ้มได้แล้ว