Sunday, October 9, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 47

ภาพที่เห็นในจอทีวีเป็นถนนเพชรบุรีที่มีไฟลุกเป็นกลุ่มเพลิงขนาดใหญ่จนท่วมถนนและลามไปยังอาคารสองฝั่งถนน เปลวไฟแดงฉานสูงหลายสิบเมตรตัดกับท้องฟ้าในยามราตรี กลายเป็นภาพอันน่าสะพรึงกลัว

ข่าวในขณะนั้นทราบแต่เพียงว่ามีรถบรรทุกก๊าซแอลพีจีระเบิดใกล้จุดลงทางด่วนและเกิดไฟลุกไหม้ลามไปทั่วบริเวณ ข่าวช่องสามทันเหตุการณ์กว่าเพื่อนเนื่องจากสถานีโทรทัศน์ช่องสามตั้งอยู่ที่อาคารวานิช อยู่ใกล้ๆกับจุดเกิดเหตุนั่นเอง

จากข่าว รัศมีของเพลิงกินอาณาบริเวณกว้าง และมีรถยนต์ในถนนถูกพลิงไหม้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งเปลวไฟยังลามไปยังอาคารที่ตั้งอยู่ริมถนน ผู้ที่อยู่ในรถยนต์ตอนเกิดเหตุการณ์ส่วนใหญ่หนีไม่ทันเนื่องจากอยู่ในรถยนต์ติดแอร์ จึงไม่ได้กลิ่นก๊าซที่กระจายออกมาจากรถก๊าซ ส่วนผู้ใช้รถยนต์ที่เปิดกระจกจะได้กลิ่นก๊าซนำมาก่อน บางรายไหวทันก็สามารถหนีออกมาได้ แต่ในยุคนั้นรถยนต์ที่ไม่ติดแอร์เหลือเป็นส่วนน้อยแล้ว มักเป็นรถเมล์ รถแท็กซี่ รถกระบะ และรถตู้ ส่วนรถเก๋งบ้านติดแอร์กันเกือบทั้งหมด

ผมมุงดูข่าวทีวีอยู่พักใหญ่ นานไปคนดูก็เริ่มแยกย้ายเนื่องจากยืนดูแล้วเมื่อย ผมเองก็กลับขึ้นห้องไปเช่นกัน

ข่าวรถก๊าซระเบิดกลายเป็นข่าวใหญ่ที่พาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันต่อมา รวมทั้งการสอบของมหาวิทยาลัยในวันถัดมากลายเป็นเรื่องวุ่นวาย เนื่องจากเหตุการณ์รถก๊าซระเบิดทำให้รถติดหนักในตอนเช้า และยิ่งไปกว่านั้น ที่มหาวิทยาลัยยังมีข่าวลือกันว่ามีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยซึ่งสอนอยู่ในคณะอื่นถูกไฟคลอกในเหตุการณ์ด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นอุบัติภัยครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของไทย ร่วมกับเหตุการณ์ไฟไหมโรงงานเคเดอร์ที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสามพราน จ.นครปฐม และโรงแรมถล่มทั้งหลังในเขตอำเภอเมือง จ.นครราชสีมา...

- - -

ต้นเดือนตุลาคม

ในที่สุด การสอบปลายภาคแรกของผมก็ผ่านพ้นไป เทอมนั้นผมเตรียมตัวสอบไม่ค่อยดีนักเนื่องจากยังต้องเจียดเวลามาดูแลเรื่องงานหนังสือด้วย สำนักพิมพ์ที่พวกเราขอหนังสือไปเมื่อบริจาคหนังสือมาเราก็ต้องไปรับเอง แม้ในช่วงสอบบางวันยังต้องไปรับหนังสือจากสำนักพิมพ์มาเก็บไว้ที่ชมรม

หลังจากที่สอบปลายภาคเสร็จ เราก็มีเวลาทำงานมากขึ้น หลังจากที่ไปรับหนังสือมาทั้งหมดแล้วก็มาดำเนินการคัดแยกหนังสือ เนื่องจากหนังสือที่ได้มาบางชื่อเรื่องได้มาเป็นจำนวนมากนับสิบเล่ม เราจึงแบ่งมาเก็บเอาไว้เผื่อสำหรับโครงการต่อไป เมื่อคัดแยกเสร็จก็จัดใส่กล่องเพื่อเตรียมส่งไปกับรถขนของต่อไป

“เสร็จแล้วพี่ตั้ว” ผมพูดกับพี่ตั้วหลังจากที่น้องปีหนึ่งมัดหนังสือกล่องสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ช่วงนั้นเรามีรุ่นน้องมาช่วยทำงานด้วย บางเรื่องก็ไม่ต้องทำเอง เพียงสั่งรุ่นน้องทำแล้วคอยดูแลความเรียบร้อย เพิ่งจะรู้สึกว่าเป็นรุ่นพี่แล้วมันดีอย่างนี้นี่เองเนื่องจากสั่งรุ่นน้องได้ แต่ที่จริงปีหนึ่งมันก็เป็นรุ่นเพื่อนนั่นแหละ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นลืมข้อนี้ไปเสีย

“เออ เสร็จเสียที งานแรกนี่ลำบากชิบบบบบหายยยยยยยย” พี่ตั้วลากเสียงยาว แม้งานจะเสร็จแต่ก็ยังอดบ่นไม่ได้

“ทีหลังเรื่องเดินขอสปอนเซอร์นี่ไม่เอาอีกแล้วนะพี่” ผมพูดบ้าง

“นั่นดิ พี่ก็ว่ายังงั้น” พี่ตั้วเห็นด้วย “ขอสำนักพิมพ์เอาสบายกว่ากันเยอะ ฮ่าฮ่า”

ขณะที่คุยกัน ไอ้กี้ก็เดินเข้ามาใสนชมรมพอดี เมื่อมันเห็นผมมันก็ทักทาย

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยอู มึงไปก่อเรื่องอะไรที่บ้านไอ้ป้อมวะ”

“มีอะไรเหรอ” ผมงง

“ก็เมื่อคืนพ่อไอ้ป้อมโทรมาหากู บอกว่าต้องการคุยกับมึง ให้มึงโทรไปหาด้วย” ไอ้กี้เล่า “ยังบอกอีกว่าให้รีบโทรไป”

“เหรอ” ผมรับคำอย่างงงๆ

“มึงไม่ได้ให้เบอร์เค้าไปหรือไงวะ” ไอ้กี้ถามอีก

“ไม่ได้ให้ว่ะ” ผมตอบ ผมอยู่หอพัก รับโทรศัพท์ไม่ค่อยสะดวก ปกติจึงไม่ค่อยได้ให้เบอร์โทรศัพท์แก่ใครอยู่แล้ว และยิ่งมาเกิดเรื่องเมื่อปีที่แล้วทำให้ผมยิ่งเข็ดขยาดเข้าไปอีก กลายเป็นนิสัยที่ไม่ชอบให้เบอร์โทรศัพท์แก่ใคร แม้แต่ไอ้กี้ก็ไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของผม ที่จริงมันเองก็ไม่ได้สนใจที่จะขอด้วยเช่นกัน รู้จักกันมาหลายปีผมไม่เคยคิดโทรหามัน เพราะไม่ได้มีธุระจำเป็นอะไรให้ต้องโทร ส่วนมันเองก็คงไม่เคยคิดโทรหาผมด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน ส่วนเพื่อนๆที่แผนกนั้นในกลุ่มที่สนิทกันก็มีการแลกเบอร์โทรศัพท์กันไว้เนื่องจากบางครั้งต้องคุยเรื่องการบ้านหรือรายงานบ้างในตอนกลางคืน การติดต่อสื่อสารกันในหมู่วัยรุ่นยุคนั้นแตกต่างจากในยุคนี้มากที่สามารถออนไลน์ในเครือข่ายสังคม สามารถเห็นและคุยกันได้ตลอดเวลาทางแป้นพิมพ์ หรือไม่เช่นนั้นก็คุยกันทางโทรศัพท์มือถือ

“เออ รู้แล้วก็รีบๆโทรไปซะ” ไอ้กี้กำชับ

ที่จริงหน้าที่ของผมก็หมดไปแล้ว ดังนั้นพ่อของป้อมจึงไม่น่าติดต่อมาอีก ยกเว้นจะมีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ อดคิดเป็นเรื่องในทางลบไม่ได้ จะว่าคิดเงินให้ผมผิดแล้วโทรมาทวงเงินก็ไม่น่าใช่เพราะเงินค่าสอนก็เป็นไปตามที่ตกลงกัน หากจะมีก็คงมีอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นคือ เรื่องที่ผมพูดทิ้งท้ายกับป้อมในวันสุดท้าย หากป้อมไม่พอใจแล้วเอาไปบอกพ่อ พ่ออาจคิดว่าผมไปด่าลูกชายเขาก็ได้ คิดไปคิดมาก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย

โทรไปก็คงโดนด่า ไม่โทรดีกว่า ผมตัดสินใจที่จะไม่โทรกลับไป

- - -

ตั้งแต่ภาคต้นปีนี้ผมยังไม่ได้กลับบ้านเลย ในระหว่างเปิดเรียนก็มีสอนพิเศษทุกวันเสาร์ จนถึงปิดเทอมก็ยังไม่ได้กลับบ้านอีกเนื่องจากต้องเตรียมงานเพื่อไปออกค่ายร่วมกับชมรมค่ายอาสา นอกจากนี้ก็ยังออกไปเที่ยวกับเพื่อนในแผนกบ้าง ส่วนใหญ่เป็นการเที่ยวกลางคืน เรียกได้ว่าปีนี้ห่างบ้านไปหลายเดือนทีเดียว

ตั้งแต่ปิดเทอมมาผมไปทำงานที่ชมรมเกือบทุกวัน เริ่มติดชมรมมากขึ้น พอมีโครงการแล้วทำให้มีงานโน่นงานนี่ที่ต้องทำ หากไม่มีอะไรทำก็ไปนั่งเล่น คุย และร้องเพลงเฮฮาไปตามเรื่อง

ตอนสายวันหนึ่ง เมื่อผมเดินเข้าไปในชมรม ผมก็เห็นไอ้กี้กับเพื่อนและรุ่นน้องปีหนึ่งหลายคนกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาฝนเอกสารที่ดูคล้ายกระดาษคำตอบด้วยดินสอดำอยู่อย่างขะมักเขม้น ตรงหน้าของแต่ละคนกางหนังสือเล่มหนึ่งอยู่

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” ผมถามไอ้กี้

“สมัครเรียนรามโว้ย” ไอ้กี้ตอบ

“โห” ผมหัวเราะ “เรียนที่เดียวก็เอาให้รอดก่อนเถอะมึง”

“เสือก” ไอ้กี้วางดินสอดำในมือลง พร้อมกับด่าผม “กูจะเรียนสองปริญญา มีอะไรมั้ย ค่าหน่วยกิตหน่วยละ ๑๘ บาทเอง ถูกจะตาย เผื่อฟลุ้กได้ปริญญาตรีอีกใบนี่โคตรเท่เลยนะมึง”

ยุคนั้นมีค่านิยมอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการเรียนระดับปริญญาตรีพร้อมกันสองแห่ง อีกแห่งหนึ่งมักเป็นรามคำแหง แต่ก็มีบ้างที่เลือกเรียนที่ มสธ. ไม่แน่ใจว่าค่านิยมเรียนสองแห่งนี้แพร่หลายไปขนาดไหน แต่แถวๆสะพานเหลืองสามย่านนี่นิยมกัน ยุคนั้นค่าหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหงหน่วยละ ๑๘ บาท ไอ้กี้และคนอื่นๆในชมรมจึงอยากลองดูบ้าง

“อ้อ นี่มึงหวังจบแบบฟลุ้ก ไม่ได้คิดจะใช้ความสามารถเลยนะ” ผมกัดมันอีก

“มึงไม่ต้องเสือกเลย เรื่องของกู ไอ้ห่านี่” ไอ้กี้ด่าอีก

“ไหนขอดูคู่มือลงทะเบียนหน่อยสิ” ผมชะโงกหน้าดูหนังสือคู่มือที่กางอยู่ตรงหน้ามัน

“เฮอะ สนใจขึ้นมาแล้วล่ะสิ” ไอ้กี้พูดพลางส่งหนังสือคู่มือการลงทะเบียนเรียนให้ผมดู เห็นมีคณะและสาขาให้เลือกเรียนมากมายไปหมด

“มึงเรียนสองที่ เท่ากับหนึ่งภาคเรียนต้องลงทะเบียนเรียนราวๆ ๔๐ หน่วยกิต แล้วมึงจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนวะ” ผมพูด “แล้วมึงเลือกเรียนสาขาอะไร”

“บริหารธุรกิจ” ไอ้กี้ตอบ “ก็เรียนด้วยตนเองสิ ไอ้โง่ ซื้อหนังสือมาอ่านเอง ถึงเวลาก็ไปสอบ ไม่ต้องเข้าห้องเรียนก็ได้”

“เก่งตายแล้วมึง” ผมหัวเราะอีก

“มึงไม่ต้องมาประชดกู อย่าให้กูรู้ว่ามึงไปสมัครเรียนนะไอ้อู กูจะหัวเราะให้ฟังร่วง” ไอ้กี้พูด “เรื่องของมึงเองน่ะจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อนเถอะ พ่อไอ้ป้อมโทรมาหากูอีกแล้ว มึงไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้ก็ไปจัดการเสีย อย่าให้กูต้องเข้าปิ้งไปด้วย”

“ทำไมคิดว่ากูไปก่อเรื่องวะ เค้าอาจจะอยากให้เงินกูเพิ่มก็ได้” ผมฝืนหัวเราะ แต่ที่จริงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเหมือนกัน

“ตีนมั้ยล่ะ ที่ให้เพิ่มเนี่ย” ไอ้กี้หัวเราะ

- - -

เย็นวันนั้น ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝน ผมออกจากชมรมราวๆห้าโมงเย็นเพื่อกลับหอพัก ขณะที่ยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์สามย่านผมอดชะแง้มองหาจุ๋มไม่ได้ ตั้งแต่ช่วงสอบจนถึงตอนนี้ผมไม่ได้เจอจุ๋มเลย ตอนสอบก็กลับไม่เป็นเวลา ส่วนตอนปิดเทอมนั้นยิ่งกลับไม่เป็นเวลาเข้าไปใหญ่ ส่วนใหญ่มักกลับตอนมืดๆค่ำๆ แม้ว่าผมชะแง้มองหาจุ๋มอยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเจอกันเสียที

“จ๊ะเอ๋” ได้ยินเสียงแจ๋วๆดังอยู่ข้างหลัง ผมอดรู้สึกดีใจนิดๆไม่ได้

“จุ๋มหายไปไหนมาเนี่ย ไม่เจอเสียตั้งนาน” ผมถาม

“จุ๋มก็กลับเวลาประมาณนี้ทุกวันนั่นแหละ” จุ๋มตอบเสียงใส “พี่อูต่างหากล่ะที่หายไป”

“ปิดเทอมแล้วมาทำไมล่ะ” ผมถาม

“แล้วพี่อูล่ะ มาทำไม” จุ๋มย้อน

“แน่ะ เดี๋ยวนี้หัดย้อนรุ่นพี่ เดี๋ยวตีตายเลย” ผมขู่

“กลัวแล้วจ้า” จุ๋มทำหน้าล้อเลียน จนผมอดขำไม่ได้ “จุ๋มมาซ้อมไวโอลิน”

“พี่มาทำงานที่ชมรมน่ะ เร่งเตรียมหนังสือไปออกค่ายทำห้องสมุด” ผมตอบ “ความคิดที่จุ๋มแนะนำได้ผลมาก ได้หนังสือมาเยอะแยะเลย”

“เห็นไหมล่ะ” จุ๋มทำหน้าเหมือนกับจะพูดว่าให้มันรู้เสียบ้างว่าความคิดใคร “ยังงี้ถือว่าทำงานสำเร็จ ก็ต้องพาจุ๋มไปเลี้ยงสิ”

“ได้ๆๆ” ผมตอบ “คราวนี้พี่กัดฟันตั้งงบให้ ๕๐ บาทเลย”

“งั้นไม่ต้องหรอกค่ะ” จุ๋มทำหน้าเซ็ง “พี่อูเก็บเงินเอาไว้ซื้อยาระบายเถอะ”

“ซื้อยาระบายมาทำไม” ผมงง

“ก็พี่อูคงท้องผูก” จุ๋มตอบ

“ไม่ได้ท้องผูกเสียหน่อย” ผมถามต่อ “ทำไมคิดยังงั้นล่ะ”

“ก็พี่อู...” จุ๋มพูดเสียงกระซิบ “ขี้เหนียว... ต้องท้องผูกแน่ๆเลย”

พูดจบเธอก็ทำหน้ากลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ จนผมอดขำไปด้วยกับเธอไม่ได้

“หลอกด่านี่ ไปๆๆ เท่าไรก็เลี้ยง วันนี้ทุ่มหมดกระเป๋าเลย” ผมพูด พลางควักกระเป๋าตังค์ออกมากางดู ในนั้นมีเงินอยู่หลายร้อยบาท

“แจ๋วเลย” จุ๋มหัวเราะ “ขอบคุณมากพี่อู แต่ไม่ไปหรอก จุ๋มล้อเล่น”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมใจหายที่ถูกปฏิเสธ “รีบกลับบ้านอีกแล้วเหรอ”

“ฮื่อ ก็ยังงั้นแหละ” จุ๋มตอบ พลางแหงนหน้าดูท้องฟ้า “ฝนใกล้ตกแล้วด้วย”

“ยังงั้นพรุ่งนี้จุ๋มเลิกซ้อมเร็วขึ้นสักหน่อยสิ เลิกสักบ่ายสามโมง แล้วเราไปหาอะไรกินกัน เสร็จแล้วจะได้ทันเวลากลับบ้านพอดี ดีไหม” ผมพูดโน้มน้าว “ไปหาอะไรกินแถวมาบุญครอง ใกล้ๆนี่เอง กินเสร็จก็ขึ้นรถกลับได้เลย ไปนะ นะ นะ”

จุ๋มคิดนิดหนึ่ง “ยังงั้นก็ได้ค่ะ”

ฝนตกลงมาพอดี ฝนยามเย็นโปรยปรายลงมาเป็นละอองบาง เนื่องจากฝนตกไม่หนักจึงไม่มีใครวิ่งหลบฝน แต่ละคนจึงยังยืนอยู่ที่เดิม เพียงครู่เดียวรถเมล์สาย ๓๔ ก็มา

“จุ๋มไปแล้วล่ะพี่อู” จุ๋มพูด “อ้อ พรุ่งนี้เจอกันที่ไหนล่ะ”

“เจอที่ป้ายรถเมล์นี่ดีไหม” ผมเสนอ ที่จริงคิดว่าจะไปหาจุ๋มที่คณะอยู่เหมือนกัน แต่คิดอีกทีหากเจอพี่เหล่ง พี่เหล่งอาจจะไปด้วยและเป็นเจ้ามือ ทำให้ผมเสียความตั้งใจ เจอกันที่ป้ายรถเมล์นี้เลยดีกว่า “บ่ายสามโมง”

“ก็ดีค่ะ” จุ๋มพูด พลางก้าวเดินเพื่อไปขึ้นรถ “จุ๋มไปก่อนล่ะ”

ทันใดนั้นผมก็เกิดความคิดขึ้นมาวูบหนึ่ง ผมรีบเดินตามจุ๋มขึ้นรถไปทันที

“อ้าว พี่อู” จุ๋มอุทานอย่างแปลกใจเมื่อเห็นผมอยู่บนรถคันเดียวกับเธอ “ขึ้นสายนี้ทำไมล่ะ มันไม่ได้เข้าลาดพร้าวนี่”

“ก็... เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนจุ๋มก่อน แล้วไปต่อรถอีกทีก็ได้” ผมพูด

“เลยต้องเสียเงินค่ารถเพิ่มอีก” จุ๋มพูด

“ไม่เป็นไรหรอก นานๆที” ผมพูด

วันนั้นการจราจรไม่ติดขัดแม้ว่าจะมีฝนปรอย เพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียน รถสามารถเคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆ ลมหอบเอาไอฝนเข้ามาในรถด้วย บรรยากาศภายในรถจึงไม่ร้อนนักและมีกลิ่นไอฝน เมื่อรถผ่านหน้าประตูใหญ่รั้วจามจุรี ภาพตึกหอประชุมในฝนปรอยที่เห็นภายนอกหน้าต่างรถทำให้ผมนึกถึงวันที่ผมและจุ๋มต้องเดินจากสามย่านไปจนถึงสี่แยกพญาไท ผมอดไม่ได้ต้องเหลือบไปมองดูจุ๋มวูบหนึ่ง

เราคุยกันไปเรื่อยตลอดทาง ผมได้เล่าเรื่องพ่อของป้อมที่ต้องการให้ผมติดต่อกลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“แล้วพี่อูไม่คิดโทรกลับหรือไง” จุ๋มถาม

“ไม่รู้สิ” ผมตอบอย่างลังเล “กลัวโทรไปแล้วปัญหาจะตามมาอีก”

“ถ้าจะมีปัญหานะมันก็คงเกิดขึ้นไปแล้ว พี่อูจะโทรหรือไม่โทรก็เพียงแค่ว่าพี่อูอยากรับรู้หรือไม่อยากรับรู้เท่านั้นเอง” จุ๋มพูด “มันก็แค่... พี่อูอยากสู้ปัญหาหรืออยากหนีปัญหา”

“...”

- - -

ค่ำวันนั้นเอง

เมื่อผมกลับถึงหอพัก หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ผมก็แวะไปหาพี่คนหนึ่งที่พักอยู่ในหอเดียวกัน แกชื่อชัย พักอยู่ชั้นสอง กำลังเรียนอยู่รามคำแหง

“หวัดดีครับพี่” ผมทักทายพี่คนนั้นหลังจากที่พี่ชัยเปิดประตูออกมา

“อ้อ หวัดดีน้อง” พี่ชัยทักทายตอบ พี่ชัยอยู่ที่นี่มาก่อนผมอีก เรียนรามคำแหงตั้งแต่ก่อนผมมาอยู่จนขณะนี้ก็ยังไม่จบ ปีอะไรแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้เราสองคนจะไม่คุ้นเคยกันนักเพราะพี่ชัยไม่ค่อยขึ้นไปสังสรรค์บนชั้นดาดฟ้า แต่ก็พอรู้จักชื่อของกันและกัน

“พี่ครับ ถ้าผมฝากพี่ซื้อใบสมัครเรียนรามสักชุด พี่ช่วยหน่อยได้ไหม” ผมถาม

“ทำไม โดนรีไทร์แล้วเหรอ” พี่ชัยทำหน้าตกใจ

“ยังครับพี่” ผมตอบ แต่ในใจคิดว่าไม่น่าแช่งกันเลย “แต่อยากรู้ว่าที่รามมีสาขาอะไรให้เรียนบ้าง ผมสนใจพวกกฎหมาย เผื่อจะหาความรู้เอาไว้บ้าง”

“นี่เลย นิติราม” พี่ชัยรีบพูดทันที “เรียนง่ายแต่จบยากนะน้อง”

“ครับๆ ได้ยินว่ายังงั้น ว่าแต่ฝากพี่ซื้อใบสมัครหน่อยได้ไหมครับ” ผมถามเข้าประเด็นอีก

“ได้ๆ พรุ่งนี้พี่เอามาให้” พี่ชัยรับปากอย่างง่ายดาย

หลังจากที่คุยกับพี่ชัยเสร็จ ผมก็ออกไปที่ตู้โทรศัพท์ที่อยู่ในซอย จากนั้นหยอดเหรียญลงไปแล้วกดเลขหมาย

“ฮัลโหล” เสียงใหญ่ๆรับสาย ฟังน้ำเสียงแล้วน่าจะเป็นพ่อของป้อมนั่นเอง

“สวัสดีครับคุณอา ผมอูครับ” ผมพูด ในใจก็ตุ๋มๆต่อมๆ





<จามจุรีสามยุค ภาพหอประชุมหลังรั้วจามจุรีที่ผมผ่านไปมาทุกวันและเห็นจนชินตา ภาพนี้ถ่ายในสามยุคท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ภาพบนสุดเป็นภาพในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ส่วนภาพกลางถ่ายประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และภาพล่างสุดถ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ละภาพมีอายุห่างกันราว ๒๕ ปี>

14 comments:

หลาบเอง said...

มาแต่เช้าเลยนะคะ พี่อู ไม่เสียแรงที่มาทวงยิกๆ
เอ๊ะ ชอบจุ๋มหรือเปล่านะ

Anonymous said...

เดาว่าพ่อของป้อม ต้องตามตัวอาอูกลับไปสอนต่อแหงๆ
Federick

Anonymous said...

อ่ะแน่..เอ็นดูน้องจุ๋มเป็นพิเศษเลยนะเนี่ย !!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ลุ้นครับว่าจะเกิดอะไรต่อ ทั้งเรื่องป้อม และจุ๋ม

ทอป

Anonymous said...

เข้าใจว่าเราอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน แล้วอาจจะเป้นชมรมเดียวกันซะด้วย นะครับพี่อู5555+

Anonymous said...

น้องป้อมคิดถึงพี่อู 555

ดีแล้วที่อูไม่หนีปัญหา
ป้าขวัญ

Anonymous said...

โรงงานเคเด้ออยู่พุทธมณฑล สาย๔ ยังไม่ถึงสามพราน
ไฟไหม้น่ากลัวมาก คนงานตายเป็นเบือ โรงงานเป็นตึกห้าหรือหกชั้นขนาดใหญ่ รปภ ไม่ยอมให้คนงานออกมา

อ่านถึงตอนนี้เริ่มทำให้สงสัยว่านายอูจะเบี่ยงเบนทางเพศหรือเปล่า เข้าใจว่าน้องจุ๋มคงน่ารักถูกใจ

Riverunt said...

ชอบความคิดของจุ๋มมากจังเลย แนะนำในสิ่งที่ถูกที่ควร
ถ้าเป็นเพื่อน ก็เป็นกัลยาณมิตร
ถ้าเป็นแฟน ก็คงเป็นช้างเท้าหลังที่สง่างาม
บทเรียนจากอดีตที่อูเอาแต่หนีปัญหา ทำให้มันสะสมและลุกลามบานปลายมาจนตอนที่เรียนแถวสามย่าน
ตอนนี้ อูจะลุกขึ้นเผชิญกับปัญหาเองแล้ว ขอให้ทำสำเร็จนะครับ และได้ผลที่ดีกลับมา

อู said...

จุ๋มเป็นสาวที่มีความคิด แตกต่างจากสาวในวัยเดียวกันอีกหลายๆคนครับ เป็นเพื่อนคู่คิดได้จริงๆ

เรื่องเบี่ยงเบนน่ะผมเบี่ยงเบนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำไมเพิ่งจะมาสงสัย

ขอบคุณที่ทักท้วงเรื่องเคเดอร์ จะเอาไปแก้ครับ

Anonymous said...

หึหึ ...
พ่อป้อม โทรมา ขอบคุณ แหง๋ๆเลย....อุตส่าห์หวังดี
สั่งสอน ลูกชาย เค้าซะ..

น้องจุ๋ม นี่ น่ารัก แน่ๆเลย .

คุณอู มีรูปเก่าๆ เยอะเลยแฮะ คนอ่าน ได้ความรู้ มากกมายเลย เนี่ย.

ขอให้ทุกคน ผ่านพ้น ช่วงน้ำท่วมไปได้ด้วยดี นะคับผม

จาก เคนตะ

Anonymous said...

ลุ้น และน่าติดตาม มาต่อไวไว ด้วยนะครับ

อยากให้อูและป้อมลงเอยกัน เพื่อชดเชย
สิ่งที่ขาดหายไป (นัย)
...

Anonymous said...

อ่านตอนเก่าๆอีกรอบแล้วอยากให้ชัชกับนัยกลับมาจัง
โดยเฉพาะนัย คิดถึงอานัย อิอิ^^

นัทซึ

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับ ที่มาลงให้อีก1ตอน ไม่รู้เสาร์-อาทิตย์นี้จะมีอีกหรือเปล่าน้า มีไม่มีก็รอได้ครับ
pk

Anonymous said...

เป็นตอนที่อ่านแล้วคล้ายๆ ฟ้าหลังฝนนิดๆ

หลาน Arus ของอาอู