Sunday, September 11, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 44

“แฮ่...”

“อุ๊ย...”

จุ๋มร้องอุทานเบาๆเมื่อได้ยินเสียงคำรามของผม ผมเห็นเธอที่ป้ายรถเมล์หน้าตลาดสามย่านในตอนเย็นวันหนึ่ง จึงย่องเข้าไปข้างหลังเธอพร้อมกับส่งเสียง จุ๋มหันมาดู เมื่อรู้ว่าเป็นผมเธอก็หัวเราะ

“แหม... พี่อูนี่เอง เมื่อกี้ได้ยินเสียงพี่อูเสียวน่องวาบเลย” เธอพูด

“นี่คนนะ ไม่ใช่หมา” ผมท้วง “ทำไมต้องเสียวน่องด้วย”

“ก็เสียงของพี่อูเหมือนมากเลย จริงๆนะ” จุ๋มพูด ทำสีหน้าจริงจัง “ระวังเถอะ ทำแบบนี้บ่อยๆอีกหน่อยหน้าตาจะพลอยเหมือนไปด้วย”

“เอ้อ พี่ว่าเราพูดเรื่องอื่นกันดีกว่ามั้ง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง “ขืนพูดต่อพี่มีหวังขาดทุน”

“หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นพี่อูมาขึ้นรถเลย ไม่ค่อยได้กลับบ้านหรือไง” จุ๋มถาม

“คิดได้ไงเนี่ย ไม่กลับบ้านแล้วจะไปนอนที่ไหน” ผมหัวเราะ “ช่วงนี้พี่กลับค่ำต่างหากล่ะ”

“อ้อ คงเล่นหนัก” จุ๋มถามอีก

“นี่จุ๋มจะมองพี่ในแง่ดีบ้างได้ไหม” ผมแกล้งโวย “ทำไมไม่คิดว่าพี่เรียนหนักบ้างล่ะ”

“ก็หน้าพี่ไม่เหมือนกับเป็นเด็กเรียนเลยนี่” จุ๋มพูดแล้วก็เม้มปากกลั้นหัวเราะ “เอาละๆ ไม่แกล้งพี่อูแล้ว เชื่อแล้วว่าพี่อูเรียนหนัก”

“เปล่าหรอก” ผมสั่นหัว “ที่จุ๋มพูดก็ถูกแล้ว ที่กลับบ้านช้าก็ไม่ใช้เพราะเรื่องเรียนหรอก มัววุ่นกับเรื่องการขอสปอนเซอร์ทำค่ายน่ะ”

“อ้อ พี่อูอยู่ชมรมค่าย” จุ๋มพูดเหมือนกับแปลกใจ

“ก็ไม่เชิง ไปหาอะไรกินกันก่อนไหมล่ะ จะได้เล่าให้ฟัง” ผมชวน “ยืนคุยแล้วเมื่อย”

“พี่เลี้ยงนะ” จุ๋มทำตาโต ผมรู้ดีว่าเธอต้องการจะล้มทับผม

“เลี้ยงก็ได้ งบ ๒๐ บาท” ผมตอบ

“ฮึ” จุ๋มร้อง “ เหนียวจริงๆเลย”

จากนั้นเราสองคนจึงเดินขึ้นไปบนชั้นสองของตลาดสามย่าน สั่งน้ำและขนมมากินกัน ผมได้เล่าให้จุ๋มฟังเกี่ยวกับโครงงานค่ายอาสาและเรื่องการสอนพิเศษของผม

“พี่อูเจออะไรเด็ดๆทั้งนั้นเลยนะ” จุ๋มพูดพลางหัวเราะ “เรื่องสปอนเซอร์นี่จุ๋มไม่เคยขอ เลยไม่มีประสบการณ์”

“นั่นน่ะสิ เจอแต่เรื่องยากๆ” ผมเห็นด้วย “คนอื่นสอนพิเศษก็ไม่เห็นเจองานยากๆแบบพี่”

“ถ้ามาเรียนไวโอลินกับจุ๋มนะ ง่ายเลย” จุ๋มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ไม่พูดก็ไม่เป็นไร สีไปเรื่อยๆก็ใช้ได้แล้ว”

“แล้วพวกนักศึกษาดนตรีนี่มีสอนพิเศษดนตรีบ้างไหม” ผมอยากรู้ นักศึกษาสายวิทย์สอนคณิต ฟิสิกส์ สายมนุษยศาสตร์ก็สอนพิเศษภาษาต่างประเทศ สายศิลปศาสตร์ก็น่าจะมีสอนดนตรีกันบ้าง

“ฮื่อ” จุ๋มพยักหน้า “หลายคนก็สอน ทั้งดนตรีไทย ดนตรีสากล แต่พวกสอนเปียโนขายดีหน่อย”

“แล้วจุ๋มล่ะ” ผมถามต่อด้วยความสนใจ “สอนดนตรีหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ” จุ๋มส่ายหน้า

“ทำไมไม่สอนล่ะ จะได้มีรายได้เพิ่ม” ผมพูด “คนเรียนไวโอลินก็คงพอมีละน่า”

“จุ๋มไม่ค่อยมีเวลา” จุ๋มตอบ

“คนอื่นเรียนเหมือนจุ๋มยังมีเวลาไปสอนได้ แล้วทำไมจุ๋มไม่มีเวลาล่ะ ขี้เกียจมากกว่าละมั้ง” ผมแหย่

“...” จุ๋มมีสีหน้าสลดลงทันที “เปล่าขี้เกียจนะ”

ผมรู้สึกเอะใจ นี่ผมคงพูดอะไรผิดไปอีกแล้ว ปากพาจนจริงๆ

“เอ้อ... แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาฝึกซ้อมมากหน่อย” ผมพยายามพูดกลบเกลื่อน ผมรู้จากพี่เหล่งว่านักศึกษาดนตรีต้องสอบปฏิบัติเครื่องดนตรีด้วย ดังนั้นการฝึกซ้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ การมีเวลาฝึกซ้อมก็ทำกับเพิ่มความชำนาญและโอกาสในการทำคะแนน จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยกันในเรื่องอื่น

เรามีเวลากินขนมไม่มากนักเพราะผมรู้ว่าจุ๋มรีบกลับ จึงไม่อยากชวนคุยนาน หลังจากที่กินขนมเสร็จเราสองคนก็กลับไปที่ป้ายรถเมล์ และจุ๋มก็ขึ้นรถเมล์กลับไปก่อนเช่นเคย

- - -

“ท่านสมาชิก” พี่ตั้วพูดด้วยมาดราวกับกำลังประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมสตาฟชมรมในตอนเย็นวันหนึ่ง

“ว่าไงท่านประธาน” ไอ้กี้ทำเสียงล้อเลียนเบาๆ

“ผลจากการขอสปอนเซอร์ในช่วงที่ผ่านมา ปรากฏว่าเราไม่สามารถหาทุนมาเพื่อทำโครงการห้องสมุดได้เลย” พี่ตั้วแถลงพร้อมกับวางมาดเท่ ไม่สนใจเสียงล้อเลียนของรุ่นน้อง

“มันเป็นความไร้ประสิทธิภาพของท่านประธาน เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านประธานควรลาออกไป” ไอ้กี้กวน “แล้วเราก็เลือกประธานคนใหม่ที่มีความสามารถมากกว่านี้”

“ไอ้หอก ถ้ามึงคิดว่าทำได้ดีกว่าก็ลองมาทำดูสิ” พี่ตั้วสวน สงสัยว่าคำพูดไอ้กี้คงจี้ใจดำ

“เอาเถอะๆ น้องไม่แย่งพี่หรอกครับ เชิญท่านประธานทำงานต่อไปเถอะ” ไอ้กี้หัวเราะจนตาหยี พลางหันมากระซิบกับผม “เฮ้ย ยัวะแล้วโว้ย ฮ่าๆ”

“เราต้องเปลี่ยนแผน” พี่ตั้วพยายามระงับอารมณ์ “ต้องหาวิธีใหม่ในการขอสปอนเซอร์”

“แล้วจะทำยังไง” สมาชิกพากันถาม

“ผมมาวิเคราะห์ดูแล้ว ความผิดพลาดของเราก็คือไปขอตามรายชื่อพวกนั้น” พี่ตั้วพูด “รายชื่อพวกนั้นเป็นพวกที่โดนขอมาจนพรุนแล้ว เราต้องเปลี่ยนเป้าหมายและเปลี่ยนวิธีการด้วย... ด้วยการไปเปิดบริสุทธิ์บริษัทห้างร้านใหม่ๆ”

พวกรุ่นน้องพากันฮือฮากับความคิดอันบรรเจิดของพี่ตั้ว จากนั้นก็พากันซักถึงรายละเอียดในวิธีการปฏิบัติ

“พวกเราก็ไม่ต้องหาสปอนเซอร์ตามรายชื่อ แต่เราจะใช้วิธีเดินหาสปอนเซอร์ดะ เข้าร้านต่อร้านไปเลย” พี่ตั้วตอบ “และต้องไปหาสปอนเซอร์ในพื้นที่ที่คนอื่นยังไม่ไปกัน”

ความคิดของพี่ตั้วก็คือการเดินหาสปอนเซอร์แบบเหวี่ยงแหนั่นเอง เดินเข้าไปขอทุกร้านตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนนทำนองนั้น เมื่อพวกเราได้ยินก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นทันที

“แล้วต้องเดินกันกี่ร้อยกี่พันร้านกว่าจะได้”

“อายเค้าตายห่า แบบนี้ไม่ไหวโว้ย”

“ถ้างั้นชมรมซื้อรองเท้าผ้าใบแจกหน่อยได้ไหม สงสัยรองเท้าคงสึกหลายคู่แน่เลย”

ความคิดที่ทุกคนรุมประณามในตอนแรก สุดท้ายทุกคนก็เห็นตรงกันว่าหากต้องการเงินทุนมาทำโครงงาน คงไม่มีวิธีใดที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ในที่สุดพวกเราก็คุยกันในรายละเอียดและแบ่งงานกัน

- - -

“ป้อม... ดูสิ... วันนี้พี่มีอะไรมาฝากป้อมด้วย...” ป้อมเปิดประตูหน้าบ้านออกมาพร้อมกับยกมือไหว้ผม
ผมรับไหว้พร้อมพูดเสียงขาดห้วงเพราะความเหนื่อย

ป้อมมองของที่อยู่ในมือผม มันเป็นถุงกระดาษใส่ของกินที่ยับยู่ยี่ใบหนึ่ง เมื่อผมออกจากหอพัก บังเอิญเห็นรถขายขนมไทยผ่านหน้าหอพักไปพอดี มันเป็นรถจักรยานสามล้อที่ดัดแปลงเป็นแผงขายขนมไทยเคลื่อนที่ ภายในตู้กระจกบนรถสามล้อมีขนมไทยพวกทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตะโก้ ข้าวเหนียวสังขยา ขนมเปียกปูน ฯลฯ รถสามล้อขายขนมไทยแบบนี้สมัยก่อนเป็นที่นิยมกันมาก มีนายทุนออกขนมและรถเข็นให้ ใครที่อยากมีรายได้ก็มารับรถพร้อมขนมไปขาย รสชาติก็พอกินได้ สมัยนี้ก็ยังพอมีอยู่

ผมเห็นขนมไทยพวกนี้ดูน่ากินดี ผมอยากหาของฝากติดมือไปให้ป้อมบ้าง แม้ไม่แน่ใจนักว่าเด็กที่มีฐานะอย่างป้อมจะกินของที่ซื้อจากข้างถนนแบบนี้หรือเปล่าแต่ก็อยากลองดู เมื่อซื้อมาแล้วก็ถือถุงอยู่ในมือไปตลอดทาง จนเมื่อเข้าสู่ย่านพระโขนง ฝนก็เริ่มโปรยปราย เมื่อผมลงจากรถเมล์ก็ตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนเป็นระยะทางประมาณครึ่งกิโลเมตรไปยังบ้านป้อม ที่ไม่ยอมหยุดรอเพราะเกรงว่าหากฝนไม่ซาแต่กลายเป็นตกหนักแล้วผมจะไปสอนสาย จึงได้ตัดสินใจวิ่ง เมื่อถึงบ้านผมเหนื่อยแทบขาดใจพร้อมกับเสื้อผ้าเปียกปอนไปหมด ถุงใส่ขนมก็ยู่ยี่เพราะเปียกน้ำและเพราะถูกเหวี่ยงไปมาขณะที่ผมวิ่ง

ป้อมรับถุงขนมพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะฮึๆในลำคอ เมื่อผมเข้าไปในบ้าน ป้อมก็หายตัวไปสักพักหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาใหม่พร้อมกับเสื้อยืดและผ้าขนหนู

“ขอบใจนะป้อม” ผมถอดเสื้อยืดที่เปียกฝนออกและเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดที่ป้อมจัดมาให้ พร้อมกับอดนึกไม่ได้ว่าขนมของผมอาจจะได้ผล เพราะดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเราดูเหมือนจะดีขึ้นบ้าง สังเกตได้จากการที่ป้อมจัดหาเสื้อกับผ้าขนหนูมาให้

“ป้อมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำด้วยเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย เพิ่งสังเกตเห็นในตู้หนังสือข้างๆโต๊ะที่เราเรียนพิเศษกันอยู่นั้นมีภาพขนาดจัมโบ้ใส่อยู่ในกรอบรูป มันซุกอยู่ที่มุมตู้ ครั้งก่อนๆผมจึงไม่ได้สังเกต มันเป็นภาพของป้อมในชุดวอร์ม ยืนอยู่บนแท่นรับรางวัลข้างสระว่ายน้ำ “อ๊ะ เหรียญทองเสียด้วย”

“ป้อมได้เหรียญนี้ตอนปีไหน” ผมถาม คิดว่าไม่ใช่รูปปัจจุบันเพราะในรูปป้อมดูเด็กกว่าตอนนี้

ป้อมชูสองนิ้ว

“ม.สอง” ผมเดา ป้อมพยักหน้า

“เก่งจัง พี่ไม่เคยได้อะไรสักเหรียญ” ผมชม “แล้วตอนนี้ยังแข่งอยู่หรือเปล่า”

ป้อมส่ายหน้า

“แล้วยังว่ายน้ำอยู่หรือเปล่า” ผมพยายามชวนคุย

ป้อมส่ายหน้าอีก

“เอ้อ...” ผมแอบถอนหายใจกับเกมยี่สิบคำถาม “พี่ว่าเรามาเข้าบทเรียนกันดีกว่า”

หลังจากที่เราเริ่มเข้าสู่บทเรียน ป้อมก็ทำให้ผมเซ็งสุดขีดอีก

เพื่อเงิน อดทนไว้ เพื่อเงิน อดทนไว้... ผมพูดกับตนเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่เมื่อถึงท้ายชั่วโมงของการสอน ในที่สุดความอดทนของผมก็พังทลาย

ครั้งนี้เป็นการสอนครั้งที่สาม หากผมอดทนสอนไปเรื่อยๆผมก็คงมีรายได้เดือนละ ๑,๖๐๐ บาทไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมไม่ไหวแล้ว...

“เอาละ วันนี้เราพอกันแค่นี้” ผมพูดพลางปิดหนังสือเรียนคณิตศาสตร์ลง ป้อมก็ปิดสมุดจดตามบ้าง

“ป้อม...” ผมเรียกป้อม เรียกแล้วก็หยุดไป กำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอย่างไรให้ฟังแล้วดีที่สุด

ป้อมเงยหน้าขึ้นมองผม

“พี่คิดว่า... อยากให้คุณพ่อป้อมหาคนมาสอนป้อมแทนพี่น่ะ” ผมพยายามพูดเพื่อรักษาน้ำใจของป้อม รู้สึกเห็นใจเด็กคนนี้อยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่ถนัดกับการสอนที่ไม่มีการตอบสนองเลยจริงๆ ผมเพิ่งสำนึกในวันนี้เองว่าการเป็นครูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนที่ผมเป็นนักเรียน พออาจารย์หันหน้าเข้ากระดานพวกเราก็แอบเล่น แอบทำอย่างอื่น อาจารย์ถามก็ไม่ตอบ หรือตอบไม่ได้ หรือตอบแบบขอไปที ผมไม่เคยรู้เลยว่าอาจารย์รู้สึกอย่างไรบ้าง... จนกระทั่งวันนี้...

ป้อมมองผมด้วยสี่หน้าราบเรียบ ไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย ท่าทีของป้อมทำให้ผมคาดเดาอะไรได้เรื่องหนึ่ง แม้ว่าพ่อของป้อมจะไม่เคยพูดกับผมเกี่ยวกับนักศึกษาคนก่อนๆที่เคยสอนพิเศษแก่ป้อมก็ตาม แต่ผมเดาได้ว่าป้อมคงเปลี่ยนคนสอนมาแล้วนับไม่ถ้วน

“พี่ผิดเองแหละที่สอนป้อมต่อไปไม่ได้ทั้งๆที่เพิ่งมาสอนได้เพียงสามครั้ง ดังนั้นฝากบอกคุณพ่อป้อมด้วยว่าพี่ไม่ขอรับค่าสอน และพี่จะมาสอนป้อมต่อไปอีกสักสองหรือสามครั้ง รอให้ป้อมหาคนสอนใหม่ได้ก่อนแล้วพี่ค่อยไป แต่คราวนี้คุณพ่อป้อมคงต้องหานักศึกษาเอง เพราะในหมู่เพื่อนๆที่พี่รู้จักก็ไม่ใครที่ต้องการสอนพิเศษ พี่เลยไม่รู้จะหาใครมาแทนให้”

ผมพูดเองเออเองเพราะรู้ดีว่าจะถามอะไรป้อมก็คงไม่ตอบ จึงชงเรื่องเองทั้งหมด

- - -

“เฮ้ย นี่มันอะไรกันวะ” ไอ้กี้เอะอะโวยวาย “ความคิดของใครวะเนี่ย”

ความวุ่นวายอลเวงเกิดขึ้นในชมรมในตอนเย็นวันหนึ่ง... หลังจากการจับฉลากเลือกพื้นที่ที่จะไปเหวี่ยงแหขอสปอนเซอร์ การขอสปอนเซอร์นี้จะแบ่งกลุ่มกัน กลุ่มละสองคน แล้วจับฉลากเลือกพื้นที่ซึ่งมีอยู่ ๖ พื้นที่ แน่นอน ผมหนีไม่พ้นต้องจับคู่กับไอ้กี้

“ได้ที่ไหนวะ” ผมชะโงกหน้าดูข้อความที่เขียนอยู่ในฉลากอยู่ในมือไอ้กี้ “ถนนแจ้งวัฒนะ”

ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าถนนแจ้งวัฒนะอยู่ที่ไหน แต่ฟังดูแล้วคงไม่ใช่พื้นที่ในเมือง บางคนก็โวยเพราะจับได้ถนนสุขาภิบาล ๑ ฟังดูยิ่งชนบทเข้าไปใหญ่

พวกปีสามกับปีสี่ช่วยกันเลือกพื้นที่ ส่วนปีหนึ่งกับปีสองเป็นฝ่ายปฏิบัติการ ความคิดของพวกรุ่นพี่ก็คือพื้นที่ในเมืองคงโดนขอสปอนเซอร์จนพรุนไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไปเลือกพื้นที่ชานเมืองเป็นเป้าหมายแทน

“ไอ้บั้ว” ไอ้กี้บ่น ไอ้บั้วก็หมายถึงไอ้บ้านั่นเอง แต่สุภาพกว่า ไอ้กี้ใช้ด่าในบางครั้ง ใครคิดศัพท์คำนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน “ฟังชื่อถนนยังกะทำนาเลี้ยงควายกัน ทำไมไม่ไปขอที่สุพรรณฯเลยวะ”

“พูดเกินไป ไอ้กี้” พี่ตั้วโต้บ้าง “รายชื่อถนนที่ให้ไปน่ะมีห้าง ร้าน โรงงาน ตั้งอยู่ทั้งนั้น ไม่ได้ให้นายไปไถนาโว้ย... ถึงแม้จะรู้ว่านายถนัดไถนาก็ตาม”




<สภาพถนนสุขุมวิทในย่านเพลินจิต เพลินจิตเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯมานานแล้ว ในยุคนั้นมีทั้งอาคารสำนักงานและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอยู่อย่างครบครัน มีทั้งห้างสรรพสินค้า ชื่อห้างบิ๊กเบล (ปัจจุบันเลิกกิจการไปนานแล้ว) ร้านอาหาร โรงเรียนสอนภาษา ธุรกิจรับแปลเอกสาร อพาร์ตเมนต์ให้เช่า ฯลฯ ในภาพเป็นย่านเพลินจิตในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ แม้ไม่ใช่เป็นปีที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยแต่สภาพก็ใกล้เคียงกัน>

13 comments:

พี said...

ตอนนี้ที่บ้านฝนกำลังตกหนักเลย...

แวบเข้ามาดู เจอคุณอูโพสต์ตอนใหม่แล้วดีใจจัง นึกว่าจะมาวันอาทิตย์ซะอีก


ผมว่า...คุณอูได้สอนพิเศษให้ป้อมต่อแน่ๆ คนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แบบอูหรือจะเลิก

*** PEE ***

Anonymous said...

แวบเข้ามาดู เจอตอนใหม่ด้วยครับ หวังว่าพี่อูจะแก้ปัญหาเรื่องป้อมได้เหมือนความเห็นก่อนหน้าครับ
ทอป

Riverunt said...

ปัญหามีไว้แก้ไข ถ้าคุณอูท้อถอยง่ายๆ คงไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจในช่วงนี้ แอบเดาว่า พ่อป้อมคงเป็นสปอนเซอร์งานนี้ เพื่อแลกกับคุณอูเป็นครูสอนพิเศษต่อ แต่จะให้ดี ควรมีกิจกรรม outdoor เช่น ว่ายน้ำ เสริมมาสักคอร์สแน่นอน

Anonymous said...

เข้ามาลุ้นว่าอูจะช่วยน้องป้อมได้อย่างไร..
ไหนจะน้องจุ๋มอีกล่ะ..
เป็น"คนดี"ต้องทนเหนื่อยหน่อยนะคะอู

ขอบคุณที่มาไวตามใจต้องการ :))

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

อูคะ..
อาทิตย์นี้วันที่18ก.ย.แล้วค่ะ
ฮิ ฮิ ฮิ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรกับลูกศิษย์คุณอูต่อไป และจะได้สปอนเซอร์จากพ่อป้อมหรือเปล่านะครับ ลุ้นต่อไปอาทิตย์หน้า ขอบคุณครับ
pk

หลาบเอง said...

หลาบคิดว่า บล๊อกมันอัพเเบบดีเลย์ ตอนเช้าหลาบก็เข้ามา ไม่เห็นมีตอนใหม่เลย แต่พอคุณพีเข้ามาเมื่อวานเจอซะแล้ว

มีประสบการณื สอนพิเศษเกมือนกัน คิดว่าเด็กสมัยนี้ ทำไมมันโง่นัก ท่องสูตรคูณยังไม่คล่อง ทั้งที่ ม 3 แล้ว เด็ก ม 1 ก็ยังไม่รู้เลยว่าหนึ่งกิโลเท่ากับกี่กรัม
นี่ขนาดลูกครูนะคะเนี่ย

อู said...

ผมโพสต์ตอน ๔๔ เมื่อวันเสาร์ เวลาประมาณ ๔ ทุ่มครับ เวลาที่ปั๊มอยู่ที่ท้ายหน้าไม่ค่อยตรง คงเอาเวลาประเทศอื่นมาใช้

เด็กสมัยนี้มีเรื่องมากมายที่ต้องทำครับ วิชาความรู้บางด้านก็ไปเร็วมาก สมัยก่อนมัธยมหกปี ป.ตรีสี่ปี สมัยนี้จำนวนปีที่เรียนก็เท่าเดิม แต่ความรู้ในโลกเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เด็กสมัยนี้จึงถูกอัดความรู้มากกว่าสมัยเรา หลายเรื่องจึงตกหล่นหรือหลงลืมไป หลายเรื่องก็เรียนแบบครึ่งๆกลางๆ ได้แค่อย่างละนิดละหน่อย ก็มีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ถ้าเด็กคนนั้นถูกพัฒนาให้ป็นคนที่สามารถเรียนรู้ต่อยอด หาความรู้ได้ด้วยตนเอง ก็สามารถเอาตัวรอดได้ครับ

สอนป้อมนี่เหลือทน เคยคิดเหมือนกันว่าคงถูกกรรมสนองเข้าให้แล้ว ยอมแพ้แบบนี้ละครับ

วันที่ ๑๘ กันยา วันสำคัญอะไรเอ่ย พี่สาวพูดเป็นปริศนา เฉลยหน่อยครับ

Anonymous said...

สงสารป้อมจังคับ

การเปลี่ยนคนสอนเรื่อยๆจะยิ่งทำให้เค้ารู้สึกถึงบมด้วยของตัวเองมากขึ้น

แล้วก้ยิ่งสร้างปมด้อยให้ตัวเองอีก


เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องการคนเข้าใจ เอาใจใสา

ถ้าเป็นผมนะ ผมจะเริ่มจากการฝึกพูด ฝึกสนทนาก่อน


สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับป้อม แล้วก้ค่อยๆให้เค้าเปิดใจที่จะกล้าพูด

Anonymous said...

ยอมแพ้กับน้องป้อมซะแล้ว
ไม่เป็นไร รอลุ้นว่าอูจะหาสปอนเซอร์ได้กี่ราย

ป้าขวัญเอาใจช่วยจ๊ะ

Anonymous said...

วันที่อูลงตอนที่44แจ้งว่าเป็นวันที่11ก.ย.54
เลยอดแซวไม่ได้น่ะค่ะ

คนลาดพร้าว

Choo said...

อูมาโพสแบบย้อนหลัง

ผมก็เลยมาเมนต์แบบศร 555

เป็นกำลังใจให้ป้อม ก้าวข้ามปมด้อยของตนเอง

หากอูไม่คิดจะช่วยน้อง ก็ผิดวิสัยอูอยู่ซักหน่อยนะ

Anonymous said...

เสียดายจัง ตอนเอาขนมมาให้นึกว่าจะสอนกันไปยาวเสียอีก

หลาน Arus ของอาอู