Sunday, September 11, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 43

ในวันศุกร์นั้นเองผมก็ได้เข้าไปเที่ยวในดิสโก้เธคเป็นครั้งแรกในชีวิตหลังจากที่เคยได้ยินเพื่อนๆคุยให้ฟังมาตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย แต่ส่วนใหญ่เพื่อนๆมักพูดกันถึงนาซ่าหรือเดอะพาเลส

วันนั้นพี่อี๊ดกับกลุ่มพวกเราชั้นปีสองรวมกันห้าหกคนนั่งเล่นอยู่ในห้องพักนักศึกษาในแผนกจนเย็น จากนั้นจึงออกไปกินอาหารที่ตลาดสามย่าน กว่าจะกินเสร็จก็ราวๆตอนค่ำ จากนั้นผมก็เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อยืด และพวกเราก็อัดกันไปในรถของพี่อี๊ดมุ่งไปยังโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท การนั่งรถอัดกันเป็นปลากระป๋องนี่แม้ว่าจะร้อนแต่ก็สนุกไปอีกแบบ โดยยุคนั้นรถเก๋งที่เป็นรถบ้านติดครื่องปรับอากาศกันแล้วเป็นส่วนใหญ่ ส่วนรถแท็กซี่มีทั้งที่ติดแอร์กับที่ยังเปิดหน้าต่างขับอยู่ รถพี่อี๊ดนั้นเป็นรถเก๋งติดแอร์

กว่าจะไปถึงโรงแรมก็ประมาณสองทุ่ม หลังจากที่จอดรถแล้วพี่อี๊ดก็เดินนำพวกเราไปตามทางเดินในโรงแรมอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็ไปหยุดยืนที่หน้าประตูบานหนึ่ง มันคือทางเข้าฟลามิงโกนั่นเอง

เมื่อพวกเราเข้าไปข้างใน บรรยากาศก็เปลี่ยนไปในทันทีทันใด จากแสงไฟสีเหลืองนวลเย็นตาที่ส่องสว่างตามทางเดินในโรงแรมกลายเป็นแสงไฟหลากสีส่องวับๆแวมๆ มืดบ้าง สว่างบ้าง คละเคล้าด้วยควันบุหรี่และเสียงดนตรีที่บรรเลงในจังหวะกระแทกกระทั้น พร้อมกับเสริมความมันด้วยการเร่งเสียงจนสนั่น ทำให้เสียงเบสที่มีความถี่ต่ำมีกำลังกระแทกเข้าที่หน้าอกนักเที่ยวจนหัวใจสั่นราวกับจะเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย

“โห นึกว่าควันน้ำแข็งแห้ง ที่แท้ก็ควันบุหรี่” ผมพูดเปรยๆ รู้สึกว่าควันบุหรี่ฉุนจนแสบตาและแสบจมูกไปหมด

“เธคมันก็ยังงี้แหละ” พิมพ์หันมาพูดกับผม ในยุคนั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในห้องอาหาร ผับ บาร์ ดังเช่นในสมัยนี้ นักเที่ยวจึงสูบบุหรี่กันในเธคได้ตามสบาย

ผมสังเกตเห็นผู้ที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน พี่อี๊ดเล่าให้ฟังว่าที่นี่เล็กกว่าที่นาซ่าและไม่แออัดเท่า นักเที่ยวเป็นคนละกลุ่มกัน กลุ่มนักเที่ยวนั้นถูกแบ่งด้วยราคา ที่นาซ่าเป็นแนววัยรุ่นที่ชอบความคึกคักพลุกพล่าน และค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก

วันนั้นเป็นวันศุกร์อันเป็นวันทำงานสุดท้ายของสัปดาห์ จึงมีนักเที่ยวมาเที่ยวเป็นจำนวนมากจนสถานที่ดูแออัด แสงไฟวับแวมหลากสีส่องเข้าตาจนตาลายไปหมด

พวกเราถูกพามานั่งที่ชุดรับแขกเล็กๆ จากนั้นก็สั่งเครื่องดื่มหรือที่เรียกว่าดริ๊งก์ คราวนี้ผมเข็ดตอร์ปิโดแล้ว ไม่อยากโดนหามกลับอีก จึงสั่งพวกเครื่องดื่มที่ไม่แรงนัก แทน ส่วนพวกเพื่อนๆและพี่อี๊ดก็สั่งกันตามอัธยาศัย หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มแล้วพี่อี๊ดก็ชวนน้องๆ

“ไป ออกไปดิ้นกัน” พี่อี๊ดพูด

หลายคนขยับเตรียมจะลุกจากที่นั่งไปดิ้นในฟลอร์ ส่วนผมยังทำอะไรไม่ถูก

“ไอ้อู ออกไปด้วยกัน เร็วๆ” พิมพ์เรียกผมพลางฉุดมือผมให้ลุกจากที่นั่ง

“เดี๋ยวก่อน ขอดูลาดเลาก่อน ยังเต้นไม่เป็น” ผมพูด

“โอ๊ย จะไปยากอะไร อาบน้ำได้ก็ออกไปดิ้นได้” พี่อี๊ดพูด “สิบตาเห็นไม่เท่าทำเอง ออกไปเลย”

“ยังไงพี่” ผมงง “เกี่ยวอะไรกับอาบน้ำ”

“อ้าว ก็เวลาอาบน้ำก็ต้องเช็ดตัวใช่ไหม เวลาเต้นก็ทำเหมือนกับถือผ้าเช็ดตัวล่องหนนั่นแหละ” พี่อี๊ดสรุปพร้อมกับทำท่าเช็ดตัวด้วยผ้าเช็ดตัวล่องหนให้ดู “ยังงี้ ยังงี้ ยังงี้”

ในที่สุดคืนนั้นผมก็ได้ประสบการณ์ในการเต้นดิสโก้เป็นครั้งแรกด้วยท่าเช็ดตัวขัดขี้ไคล เต้นมั่วไปเรื่อย ก็สนุกดีเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อไปกับกลุ่มเพื่อนฝูง สถานที่แบบนี้คงไม่มีใครอยากไปคนเดียวเป็นแน่

กว่าจะออกจากฟลามิงโกก็เกือบๆเที่ยงคืน ผมกลับถึงหอพักราวๆตีหนึ่งด้วยอาการมึนๆ ไม่แน่ใจว่าอาการมึนนี้มาจากเครื่องดื่มหรือมึนควันบุหรี่กันแน่ หรืออาจจะเป็นจากทั้งสองอย่างก็ได้ หลังจากที่หารค่าใช้จ่ายกันแล้วจำได้ว่าผมจ่ายไปประมาณ ๔๐๐ บาท รวมกับค่าแท็กซี่ขากลับอีกรวมแล้วก็ราวๆ ๕๐๐ บาท ซึ่งก็ถือว่ามากพอดูสำหรับผมเนื่องจากผมจ่ายค่ารถกับค่าอาหารตอนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพียงวันละไม่ถึง ๕๐ บาท ค่าเที่ยวครั้งหนึ่งเท่ากับค่าใช้จ่ายในชีวิตวันเรียนถึงสองสัปดาห์ทีเดียว

- - -

ผลจากการเที่ยวในครั้งนั้นทำให้ผมตัดสินใจทนสอนป้อมต่อไป เพราะมาคิดดูแล้วหากจะกินและเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มนี้ต่อไปผมคงต้องมีรายได้เพิ่ม ไม่อย่างนั้นคงไม่พอ แม้ว่าตอนนั้นผมจะยังไม่ได้รับค่าสอนพิเศษเนื่องจากเพิ่งสอนไปเพียงครั้งเดียว แต่ผมก็เริ่มเรียนรู้แล้วว่าเงินนั้นมีความสำคัญอย่างไร และบางครั้งคนเราก็อาจต้องทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจนักเพื่อให้ได้เงินมา

วันเสาร์ต่อมาผมจึงไปสอนป้อมอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ทดลองเดินทางด้วยเส้นทางใหม่ โดยเดินจากหอพักไปทางสี่แยกที่ถนนลาดพร้าวตัดกับถนนรัชดาภิเษก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในถนนรัชดาภิเษก สี่แยกลาดพร้าวตัดกับรัชดาภิเษกก็คือสี่แยกที่ปัจจุบันเป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินนั่นเอง ตอนนั้นยังเป็นสี่แยกที่ไม่มีสะพานลอยข้ามแยก (สะพานลอยข้ามแยกดูเหมือนจะมีใช้ในอีกสามปีต่อมา) เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าถนนรัชดาภิเษกเดินไปเพียงนิดหน่อย ยังไม่ทันถึงปั๊มน้ำมันเชลล์ ก็มีป้ายรถเมล์แล้ว แต่ปัจจุบันป้ายรถเมล์ย้ายออกไปไกลจากสี่แยกมาก อยู่เลยตึกโอลิมเปียไปอีก

ผมขึ้นรถจากถนนรัชดาภิเษกเพื่อไปลงที่ปากซอยสุขุมวิท ๒๑ (ซอยอโศก) จากนั้นขึ้นรถเมล์ต่อไปยังซอยสุขุมวิท ๑๐๑ อีกทีหนึ่ง บังเอิญโชคร้าย วันนั้นฝนตกหนัก การจราจรในถนนสุขุมวิทช่วงเช้าวันเสาร์จึงติดหนัก ผมไปถึงบ้านของป้อมในสภาพที่เนื้อตัวเปียกปอนราวกับตกน้ำ การเดินทางในวันนี้สาหัสกว่าครั้งก่อนมาก

หลังจากที่กดออด ป้อมออกมาเปิดประตู เมื่อป้อมเห็นสภาพของผมก็ทำสีหน้าอมยิ้ม แต่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ ผมนึกอยากเขกหัวป้อมมากแต่ก็พยายามยั้งใจเอาไว้

วันนั้นพ่อของป้อมอยู่บ้าน พ่อของป้อมใจดีเอาผ้าขนหนูให้เช็ดตัว พร้อมกับหาเสื้อยืดมาให้ผมใส่ชั่วคราว และให้เอาเสื้อของผมไปผึ่งลม พ่อของป้อมได้เรียกผมเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัว พร้อมกับเล่าให้ฟังว่าป้อมมีอาการผิดปกติเรื่องเสียง

“ป้อมมีความผิดปกติเกี่ยวกับเส้นเสียง จึงทำให้เสียงเป็นแบบนี้ อยู่ที่โรงเรียนก็โดนล้อมาตั้งแต่เด็ก ก็เด็กละนะ คนล้อบางทีก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คนถูกล้อก็อายและคิดมาก” พ่อพูด “ตอนเข้าวัยรุ่น เด็กผู้ชายคนอื่นเค้าเสียงแตกกัน ป้อมก็ยังเสียงเล็กเหมือนเสียงแมวอยู่ ยิ่งทำให้ป้อมรู้สึกอายและเป็นปมด้อยมากขึ้น ทำให้เป็นคนไม่ค่อยชอบพูด”

“ครับ” ผมได้แต่รับคำเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“การเรียนของป้อมไม่ค่อยดีนัก” พ่อพูดต่อ” คิดว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะป้อมไม่พูด ไม่ถาม อะไรที่เรียนไม่รู้เรื่องก็เลยไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนั้น ทำให้เรียนไม่ทันเพื่อนๆ”

“ป้อมก็เรียน ม.๔ แล้ว ผมว่าพอโตขนาดนี้แล้ว เพื่อนๆไม่ค่อยล้อปมด้อยกันแล้วละครับ” ผมพูดตามประสบการณ์ที่เห็นจากไอ้ตี๋ในสมัยที่เราเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย

“ก็อาจจะใช่ แต่ป้อมก็มีนิสัยพูดน้อยจนแก้ไขไม่ได้ไปเสียแล้ว...” พ่อตอบ หยุดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ “อันที่จริงนิสัยพูดน้อยของป้อมก็อาจจะแก้ไขได้ แต่คงต้องใช้เวลา ตอนนี้อาต้องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการเรียนของป้อมเสียก่อน”

“ผมสอนเมื่อครั้งที่แล้วป้อมแทบไม่พูดอะไรเลย ผมก็ไม่แน่ใจครับว่าป้อมจะได้อะไรจากการเรียนพิเศษบ้าง” ผมออกตัวว่าอย่าคาดหวังในตัวผมมากนัก

“อาอยากให้อูถือเสียว่าป้อมเป็นน้อง พยายามช่วยการเรียนของน้องหน่อยก็แล้วกัน พยายามให้เต็มที่ ส่วนป้อมเค้าจะรับได้แค่ไหนก็ถือว่าแค่นั้น” พ่อพูด พยายามให้กำลังใจผม ซึ่งก็คงคล้ายๆกับที่เคยคุยกับไอ้กี้ “อาอยากให้ป้อมเรียนวิศวะ เราต้องพยายามกันหน่อย อูก็พยายามช่วยน้องด้วย”

ผมจึงถูกยัดเยียดให้มีน้องอีกคนไปโดยปริยาย การคุยกันระหว่างพ่อของป้อมและผมทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมานิดหน่อย ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เป็นเพียงการสอนพิเศษ แต่มันมีความหมายยิ่งกว่านั้น... มันเป็นการช่วยคนคนหนึ่งให้บรรลุเป้าหมายในชีวิต แต่ที่ผมยังไม่แน่ใจนักก็คือผมกำลังช่วยป้อมให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตหรือว่าช่วยพ่อของป้อมให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตกันแน่

“เอ้า ป้อม อธิบายข้อนี้ให้พี่ฟังหน่อย ว่าต้องใช้หลักอะไรในการหาคำตอบ” ผมพูดกับป้อมในขณะที่สอน

“...”

“ป้อม อธิบายให้พี่ฟังหน่อยนะ พี่จะได้รู้ว่าป้อมเข้าใจแค่ไหนไง” ผมพยายามอ้อนวอน

“...”

“เอ้อ... เอายังงี้... ลองเขียนวิธีทำมาก็แล้วกัน” ผมแอบถอนหายใจกับความดื้อเงียบของป้อม ป้อมดื้อเงียบจริงๆ คือทั้งดื้อและทั้งเงียบ

ป้อมก้มหน้าเขียนอะไรขยุกขยิกอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็ส่งให้ผมดู ผมดูแล้วก็รู้ว่าป้อมยังไม่เข้าใจ การที่ป้อมไม่พูดทำให้การเรียนแทนที่จะโต้ตอบและอธิบายกันสั้นๆด้วยคำพูด กลายเป็นว่าต้องเสียเวลาไปกับการเขียนและอ่าน ทำให้การสอนเป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก... ช้ามากจนท้ายชั่วโมงสอนผมก็เริ่มเบื่อและท้อใจอีกครั้งหนึ่ง

- - -

หลังจากการประชุมเรื่องโครงงานออกค่ายอาสา พี่ตั้วก็นัดประชุมสตาฟชมรมอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์ต่อมา หัวข้อการประชุมก็คือการหาสปอนเซอร์

“ท่านสมาชิกผู้มีเกือกทุกท่าน” พี่ตั้วเกริ่น วันนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาไม่อยู่ การประชุมจึงเป็นไปอย่างครึกครื้น

“รู้แล้วว่ามีเกือกกันทุกคน ก็ถอดวางอยู่ที่หน้าประตูชมรม” ไอ้กี้ขัดคอ “ท่านประธานอย่ายื้อ เวลาเป็นเงินเป็นทอง เข้าเรื่องเลยเถอะ”

“ไอ้ห่า” พี่ตั้วหัวเราะ “จะรีบไปตายที่ไหนวะ”

“ท่านประธานจะประชุมหรือจะทะเลาะกันครับ” ผมพูดบ้าง

ตอนนี้ชั้นปีที่สองสนิทสนมกับชั้นปีที่สามมากเนื่องจากปีที่แล้วทำงานมาด้วยกันตลอดทั้งปี จึงแหย่กันเล่นอย่างสนุกสนาน สำหรับเรื่องขุ่นใจระหว่างพี่ตั้วกับผมที่เกี่ยวกับเพ็ญนั้นจางหายไปนานแล้ว ส่วนพวกเราชั้นปีสองปีสามกับน้องชั้นปีหนึ่งนั้นยังไม่สนิทกันนักเนื่องจากปีนี้มีกิจกรรมค่อนข้างน้อย

พี่ตั้วได้รายชื่อบริษัทห้างร้านเป้าหมายขอสปอนเซอร์กิจกรรมมาจากชมรมค่ายราวสิบกว่าแห่ง อยู่กระจายกันตามสถานที่ต่างๆในกรุงเทพฯ หน้าที่ของพวกเราก็คือถือจดหมายแนะนำโครงงานกิจกรรมไปติดต่อที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานนั้นๆ ในยุคนั้นเป็นธรรมเนียมที่ต้องไปติดต่อด้วยตนเอง ไม่นิยมโทรศัพท์ไปคุยแล้วส่งจดหมายตามไป เพราะคิดว่าการไปติดต่อด้วยตนเองนั้นน่าจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากกว่า อีกทั้งการไปขอเงินจากผู้อื่นหากไม่ไปเองก็ดูจะเสียมารยาท ซึ่งหากเป็นสมัยนี้แนวคิดคงเปลี่ยนไปแล้วเนื่องจากสภาพชีวิตที่เร่งรีบและการจราจรที่ติดขัด การส่งอีเมลติดต่อก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ไม่เสียมารยาทแต่อย่างใด แต่จะประสบผลสำเร็จเพียงใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

พวกเราช่วยกันร่างจดหมายแนะนำโครงงาน จากนั้นแบ่งสถานที่ในรายชื่อที่ได้มาคนละสองแห่ง ผมได้ชื่อบริษัทที่อยู่แถวเพลินจิตกับสะพานควาย ผมจึงหาเวลาว่างในวันที่ไม่มีการเรียนในช่วงบ่าย จากนั้นไปติดต่อบริษัทที่เพลินจิตก่อน

การไปขอสปอนเซอร์ในครั้งแรกเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง วันที่ไปติดต่อนั้นผมใส่เสื้อแขนยาว ผูกเนกไทตรามหาวิทยาลัยมาเรียน แต่งตัวดีผิดปกติจนเพื่อนๆในแผนกแปลกใจ พอถึงตอนบ่ายจากนั้นก็ขึ้นรถเมล์ไปที่เพลินจิต

บริษัทที่ผมไปขอสปอนเซอร์นี้มีสำนักงานตั้งอยู่ภายในอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงผมก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบน เมื่อออกจากลิฟต์แล้วก็จะพบเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่ต้อนรับดักอยู่เป็นด่านแรก หลังเคาน์เตอร์จึงเป็นประตูทางเข้าสำนักงานซึ่งเป็นประตูบานทึบและปิดเงียบ ลักษณะก็คล้ายๆกับอาคารสำนักงานในสมัยนี้

ผมรู้สึกผิดคาด นึกว่าจะได้เห็นบรรยากาศของการทำงานในออฟฟิสบ้าง แต่ที่ไหนได้ที่ทำงานกลับปิดอย่างมิดชิดจนคนภายนอกไม่อาจเห็นได้

“ต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ” เจ้าหน้าที่ต้อนรับถามผมเมื่อผมเดินไปถึงหน้าเคาน์เตอร์

“ผมมาจากมหาวิทยาลัยสะพานเหลือง มาติดต่อขอสปอนเซอร์สำหรับโครงงานสร้างห้องสมุดในโรงเรียนชนบทครับ” ผมแนะนำตัวตามที่พี่ตั้วติวให้ก่อนมา

“งบโฆษณาเราหมดแล้วนะคะ” หญิงสาวตอบทันทีโดยไม่ต้องลังเลใดๆ

“เอ้อ...” ผมรู้สึกเหวอ คาดไม่ถึงว่าการขอสปอนเซอร์ครั้งแรกในชีวิตจะถูกปฏิเสธในทันทีตั้งแต่หน้าประตูสำนักงาน ก็ไหนพี่ตั้วบอกว่าเป็นรายชื่อบริษัทห้างร้านที่มีรุ่นพี่เป็นเจ้าของไง “คือ...”

หญิงสาวเห็นผมยืนงง จึงบุ้ยให้ผมมองป้ายเล็กๆที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ป้ายนั้นเป็นป้ายที่ทำไว้อย่างดีเหมือนกับต้องการใช้อย่างถาวร ข้อความในป้ายนั้นอ่านได้ว่า

งดโฆษณา

ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจว่าวลีนี้มีความหมายว่าอะไร ทีแรกก็เห็นป้ายนี้อยู่เหมือนกันแต่ไม่นึกว่าจะเกี่ยวกับผม พอหญิงสาวบุ้ยให้ดูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ถึงจะอ่านป้ายไม่เข้าใจ แต่ผมเข้าใจคำพูดของหญิงสาวอย่างแจ่มแจ้ง

“ถ้ายังไงผมขอฝากเอกสารไว้ได้ไหมครับ” ผมถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก

“ฝากไว้ก็ได้ค่ะ แต่เกรงว่าน้องจะเปลืองเอกสารเปล่า เพราะถึงอย่างไรก็คงไม่ได้ งบโฆษณาปีนี้หมดไปแล้ว” เธอยืนกราน

ผมลังเลนิดหน่อย แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจฝากเอกสารเอาไว้จากนั้นก็ลากลับ

ยังเหลือที่สะพานควายอีกแห่งหนึ่ง ผมคิดในใจ ตอนนั้นกำลังใจหดหายไปกว่าครึ่งแล้ว

หลังจากนั้นผมก็เดินทางไปสะพานควายตามที่อยู่ที่ได้รับมา หน่วยงานนี้ไม่ได้เป็นบริษัทจำกัด เป็นแต่เพียงห้างหุ้นส่วนจำกัด เห็นชื่อห้างหุ้นส่วนแล้วยังนึกไม่ออก แต่เมื่อเดินไล่เลขที่ของตึกแถวในย่านสะพานควายดูแล้วในที่สุดก็พบว่าร้านนี้เป็นร้านขายฮาร์ดแวร์ที่ผมผ่านเป็นประจำตอนเดินทางไปเรียนนั่นเอง

ผมไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ที่หน้าร้าน สภาพในร้านกำลังขายของกันวุ่นวาย ผมพยายามมองหาว่าผมควรยื่นจดหมายกับใครในร้าน แต่ดูๆแล้วก็ไม่เห็นใครที่เหมาะ ครั้นจะฝากกับคนขายของหน้าร้านก็อาจจะทำจดหมายหายเสียก็ได้

“รับอะไรเฮีย” คนขายของหน้าร้านทักทายผมเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในร้าน

จะรับอะไรดีหว่า ก็ไม่ได้คิดจะซื้ออะไรสักหน่อย

“ผมมาหาสปอนเซอร์ จะติดต่อใครดีครับ” ผมตอบกลับไปด้วยคำถาม

“สปอนเซอร์ สปอนเซอร์อะไร” คนขายงง

พอดีผมเหลือบไปเห็นด้านในของร้านมีห้องกระจกเล็กๆ เปิดไฟสว่าง ลักษณะคล้ายเป็นห้องทำงานของเจ้าของร้านอยู่ ผมจึงชี้ไปที่ห้องนั้น

“ผมจะเข้าไปติดต่อข้างใน ไม่ได้มาซื้อของ” ผมพูด

พนักงานขายจึงผละจากผมไปขายของให้คนอื่นต่อ ปล่อยให้ผมเดินเข้าไปสู่ด้านในของร้านเอง

เมื่อไปถึงห้องทำงานด้านใน ผมเห็นหญิงชาวจีนวัยกลางคน ท่าทางคงเป็นเจ้าของหรือไม่ก็เป็นภรรยาของเจ้าของหรือที่เรียกว่าเถ้าแก่เนี้ย เธอกำลังกินขนมอยู่อย่างเอร็ดอร่อย

ผมเคาะประตูห้องกระจกและเข้าไปแนะนำตัวพร้อมกับแนะนำโครงการ

“โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว มาขอสปอนเซอร์กันเยอะแยะ” เถ้าแก่เนี้ยพูดตรงๆ “ช่วยไม่ไหวแล้วจ้ะ ทีแรกก็แค่จะช่วยลูกชายที่ทำสมุดของคณะขาย พอลงโฆษณาไปครั้งหนึ่ง คราวนี้นักศึกษาก็แห่กันมาขอโฆษณาเต็มไปหมด ตั้งแต่เปิดเทอมมานี่ก็ให้ไปหลายรายแล้ว ช่วยไม่ไหวแล้วจริงๆ”

เป็นอันว่าการติดต่อขอสปอนเซอร์ครั้งแรกของผมนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่มีใครสนใจกิจกรรมของเราเลย แม้แต่จะลองพิจารณาโครงงานของเราดูก่อนก็ยังไม่ทำ

- - -

เหตุการณ์กินแห้วนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเพียงคนเดียว แต่ปรากฏว่าเกิดขึ้นกับผู้ที่ไปขอสปอนเซอร์ทุกราย ไม่มีใครสามารถขอสปอนเซอร์ได้เลย

“เฮ้ย มันอะไรกันเนี่ย” ไอ้กี้โวยวายในชมรมขณะที่พวกเรากำลังปรึกษากันถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างคร่งเครียด ต่างจากวันก่อนที่ประชุมกันอย่างครึกครื้น “ทำไมขอไม่ได้เลยสักราย เป็นไปได้ยังไง”

“พี่ก็ขอไม่ได้ว่ะ เดี๋ยวนี้การขอสปอนเซอร์คงยากขึ้น เพราะนักเรียน นักศึกษาที่ทำสมุด ทำหนังสือรุ่น ทำโน่น ทำนี่ มีเยอะไปหมดมั้ง พอทุกคนก็แห่กันไปหาสปอนเซอร์จากที่ซ้ำๆกัน รายที่ไปทีหลังก็ต้องอด” พี่ตั้วพยายามหาคำอธิบาย “ชมรมค่ายเองก็ยังหาทุนสร้างอาคารเรียนได้ไม่พอเหมือนกัน”

“แล้วจะเอาไงต่อล่ะพี่” คนหนึ่งถามขึ้น

“เราก็ต้องหาทางของเราเอง” พี่ตั้วสรุปด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “ยังไงก็ต้องพยายามหาเงินมาทำห้องสมุดให้ได้”

ผมเข้าใจความหมายของพี่ตั้ว ผมรู้ดีว่าหากเราหาเงินทุนไม่ได้ ผลก็คือต้องยกเลิกโครงการห้องสมุดนี้ไป แม้ดูผิวเผินจะไม่มีปัญหาอะไร แต่สภาพในตอนนั้นก็คือพวกชั้นปีสองและปีสามมีความรู้สึกผูกพันกับชมรมมาก แม้จะไม่ได้เบี้ยเลี้ยงหรือผลตอบแทนใดจากการทำกิจกรรมชมรม แต่เราก็รู้สึกราวกับว่าชมรมนี้เป็นของเรา และรู้ดีว่าหากโครงการนี้ล้มเหลว มันคงเป็นการทำลายกำลังใจของพวกเรา รวมทั้งของน้องปีหนึ่งด้วย และเทอมนี้... และอาจจะหมายถึงตลอดทั้งปี... ชมรมของเราก็คงไม่มีกิจกรรมอะไร นอกจากทำชีตเล็กๆน้อยๆ ต่อไปน้องๆคงหนีไปอยู่ชมรมอื่นกันหมด ชมรมนี้คงกลายเป็นชมรมตายซากในรุ่นที่พวกเรารับผิดชอบอยู่ ความรู้สึกของพวกเราที่เป็นรุ่นพี่ก็คือเราจะยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้...



<ดิสโก้เธค เป็นสถานบันเทิงประเภทหนึ่ง ที่มีบริการดนตรี เครื่องดื่ม และพื้นที่เต้นรำ ลักษณะเด่นของดิสโก้เธคคือใช้ดนตรีแบบเปิดแผ่น ไม่ได้เล่นสด แนวเพลงในจังหวะเร็ว เร้าใจ และไฟหลากสีที่ส่องวูบวาบ คำว่าดิสโก้เธคนี้มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า discothèque ภาษาไทยเขียนว่าดิสโก้เทคก็มี

ยุคแรกของดิสโก้เธคแท้ๆเริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1960s ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ดิสโก้เธคในซีกโลกตะวันตกรุ่งเรืองในช่วงทศวรรษ 1970s พอยุค 1980s ก็ค่อยๆซาไป ในปลายทศวรรษ 1980s รูปแบบสถานบันเทิงแบบดิสโก้เธคในซีกโลกตะวันตกค่อยๆเลือนหายไป กลายเป็นไนต์คลับ (nightclub) แทน

สำหรับในเมืองไทยนั้นดิสโก้เธคเริ่มโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่วัยรุ่นและนักเที่ยวเมื่อ เดอะ พาเลส ย่านถนนวิภาวดีรังสิตเปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ (ค.ศ. 1974) หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเดอะดั๊ก (The Duck) ที่พัทยา สองแห่งนี้ถือว่าโด่งดังที่สุด

ราวสิบปีต่อมา ดิสโก้เธคของเมืองไทยก็เข้าสู่ยุครุ่งเรืองสุดขีดเมื่อมีดิสโก้เธคเปิดเพิ่มอีกหลายแห่ง อาทิ ฟลามิงโก้ (Flamingo ๒๕๒๖) ย่านสุขุมวิท ซูเปอร์สตาร์ (Superstar ๒๕๒๘) ย่านพัฒน์พงษ์ เดอะเธค (The Theque ๒๕๓๐) ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฟาโรห์ (Faroh ๒๕๓๐) ย่านสี่แยก อสมท. และนาซ่าสเปซีโดม (Nasa Spaceadome ๒๕๓๑) ย่านคลองตัน ฯลฯ

เพลงดิสโก้ที่นิยมกันในยุคนั้น ถ้าเป็นยุคก่อน ๒๕๒๐ จะเป็นพวก Yellow River, Beautiful Sunday ถ้าหลัง ๒๕๒๐ จะเป็นพวก River of Babylon, Ring My Bell และ Rusputin ของบอนนี่เอ็ม (Bonny M) เพลง Go ของทีนา ชาลส์ (Tina Charles) เพลง Y.M.C.A. ของวิลเลจพีเพิล (Village People)ฯลฯ

เมื่อผ่านพ้นจากยุครุ่งเรืองสุดขีดก็เข้าสู่ยุคโรยรา ดิสโก้เธคค่อยๆเสื่อมความนิยมลงโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง สถานบันเทิงแทบไม่มีนักเที่ยว ต่อมาเมื่อผ่านพ้นยุคต้มยำกุ้ง ยุคของผับและไนต์คลับย่านอาร์ซีเอก็เข้ามาแทนที่

ที่เห็นในภาพคือดิสโก้เธค นาซ่าสเปซี่โดม ย่านคลองตัน ดิสโก้เธคแห่งนี้ปิดตัวไปในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๖>

13 comments:

Anonymous said...

)^_^(ที่1 หุหุ กินโจ๊ก อาบน้ำแล้วออกไปเรียนก่อนวันนี้ได้หล่ออีกต้องใส่หมวกด้วยค้าบ

Anonymous said...

พี่อูเดือนนี้ลงตอนเร็วตามสัญญาจริงๆ ขอบคุณมากครับ
ทอป

หลาบเอง said...

พี่อู ดู จาก google บอกว่า ยังไม่มี อัพอะไร ขึ้นมาเลย พอกด เข้า มาไหงมีตอนไหม่
ทีแรกกะจะเข้ามาอ่านตอนเก่าๆ แก้ขัด

Anonymous said...

เืรื่องน้องป้อมนี่คงต้องมีอะไรอีกยาวแน่ๆ
เรื่องขอสปอนเซอร์ยากเป็นเรื่องปกติตั้งแตุ่สมัยโน้น
มาถึงเดี๋ยวนี้เด็กๆมาขอที่ร้านบ่อยๆ ป้าก็ไม่ให้เหมือนกัน
โดยเฉพาะสปอนเซอร์กีฬาสี จัดขบวนกันเว่อร์เกินตัว

ป้าขวัญ

Unknown said...

คุณอูไม่สบายหายดีแล้วรึครับ
ช่วงนี้ยังฝนตกบ่ายๆ ระวังกลับมาซ้ำอีกนะครับ
เป็นหว่งนะครับ (กล้วไม่ได้อ่านนะครับ อิอิอิ)

ตามมาอ่านครับ
กัน

Anonymous said...

เมื่อตีจุดอ่อนของป้อมแตกน่าจะกลายเป็นได้รับความไว้ใจ เชื่อใจ ยึดพี่อูไว้ในใจตามมารึป่าวคะอู...
ยุคนู้นเล่นง่ายๆฉายหนังลูกเดียว อิอิ

คนลาดพร้าว

Choo said...

การขอสปอนเซอร์ตามห้างร้านต่างๆ คิดว่าเป็นการหินแล้ว การประชุมแบ่งสรรงบประมาณให้ค่ายอาสาฯ ต่างๆ กลับโหดร้ายกว่ากันมาก

ไม่รู้ว่าอูต้องเข้าร่วมจัดสรรงบประมาณฯ หรือเปล่า ไม่รู้ว่าบรรยากาศจะเป็นอย่างไร

ส่วนป้อม คิดว่าอูคงหาทางช่วยน้องได้ในที่สุด

เอาใจช่วยครับ

นัย said...

เอ่อมาแต่ละชื่อ ดูช่างโบราณเหลือเกิน เดอะพาเลสเอย ฟลามิงโกเอย เดอเธคเอย แต่มันคุ้นๆยังไงไม่รู้

ท่าขัดขี้ไคล จะสู้ท่าน้ำร้อนลวกได้หรือเปล่า

รักแรก

Anonymous said...

ใช่เลย..โบราณมากกก
ที่เอ่ยมาทั้งหมดเคยไปแค่เดอะพาเลซที่เดียวเอง
555++

คนลาดพร้าว

อู said...

บอกว่าเคยไปเดอะพาเลสที่เดียว เลยรู้กันหมดเลยว่าพี่เลิกเที่ยวเธคก่อนยุคที่มีนาซ่า ฟลามิงโก้ เฮ่อ

ตอนเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องแย่งชิงงบครับ เพราะว่าที่ชมรมได้งบประมาณจากคณะน้อยมาก ปีละเป็นหลักพันบาท ใช้กับโครงงานพิมพ์ชีตแจกรุ่นน้องเท่านั้น เลยไม่มีใครสนใจ จะทำอะไรต้องหาเงินเองตลอดครับ เป็นธรรมเนียมที่สืบทอดมาจากรุ่นพี่ๆว่าทำอะไรต้องพึ่งตนเอง

เงินห้าหมื่นกว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น ที่จริงฉายหนังก็ดีเหมือนกัน ถ้าตอนนั้นได้คิดคงไม่ต้องลำบาก

ไหน รักแรกช่วยเต้นท่าน้ำร้อนลวกให้ดูหน่อยสิ

Riverunt said...

งานแรกก็อดซะแล้ว กำลังใจคงลดไปเยอะ
สำหรับเธคสมัยก่อน เบื่อที่สุดคือ กลิ่นบุหรี่
กลับห้องทีไร ติดเสื้อ ติดผมตลอด
คิดถึงเมื่อก่อน เธคปิดถึงเช้า เที่ยวตอนไหนก็ได้

Anonymous said...

ดีนะครับ ที่มีความรู้สึกว่าป้อมเป็นน้อง รู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน รู้สึกอยากช่วยเหลือมากขึ้น ขอให้คุณอู ช่วยป้อมให้มีอนาคตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นะครับ ขอบคุณครับทีมาลงอีกตอน
pk

Anonymous said...

หลานไม่เคยเที่ยวเลย

หลาน Arus ของอาอู