Sunday, September 4, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 42

เมื่อป้อมไม่พูดอะไรผมจึงจำต้องเป็นฝ่ายพูดเสียเอง ผมเริ่มทบทวนเนื้อหาของชั้น ม.๔ เทอมต้น ด้วยเรื่องของระบบจำนวน เซ็ตและคุณสมบัติของเซ็ต การยูเนียน อินเตอร์เซกต์ ฯลฯ ป้อมก็ฟังไปเรื่อยๆ ทวนอยู่สักพักก็จบหัวข้อ

“เอาละ ป้อมคิดว่าเข้าใจเรื่องเซ็ตดีขนาดไหน” ผมพยายามถามคำถามที่ต้องตอบด้วยคำพูด ไม่ใช่การพยักหน้าหรือส่ายหน้า แต่ป้อมก็ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าและพูดเสียงเบาๆอยู่ในลำคอเป็นทีว่าเข้าใจ

“ฮึ”

ผมแอบถอนหายใจ รู้สึกอยากเตะเด็กคนนี้หรือไม่ก็จับเอาหัวโขกกับโต๊ะ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด

“เอ้า งั้นป้อมลองทำโจทย์ข้อนี้ให้พี่ดูหน่อย อธิบายเหตุผลให้พี่ฟังด้วย” ผมไม่ยอมแพ้ จะยอมแพ้เด็กนักเรียน ม.๔ ก็อายไอ้กี้ ไอ้กี้แก้ปัญหานี้โดยไม่ทำอะไร อยากเงียบมันก็สอนของมันไปเรื่อยๆ พูดกับลมกับแล้ง ส่วนผมนั้นยังไงก็ต้องพยายามทำให้ป้อมพูดให้ได้

“ฮื่อ” ได้ยินเสียงป้อมคราง หมุนปากกาเล่นบนปลายนิ้ว จากนั้นก็ใช้ปากกาเขียนวิธีทำต่างๆลงบนกระดาษและส่งให้ผมดู

“เอ้อ” ผมชักฉุน “นี่ป้อมไม่คิดจะพูดกับพี่เลยหรือไง ถ้าไม่อยากเรียนกับพี่ก็บอกได้นะครับ”

ป้อมนิ่งไปนิดหนึ่ง ก้มหน้าต่ำ

“เปล่าครับ”

เมื่อผมได้ยินคำตอบของป้อมก็รู้สึกโล่งใจพร้อมๆกับแปลกใจ ที่โล่งใจก็เพราะว่าเข้ามาในบ้านตั้งนานแล้วป้อมยังไม่ได้พูดกับผมเลยสักคำ จนผมคิดว่าป้อมเป็นใบ้หรือไม่ก็ไม่พอใจผม เมื่อป้อมเริ่มพูดผมจึงโล่งใจ และที่แปลกใจก็คือเสียงของป้อม

เสียงของป้อมนั้นไม่เหมือนกับวัยรุ่นชายทั่วไปที่มักแตกพร่าเนื่องจากย่างเข้าวัยหนุ่ม เสียงของป้อมนั้นเป็นเสียงเล็กๆ ไม่ใช่เสียงเล็กแบบเสียงเด็กผู้หญิง แต่เป็นเสียงเล็กแบบเสียงแมวมากกว่า เป็นเสียงที่งุ้งงิ้งๆอธิบายไม่ถูก ผมรู้ได้ทันทีว่าเสียงของป้อมต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่างและป้อมคงรู้สึกอายเสียงของตนเอง ไอ้กี้ไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้เลยแม้แต่น้อย

“เฮ้อ ในที่สุดก็พูดกับพี่เสียที นึกว่าไม่ชอบหน้าพี่เสียอีก” ผมพยายามพูดตลกเพื่อไม่ให้ป้อมรู้สึกอับอาย พร้อมกับพูดต่อ “เอ้า ไหนๆก็ไหนๆ อธิบายข้อนี้ให้พี่ฟังหน่อยว่าทำยังไง”

“อธิบายไม่ถูกครับ” ป้อมส่ายหน้า พูดด้วยเสียงงุ้งงิ้งเหมือนแมวพูดได้ “แต่ว่าทำได้”

สุดท้ายป้อมก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับผม พยายามใช้การพยักหน้า ส่ายหน้า หรือเขียนวิธีทำในกระดาษแทน

เอาวะ เมื่อไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด เมื่อผมรู้ความจริงเช่นนี้ผมเองก็จนใจที่จะบังคับให้ป้อมพูด ป้อมคงรู้สึกอายมาก ผมจึงสอนของผมไปเรื่อยๆ คราวนี้เหมือนพูดกับลมกับแล้งเลยจริงๆ

- - -

วันจันทร์ต่อมา

วันนั้นพี่ตั้ว ประธานชมรมวิชาการ ได้นัดกรรมการและสตาฟชมรมมาประชุมในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนเป็นการพิเศษ ดังนั้นเมื่อเลิกเรียนผมจึงรีบขึ้นไปที่ชมรม เห็นผู้คนแออัดคับคั่งจนเก้าอี้ไม่พอนั่ง ส่งเสียงเฮฮาอึกทึก ผิดแผกไปจากทุกวัน

วันนั้นทั้งวันผมยังไม่ได้ขึ้นไปที่ชมรมเลยเนื่องจากมีงานเก็บข้อมูลการทดลองที่แผนกตั้งแต่เช้า ต้องผลัดกันเก็บข้อมูลสลับกับการเข้าเรียน เมื่อเลิกเรียนแล้วจึงค่อยเสร็จงาน พอวางมือจากงานได้ผมก็ขึ้นไปที่ชมรมทันที

เมื่อขึ้นไปถึงชมรม คนแรกที่ผมมองหาก็คือไอ้กี้ เห็นมันกำลังคุยเอะอะเฮฮากับเพื่อนๆอยู่

“เฮ้ย ไอ้หมากี้” ผมเรียกไอ้กี้เมื่อพบกับมัน “ขอคุยด้วยหน่อย”

“มีอะไรไอ้เหี้ยอู” ไอ้กี้ตอบ

“ไปคุยกันข้างนอกดีกว่า ขอคุยส่วนตัวหน่อย” ผมพูด จากนั้นผมและไอ้กี้ก็ปลีกตัวจากเพื่อนๆ เดินออกไปนอกชมรม หามุมที่ห่างไกลจากผู้คนเพื่อคุยกัน

“เด็กมึงเป็นไงบ้าง” ไอ้กี้ถามพลางหัวเราะอารมณ์ดี และราวกับว่ามันรู้ว่าผมจะคุยเรื่องอะไรกับมัน

“ไอ้เปรต เด็กกูที่ไหน ก็เด็กของมึงนั่นแหละ แต่ฝากให้กูสอนแทน” ผมแย้ง “มึงรู้เรื่องป้อมใช่ไหม”

“เรื่องอะไร” ไอ้กี้ถามแบบเล่นลิ้นพร้อมกับหัวเราะตาหยี “มึงถามถึงเรื่องไหนล่ะ”

“เรื่องเสียงของป้อมน่ะ” ผมพูด

“รู้สิ” ไอ้กี้ตอบพร้อมกับหัวเราะอีก

“ไอ้ห่า แล้วมึงทำไมไม่บอกกูก่อน” ผมด่ามันอีก รู้สึกเคืองที่มันไม่บอกให้ผมรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของป้อม ทีแรกผมก็เข้าใจว่าป้อมเป็นคนพูดน้อยแล้วไอ้กี้มันพูดเวอร์ว่าเหมือนสอนท่อนไหม้ แต่เรื่องราวกลับซับซ้อนกว่านั้น

“จะบอกทำไมล่ะ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร อีกอย่าง ไปถึงมึงก็รู้เองนั่นแหละ” ไอ้กี้หัวเราะชอบใจ “พ่อแม่เค้าก็อธิบายให้มึงฟังเอง”

ผมหัวเราะไม่ออก ผมกำลังคิดว่าไอ้กี้วางยาผม ส่งเด็กมีปัญหามาให้ผมสอนโดยไม่บอกว่าเด็กมีปัญหาอะไร

“กูเจอพ่อกับแม่ของป้อมเสียที่ไหน ไปถึงไม่มีผู้ใหญ่อยู่ กูก็ต้องเริ่มสอนเลย พูดคนเดียวอยู่สามชั่วโมง เหมือนคนบ้าเลยว่ะ” ผมบ่น “ยังงี้วางยากันนี่หว่า”

“อ้าว เหรอ” ไอ้กี้ทำเสียงแปลกใจ คงรู้สึกผิดคาดหมายอยู่บ้าง “กูวางยามึงที่ไหนวะ หารายได้มาให้มึง แทนที่จะขอบใจยังจะมาว่ากูอีก”

“ก็เด็กมีปัญหานี่หว่า” ผมบ่นอีก

“โธ่เอ๊ย ไอ้อู” ไอ้กี้โวยใส่ผมบ้าง “มึงก็อย่าคิดว่ามีปัญหาสิวะ มึงคิดเสียใหม่ว่าพูดคนเดียวแล้วได้เงิน งานง่ายๆ ใครทำไม่ได้ก็บ้าแล้ว”

“แล้วมึงไม่ต้องรับผิดชอบกับผลการสอนหรือไง พูดคนเดียว พูดอะไรก็ได้ แล้วไม่ต้องสนใจเด็กว่าจะรู้เรื่องหรือเปล่ายังงั้นเหรอ” ผมโวยเสียงดังใส่บ้าง

ไอ้กี้เอาหลังมือมาแตะที่หน้าผากของผม

“กูว่ามึงตัวร้อนแล้วไอ้อู ไปหายาพารากินหน่อยไป” ไอ้กี้หัวเราะ “จะไปเอาจริงเอาจังอะไรนักหนาวะ ก็เค้าจ้างให้เราสอน เราก็สอน เด็กไม่ตอบสนองอะไรก็เป็นเรื่องที่เด็กเอง แล้วจะให้เรารับผิดชอบอะไรล่ะ ถ้าสงสัยอะไรก็ถาม ถามมากูก็ตอบให้ ก็ไม่ถามเองนี่ แล้วจะให้รับผิดชอบอะไร”

“เอ้อ” ผมอึ้งกับเหตุผลของไอ้กี้ คิดไปมันก็ถูกดังที่ไอ้กี้ว่าเหมือนกัน แต่มาคิดอีกทีมันก็ไม่เชิงว่าจะถูกต้องนัก

“มันเหมือนไปหลอกเงินพ่อแม่เค้าว่ะ” ผมพูดอีก

“หลอกห่าอะไรล่ะ” ไอ้กี้เสียงดังใส่ผมอีก “พ่อแม่ไอ้ป้อมก็รู้ว่ามันไม่ชอบพูดเพราะอายเสียงของตัวเอง เค้าก็บอกให้ทำเท่าที่ทำได้ แล้วจะพูดว่าหลอกได้ไง”

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูก่อน” ผมลังเล ไอ้กี้อาจจะถูกก็ได้ แต่ยังไม่อยากยอมแพ้มันในขณะนี้

“ก็กูไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาอะไรนี่หว่า” ไอ้กี้ตอบ “อีกอย่าง คิดว่าเมื่อไปถึงพ่อแม่เค้าก็อธิบายให้มึงฟังเอง ไม่นึกว่ามึงไปถึงแล้วไม่เจอใคร”

“โอ๊ย ยังงี้ก็สอนไม่ไหวโว้ย สอนแล้วกลุ้มใจ” ผมตัดบท

“ตามใจมึง มึงก็คุยกับพ่อแม่ของไอ้ป้อมเองก็แล้วกัน” ไอ้กี้ตัดบทบ้าง

“อ้าว เฮ้ย กูแค่สอนแทนมึงชั่วคราว มึงสิที่ต้องไปบอกพ่อแม่ป้อม” ผมแย้งมัน

“กูไม่สนใจหรอกว่าใครสอนแทนใคร ตอนนี้มึงรับช่วงไปแล้ว มีอะไรก็ไปบอกเค้าเอง กูไม่เกี่ยวแล้วโว้ย” ไอ้กี้ตัดรอนแบบไร้เยื่อใย สุดท้ายยังไม่วายด่าผมอีก “โธ่ ไอ้อูเอ๊ย เรื่องง่ายๆเสือกคิดมาก ทำให้กลายเป็นเรื่องยาก กูว่ามึงบ้าไปแล้วแน่เลย”

“เฮ้ย กัดกันเสียงดังเชียว เดี๋ยวเอาน้ำสาดเสียหรอก” เสียงพี่ตั้วลอยมาจากหน้าประตูชมรม “อาจารย์มาแล้ว เข้ามาประชุมได้แล้ว”

เมื่อพี่ตั้วมาขัดจังหวะ เราสองคนจึงยุติการสนทนาเรื่องป้อมแต่เพียงเท่านั้นโดยที่ผมยังรู้สึกขุ่นใจอยู่

การประชุมชมรมในวันนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงงานกิจกรรมประจำปี โดยอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมเข้าร่วมประชุมด้วย ดังนั้นจึงคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญ อาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมเป็นอาจารย์ที่สอนอยู่ในคณะเทคโนนั่นเอง ชื่ออาจารย์โก เป็นชายหนุ่มผิวขาว สูงโปร่ง ใส่แว่นกรอบทอง หน้าตาผิวพรรณขาวๆแบบคนเหนือหรือไม่ก็ลูกครึ่งไทยจีน อยู่ในวัยไม่ถึงสามสิบปี ผมเห็นอาจารย์โกบ่อยๆในคณะ แต่เพิ่งเคยพบอาจารย์โกบนชมรมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง เห็นอาจารย์พูดคุยกับพวกรุ่นพี่ปีสามและปีสี่ในชมรมอย่างกันเอง พี่ตั้วเคยเล่าให้ฟังว่าอาจารย์เองก็เคยทำงานอยู่ในชมรมมาก่อน เมื่อเรียนจบและกลับมาเป็นอาจารย์ที่นี่จึงรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมต่อจากอาจารย์ที่ปรึกษาคนก่อนที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว

“อ้า... วันนี้อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเรามาร่วมประชุมด้วยนะครับ” พี่ตั้วเริ่มการประชุมเมื่อทุกคนเข้ามารวมตัวกันในห้องชั้นในของชมรมเป็นที่เรียบร้อย นั่งบ้าง ยืนบ้าง ตามอัธยาศัยเนื่องจากเก้าอี้มีไม่เพียงพอ

“ไม่ต้องอ้าก็ได้ท่านประธาน พูดได้เลย” ไอ้กี้แซว พี่ตั้วยกเท้าทำท่าเหมือนกับจะเตะ ทำปากหมุบหมิบ อ่านริมฝีปากได้ความว่าอย่าแซวสิวะไอ้ห่า ผมเหลือบมองไปดูอาจารย์โก เห็นอาจารย์ที่ปรึกษานั่งอมยิ้ม

“ผมขอเข้าเรื่องเลยนะครับ อะแฮ่ม” ท่านประธานกระแอมไอด้วยความประหม่า “ที่ผมเชิญทุกคนมาประชุมในวันนี้ก็เพื่อหารือเกี่ยวกับกิจกรรมชมรมประจำปีนี้”

พี่ตั้วหยุดไปนิดหนึ่ง กลืนน้ำลายไปสามอึกแล้วพูดต่อ

“เดิมเราพยายามซาวเสียงในภายในชมรมเพื่อหากิจกรรมประจำปีใหม่ๆทำ แต่หลังจากที่พูดคุยกันแล้วก็ยังหากิจกรรมที่เหมาะสมไม่ได้ บังเอิญผมเป็นเพื่อนกับประธานชมรมค่ายอาสา เราได้คุยกัน ทางชมรมค่ายอาสาเองก็มีโครงการพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนในชนบท แต่ยังขาดกำลังและงบประมาณในการเลือกและจัดหาหนังสือเข้าห้องสมุด ทางชมรมค่ายจึงเสนอโครงการออกค่ายอาสาร่วมกันระหว่างชมรมค่ายกับชมรมวิชาการ โดยให้เรารับผิดชอบเรื่องการทำห้องสมุดเป็นหลัก จึงอยากขอความคิดเห็นจากทุกๆคน รวมทั้งขอคำแนะนำจากอาจารย์โกด้วยว่าเห็นสมควรที่จะทำโครงการใหม่ในปีนี้ด้วยการร่วมมือกับชมรมค่ายอาสาทำห้องสมุดโรงเรียนในชนบทหรือไม่ ถ้าหากทำ โครงงานแรกที่เราจะร่วมด้วยได้ก็คือโครงงานสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนประถมซึ่งมีเรื่องห้องสมุดเป็นโครงการย่อยอยู่ด้วย โครงการนี้อยู่ในแผนกิจกรรมของชมรมค่ายอาสาอยู่แล้ว จะออกค่ายในช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคมนี้ หากเราตกลงก็เข้าไปร่วมงานกันกับชมรม” พี่ตั้วร่ายยาวในอึดใจเดียว ทุกคนฟังเงียบกริบ “เอ้า จบแล้ว ขอเชิญทุกท่านอภิปรายแสดงความเห็นได้”

“เฮ้ย พูดจบแล้วเหรอ ทำไมสั้นยังงี้” เสียงแซวและเสียงเฮฮาดังเซ็งแซ่ หลังจากนั้นก็เป็นการซักถามรายละเอียดต่างๆกัน สังเกตว่าพวกรุ่นพี่คุยกันเฮฮาและเป็นกันเองกับอาจารย์โกมาก พูดคุยกันโดยไม่ต้องเกร็ง เป็นเหมือนรุ่นพี่กับรุ่นน้องมากกว่าจะเป็นอาจารย์กับนักศึกษา

หลังจากที่ช่วยกันซักถามรายละเอียด ในที่สุดก็ได้ความว่าโครงการค่ายอาสาในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้จะไปพัฒนาโรงเรียนในชนบทในภาคอีสาน โดยโครงการย่อยห้องสมุดนี้ชมรมค่ายอาสาเขียนโครงการและตั้งงบประมาณไว้ราว ๕๐,๐๐๐ บาท แต่งบประมาณส่วนนี้ยังหาไม่ได้ หากชมรมวิชาการจะร่วมมือกับชมรมค่ายก็ให้รับผิดชอบด้านการหางบประมาณและจัดหาหนังสือที่เหมาะสม ส่วนตอนออกค่ายนั้นสมาชิกของทั้งสองชมรมจะทำงานร่วมกันและเหมือนกันหมด ต้องเลื่อยไม้ ตอกตะปู ขุดดิน เหมือนกันโดยไม่มีการแบ่งแยก

“เฮ้ย ต้องไปขุดดินด้วยเหรอ ทำห้องสมุดน่าทำแต่ไปขุดดินเลื่อยไม้นี่ไม่ไหว ตากแดดผิวเสียตายห่า” ไอ้กี้ออกความเห็นเบาๆไม่ให้อาจารย์โกได้ยิน

“ผิวเสีย ถุย” ผมบอกมัน “ปากมึงเสียอยู่แล้ว ผิวเสียด้วยก็ไม่เป็นไรหรอก”

“แล้วงบค่าหนังสือนี่จะมาจากไหนครับพี่ตั้ว” สมาชิกคนหนึ่งถาม

“ก็หาเอา” พี่ตั้วตอบ “ทางชมรมค่ายจะมีรายชื่อบริษัทห้างร้านที่เราสามารถไปขอสปอนเซอร์ได้”

ในยุคนั้นการหางบสำหรับออกค่ายส่วนใหญ่เป็นการขอการสนับสนุนจากบริษัทห้างร้านต่างๆ ส่วนหนึ่งเป็นธุรกิจของศิษย์เก่า จึงให้กันได้อย่างง่ายๆ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นบริษัทใหญ่ที่มีการจัดสรรงบประมาณของบริษัทเพื่อสนับสนุนกิจกรรมนักศึกษา ภาษาในสมัยนี้ก็คือมีการทำซีเอสอาร์นั่นเอง ส่วนใหญ่มักหนีไม่พ้นบริษัทปูนต่างๆและบริษัทน้ำมันต่างๆ การขอรับบริจาคด้วยการยืนถือกล่องตามแหล่งชุมชนนั้นจำได้ว่าไม่เคยเห็น

เมื่อพูดถึงการขอสปอนเซอร์ สมาชิกก็อภิปรายกันเสียงขรมเพราะพวกเราส่วนใหญ่ไม่คุ้นกับการขอสปอนเซอร์เนื่องจากกิจกรรมทางวิชาการที่ผ่านมาในช่วงรุ่นของพวกเรานี้ไม่ได้ใช้เงินมากนัก แม้แต่การทำสมุดขายที่เป็นกิจกรรมหาเงินยอดฮิตก็ไม่ได้ทำ จึงไม่เคยต้องหาเงินสนับสนุน หลายคนจึงรู้สึกอายที่ต้องตากหน้าไปขอสปอนเซอร์ตามหน่วยงานต่างๆ

“สมัยก่อนที่ชมรมนี้ก็เคยมีการขอสปอนเซอร์นะพวกเรา เพราะกิจกรรมเมื่อก่อนหลายโครงการต้องใช้เงินพอสมควร สมัยนี้ยังดีที่มีรายชื่อบริษัทห้างร้านมาให้ สมัยที่ผมทำกิจกรรมต้องนั่งรถเมล์ไปลงที่สีลม แล้วเดินเข้าบริษัทโน้นออกบริษัทนี้ตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน ขอดะไปเลย” อาจารย์โกพูดขึ้นบ้าง เสียงจ้อกแจ้กของพวกสมาชิกจึงสงบลงไป

ในที่สุด เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าน่าลองทำดู เพราะรู้สึกสนุกกับการไปออกค่าย และเมื่ออยากไปออกค่ายก็ต้องรับผิดชอบเรื่องการขอสปอนเซอร์ไปโดยปริยาย เมื่ออาจารย์โกสนับสนุนและให้กำลังใจ ดังนั้น กิจกรรมโครงการใหม่ของพวกเราก็เริ่มต้นขึ้น...

- - -

ตลอดสัปดาห์นั้นผมคิดทบทวนอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสอนพิเศษป้อมต่อไปดีหรือไม่ ผมรู้สึกว่ารับสภาพการเรียนการสอนแบบนั้นได้ยาก แต่ครั้นจะให้โทรไปบอกเลิกการสอนผมก็กลับลังเล

“นี่ ไอ้อู พรุ่งนี้ไปฉลองกัน” เสียงพิมพ์ เพื่อนสาวร่วมแผนกเรียกผมเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องพักแผนกในตอนเช้าวันพฤหัสก่อนเวลาเข้าเรียน ตอนนั้นมีเพื่อนๆอยู่ในห้องพักสี่ห้าคน

“ที่ไหน และเนื่องในโอกาสอะไร” ผมถาม

“ไปดิ้นกัน พี่อี๊ดเค้าอยากไป เลยชวนพวกเราไปด้วย” พิมพ์ตอบ

ไปดิ้นนี่หมายถึงไปดิสโก้เธค พิมพ์เป็นเพื่อนในแผนกที่สนิทกับผมเนื่องจากเราอยู่ในกลุ่มเดียวกันในวิชาปฏิบัติการหลายวิชา การทำงานแล็บด้วยกันต้องแบ่งงานกันทำและต้องรับผิดชอบร่วมกัน พิมพ์เป็นคนที่มีน้ำใจ นอกจากจะไม่เอาเปรียบเพื่อนแล้วยังมักเอื้อเฟื้อเพื่อนคนอื่นๆอยู่เสมอ เราจึงสนิทสนมกัน พิมพ์กับเพื่อนในกลุ่มมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือชอบสีสันและเรื่องบันเทิง พิมพ์ชอบเดินเที่ยวห้าง กินของอร่อย และแน่นอน ราคาก็ต้องแพงตามไปด้วย แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับพิมพ์เนื่องจากเธออยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดี พิมพ์กับเพื่อนอีกสามสี่คนที่คอเดียวกันมักติดสอยห้อยตามหนุ่มเมโทรอี๊ดไปโน่นมานี่อยู่เสมอ และไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือว่าโชคร้ายที่ผมก็ติดอยู่ในกลุ่มนี้เสียด้วย

“ไปไหนล่ะ นาซ่าเหรอ” ผมถาม “เราดิ้นไม่เป็นนะ ไม่เคยเข้าดิสโก้เธค”

สมัยนั้นยังเป็นยุคของดิสโก้เธคอยู่ แม้ว่าจะพ้นยุครุ่งเรืองสุดขีดไปแล้วก็ตาม ดิสโก้เธคชื่อดังที่ชื่อคุ้นหูแต่ไม่เคยเข้าก็ได้แก่นาซ่าสเปซี่โดมที่หัวหมาก รองลงมาก็เป็นเดอะพาเลสที่วิภาวดีรังสิต พอได้ยินว่าไปดิ้นก็เลยเดาชื่อนี้เอาไว้ก่อน หลังๆนี่อะไรที่ไม่เคยผมก็บอกไม่เคย ไม่ต้องอายแล้วเนื่องจากสนิทสนมกัน อะไรที่ไม่เคยผมก็พร้อมที่จะเรียนรู้

“อุ๊ยเธอนี่ ไปไหนก็ไม่เคยไปสักที่” พิมพ์หัวเราะ “แล้ว ส.โบตั๋นล่ะ เคยเข้าหรือยัง”

“ใกล้มหาลัยเกินไป ไม่เข้าหรอก เดี๋ยวหึ่งไปทั่วคณะ” ผมพูดเพื่อรักษาฟอร์ม

“หา แล้วเคยไปเข้าที่ไหน เคยเที่ยวผู้หญิงแล้วเหรอ” พิมพ์ทำตาโต หูผึ่ง เพื่อนๆที่อยู่ในห้องหันมามองผมเป็นตาเดียว

“ของแบบนี้ใครไปแล้วเอามาเล่ากันล่ะ” ผมออกลีลาต่อไปอีก

“ก็เล่าให้ชั้นฟังนี่แหละ ชั้นอยากรู้” พิมพ์ตอบ “เคยไปเที่ยวที่ไหนมา บอกหน่อยซิ”

“ไม่บอกโว้ย” ผมพูด

“ชิชิ เห็นหน้าตาละอ่อน อะไรก็ไม่เคย นึกว่าไก่อ่อน ที่แท้ก็ร้ายนะไอ้อู” พิมพ์แซว

“ตกลงว่าจะไปที่ไหน” ผมเบี่ยงประเด็นให้ห่างตัวออกไป

“ไปฟลามิงโก” พิมพ์พูด “เอาเสื้อมาเปลี่ยนด้วยนะ”

“เดี๋ยวก่อน มันอยู่ที่ไหน” ผมซัก

“อยู่ในโรงแรมแอมบาสซาเดอร์” พิมพ์ตอบ

“แล้วโรงแรมนี้อยู่ที่ไหน” ผมซักต่อ ยังไม่หายข้องใจ

“เธอนั่งรถไปกับพวกเรา ไม่ได้นั่งรถเมล์ไปเอง จะซักไปทำไม” พิมพ์ตอบ “อยู่สุขุมวิท ซอย ๑๑”

“ทำไมต้องเปลี่ยนเสื้อด้วยล่ะ” ผมสงสัย

“จะไปดิ้นทั้งชุดนักศึกษานี่น่ะเหรอ มันก็ต้องเปลี่ยนเป็นชุดเที่ยวสิเธอ”

“แล้วชุดเที่ยวนี่มันเป็นยังไง จะได้แต่งถูก” ผมซักอีก

“โอ๊ย” พิมพ์ร้องกรี๊ดกับคำถามอันมากมายของผม “ใส่อะไรมาก็ได้ที่ไม่ใช่เสื้อขาวแบบนักศึกษาก็แล้วกันพ่อคุณ ถ้ามีเสื้อเชิ้ตหรือเสื้อฮาวายสีสดใสก็ยิ่งดี จะถามอะไรอีกไหม จดใส่กระดาษมาก็ได้นะ จะได้ตอบให้ทีละข้อไปเลย”

เสื้อฮาวายอะไรนั่นผมไม่มีหรอก มีแต่เสื้อเชิ้ตใส่ไปเรียน สีขาวกับสีพื้นอ่อนๆไม่กี่ตัว นอกนั้นก็เป็นเสื้อยืดทั้งหมด

“หมดแล้ว ไม่ต้องประชดหรอก เฮอะ” ผมบ่นบ้าง “เดี๋ยวก็ไม่ไปซะหรอก”

14 comments:

Anonymous said...

ช่วงนี้ยุ่งมากไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านเลย
ติดตามมานานแล้วครับ
ขอให้อาอูรักษาสุขภาพด้วยนะครับ

นัทซึ

yo408 said...

ที่2. เย่

ช่วงนี้มาไวทันใจดีแท้ครับ เดือนก่อนโน้นทั้งเดือนได้อ่านตอนเดียว

ขอบคุณที่ลงไวครับ

Anonymous said...

เอาแล้วๆ มือใหม่หัดท่องราตรีจะมีอะไรให้วาบหวิวใจมั่งล่ะเนี่ย..แต่เดาเอานะว่าอูน่าจะไม่ชอบเท่าไหร่หรอก

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

)^_^(สวัสดีครับลุงอู อ่านแล้วน่าเห็นใจป้อมจังคงมีปมด้อยทำให้ไม่กล้าคุยไม่กล้าถามครู เดาว่าคงไม่มีเพื่อนด้วยมั้งคับ สงสารจังถ้าเป็นผมจะติวให้และจะพามาให้เพื่อนๆช่วยติวให้ด้วยหละ

Anonymous said...

เห็นด้วยกับคอมเม้นที่สี่ครับ เห็นใจป้อม คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ก็ต้องรับสภาพกันไป คนที่มีความสมบูรณ์กว่า ก็ต้องช่วยเหลือกันไปนะครับ เป็นกำลังใจให้คุณอูครับ
pk

หลาบเอง said...

ช่วงนี้พี่อู ขยันจัง

Anonymous said...

ขอบคุณครับ ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับ สมัยมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่เรียนรู้ชีวิตในหลาย ๆ ด้าน ช่วงหนึ่ง น่าจะทำให้อูเข้าใจชีวิตได้ดียิ่งขึ้น รออ่านตอนหน้าครับ

ทอป

Anonymous said...

ที่7 ขยันจังนะครับ อาอู ^^

-มังกรน้อย-

Anonymous said...

จะท่องราตรีกันอีกแล้ว
รักษาเวอร์จิ้นกับหญิงให้ดีนะ

ป้าขวัญ

อู said...

เดือนนี้จะพยายามโพสต์ให้มากขึ้นครับ ชดเชยกับที่ช้าไปมาก มีโอกาสก็จะรีบเขียนรีบโพสต์ครับ

ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเที่ยวเยอะครับ ผับ บาร์ ยันพัฒน์พงษ์ ซอยคาวบอย ที่ไม่ได้เข้าคืออาบอบนวด ใช้เงินเปลือง เรียนรู้ชีวิตไปเรื่อยๆ แต่ไม่ชอบไปไหนดึกๆจริงอย่างที่พี่สาวลาดพร้าวว่าครับ ทำไมรู้ใจผมจังหมู่นี้ แค่เรียน ทำกิจกรรม กับสอนพิเศษ ก็เหนื่อยแล้ว และไม่ชอบควันบุหรี่ด้วย (ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็หัดสูบ) เวลาดึกๆชอบอยู่ที่ห้องนั่งคิดอะไรเงียบๆมากกว่า

เป็นหวัดคราวนี้ไม่เป็นไรมากครับ หายไวด้วย โชคดีไป อดนอนติดกันนานๆทีไรไม่สบายตามมาเสมอเลย ยังหาวิธีแก้ไม่ได้เหมือนกัน ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกๆคนครับ

หลาน arus สงสัยจะไม่สบาย เงียบๆไป พักเยอะๆนะหลาน ส่วนพี่ชูก็หาย รักแรกของผมก็หาย สงสัยงานมาก

Riverunt said...

คุณอู รู้สึกจะอ่อนไหวกับความรู้สึกมากเกินไป
รวมทั้งมีมุมมองที่แปลกๆ ที่คิดไม่เหมือนคนอื่นๆ
ดูมีความรับผิดชอบครับ

Anonymous said...

ที่เที่ยวแต่ละที่ที่เอ่ยถึงล้วนแต่เป็นอดีตไปหมดแล้วทั้งนั้น ฟลามิงโก้ยังมาทีหลัง ว่าไปก็คิดถึงสมัยเรียนหนังสือนะ มันเป็นวันชื่นคืนสุขจริงๆ ทำงานแล้วรื่นเริงแบบนี้ไม่ได้
ขอบคุณอูมากที่ยังเล่าเรื่องสนุกให้ชุมชนนี้ได้เสพกัน

Choo said...

คิดถึงบรรยากาศงานกิจกรรมค่ายอาสาฯ เหมือนกัน
มันเป็นประสบการณ์ดีๆ ในชีวิตช่วงหนึ่งซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันพอสมควร

ขอบคุณอูหลายๆ ครั้ง ที่ยังเขียนเรื่องดีๆ ให้พวกเราได้อ่านมาต่อเนื่อง ยาวนาน น่าจะ 4-5 ปีแล้วนะ

ขอบคุณหลายเด้อ

Anonymous said...

มารายงานตัวแล้วครับ
ดูช่วงนี้เนื้อหาสบายๆ กว่าตอนช่วงก่อนเยอะเลย

หลาน Arus ของอาอู