Monday, May 30, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 34

ปลายเดือนมกราคม

วันนั้นผมตื่นในราวตีสอง ที่ต้องตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันก็เนื่องจากวันนี้ผมต้องเดินทางไปเข้าค่ายฝึก รด. ที่เขาชนไก่ เวลานัดรวมพลคือตีห้า ที่หน้ากรมการรักษาดินแดน แถวหน้าวังสราญรมย์ สนามหลวง ที่จริงผมตื่นตีสามก็ยังทันแต่เนื่องจากเมื่อผมตื่นมาแล้วในตอนตีสองผมก็ไม่กล้านอนต่ออีกเพราะเกรงว่าจะหลับเพลิน

เมื่อตื่นมาแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ผมจึงทบทวนข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องนำไปด้วยอีกครั้งเพื่อความไม่ประมาท ของที่ต้องนำไปด้วยก็มีชุดฝึกซึ่งใส่ติดตัวไป แต่ผมเอาเผื่อไปด้วยอีกหนึ่งชุด นอกจากนี้ยังต้องมีเสื้อยืด รด. สีเขียวสามตัว เอาไว้ผลัดเปลี่ยน กางเกงในผ้าฝ้ายตัวหนึ่งที่ใส่ติดตัวไป นอกนั้นเป็นกางเกงในกระดาษ ถุงเท้า ถุงเท้านี่เป็นถุงเท้าไนลอนธรรมดา ถุงเท้ากระดาษไม่มี ถ้ามีก็คงเอาไปแล้ว แล้วก็มีกระติกน้ำ เข็มขัดสนาม ไฟฉาย ขันน้ำ สบู่ แชมพู กระดาษชำระ และที่ขาดไม่ได้ก็คือผ้าสารพัดประโยชน์และช้อนกินอาหาร ช้อนนี่สำคัญมาก ต้องเอาไปเอง ส่วนผ้าสารพัดประโยชน์นั้นก็คือผ้าขาวม้านั่นเอง เอาไว้ผลัดเปลี่ยนตอนอาบน้ำ

โอย หนักแฮะ ผมยกเป้ที่จัดของเรียบร้อยแล้วขึ้นใส่หลังเพื่อทดลองน้ำหนักดู เป้ของผมแน่นและหนักไปหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องมีการแบกเป้เดินไปไหนไกลๆหรือเปล่า คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจเอาชุด รด. สำรองออกเพื่อให้สัมภาระเบาขึ้น อุตส่าห์ไปขอพี่ชายหอบเอามาจากต่างจังหวัด ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไม่เอาไป

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวและนั่งรอเวลาจนถึงประมาณตีสี่ ผมก็ออกเดินทางจากหอพักโดยนั่งแท็กซี่ไปยังกรมการรักษาดินแดนหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า กรม รด.

การจราจรตอนเช้ามืดไม่ติดขัดเลย ผมไปถึงหน้ากรม รด. ตั้งแต่ยังไม่ตีห้า แม้จะยังเช้าอยู่แต่ที่จุดรวมพลมี รด. หัวเกรียนรอกันอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว

ผลัดที่ผมเดินทางไปนี้เป็นผลัดที่รวมพวก รด. มหาวิทยาลัย คือพวกที่สอบเทียบแล้วเข้าเรียนปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ดูไปแล้วเห็นมีอยู่หลายสถาบัน

กว่าจะรวมพล จัดแถว ขานรายชื่อ และขึ้นรถได้ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ในที่สุดเวลาประมาณหกโมงเช้าขบวนรถก็ออกเดินทาง

รถบัสขบวนยาวพร้อมรถตำรวจนำหน้าพาเหล่า นศท. หรือว่านักศึกษาวิชาทหาร ออกจากจุดรวมพลที่หน้ากรมการรักษาดินแดนแถวสนามหลวง กว่าจะเดินทางจนถึงจุดหมายที่ค่ายฝึกเขาชนไก่ก็เป็นเวลาสายแล้ว

ผมเคยฟังรุ่นพี่เล่าเกี่ยวกับการมาฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ แต่ละคนก็มักแต่งแต้มระบายสีให้การฝึกดูน่ากลัวเพื่อจะได้ขู่รุ่นน้อง แต่แม้ว่าจะฟังเรื่องเล่าเขาชนไก่มาจนนับครั้งไม่ถ้วนแต่ผมก็ยังวาดภาพเขาชนไก่ไม่ออกว่ามันมีสภาพเป็นเช่นไรกันแน่ ในยุคนั้นยังไม่มีกล้องมือถือ อีกทั้งกล้องถ่ายรูปก็ยังเป็นระบบใช้ฟิล์มอยู่ ดังนั้นการจะหาภาพถ่ายเกี่ยวกับการฝึกที่เขาชนไก่ดูจึงค่อนข้างยากเนื่องจากไม่มีใครอยากพกกล้องไปเนื่องจากกลัวกล้องพัง ผมเองฟังแต่เรื่องเล่าแต่ก็ไม่เคยได้เห็นภาพสักที

เขาชนไก่ที่ผมเห็นเบื้องหน้าด้วยตาของตนเองนั้นเป็นป่าที่แห้งแล้ง ท่ามกลางแสงแดดแรงกล้าและอากาศที่ร้อนอบอ้าว แม้มีต้นไม้ขึ้นแต่ก็หาความเขียวชอุ่มไม่ได้เลย ผมคิดในใจว่าที่นี่ถึงไม่ใช่ป่าเสื่อมโทรมก็คงใกล้เคียง พวก รด. หัวเกรียนพอเห็นสภาพของค่ายฝึกเขาชนไก่ต่างก็ฮือฮาและวิจารณ์กันไปต่างๆนานา ส่วนใหญ่มักพูดในทำนองว่าตายห่าแน่กู

พวกเราถูกสั่งให้ลงจากรถ จากนั้นก็มาตั้งแถวอยู่ที่ลานที่กว้างซึ่งทำเป็นปะรำพิธี เมื่อขานรายชื่อ นับจำนวนคนจนเรียบร้อยแล้วพิธีเปิดการฝึกก็เริ่มขึ้น เริ่มด้วยมีนายทหารมาให้โอวาท หลังจากที่ให้โอวาทแล้วก็มีการแนะนำเกี่ยวกับการฝึกและการใช้ชีวิตในค่ายฝึกตลอด ๕ วันก็เป็นอันเสร็จพิธี

หลังจากพิธีเปิดการฝึกเสร็จสิ้นลงถ้าจำไม่ผิดลำดับต่อมาดูเหมือนว่าจะเป็นการจัดแบ่งกองร้อย พวกเราที่มาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันได้อยู่กองร้อยเดียวกัน พวกเด็กสอบเทียบนี่มีมาจากหลายโรงเรียน แต่เมื่อมาเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันแล้วก็อยู่ในกองร้อยเดียวกันหมด ส่วนกองร้อยอื่นๆก็เป็นนักศึกษาจากสถาบันอื่น

เมื่อแบ่งกองร้อยเสร็จพวกเราก็ได้รับแจกคูปองคนละหนึ่งปึกเป็นค่าเบี้ยเลี้ยง คือการมาฝึกนี้ได้รับเบี้ยเลี้ยงด้วย คูปองปึกนี้รวมแล้วมูลค่าราวร้อยกว่าบาท จ่ายเบี้ยเลี้ยงล่วงหน้าห้าวันเลย ใครจะเอาไปแลกซื้ออะไรก็ได้ตามอัธยาศัยแต่ว่าใช้ได้เฉพาะร้านที่อยู่ในค่ายเขาชนไก่นี้เท่านั้น หากใช้ไม่หมดจะแลกกลับเป็นเงินไม่ได้

“แล้วมีที่ใช้คูปองตรงไหนวะ กูยังไม่เห็นร้านขายของเลย เห็นมีแต่ต้นไม้” ไอ้กี้บ่นอุบ “ร้อนชิบหาย ซื้อน้ำอัดลมหน่อยก็ดี”

หลังจากที่เรารอรับแจกคูปองอยู่นั้นก็มีครูฝึกมาตามหา นศท. รายหนึ่ง จากนั้นครูฝึกก็พา นศท. รายนั้นไปที่ตึกอำนวยการซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

“โอ้โฮ สำคัญนะเรา พ่อตามมาส่งถึงที่เลย” ครูฝึกพูดเสียงดังลั่นขณะที่พา รด. หัวเกรียนรายนั้นไป จึงทำให้พวกเราได้รู้ความจริงกันว่ามีผู้ปกครองบางรายเป็นห่วงลูกชายถึงขนาดขับรถตามมาส่งจนถึงเขาชนไก่ รวมทั้งยังสามารถขอพบได้ด้วยแสดงว่าผู้เป็นพ่อคงมีบารมีไม่น้อยเลยทีเดียว

เที่ยงวันนั้นเป็นมื้อแรกที่เราได้ลิ้มชิมรสชาติของข้าวแดง ในยุคนั้นข้าวแดงถือเป็นข้าวเกรดต่ำและมีราคาถูกเนื่องจากขัดสีเพียงครั้งเดียว ไม่ได้ขัดให้ขาว เนื้อข้าวเป็นสีออกแดงอมเหลือง มีกลิ่นแปลกๆคล้ายกลิ่นสาบหรือกลิ่นกระสอบ บอกไม่ถูกเหมือนกัน ต่างไปจากกลิ่นข้าวขาว ใครจะคาดคิดว่าอีกยี่สิบปีต่อมาข้าวแดงเหล่านี้กลายเป็นข้าวที่มีราคาแพงกว่าข้าวขาวเสียอีกเพราะถือว่าเป็นอาหารสุขภาพ

ข้าวแดงและกับข้าวสองสามอย่างถูกตักใส่ถาดหลุมแจกให้พวกเรากิน

“กินให้หมดนะ ห้ามเหลือทิ้ง ใครเหลือต้องถูกทำโทษ” ครูฝึกสำทับ

อาหาร รด. รสชาติไม่ค่อยได้เรื่องนักแต่ก็พอกินได้ ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้บอกว่าพอแหลกล่าย ผมเป็นคนที่กินไม่ยาก หากมีให้เลือกก็เลือกกิน หากไม่มีให้เลือกก็ไม่เลือก แล้วแต่สถานการณ์ มาที่นี่ไม่มีอะไรให้เลือกก็กินจนหมด ไอ้กี้แม้จะกินไปบ่นไปแต่ก็กินจนหมดเหมือนกัน แต่บางคนดูจะทนไม่ไหว กินได้หน่อยเดียวก็หยุดกินและยกให้เพื่อนที่ยังไม่อิ่มรับเหมากินต่อไปจนหมด

ฐานฝึกฐานแรกของกองร้อยเราที่ค่ายเขาชนไก่ในช่วงบ่ายเป็นการฝึกยิงปืน กองร้อยของเราถูกครูฝึกพาเดินฝ่าเปลวแดดไปตามถนนและป่าละเมาะไปจนถึงสนามฝึกยิงปืน หลังจากที่เรียนทฤษฎีและจับอาวุธปืนเอชเค ๓๓ ที่เป็นปืนเปล่ามานานหลายปี ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้จับเอชเค ๓๓ ที่บรรจุกระสุนพร้อมยิง

หลังจากที่ครูฝึกแนะนำวิธีการปฏิบัติแล้วพวกเราก็ทยอยกันเข้าไปฝึกยิงในสนามยิงปืน การฝึกยิงที่ฐานนี้มีสองท่า คือท่านั่งยิงกับนอนยิง แต่ละคนมีโควต้ากระสุนจำนวนหนึ่ง ดูเหมือนจะสิบกว่าหรือยี่สิบนัดประมาณนี้ ยิงใส่เป้ากระดาษกันจนหูอื้อเพราะว่าเสียงปืนดังมาก เมื่อยิงจนครบแล้วก็เอาเป้ามานับรูกระสุนและคิดแต้ม

“ทำไมเป้าของกูมันเกลี้ยงนะวะ ลูกปืนมันหายไปไหนหมด” ผมบ่นอุบเมื่อเห็นเป้าของตนเองค่อนข้างเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด มีรูกระสุนเพียงไม่กี่รูเท่านั้น

“ทำไมรูกระสุนของกูมันเยอะนักวะ” ผมได้ยินเพื่อนที่นั่งยิงติดกันพูดพึมพำ

- - -

แม้การฝึกในวันแรกไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายนัก เป็นเพียงแค่การเดินไปที่สนามยิงปืน จากนั้นก็เดินกลับมาที่กองร้อย แต่ก็เป็นการเดินที่มีระยะไกลพอสมควร ประกอบกับอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้หลายคนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ความเย็นของปลายฤดูหนาวไม่ได้ช่วยอะไรเลย

หลังจากมาถึงที่ตั้งกองร้อย ครูฝึกก็เรียกกองร้อยของเรามารวมพลและอธิบายถึงสิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่ออยู่ในบริเวณที่พัก บริเวณที่พักนั้นเป็นลานกว้าง มีต้นไม้ขึ้นไม่หนาแน่น มีแนวสำหรับให้ตั้งเต๊นท์ เนื่องจากเต๊นท์หนึ่งนอนได้สองคน ดังนั้นจึงต้องมีการจับคู่ว่าใครอยู่เต๊นท์เดียวกัน การจับคู่ก็ให้จับคู่กันเองจากนั้นก็ไปตั้งเต๊นท์ตามแนวเขตที่กำหนดเอาไว้ หากใครจับคู่ไม่ได้หรือไม่มีคู่ครูฝึกก็จะจัดคู่ให้

ผมพยายามเลี่ยงไปอยู่ห่างๆไอ้กี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจับคู่กับมัน ถ้าอยู่เต๊นท์เดียวกันคงไม่วายต้องทะเลาะกัน และผมก็คงต้องเป็นลูกไล่ให้มันบ่นมันด่าเหมือนเคย สู้จับคู่กับคนอื่นดีกว่า

เพื่อนร่วมเต๊นท์ของผมเป็นคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆตัวนั่นเอง ใครที่หาคู่ไม่ได้เพราะไม่มีใครเอาเมื่อได้มายืนใกล้ๆกันก็มักตกลงกันได้ง่าย

“นายชื่อไรน่ะ” ผมถามคนที่ยืนใกล้ๆ มันเป็นหนุ่มหน้าตี๋ ผอมๆ หัวโตๆ ใส่แว่นหนาเตอะ

หนุ่มแว่นแอ่นหน้าอกให้ผมดูป้ายชื่อของมัน “นี่ไงชื่อเรา”

“เออ รู้แล้ว” ผมแอบถอนหายใจ ที่จริงเราสองคนไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน ตอนเรียนที่ศูนย์ฝึกในกรุงเทพฯเราก็เรียนด้วยกันมาตลอด แต่ไม่ค่อยสนิทกันนักเนื่องจากอยู่คนละคณะกันและมาจากคนละโรงเรียนกัน ผมมักอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆที่สอบเทียบมาจากโรงเรียนเดียวกันมากกว่า “เราหมายถึงชื่อเล่นน่ะ ชื่อจริงของนายเรารู้ตั้งนานแล้ว”

“อ๋อ” มันลากเสียงยาว “ชื่อเคี้ยง นายชื่ออู เรารู้แล้วล่ะ ไม่ต้องบอกหรอก”

แน่ะ รู้จักชื่อของผมเสียด้วย สงสัยแอบชอบผมแน่ๆ ผมอดคิดไม่ได้

“ทำไมนายรู้ชื่อเล่นเราล่ะ” ผมถาม

“ก็...” เคี้ยงหัวเราะ “เราได้ยินเพื่อนเรียกนายว่าไอ้เหี้ยอู ไอ้เหี้ยอู เป็นประจำ ตลกดี ก็เลยจำได้”

ไอ้เวร ผมนึกด่าไอ้กี้อยู่ในใจ มีมันคนเดียวนี่แหละที่เรียกผมแบบนี้ เรียกเสียจนผมแอบดังเลย

“เออ นายไม่ต้องเรียกตามหรอกนะ เรียกเราอูก็พอ” ผมดักคอมันเอาไว้ก่อน “นายหาคู่เต๊นท์ได้หรือยังล่ะ เรายังหาไม่ได้เลย”

“ยังหาไม่ได้เหมือนกัน” เคี้ยงส่ายหัว “เพื่อนๆมันจับคู่กันได้ไปหมดแล้ว”

“งั้นเราก็อยู่เต๊นท์เดียวกัน” ผมสรุปเอาดื้อๆ ซึ่งเคี้ยงก็ไม่ขัด

เป็นอันว่าคู่เต๊นท์ของผมคือเคี้ยง เด็กแว่นหน้าตี๋ที่เรียนอยู่คณะเดียวกับไอ้ตี๋นั่นเอง

หลังจากได้คู่เต๊นท์แล้วครูฝึกก็อธิบายระเบียบเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในบริเวณที่พัก ที่นี่จะมีการแบ่งเวรกันเพื่อล้างจานอาหารที่กินเสร็จแล้ว มีระเบียบในเรื่องการอาบน้ำ รวมทั้งระบียบในการเข้าส้วม อยู่ที่นี่อะไรก็ต้องมีระเบียบขั้นตอนไปหมด

และที่เท่ที่สุดก็คือมีการแต่งตั้ง ผบ.ส้วมด้วย หน้าที่ของ ผบ.ส้วมก็คือคอยดูแลส้วมให้เรียบร้อย ส้วมเลอะ ส้วมแตก ส้วมราดไม่ลง ผบ.ส้วมต้องเป็นผู้จัดการ ผบ.ส้วมนี้จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ถูกทำโทษนั่นเอง

การอาบน้ำนั้นจะอาบตามใจไม่ได้ ครูฝึกจะเป็นผู้พาไปอาบ เมื่อชี้แจงเรื่องที่พักเสร็จครูฝึกก็ให้พวกเราไปตั้งเต๊นท์ จากนั้นเก็บสัมภาระ และผลัดผ้าเพื่อเตรียมไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ

การตั้งเต๊นท์นี่ต้องตั้งเอง ทางกองร้อยจัดเต๊นท์และอุปกรณ์มาให้ ผมกับเคี้ยงก็ช่วยกันตอกสมอบก ตั้งเสา จากนั้นก็ประกอบผ้าใบเต๊นท์ หลังจากทุลักทุเลกันอยู่ชั่วขณะเพราะทำไม่คลอ่ง ในที่สุดเราก็ตั้งเต๊นท์ได้จนสำเร็จ

เต๊นท์ที่พักเป็นกระโจมสามเหลี่ยม ข้างในไม่มีอะไรเลย แค่วางของและซุกหัวนอนได้เท่านั้น เมื่อวางของเสร็จก็ผลัดผ้าเป็นใส่กางเกงในและนุ่งผ้าขาวม้าอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ไปยืนรอเพื่ออาบน้ำ

ครูฝึกพาพวกเราไปยังโรงอาบน้ำที่อยู่ห่างจากบริเวณตั้งเต๊นท์ไม่ไกลนัก ทั้งโรงอาบน้ำและส้วมอยู่ใกล้กัน ตัวโรงอาบน้ำไม่ได้เป็นโรงเรือนอะไร เป็นลานดินที่มีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ความสูงของบ่อประมาณระดับเอว มีแฝกล้อมเอาไว้เป็นกำแพงเตี้ยๆ พูดง่ายๆก็คือต้องอาบน้ำกลางแจ้งนั่นเอง

ส่วนส้วมนั้นผมเห็นแล้วต้องแอบหนาว ส้วมเป็นลักษณะส้วมลำลอง ขุดหลุมเข้าแล้วเอาฐานส้วมซึมมาวาง จากนั้นเอาแฝกกับสังกะสีมากั้นเป็นผนังเตี้ยๆ ผนังส้วมสูงจากพื้นแค่ประมาณเข่าเท่านั้น เพียงแค่นี้ก็เป็นส้วม รด. แล้ว

“เฮ้ย นั่งขี้ก็เห็นกันหมดเลยสิวะ” เคี้ยงพูดกับผมเบาๆเมื่อเห็นสภาพของส้วม รด. เรียงรายติดกันเป็นแถวยาว “แบบนี้ขี้ไม่ออกแน่เลย”

ครูฝึกจัดให้พวก รด. เข้าไปอาบน้ำทีละผลัด ผลัดหนึ่งประมาณยี่สิบถึงสามสิบคน เมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องถอดผ้าขาวม้าแขวนเอาไว้และใส่แต่กางเกงในอาบเพราะหากผ้าขาวม้าเปียกจะไม่มีที่ตาก บางคนไม่ใส่กางเกงในอาบ แก้ผ้าอาบเลย มีอยู่คนสองคน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน เพื่อนๆเฮกันใหญ่ เพราะเห็นหมดไม่มีอะไรปิดบัง

ครูฝึกก็จะเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้ตักน้ำ ปรี๊ดหนึ่งตัก อีกปริ๊ดหนึ่งราด อะไรประมาณนี้ แต่ละคนต้องพยายามอาบให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเพราะไม่รู้ว่าครูฝึกจะเป่ากี่ปรี๊ดแล้วจะหยุด ใครที่เอาขันใบใหญ่มาก็ได้เปรียบเพราะเท่ากับว่าตักน้ำอาบได้มาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะรู้ตัวล่วงหน้าอยู่แล้วเพราะว่ารุ่นพี่เล่าให้ฟัง ดังนั้นแต่ละคนจึงมักเตรียมขันใบใหญ่ๆมากัน บางคนขนาดใหญ่เกือบเท่าบาตรพระก็มี

ผมก้มหน้าก้มตาอาบน้ำ ไม่กล้ามองไปรอบๆเนื่องจากเพื่อนที่หน้าตาดี หุ่นดีๆมีอยู่หลายคน แถมยังมีที่แก้ผ้าอาบน้ำอีก หากมองแล้วระงับใจไม่อยู่อาจมีเรื่องให้ต้องขายหน้าระหว่างอาบน้ำก็ได้

การอาบน้ำในวันแรกผ่านไปอย่างราบรื่น นศท. ไม่เกรียนครูฝึกก็เลยใจดี แต่ละคนได้อาบประมาณเจ็ดแปดขันซึ่งก็เพียงพอ หลังจากนั้นก็กลับมาแต่งตัวที่เต๊นท์ จากนั้นก็กินอาหารเย็น

เมื่อกินอาหารเย็นและล้างจานเสร็จ หลังจากนั้นก็เป็นเวลาอิสระ แม้จะเป็นเวลาอิสระแต่จะเดินเพ่นพ่านไม่ได้ ต้องอยู่แต่ภายในที่ตั้งกองร้อยเท่านั้น หากจะออกไปนอกกองร้อยต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปไหนกัน คงนั่งคุยกันที่บริเวณเต๊นท์

เวลาช่วงค่ำจนถึงสามทุ่มเป็นเวลาช่วงที่มีความสำคัญ เพราะเป็นเวลาที่พวกเราใช้ปลดทุกข์ หรือพูดง่ายๆก็คือเข้าส้วมนั่นเอง ช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ภายในกองร้อยยังเปิดไฟอยู่ ทำให้การเข้าส้วมสะดวก หากเข้าตอนเช้าก็ต้องตื่นแต่เช้ามากๆและต้องพกไฟฉายฝ่าความมืดไปเข้าส้วมด้วย

สำหรับผมนั้นแม้จะปรับตัวไม่ยากนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่คุ้นเคยกับส้วม รด. ผนังเตี้ยแบบนี้ ทำให้ไม่อยากเข้าส้วม พร้อมกับคิดว่าจะทำสถิติอั้นให้ได้นานที่สุด หากอั้นเอาไว้จนกลับถึงกรุงเทพฯได้เลยก็ยิ่งดี

แต่โชคไม่เข้าข้างผม เพียงแค่คืนแรกผมก็รู้สึกปวดท้องเสียแล้ว ในที่สุดผมก็ต้องไปใช้บริการส้วม รด. แต่ว่ารอตอนดึกๆเสียก่อน กะว่าให้กองร้อยปิดไฟจากนั้นจึงค่อยไปเข้าส้วม เข้าส้วมมืดๆคนคงไม่เยอะอีกทั้งยังไม่เขินด้วย

ราวสี่ทุ่ม ผมถือไฟฉายเดินดุ่มไปที่ส้วม รด. ในความมืดผมเห็นแสงไฟวาบเหมือนกับแสงหิ่งห้อยที่บริเวณส้วม ทีแรกก็แปลกใจว่าแสงอะไร
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ผมปรับไฟฉายให้เป็นไฟหรี่และส่องต่ำๆเมื่อเดินเข้าไปใกล้บริเวณส้วม ในแสงสลัวผมเห็นคนยืนรออยู่หน้าส้วมหลายคน ช่องส้วมทุกช่องมีคนนั่งหน้าสลอนกันอยู่จนเต็มทุกช่อง แถมบางคนยังสูบบุหรี่เสียอีกด้วย แสงไฟเป็นจุดคล้ายหิ่งห้อยที่ผมเห็นจากระยะไกลนั้นก็คือแสงจากปลายมวนบุหรี่นั่นเอง

ผมเข้าคิวรอจนมีส้วมว่างจากนั้นก็เข้าไปบ้าง เมื่อเข้าไปอยู่ในส้วมผมจึงเข้าใจว่าทำไมถึงได้มีคนสูบบุหรี่ในส้วมกันหลายคน ที่แท้กลิ่นมันแรงเหลือจะทนนี่เอง




<เขาชนไก่ ทั้งร้อนและแล้ง>



<เต๊นท์ รด. เต๊นท์หนึ่งนอนได้สองคน มีแค่โครงและผ้าใบคลุม ตัวเต๊นท์ก็แคบและเล็ก หากสัมภาระเยอะก็กินที่เข้าไปครึ่งเต๊นท์แล้ว ใครที่ตัวสูงมากเวลานอนเท้าจะโผล่ออกมานอกเต๊นท์>



<โรงอาบน้ำ รด. ภาพนี้เป็นโรงอาบน้ำในยุคนี้ ทำเป็นโรงเรือนมีหลังคาคลุม แต่ในสมัยที่ผมไปฝึกนั้นเป็นอ่างอาบน้ำใหญ่กลางแจ้ง>



<ส้วม รด. ภาพถ่ายในสมัยนี้ ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ผนังเป็นสังกะสีสูง สมัยก่อนเป็นสังกะสีหรือแฝกเตี้ยแค่เข่าเท่านั้น ใครที่หน้าด้านหน่อยก็นั่งส้วมไปสูบบุหรี่ไปพลางคุยกับเพื่อนที่นั่งห้องข้างๆไป คนที่หน้าบางต้องแอบมาเข้าตอนดึกๆหลังจากที่กองร้อยปิดไฟนอนกันไปแล้ว หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องตื่นมาเข้าตั้งแต่ตีสามหรือตีสี่ บางคนยอมอั้นตลอดห้าวันและกลับมาเข้าส้วมที่กรุงเทพฯก็มี>

24 comments:

พี said...

อ่านสองตอนเลย....

กับ....เพ็ญ อูจะเอายังไงนะ...

เขาชนไก่ อู จะมีบทวาบหวิวมาให้อ่านไหมนะ รออ่านตอนหน้านะครับ...

*** PEE ***

Anonymous said...

หนุ่มเคี้ยงคนนี้จะมีอะไรพิเศษรึเปล่านะ อิอิ
Federick

yo408 said...

ที่3.

ไม่ได้เรียน รด. แฮะ เพราะสอบวิ่งไม่ผ่าน ชะล่าใจวิ่งช้าๆ พอจะหมดเวลาสปีดไม่ทัน แต่ก็ดี ไม่เหนื่อย พอเกณฑ์ทหาร คนสมัครเต็มไม่ต้องจับ จบแบบสบายๆ

แต่เต้นท์รด.เคยนอนตอนค่ายลูกเสือป.6ที่ชลบุรี แถวเขาเขียวมั้ง มีเรื่องให้ตกใจคือเต้นท์เพื่อนมีตะขาบวิ่งเข้าเต้นท์ พวกซ่าๆไล่กระทืบกันใหญ่ ใจก็สงสาร แต่เพื่อนว่าถ้ามันออกมาตอนนอนมืดๆจะยุ่งกว่านี้เลยต้องฆ่ามัน

Anonymous said...

ขอบคุณนะครับที่ตอบเม้นของผม เออผมพึ่งเข้ามาเม้นครั้งแรกนะครับที่พี่บอกว่าเข้ามาอีกนั่นสงสัยคนละนายกันฮะ และอีกอย่างหนึ่งผมก็ไม่ใช่นักอ่านอะไรหลอกฮะในชีวิตรที่อ่านโหดแบบนี้ก็มีสามเรื่องฮะเรื่องแรกเป็นแฮรี่ภาคีฟีนิกใช่เวลา12ชม.ตอนนั่นนั่งรถไฟกลับหาดใหญ่อยู่บนรถ16ชม.ฮะเรื่องที่สองเรื่องแวมไพร์ รัตติกาลรัก (อังกฤษ: Let the Right One In) ใช่เวลา17ชม.จบโดยประมาณและเรื่องของ อู ใช่เวลา140ชม.เกือบต่อเนื่องฮะ รักจากใจจริง นาย

Anonymous said...

ท่าทางกางเกงในกระดาษจะทำเรื่องเข้าให้แล้ว 555

คนลาดพร้าว

นัย said...

สงสัยเรื่องกางเกงในกระดาษ ว่า ใส่อาบน้ำได้ด้วยหรอ ใส่กางเกงกระดาษอาบน้ำกับแก้ผ้าอาบน้ำน่าจะเหมือนกันนะอู

นานๆมาที
นัย

Anonymous said...

มารักอาอูแล้วครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เข้ามารายงานตัวจ๊ะ

สมัยป้าเรียน รด เข้าค่ายที่เชียงใหม่ก็เจอส้วมโล่งๆแบบนี้
เจออาบน้ำห้าขันด้วย แต่ดูเหมือนจะได้อาบน้ำแค่วันแรกในค่าย พอย้ายเข้าไปในป่าก็ซักแห้งตลอด ขี้เกลือขึ้น

ป้าขวัญ

Unknown said...

เล่าเสียจนนึกได้ว่าก็เคยไปเข้าค่ายรดมาเหมือนกัน
ตอนไปถึงค่าย ลงจากรถ ก็ได้ยินครูฝึกถามก่อนว่ามีกี่นางประมาณนั้น พอได้ยินก็ทำตัวนิ่งทำเฉยๆ กลัวถูกจับได้ ส่วนเพื่อนๆที่ยอมรับ ก็ได้ไปพักกับครูฝึกแทนการฝึกนอนเต็น สบายไป ไม่ต้องฝึก ไม่ต้องเหนื่อย ปัจจุบันไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง รดหญิงก็ต้องเข้าค่ายด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครรู้เล่าให้ฟังบ้างนะครับ
คิดถึงคุณอูคุณนัยนะครับ
กัน

Anonymous said...

มาเป็นกำลังใจให้ ป๊าอูคับ ขออนุญาตเรียกป๊านะคับผม 1 คับ

Choo said...

นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ได้เหมือนกัน

หาเพลง จิ๊บ รด.มาฝากครับ

http://www.youtube.com/watch?v=JZjEoe634Tg

ชู

หลาบเอง said...

ที่ไม่เม้น ใช่ว่าไม่มานะคะ พี่อู

อู said...

กลายเป็นป๊าไปแล้วเหรอเนี่ย เป็นอา เป็นลุง เป็นพี่ เป็นน้อง และเป็นเพื่อน เพิ่งจะเป็นป๊านี่แหละ ปลื้มครับ แต่ฟังดูแก่เนอะ

ตอบนัย คนช่างสงสัย กางเกงในกระดาษใส่อาบน้ำไม่ได้หรอก มันละลายหมด โชคดีมีกางเกงในผ้าฝ้ายที่ใส่ติดตัวไปวันแรกอยู่ตัวหนึ่ง แต่กางเกงในมีขายครับ หาซื้อได้ ถ้าไม่อยากใช้เงินจะใช้คูปองแลกก็ได้ แต่ราคาจะเสียเปรียบมาก

ไอ้เคี้ยงนี่มันโคตรคุณหนูเลยครับ เรื่องมากเหลือเกิน

จะว่าไปฝึกภาคสนามปีนั้น กองร้อยผมโดนไม่หนักครับ จะเกี่ยวกับพ่อ นศท คนที่มาเยี่ยมลูกทุกวันหรือเปล่าก็ไม่แน่ หรือพวกเราอาจจะเรียบร้อยดีก็ได้ เลยโดนเล่นงานแค่นิดหน่อยเท่านั้น

ส้วมโล่งที่จริงดีนะครับป้าขวัญ กลิ่นไม่แรง ไม่อย่างนั้นคงแย่ ใครได้รับตำแหน่ง ผบ. ส้วมคงหนักหน่อย

นายไม่เคยเม้นเลยเหรอ งั้นผมคงโมเมเอาเอง แต่ก็ดีใจที่ได้รู้จักครับ

หลาน arus มาช้า คงยุ่งล่ะสิ

พี่อูยังไม่ได้ว่าอะไรหลาบเสียหน่อย

Anonymous said...

เออ ผมไม่เคยมีป๊าอะคับ เลยอยากเรียกคงไม่ว่านะคับ ถ้าไม่สบายใจงั้นผมไม่เรียกก็ได้คับ ขอโทษด้วยนะคับ 1

อู said...

ลูกหนึ่งเรียกได้ ไม่มีปัญหาอะไรครับ ป๊าแค่แซวเล่นขำๆเท่านั้นเอง ดีใจเสียอีก

Anonymous said...

หนึ่งจะถือว่าเป็นคำสัญญาแล้วนะครับป๊า งั๊นขอตังค์ซื้อหนมห้าบาทครับแฮะๆอิอิ ลูกหนึ่งของป๊า

Anonymous said...

สงสัยเหมือนกันว่ากางเกงในกระดาษจะรอดไหม ใส่ฝึกเหงื่อออกก้อจะขาดแล้ว อาบน้ำก้อเป็นไปไม่ได้ ถ้าจู๋มันซู่ขึ้นมาก้อคงทานแรงไม่ได้ ว่าแต่เปลี่ยนเอากางเกงผ้าตัวเดิมมาใส่เวลาไปอาบน้ำจะทันหรือ

Anonymous said...

แหะๆ มาช้าตลอด หรือหายไปบ้าง อย่าโกรธกันนะค้า
พี่อู ได้เจอเพื่อนใหม่ที่เขาชนไก่แล้ว เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไปน้อ เมื่อก่อนนี้คงฝึกลำบากมาจริงๆ อ่ะนะคะ
สมัยนี้ ผ่อนปรนขึ้นนะเนี่ย

หญิง

Anonymous said...

Kh อูครับ

จบเรื่อง นี้แล้วต่อ ด้วยเรื่อง ออกจากฝัน มาอยู่ร่วมกัน นิรันดร ได้ไหมครับ
ขอบคุณ สำหรับสิ่งที่มอบให้ ตลอดมานะครับ
มาร์วิน
8 มิ.ย. 54

อู said...

สวัสดีครับคุณมาวิน จบภาคนี้แล้วยังมีอีกภาคหนึ่งครับ ยังไม่ได้คิดชื่อ

ช่วงนีไม่สบาย คงเป็นไข้หวัด ปวดกระบอกตามีไข้ด้วย หมดสภาพ ขอพักสักสองสามวันนะครับ

Anonymous said...

รักษาสุขภาพด้วยนะครับป๊า พักผ่อนเยอะๆนะครับ

Anonymous said...

อ้าวแล้วกัน..ไม่สบายเหรอคะอู หายไวไวนะคะ(จะเอาใจช่วย)

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เป็นห่วงและคิดถึงป๊าจัง ไม่รู้ตอนนี้หายป่วยรึยัง หายป่วยไวๆนะครับ

Anonymous said...

Kh.U

Get well soon na krab.

Marvin
Jun 16, 2011