Monday, May 2, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 31

หลายปีที่พักอยู่คนเดียวทำให้ผมไม่กลัวผีหรือกลัวความมืด ในยามปกติแม้จะดึกดื่น เปลี่ยว หรือเงียบสงัดเพียงใดก็ไม่ทำให้ผมกลัว แต่คืนนี้จู่ๆผมก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจน ต้องเปิดไฟในห้องให้สว่างไปจนถึงรุ่งเช้า

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเช้าแต่ก็ยังไม่ออกไปเรียน รออยู่ในห้องด้วยความกระวนกระวาย จนได้เวลาประมาณเจ็ดโมงกว่าจึงลงไปข้างล่าง เมื่อเดินออกจากหอพักก็ตรงไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะทันที

ผมยกหู หยอดเหรียญ ยกนิ้วค้างอยู่ที่หน้าแป้นกดชั่วขณะ ในที่สุดก็ตัดสินใจกดหมายเลขโทรศัพท์ลงไป มันเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ผมคุ้นเคย แม้ผมจะไม่ได้ใช้เบอร์นี้มานานหลายปีแล้วก็ตามแต่ผมก็ยังจำมันได้อย่างแม่นยำ... มันคือเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านคุณอาไอ้นัยนั่นเอง

โทรเช้าขนาดนี้จะโดนดุไหมนะ ผมคิดในใจ หลายปีมานี้ผมไม่ได้ใช้หมายเลขโทรศัพท์นี้อีกเลยเพราะรู้ดีว่าคุณอาทั้งสองคนไม่อยากคุยกับผม ผมเองก็ไม่กล้าโทรไปเพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้ไอ้นัยต้องประสบเคราะห์กรรม แต่ในวันนี้ผมรู้สึกว่ามันจำเป็นจริงๆ ลางสังหรณ์เมื่อคืนทำให้ผมรู้สึกกังวลมาก ผมต้องการรู้ความเป็นไปของไอ้นัยว่าสบายดีหรือไม่

ผมได้ยินเสียงสัญญาณสั้นๆดังติดกัน มันไม่ใช่เสียงเรียกสายตามปกติ

เมื่อผมลองดูอีกหลายครั้ง ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม เป็นสัญญาณเสียงกระชั้นสั้นและดังถี่ๆ โดยที่ไม่มีใครตอบรับสายเลย

เอาไงดี... ผมลังเล

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจโดดเรียนในตอนเช้าและขึ้นรถเมล์ตรงไปบ้านของไอ้นัยทันที เมื่อโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ผมก็ตั้งใจจะไปหาคุณอาของไอ้นัยที่บ้านเพื่อถามดูให้รู้แน่ แม้จะถูกรังเกียจก็คงต้องยอมหน้าด้าน ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับข่าวคราวของไอ้นัย

ตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่ผมเกิดลางสังหรณ์ ผมคิดถึงไอ้นัยตลอดเวลา หลายปีนี้ผมพยายามทำใจเรื่องไอ้นัยจนคิดว่าใจของผมสงบลงมากแล้ว บางครั้งแม้ยังหวนคิดถึงไอ้นัยบ้างแต่ใจก็ไม่ว้าวุ่น แต่เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้ผมไม่สบายใจเลย

ผมเดินเข้าไปในซอยลาดพร้าว ๑๐๑ หลายปีที่ไม่ได้เข้ามาในซอยนี้ สภาพแวดล้อมในซอยเปลี่ยนไปมาก ตึกแถว บ้าน ร้านค้า และรถราในซอยมีมากขึ้นกว่าเดิม ซอยย่อยที่เป็นที่ตั้งของบ้านไอ้นัยเมื่อก่อนอยู่กันห่างๆ มีที่ดินว่างเปล่ามากมาย มาบัดนี้มีบ้านปลูกใหม่แน่นขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

ผมรีบก้าวเดินอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนใจ เมื่อเดินไปถึงบ้านของคุณอาไอ้นัยที่เมื่อก่อนผมมาเที่ยวเล่นบ่อยๆผมก็อดสะท้อนใจไม่ได้ เมื่อก่อนผมสามารถเข้านอกออกในบ้านนี้ได้เหมือนสมาชิกในบ้านคนหนึ่ง มาบัดนี้ผมเห็นบ้านหลังดังกล่าวปิดอยู่ ทั้งประตูรั้วหน้าบ้านและประตูเข้าตัวบ้านต่างก็ปิดอยู่ สภาพรอบๆตัวบ้านรกรุงรัง ลานบ้านและสนามมีแต่ใบไม้แห้ง ต้นหญ้าในสนามหายไปจนหมดมีแต่วัชพืชขึ้นรุงรัง ต้นไม้พุ่มและไม้ดอกเหี่ยวแห้ง ตรงกันข้ามกับวัชพืชไม้เลื้อยที่เจริญงอกงาม ดูจากภายนอกแล้วบ้านนี้ดูเก่าและทรุดโทรมไปมาก

ผมใจหายวูบ ทำไมบ้านคุณอามีสภาพเหมือนเป็นบ้านร้าง คุณอาทั้งสองคนหายไปไหน

ผมกดออดที่หน้าบ้าน กดอยู่หลายทีแต่ก็ไม่มีใครออกมาเปิดรับ แม้ว่าผมจะมองโลกในแง่ดีกว่านี้ก็คงต้องยอมรับความจริงว่าบ้านนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว

ไม่ได้มาที่นี่หลายปี เรื่องราวทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ นึกไม่ถึงจริงๆว่าคุณอาจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ไหนๆเมื่อมาแล้วอีกทั้งผมพกความกังวลใจมาจนเต็มเปี่ยม จะให้กลับไปทั้งๆที่คาใจอยู่อย่างนี้ผมคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ ในที่สุดผมจึงเดินไปที่บ้านข้างๆซึ่งไม่ได้อยู่ติดกันเสียทีเดียวแต่มีที่ดินเปล่าคั่นอยู่แปลงหนึ่ง

ออด...

ผมกดออดที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้ว โชคดีที่ในบ้านยังมีคนอยู่ ไม่ได้ออกไปข้างนอกกันจนหมด ผู้ที่ชะโงกหน้าออกมาจากในประตูบ้านเป็นหญิงในวัยห้าสิบกว่าปี

“มาหาใครจ๊ะ” เสียงหญิงกลางคนร้องถาม “ถ้าจะเรี่ยไรก็ไปข้างหน้าได้เลย”

“สวัสดีครับ ผมมาหาเจ้าของบ้านข้างๆน่ะครับ” ผมยกมือไหว้จากนั้นก็ชี้มือไปทางบ้านของไอ้นัย “แต่บ้านนั้นเหมือนกับไม่มีคนอยู่แล้ว”

“อ้าว นึกว่าพวกมาเรี่ยไร เจ้าของเค้ายังไม่เข้ามาอยู่เลย ไม่มาดูแลด้วย มันก็เลยร้างยังงี้แหละ” หญิงกลางคนตอบพลางโผล่ออกมาจากหลังประตู เมื่อรู้จุดประสงค์ของผมก็เดินออกมาคุยกับผมที่หน้าบ้าน

“ยังไม่เข้ามาอยู่” ผมทวนคำด้วยความงุนงง “เมื่อหลายปีก่อนผมยังมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆเลยครับ”

“อ๋อ” หญิงกลางคนลากเสียงยาวไปถึงบางอ้อ “หนูคงหมายถึงเจ้าของบ้านคนเดิมล่ะสิ ใช่ไหม”

“ที่บ้านอยู่กันสามคน เป็นสามีภรรยา และเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งน่ะครับ” ผมอธิบายเพิ่มเติม

“นั่นแหละ เจ้าของคนเดิม” หญิงกลางคนพูด “เค้าขายให้เจ้าของใหม่แล้วย้ายออกไป ส่วนเจ้าของคนใหม่ซื้อแล้วก็ไม่ย้ายเข้ามาสักที”

“พอจะทราบไหมครับว่าทำไมถึงย้าย แล้วย้ายไปนานหรือยังครับ” ผมถาม

“ย้ายไปปีกว่าๆแล้วล่ะ จู่ๆก็ย้ายออกไปเลย ไม่ได้บอกกล่าวร่ำลากัน” หญิงกลางคนเล่า “ตอนย้ายออกไปป้ายังไม่รู้เลย ที่มารู้ก็เพราะว่าเจ้าของบ้านคนใหม่เขามาแนะนำตัวทำความรู้จักน่ะ”

หลังจากที่คุยกันอยู่สักครู่หนึ่งผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณและลากลับ การมาบ้านไอ้นัยในครั้งนี้ได้ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย เดิมทีผมยังรู้สึกมีความหวังอยู่ในใจเสมอว่าแม้จะติดต่อไอ้นัยไม่ได้แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าบ้านของมันอยู่ที่ไหน รู้ว่าคุณอาของมันอยู่ที่ไหน สักวันหนึ่งยังคงมีโอกาสได้ข่าวคราวจากมันบ้าง แต่การมาในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวัง เพราะเมื่อคุณอาของไอ้นัยย้ายไปโดยไม่ทราบที่อยู่ใหม่ก็เท่ากับว่าเบาะแสของไอ้นัยที่มีเหลืออยู่เพียงใยเดียวได้ขาดสะบั้นลง นับแต่นี้ไปในโลกอันไพศาลผมจะไปหาไอ้นัยจากที่ใดกัน

- - -

เทศกาลคริสต์มาส

ในปีนั้นวันสุกดิบก่อนคริสต์มาสหรือที่เรียกว่าคริสต์มาสอีฟนั้นเป็นวันอาทิตย์ ที่สยามสแควร์ในยามเย็นของวันสุกดิบเนืองแน่นไปด้วยผู้คนทั้งวัยรุ่นและคนในวัยทำงานที่ออกมาชมสีสันของเทศกาล

สยามสแควร์ยามเย็นในวันนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านค้าหลายร้านพ่นกระจกหน้าร้านเป็นรูปต้นคริสต์มาส บางร้านก็นำเอาต้นคริสต์มาสมาตั้งที่หน้าร้าน เสียงบทเพลงคริสต์มาสลอยอบอวลไปทั่วทั้งสยามสแควร์ เทศกาลคริสต์มาสเมื่อหลายปีก่อนคึกคักและสนุกสนานอย่างไร เดี๋ยวนี้มีแต่จะคึกคักและสนุกสนานยิ่งกว่าเดิม

ผมนั่งกินโดนัทกับน้ำอัดลมอยู่ในร้านโดนัทร้านประจำที่เมื่อก่อนชอบมา ผมเลือกที่นั่งที่สามารถมองออกไปนอกร้านได้ สายตาเหม่อมองดูวัยรุ่นที่เดินผ่านหน้าร้านโดนัทไป... คู่แล้วคู่เล่า... กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ส่วนใหญ่มักเดินกันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม น้อยคนนักที่จะเดินคนเดียว

ผมนั่งอยู่ในร้านโดนัทตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ที่จริงวันนี้ผมควรนั่งดูหนังสือเพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์อยู่ที่ห้องพักหรือไม่ก็ที่หอสมุด แต่ว่าผมรู้สึกเหงา อยากได้บรรยากาศเทศกาลคริสต์มาสพร้อมกับปล่อยความคิดไปเรื่อยๆขึ้นมา จึงเลือกที่จะมานั่งปล่อยอารมณ์และกินบรรยากาศที่ร้านโดนัทร้านนี้แทน

จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมและมัธยม ช่วงใกล้ปีใหม่เป็นช่วงที่มักเกิดเรื่องขึ้นกับผมเกือบทุกปีเลยก็ว่าได้ แต่สองปีมานี้เมื่อถึงช่วงคริสต์มาสปีใหม่เหตุการณ์กลับเรียบร้อยดีไม่มีอะไร จะมีอยู่บ้างก็เพียงความรู้สึกเหงาอยู่ลึกๆเท่านั้น

ผมเหม่อมองดูผู้คนที่เดินผ่านหน้าร้านไปเรื่อยๆ วัยรุ่นและหนุ่มสาวเดินกันเป็นคู่ๆ บางคนก็เดินจูงมือกัน เห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้ หนุ่มสาวสามารถเดินจูงมือกันอย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องอายใคร แล้วผมล่ะ?

ความคิดที่จะมีชีวิตเช่นคนปกติทั่วไปของผมยิ่งนานวันก็ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น ผมลองสำรวจใจตนเองดูแล้ว พบว่าเรื่องที่ยังทำให้ผมกังวลอยู่ก็คือเรื่องสัญญาที่เคยให้ไว้กับไอ้นัยนั่นเอง เราเคยสัญญากันเอาไว้ว่าเมื่อโตขึ้นเราจะใช้ชีวิตร่วมกัน แม้เราจะไม่ได้ใช้คำพูดแบบนั้นตรงๆ แต่ความรักที่เรามีต่อกันนั้นคงทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าผมสามารถมีชีวิตเช่นคนปกติได้จริงๆ แล้วผมจะเอาไอ้นัยไปไว้ที่ไหน ถ้าหากมันยังคอยผมอยู่ในขณะที่ผมเปลี่ยนไปมีชีวิตอีกแบบหนึ่งก็เท่ากับว่าผมทอดทิ้งมันอีกครั้งหลังจากที่เคยทอดทิ้งมันไปแล้วครั้งหนึ่ง

แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไอ้นัยเป็นตายร้ายดีอย่างไร เบาะแสที่มีอยู่ก็ขาดไปแล้ว คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนแล้วยังอดขนลุกไม่ได้ ผมก็ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ในคืนวันก่อนนั้นเป็นอุปาทานที่เกิดจากจิตใจที่ฟุ้งซ่านของผมหรือว่าเป็นลางสังหรณ์จริงๆ แต่ว่านับตั้งแต่วันนั้นมาผมรู้สึกเป็นห่วงไอ้นัยอยู่ตลอดเวลา ปกติผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ๋นักแต่หลังจากวันนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุ้มครองไอ้นัยให้ปลอดภัย รวมทั้งพยายามตั้งจิตให้มั่นว่าไอ้นัยปลอดภัยและสบายดี เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพียงอุปาทานของผมเองเท่านั้น จนหลายวันต่อมาผมจึงรู้สึกคลายกังวลลงได้บ้าง

หนุ่มสาวคู่แล้วคู่เล่าที่เดินผ่านหน้าร้านไปเป็นเหมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้ผมพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อลบปมด้อยของตนเอง... ผมค่อยๆไล่เรียงความคิด... ไอ้นัยเก่งและฉลาดกว่าผม อะไรที่ผมคิดได้มันมักคิดได้ก่อนเสมอ ไม่แน่ว่าตอนนี้ไอ้นัยอาจจะมีแฟนสาวผมสีบลอนด์ไปแล้วก็ได้

ไอ้นัยเก่งกว่าผมเสมอ หากผมหายจากการเป็นเกย์ได้จริง ไอ้นัยก็ต้องหายได้เหมือนกัน หรือหากผมแก้ไม่หาย ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าไอ้นัยอาจทำได้สำเร็จ ตอนนี้ผมแค่เริ่ม จะสำเร็จหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ หากสำเร็จแล้วมีเรื่องอะไรตามมาก็ค่อยมาคิดแก้กันอีกทีก็แล้วกัน ตีตนไปก่อนไข้ตั้งแต่ตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์... อารมณ์ของผมในตอนนั้นอยากได้ชีวิตที่เป็นปกติอย่างมาก คิดอะไรจึงคิดเข้าข้างตนเองเอาไว้ก่อน

หลังจากออกมาจากร้านโดนัทผมก็เดินเล่นอยู่ในสยามสแควร์ จากนั้นก็เดินเลยไปดูสีสันของคริสต์มาสที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ย่านราชประสงค์ คืนนั้นผมกลับถึงหอพักค่อนข้างดึก การฉลองเทศกาลคริสต์มาสคนดียวนี่มันเหงาได้ใจจริงๆ แต่ผลจากการนั่งแช่อยู่ในร้านโดนัทดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงนั้นทำให้ผมตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป ซึ่งเมื่อมองจากวันนี้ย้อนไปในวันนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัดสินใจลงไปได้อย่างไรเพราะมันดูเป็นเรื่องที่โง่หรือบ้าเอามากๆ หรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นทั้งสองอย่าง

- - -

ในห้องพัก

ผมเหม่อมองดูนาฬิกาอยู่เป็นเวลานาน เฝ้าดูเข็มทั้งสามเข็ม เข็มสั้น เข็มยาว และเข็มวินาที เดินไปซ้อนทับกันอยู่ที่เลข ๑๒ เมื่อเข็มวินาทีผ่านเลข ๑๒ มาได้ก็หมายถึงวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว... วันคริสต์มาส

เมื่อตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมในโรงเรียนคาทอลิก ผมได้เรียนรู้ว่าวันคริสต์มาสคือวันที่เชื่อกันว่าพระเยซูประสูติ ในวันนี้มีชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นมาในโลก ผมก็ถือเอาฤกษ์วันคริสต์มาสนี้ขอมีชีวิตใหม่บ้างก็แล้วกัน

ผมหยิบหนังสือสามเล่มยี่สิบที่มีอยู่ทั้งหมดกับจดหมายที่เขียนติดต่อทางตู้ ปณ. ทั้งหมดมากองรวมกัน ผมฉีกจดหมายทั้งหมดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อไม่ให้ใครอ่านได้ รวมทั้งจดหมายของโอ๋และหนุ่ยด้วย จากนั้นก็หยิบหนังสือสามเล่มยี่สิบขึ้นมาเพื่อเตรียมฉีกเป็นชิ้นๆ

เสียดายแฮะ ทำไม่ลง ผมผ่านชีวิตในวัยรุ่นมากับกองหนังสือ ทั้งกิจกรรมที่สหกรณ์และห้องสมุดที่ผมชอบเข้าไปขลุก จนเพาะเป็นนิสัยชอบอ่านหนังสือ ถ้าจะให้ลงมือฉีกหนังสือนี่ผมทำไม่ลง

ผมหยิบซองจดหมายสีขาวที่เก็บมานานหลายปี จนซองเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆแล้ว มันเป็นซองที่ใส่เพลงที่ผมแต่งให้ไอ้นัยนั่นเอง ผมถือมันอยู่ในมืออย่างลังเล...

“ไอ้นัย” ผมพูดกับไอ้นัยอยู่ในใจ “กู... กูไม่รู้ว่าจะบอกมึงยังไงดี... กูมีชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว กูอยากเลิกเป็นแบบนี้เสียที ถ้ากูทำสำเร็จ กูก็หวังว่ามึงจะทำสำเร็จด้วย... และถ้ามันเป็นไปแบบนั้นจริงๆ... ความฝันในวัยเด็กของเราก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”

ผมรู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็พยายามถ่ายทอดความในใจที่ต้องการบอกแก่ไอ้นัยต่อไป

“ชีวิตในแบบที่กูจะเดินต่อไปนี้มันเหมือนเป็นเส้นขนานกับชีวิตแบบเดิม มันเหมือนอยู่กันคนละฝั่งฝัน เมื่อกูก้าวข้ามมา ฝันของกูจะเป็นอีกแบบหนึ่ง และหากมึงก้าวข้ามมาด้วย ฝันของมึงก็คงต้องเป็นอีกแบบหนึ่งเช่นกัน

“จำความฝันในวัยเด็กที่เราฝันไว้ร่วมกันได้ไหม มันเป็นความฝันที่ดีที่สุดและมีคุณค่าที่สุดสำหรับชีวิตวัยเด็กของกูเลยนะนัย ดังนั้นกูจึงลบเลือนมันไปไม่ลง ถ้าเป็นไปได้กูอยากย้อนกลับไปในวันเก่าๆ วันที่ได้อยู่กับมึง ได้อยู่กับความฝันของเรา ตอนเด็กเราก็ฝันถึงอนาคตข้างหน้า แต่มาตอนนี้กูกลับถวิลหาชีวิตในอดีตอีก แต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้...

“เราสองคนต่างก็ต้องเดินทางต่อแล้ว ต่อแต่นี้ไปกูคงต้องเก็บฝันในวัยเยาว์ของเราเอาไว้ที่ฝั่งด้านโน้น... เก็บมันไว้ที่ปลายฟ้าด้านโน้น... ดินแดนที่เราอาจไม่มีวันได้หวนกลับไปหามันอีก ที่ซึ่งความทรงจำและความฝันในวัยเด็กของเราจะงดงามอยู่ที่นั่นตลอดไป... กูนึกไม่ออกเหมือนกันว่าครั้งต่อไปที่เราได้พบกันอีกเราจะมีวิถีชีวิตเช่นไร แต่ถึงอย่างไรก็ขอให้มึงประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนกูก็จะพยายามอย่างที่สุดเหมือนกัน...”

ถ้าจะเลิกเป็นเกย์ต้องทิ้งซองนี้ด้วยหรือเปล่านะ จะว่าเกี่ยวก็เกี่ยว จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว คิดไปคิดมาก็ฉีกไม่ลงอีก จึงเก็บซ่อนเอาไว้ที่เดิม

ผมใช้เวลาในการสะสางจดหมายและหนังสือไม่นาน จากนั้นก็เข้านอน และเมื่อตื่นขึ้นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้ามืด ผมอาบน้ำแต่งตัวและออกจากหอพักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พร้อมกับถุงใบใหญ่ที่มัดเรียบร้อย ผมนำเอาดหมายติดต่อที่ฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทิ้งในถังขยะหน้าปากซอย จากนั้นนำถุงกระดาษที่ภายในมีนิตยสารเกย์ทั้งหมดไปทิ้งที่พงหญ้าในซอย ๒๗ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นที่ดินว่างเปล่าหญ้ารกทึบ ไม่ได้เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียมเหมือนเช่นทุกวันนี้ ผมเคยอ่านหนังสือโป๊ที่มีคนทิ้งเอาไว้ในพงหญ้า มาถึงวันนี้ผมเองก็ต้องนำหนังสือที่ไม่ต้องการไปทิ้งไว้ในพงหญ้าเช่นเดียวกัน

วันนี้จะเป็นวันที่ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่... ชีวิตแบบปกติ... ผมตั้งใจกับตนเองเอาไว้ว่าผมจะทิ้งชีวิตแบบเดิม และจะไม่ข้องแวะกับชีวิตแบบเกย์อีก ไม่อ่านนิตยสารสามเล่มยี่สิบ ไม่ติดต่อกับเกย์คนใด รวมทั้งหากมีโอกาส ผมก็จะจีบสาวและคบเป็นแฟนเหมือนชายหนุ่มทั่วไป ยังอดนึกไปถึงว่าหากมีใครชวนไปขึ้นครู คราวนี้ผมจะไม่ขอพลาดอีก สำหรับเรื่องการมีแฟนตอนนี้คงต้องขอรอเอาไว้ก่อนเพราะว่าผมต้องให้เวลากับการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้

ฟังเพลง I Wanna Go Back



ผลงานของวง The New Seekers วงป๊อบแบนด์ของอังกฤษที่เริ่มโด่งดังในยุค 1970s วงนี้ไม่ค่อยดังนักในเมืองไทยแต่ดูเหมือนจะเคยมาเปิดการแสดงในเมืองไทยอย่าง น้อยก็ครั้งหนึ่งในยุค 1970s เพลงดังจริงๆของวงนี้คือเพลง I’d Like to Teach the World to Sing จากอัลบั้มชุด We'd Like to Teach the World to Sing ที่ออกในปี 1971 ส่วนเพลง I Wanna Go Back มาจากอัลบั้มชุด Together Again ที่ออกในปี 1976

เอามาฝากเฉยๆ อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อเรื่องนักแต่จู่ๆก็นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมา


I wanna go back
Where my wanderin started
Back to the day we parted
Back to the places and the people
I once knew
I wanna go back
Where my friends will find me
Back to all I left behind me
Woah
I wanna go back
(Repeat)


Meet some friends along the way
But I knew I couldn't stay
Gonna shake their hands and say
'It's sure been good to know ya'
But there's so much missing here
So I'm gonna disappear
Oh I wanna go
I wanna go
I wanna go back..


I wanna go back
Where my wanderin started
Back to the day we parted
Back to the places and the people
I once knew
I wanna go back
Where my friends will find me
Back to all I left behind me
Woah
I wanna go back
(Repeat)

25 comments:

Anonymous said...

ที่หนึ่ง หรือเปล่าครับ

จะได้อ่านตอนที่สามสิบเอ็ดแล้ว....
ขอบคุณ อู + พี่อูครับ

ขนมโก๋

Anonymous said...

ซึ้งมากอ่ะ

dabookung said...

อ่านตอนที่นึกถึงนัยแล้วจะร้องไห้คับ


พี่คับ นัยจะมาอีกมั๊ยคับ อยากรู้ข่าวของนัยใจจะขาดแล้ว


ยิ่งอ่านตอนนี้ ยิ่งอยากร้องไห้ตามจิงๆคับ

Anonymous said...

ใจหายครับ
แม้ว่าที่ผ่านมาคุณอูจะปูเรื่องราวร้ายๆที่ผ่านพบกับชีวิตเกย์ อันล้วนแต่เป็นเหตุผลให้มีการเปลี่ยนผ่าน มาเป็นแบบนี้ก็ตาม

แต่คำว่า เก็บวันไว้ที่ปลายฟ้า ....
พอมาเฉลยว่า ความฝันของเราสองคนมันเป็นปลายฟ้าที่ไม่อาจไปถึงได้... ก็ใจหายครับ

อย่างมาก
ท๊อป

Anonymous said...

พี่อู

การรอคอย และตามหาใครซักคนมันก็ทำให้เศร้า

ตอนที่พี่อูไปบ้านอาพี่นัย แล้วเจอว่าเค้าย้านที่อยู่ไปแล้ว มันเศรามากเลยอ่ะ

หลาบเอง

Anonymous said...

ตราบใดยังมีฝัน ย่อมมีหวังเสมอ
แม้จะเก็บไว้ไกลถึงปลายฟ้า
ความหวังอันน้อยนิด จะพาเราไปจนถึงได้เสมอ

อธิฐานให้ อู กับ พี่อู ครับ
ขนมโก๋ ครับ

ขอนอกเรื่องหน่อยนะครับ พี่อู
เรื่องแรก
ผมว่า ตัวผมกับพี่อู น่าจะ สว. พอๆกัน
แต่คิดว่าผมน่าจะเป็นน้องคุณอู
เพราะผมเกิดก่อน น้องมอส แฟนของน้องเกมส์ 1 ปีกับอีก 11 เดือนเศษ
เลยขอเรียนคุณอูว่าพี่อูดีกว่า

เรื่องสอง
ตอนที่อ่านเรื่องของพี่อูครั้งแรก ผมอ่านแบบเร็วมากๆ
เลยไม่ได้เก็บเกี่ยวอารมณ์และความสนุกของเรื่องเอาไว้อย่างเต็มที่
ตั้งใจว่า จะอ่านซ้ำตั้งแต่ต้นแบบช้าๆ อีกรอบหนึ่ง
แต่ว่า ถ้าอ่านผ่านเน็ตนอกบ้าน มันไม่สะดวกอย่างมากเลยล่ะครับ
เลยคัดลอกเรื่องของพี่ใส่คอมไว้ จะได้อ่านได้ตลอดเวลา
พอใส่ในโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดเสร็จ มันบอกถึงความพยายาม + ตั้งใจในการเขียนของพี่อูเลยครับ
ภาคหนึ่ง 286 หน้า ภาคสอง 444 หน้า ภาคสาม 538 หน้า
ภาคสี่ ถึงตอนที่สามสิบเอ็ดได้ 294 หน้า
ถ้าไม่ขออนุญาต มันรู้สึกผิดอย่างไรไม่รู้ เลยต้องขออนุญาตพี่อูมา ณ ที่นี้
สัญญาครับว่าจะ ไม่เผยแพร่ คัดลอก ทำซ้ำ จำหน่าย จ่ายแจก ดัดแปลง หรือแอบอ้างผลงาน ฯลฯ ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วนอย่างเด็ดขาด นอกจากเอาไว้อ่านคนเดียวเท่านั้นล่ะครับ

ขอบคุณมาก................. ครับ

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วชวนให้ "เ-ห-ง-า" ค่อดๆเลยค่ะอู..

เคยอ่านเจอมาว่า..
คนที่เหงา...คือคนที่... "ไม่มีแฟน"
คนที่เหงามาก...คือคนที่... "เคยมีแฟน"
คนที่เหงามากที่สุด...คือคนที่..." มีแฟนแต่เหมือนไม่มี "

เฮ่อ!เศร้าแทนอูนะ..
เอ่อ..แล้วของแบบนี้มันเลิกได้ง่ายๆด้วยเหรอคะ ตอนนี้เรดาร์ของพี่เล็งไปที่เพ็ญแล้วล่ะ ว่าต้องมีการเซ็นMOUกันในช่วงสั้นๆ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เก็บไว้ที่ปลาบฟ้าจริงๆด้วยครับ
ชีวิตก้าวเดินต่อไปจริง
รักอูรักนัยรักความฝันในวัยเยาวน์ครับ
ขอส่งกำลังใจให้ทั่งอูและนัยนะครับ

Unknown said...

ไม่รู้จักเริ่มต้นอย่างไร
ตอนแรกขอร้องให้เขียนถึงนัยบ้าง
คุณอูก็เขียนแกล้งให้คนอ่านน้ำตาไหลริน
แกล้งให้แฟนคลับของน้ยตกใจว่าจากนี้ไปก็มิอาจได้เจอ
แกล้งให้ความฝันของสองคนมิอาจเป็นไปได้
คุณอูใจร้ายยยยยยยย

ผมกำลังคิดอยู่ว่าสมัยผมยังเด็กอยู่เคยคิดไม่อยากเป็นเกย์หรือไม่ แต่เท่าที่จำได้ไม่เคยคิด และไม่เคยคิดว่ามันเป็นอุปสรรค์ในการอยู่รวมกับครอบครัว หรือเพื่อนเลยครับ

เอาเป็นว่าคุณอูจะแกล้งแฟนคลับของนัยอย่างไรก็ไม่ว่ากัน อย่างไรก็จะรออ่านต่อนะครับ

อู said...

ถ้าเราเกิดในยุคใกล้ๆกัน ในยุคนั้นสังคมเมืองโดยรวมแล้วเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น แต่ในกลุ่มสังคมย่อยๆก็อาจมความแตกต่างและหลากหลายออกไป

ในสังคมรอบตัวผมนั้น การเป็นเกย์เป็นภาพด้านลบ ท่าทีของคุณอาไอ้นัยเป็นความฝังใจอย่างหนึ่งมาตั้งแต่ยังวัยรุ่น

ในช่วงนั้นข่าวเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคเอดส์มีลงหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน เกี่ยวกับพฤติกรรมรักร่วมเพศเสียเยอะ ภาพของเอดส์จึงเชื่อมโยงกับเกย์ หลายคนกลัวเกย์ครับ อาจจะทั้งเกลียดและกลัว เหมือนเป็นพาหะนำโรคร้าย ประกอบกับคบเพื่อนเกย์แล้วได้ประสบการณ์ที่ไม่ดี

บริบทรอบตัวผมจึงทำให้ผมมองชีวิตเกย์จองตนเองในแง่ที่ค่อนข้างร้ายครับ ทำให้มองว่าต่อไปเราอาจไม่มีที่ยืนในสังคม หรืออยู่ได้ก็เป็นเผ่าพันธุ์ประหลาดไป อย่างน้อยหากที่บ้านรู้คงบ้านแตกอาจจะเหมือนบ้านไอ้นัยก็ได้ ดังนั้นเมื่อมาถึงจุดหนึ่งจึงคิดทำอะไรบ้าๆขึ้นมา ก็ได้บทความชิ้นนั้นเป็นแรงบันดาลใจด้วยละครับ

ตอบพี่สาวลาดพร้าว เป็นเกย์มันเลิกได้ง่ายๆก็ดีน่ะสิครับ มันไม่ง่ายหรอกครับ แต่ต้องพยายาม ชอบข้อคิดเรื่องความเหงาของพี่มากครับ

อู said...

ขอบคุณขนมโก๋ด้วยครับที่ทำสถิติมาให้ดู

เซฟเรื่องไว้ในเครื่อง เวลาส่งซ่อมระวังหลุดแบบคลิปหลุดนะครับ เดี๋ยวโป๊ะแตก ช่างซ่อมเลยรู้ความลับเสียเลย

Anonymous said...

อ่านแล้วน้ำตาพาลจะไหลครับ เฮ่อ
Federick

Anonymous said...

เหมือนเรื่องประดังประเด
ย้ายบ้านกันไปเลยทีเดียว
เป็นหยิงนี่คงอึ้ง ชอคกันไป
แล้วถ้า การเปลี่ยนแปลงตัวเอง
มันง่ายขนาดนั้น สังคมคงไม่มีปัญหา
จริงไหมคะ พี่อู

หญิง

นนท์ said...

เศร้ามว๊ากกกก คิดถึงอานัย
T T

Anonymous said...

อินมั่กๆๆ ประทับใจทุกตอนจิงๆคับบ
ทำ้เปนสือขายเรยคับเดะผมอุดหนุน
คริๆๆ

Anonymous said...

)^_^(ที่20 โล่งไปอย่างน้อยก็ไม่ใช่ผี หุหุ ความฝันยังเก็บไว้ต่อไป อยากรู้เรื่องของชาญจังเลยตกลงเป็น ไม่เป็น หรือแอ๊บอะคับ ผมเดาว่าเขาอาจกำลังทำแอ๊บแบบที่ลุงคิดจะทำ555+ วันนี้ประกาศผลแอดแล้วขอบอกว่าพี่เขาเทพจริงๆ ตอนเข้าที่นี่พี่เขาก็สอบเข้าได้ที่1ฝรั่งดศษนะฮ๊าฟฟ

Anonymous said...

เป็นแฟนคลับคุณอูครับ ติดตามมาโดยตลอดคับ
ApriL

Anonymous said...

ป้าขวัญมารายงานตัว
ตอนนี้ไม่มีความเห็น แต่ก็แอบเจ็บลึกๆ

Anonymous said...

รายงานตัวครับ!!

หลาน Arus ของอาอู

Choo said...

มารายงานตัวครับ ไม่มีคอมเมนต์ มีแต่กำลังใจให้
อู พระเอกในเรื่อง
อู คนแต่งคนเขียน
นัย แฟนคลับที่แอบอ่าน นานๆ จะเม้นต์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นัย แฟนพระเอกในเรื่อง

หาเพลงที่ดังมากในช่วงปี 2532-3 ที่เข้ากับเนื้อเรื่องเพื่อตอกย้ำ ??? มาฝากเป็นกำลังใจ เป็นเพลงของหนุ่มเสก เสกสรร ชัยเจริญ พร้อมเนื้อเพลง

เพลงไม่อาจจะลืม

http://www.youtube.com/watch?v=ai3OxlZ43vc

ถึงสองเราจะเลิกราแม้รู้ในใจอยู่ดี
เพราะรักเราจึงตัดใจไกลห่าง
เพราะสองใจยังผูกพัน
เหมือนสองใจยังเจอะกัน
ให้ฉันทำใจอย่างไรให้ลืม

ไม่อาจจะลืมความหลังเรา
ไม่อาจจะลืมในสัมพันธ์
ไม่อาจลืมรักจริงใจในครั้งก่อน
ไม่อาจจะลืมเคยฝันกัน
ไม่อาจจะลืมเคยหวังกัน
ต้องบีบบังคับดวงใจเท่าไรให้ลืม

เห็นหนทางเดินผ่านไป
ที่สองเราเคยผ่านกัน
นึกถึงเคยมาด้วยกันเคียงคู่
เพราะฟ้าที่ยังนั่งมอง
ที่สองเคยมองด้วยกัน
ให้ฉันทำใจอย่างไรให้ลืม

Anonymous said...

อ่านแล้วชอบเรื่องนี้จัง

Anonymous said...

เข้ามาอ่านช้ากว่าทุกที ลุ้นอยู่ว่าอูจะตัดสินใจอย่างไร นับถือเลยครับที่อูหักดิบจะเลิก(เกย์)ให้ได้ ยอมรับว่าผมก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นพอดีได้แฟนแล้วต้องตัดสินใจว่าจะยอมรับว่าเป็น หรือจะหันหลังกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นชายคนหนึ่ง มันทำได้ยากจริงๆ

ป.ล. ชอบเพลงตอนนี้มากครับ

เด็กหลังร.ร.

ขนมโก๋ said...

ขอบคุณที่เตือนครับ

พี่อูครับ
ตอนอูยู่ในร้านโดนัท อูเขาตัดสินใจจะทำอะไรครับ?

คงไม่ใช่เรื่อง การมีชีวิตใหม่ การทิ้งจดหมายและนิตยสารนะครับ...

Anonymous said...

ตอนนี้เศร้าอ่ะ

...OaH...

หลาบเอง said...

มาทวง หลาบ