หนุ่ยจะขึ้นไปหาพี่สาวที่กรุงเทพฯวันเสาร์ที่ ... พี่สาวหนุ่ยอยู่แถวสะพานควาย อยากเจอปูด้วย มาหาหนุ่ยได้ไหม หนุ่ยจะรออยู่ที่ห้างเมอร์รี่คิงส์ตอนบ่าย อยากดูหนังโรงสักเรื่อง โทรมาหาหนุ่ยหน่อยนะ จะได้นัดกัน เบอร์หนุ่ย ...
คิดถึง
หนุ่ย”
หลายวันมานี้ผมมัวแต่ขลุกอยู่ในโรงพยาบาลจนค่ำ ทำให้ไปไขตู้ไปรษณีย์ไม่ทัน เว้นไปหลายวันเมื่อกลับมาไขตู้อีกทีก็พบจดหมายของหนุ่ย ช่วงนั้นเหลือหนุ่ยเพียงคนเดียวที่ยังเขียนติดต่อกับผม
หนุ่ยเคยเล่าให้ฟังว่ามีพี่สาวมาทำงานที่กรุงเทพฯ เช่าห้องพักแถวสะพานควายโดยพักร่วมกับเพื่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ติดต่อกันมาหนุ่ยไม่เคยพูดเรื่องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเลย เราจึงไม่เคยคุยเรื่องนัดเจอกันมาก่อน ครั้งนี้จู่ๆหนุ่ยก็จะเข้ากรุงเทพฯมาพร้อมกับชวนผมดูหนัง
หนุ่ยหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ ส่วนนิสัยนั้นเท่าที่คุยน่าจะเป็นคนซื่อๆ จริงใจ เมื่อคิดถึงเรื่องการนัดกันก็ทำให้อดนึกไปถึงโอ๋ไม่ได้ เมื่อได้เจอกับหนุ่ยแล้วเราจะยังคบกันต่อไปได้หรือไม่ หากว่าได้พบกันแล้วจะต้องทำให้ห่างหายกันไป ถ้าอย่างนั้นสู้อย่าได้พบกันจะดีกว่า...
“ฮัลโหล ผมขอสายหนุ่ยครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์ของเครื่องโทรศัพท์สาธารณะที่ตั้งอยู่ภายในซอยหอพัก ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบๆสี่ทุ่มแล้ว เมื่อผมอ่านจดหมายของหนุ่ยก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลองโทรหาหนุ่ยดู เรื่องของโอ๋เพียงเหตุการณ์เดียวยังไม่ทำให้ผมเข็ดขยาด คนเราอาจไม่ใช่เป็นอย่างโอ๋ไปเสียทุกคน
ผมรอสายอยู่สักครู่ก็ได้ยินชายหนุ่มคนหนึ่งรับสาย
“ฮัลโหล”
“หนุ่ยเหรอ นี่ปู...” ผมพูด
“ปู... หูย ดีใจจัง หนุ่ยรอโทรศัพท์อยู่หลายวันแล้ว นึกว่าปูจะไม่โทรมาแล้ว” หนุ่ยพูดด้วยความดีใจ เสียงของหนุ่ยทุ้มๆ ฟังรื่นหูดี แต่ทว่าสำเนียงนั้นเหน่อกระจาย
“ช่วงนี้เพื่อนไม่สบายน่ะ ไปเยี่ยมเพื่อนแล้วทำให้ไขตู้ไม่ทัน เลยไม่ได้ไปไขเสียหลายวัน” ผมอธิบาย
เราคุยกันสักครู่จากนั้นก็พูดกันถึงเรื่องการนัดเจอกัน
“อยากดูหนังสักรอบจัง ไม่ได้ดูหนังที่กรุงเทพฯนานแล้ว” หนุ่ยอ้อน “แต่อย่าไปดูไกลเพราะไม่อยากกลับบ้านดึก”
จากการพูดคุยกันทำให้ผมคิดว่าหนุ่ยคงไม่น่าจะมาแผนสูงแบบโอ๋ แค่ดูหนังสักรอบแล้วรีบกลับคงไม่น่ามีอะไร ในที่สุดผมจึงตกลงนัดหมายกับหนุ่ยที่ห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควาย ตอนบ่ายสามโมงที่ศูนย์อาหาร ห้างเมอร์รี่คิงส์ในตอนนั้นเพิ่งเปิดได้เพียงไม่กี่ปี ยังเป็นห้างใหม่อยู่ ก็น่าเดินอยู่เหมือนกัน จำได้ว่าห้างนี้หลังจากที่เปิดมาไม่นานก็เกิดไฟไหม้ จากนั้นปิดปรับปรุงไปพักหนึ่งแล้วก็เปิดทำการอีกครั้ง
“หนุ่ยขอเบอร์ปูได้ไหม” หนุ่ยถามก่อนที่เราจะจบการสนทนาในคืนวันนั้นลง
“เอ้อ... อย่าเลย” ผมปฏิเสธด้วยเสียงอึกอัก แม้รู้สึกเกรงใจหนุ่ยแต่ก็จำใจต้องทำ ผมจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด “เบอร์โทรหอพัก โทรมาก็ไม่สะดวกหรอก เขียนจดหมายคุยกันดีกว่า”
“งั้นพรุ่งนี้โทรมาหาหนุ่ยอีกได้ไหม” หนุ่ยถาม หลายๆคำที่หนุ่ยพูดนั้นออกเสียงเหมือนในภาษาเขียน เช่นในภาษาพูดคำว่าได้ไหมเรามักออกเสียงว่าได้มั้ย แต่หนุ่ยออกเสียงว่าได้ไหม คำว่าเขาที่ปกติออกเสียงว่าเค้าในภาษาพูด หนุ่ยก็ออกเสียงว่าเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เหน่อกระจายแบบนี้ฟังแล้วก็น่ารักดี
“จะพยายามนะหนุ่ย” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ที่จริงผมอยากโทรไปคุย
“ฝันดีนะปู” หนุ่ยหยอดคำหวานด้วยสำเนียงท้องถิ่น
“ฝันดีเช่นกันหนุ่ย” ผมตอบ
- - -
เที่ยงวันหนึ่ง
ผมก้าวขึ้นบันไดตึกกิจกรรมเพื่อขึ้นไปยังชมรมวิชาการหลังจากที่กินอาหารเที่ยงเสร็จ เปิดเทอมสองมาได้หลายวันแล้วแต่ผมแทบไม่ได้ย่างกรายไปที่ชมรมเลยเนื่องจากตอนกลางวันผมต้องช่วยแมวกับจิ๊บเตรียมเอกสารวิชาเรียนให้เพ็ญ ส่วนตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็เอาไปส่งให้เพ็ญ แม้เพ็ญจะอ่านบ้างไม่อ่านบ้างเนื่องจากสภาพจิตใจคงยังไม่พร้อม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเราก็ยังเตรียมวิชาเรียนไปให้เพ็ญทุกวัน
เมื่อผมขึ้นไปถึงชมรม แค่ยืนอยู่หน้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องเพลงลอยออกมาจากห้องชั้นในแล้ว เมื่อผมเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องชั้นในก็เห็นพี่ตั้วกำลังเล่นกีตาร์และมีคนอื่นๆช่วยร้องคลออยู่ หนึ่งในคนเหล่านั้นเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะเจอที่นี่
“อ้าวๆๆ ไอ้เหี้ยอู มึงขึ้นมานี่ได้ไง” นักศึกษาขาวตี๋ หุ่นผอมๆ ที่กำลังนั่งร้องเพลงอยู่เมื่อเห็นผมเข้าก็ร้องทักทาย ทั้งร่างและเสียงนั้นผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยม
“กูมีตีนกูก็เดินขึ้นมาน่ะสิ ถามได้” ผมตอบ
“ไอ้สัตว์นี่” นักศึกษาคนนั้นหัวเราะจนตาหยี “มึงขึ้นมาทำไมวะ”
“ก็กูทำงานที่ชมรมนี้ตั้งแต่เทอมที่แล้ว มึงต่างหากที่ขึ้นมาทำไม” ผมตอบไม่ลดราวาศอก
นักศึกษาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ไอ้กี้นั่นเอง มันหันไปมองหน้าพี่ตั้วเป็นเชิงถาม พี่ตั้วพยักหน้ารับว่าใช่
“มึงเนี่ยนะทำงานวิชาการ โอย กูอยากขำให้เหงือกหลุด” ไอ้กี้หัวเราะแบบตัวร้ายในหนังจีน แถมยังเอามือจี้เอวตนเองเพื่อเพิ่มระดับความขบขันเสียอีก ดูแล้วน่ากระโดดเตะเหลือเกิน
ผมรู้ดีว่าไอ้กี้คงสงสัยว่าคนที่เรียนห่วยอย่างผมนั้นมาทำงานวิชาการได้อย่างไร ผมรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ภาพความห่วยในอดีตของผมคงติดตาตรึงใจอยู่ในความรู้สึกของหลายๆคน แม้จนบัดนี้ภาพนั้นก็ยังไม่ได้ถูกลบเลือนไป
“มึงรู้หรือเปล่าว่าชีตติวแคลคูลัสที่ช่วยให้มึงสอบผ่านในเทอมที่แล้วน่ะ ส่วนหนึ่งก็ฝีมือกูเอง ไม่ต้องเสือกมาพูดมากเลย” ผมยังไม่ยอมมัน
“เอ้อ ไอ้อู ยายเพ็ญมันหายไปไหนของมันวะ” พี่ตั้วพูดแทรกขึ้นมา ทำให้การต่อปากต่อคำของผมกับไอ้กี้ต้องหยุดลง “พี่ไปตามหาเพ็ญที่กลุ่มก็ไม่เจอ ได้ยินพูดกันว่าเพ็ญไม่ค่อยสบาย ตั้งแต่เปิดเทอมยังไม่ได้มาเรียนเลย”
“เพ็ญเหรอครับ” ผมเสียววาบ พี่ตั้วไม่น่ามาถามผมเลย ผมไม่อยากโกหกแต่ก็พูดความจริงไม่ได้ “พี่จะหาเพ็ญไปทำไมล่ะ”
“ก็จะตามตัวมาช่วยงานอีกน่ะสิ นายสนิทกับเพ็ญ พอรู้ไหมว่าเพ็ญไม่สบายเป็นอะไร” พี่ตั้วถามอีก
“ไม่รู้เหมือนกันครับพี่” ผมมุสา “ก็สนิทกันแค่ตอนทำงานในชมรมเท่านั้น”
“อะไรกันฟะ” พี่ตั้วบ่น “ไม่ได้มาเรียนตั้งแต่เปิดเทอมแต่ไม่ยักมีใครรู้ว่าเป็นอะไร พวกนี้มันเป็นเพื่อนกันยังไงนะ”
“แล้วพี่เอาไอ้ตัวนี่ขึ้นมาทำไมครับ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปมองทางไอ้กี้ “เกะกะมากเลย”
“เฮ้ย พี่เปล่าพามา กี้กับเพื่อนขึ้นมาเอง บอกว่าอยากทำกิจกรรม ขึ้นมาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว” พี่ตั้วพูด “แล้วนายหายไปไหนมา ตั้งแต่เปิดเทอมยังไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”
“ผมเห็นว่าที่ชมรมยังไม่ค่อยมีงานน่ะครับ ก็เลยไม่ค่อยได้ขึ้นมา เอาไว้มีงานแล้วผมก็ขึ้นมาช่วย” ผมตอบเลี่ยง
ผมนั่งเล่นอยู่ที่ชมรมจนได้เวลาเข้าเรียนในภาคบ่ายจึงจากมา เป็นอันว่าในเทอมปลายนี้ชมรมได้นักศึกษาปีหนึ่งมาช่วยงานเพิ่มขึ้นอีกสองคน นั่นคือกี้และเพื่อนที่มาจากกลุ่มเดียวกัน คิดแล้วก็อดแปลกใจในชะตาชีวิตไม่ได้ ดูเหมือนว่าผมกับไอ้กี้จะหลีกหนีกันไม่พ้น หลายปีมานี้เพื่อนแล้วคนเล่าได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมแล้วก็จากไป เพื่อนสมัยประถมก็ขาดการติดต่อกัน ส่วนเพื่อนมัธยมนั้นเมื่อผมจบมาแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกับใคร คงมีแต่ไอ้กี้เพื่อนมัธยมที่เหมือนจะไม่กินเส้นกับผมเท่าไรนักเพียงคนเดียวที่ยังได้พูดคุยกัน
- - -
“หวัดดีจ้าเพ็ญ” พวกเราเคาะประตูห้องผู้ป่วยที่เพ็ญพักฟื้นอยู่ จากนั้นพวกสาวๆก็บุกเข้าไปทักทายเพ็ญเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ตอนนั้นเพ็ญกำลังเตรียมกินอาหารเย็น
วันนี้สามสาวอันได้แก่ จุ๋ม แมว และจิ๊บ พร้อมด้วยผมนัดมาเยี่ยมเพ็ญด้วยกัน เมื่อเพ็ญเห็นเพื่อนๆสีหน้าก็สดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“แหม ดีจัง วันนี้มากันพร้อมหน้า” เพ็ญพูด
“เป็นไงบ้าง” เพื่อนๆถามไถ่อาการ
“หมอบอกว่าวันมะรืนก็กลับได้แล้ว” เพ็ญตอบ
เมื่อเพ็ญพูดจบพวกเราทั้งหมดต่างก็อึ้งกับไปวูบหนึ่ง แม้แต่เพ็ญเองก็มีสีหน้าที่หม่นและอึ้งไปด้วยเช่นกัน การพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเปรียบเหมือนกับเพ็ญได้อาศัยอยู่ในหลุมหลบภัย เมื่อออกจากที่นี่ไปเมื่อไรก็เท่ากับว่าเพ็ญต้องกลับเข้าไปเผชิญโลกของความเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง
พวกสาวๆพยายามชวนเพ็ญคุย ส่วนผมนั้นได้แต่ฟังเพราะพูดไม่ทัน คุยกันจนค่ำสามสาวก็ขอตัวกลับ ส่วนผมนั้นยังคงนั่งอยู่ในห้อง
“เดี๋ยวอีกสักพักเราค่อยกลับ” ผมบอกกับทุกคน “บ้านเราอยู่ไม่ไกล นั่งเป็นเพื่อนเพ็ญอีกสักหน่อยเพ็ญจะได้ไม่เหงา”
ผมนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์อย่างเงียบๆ อยากจะพูดกับเพ็ญว่าดีจังที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ผมก็รู้ดีว่าเพ็ญคงไม่ได้รู้สึกดีเท่าไรนัก เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วเพ็ญคงต้องกลับไปเรียนต่อที่เดิม กลับไปพักที่เดิม แต่ตัวเพ็ญนี่สิกลับไม่ใช่เพ็ญคนเดิมแล้ว แต่เป็นเพ็ญที่เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลในชีวิต หากเป็นผมผมก็ไม่รู้ว่าจะมีความกล้าและกำลังใจที่จะกลับเข้าไปในโลกอันโหดร้ายใบนี้ได้อย่างไรเหมือนกัน คิดแล้วก็ไม่พูดเสียดีกว่า ผมนึกคำพูดที่จะปลอบใจเพ็ญไม่ออกจริงๆ
ผมนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ส่วนเพ็ญก็ดูทีวีโดยเปิดเสียงเพียงเบาๆเพื่อไม่ให้รบกวนผม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่มผมจึงเตรียมตัวกลับ
“ขอบใจนะอูที่มาอยู่เป็นพื่อน พรุ่งนี้จะมาอีกหรือเปล่า” เพ็ญถาม
“มาดิ” ผมตอบ
“มะรืนไม่ต้องมานะ เราต้องออกก่อนเที่ยง” เพ็ญพูดต่อ ผมเข้าใจดีเพราะว่าเคยมานอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลมาก่อน รู้ดีว่าหากออกหลังเที่ยงทางโรงพยาบาลจะคิดค่าห้องเพิ่มอีกหนึ่งวัน
“จะให้มาช่วยไหม” ผมอาสา
“เธอมีเรียนนี่นา” เพ็ญพูด
“โดดได้ สบายมาก” ผมพูด
“ไม่ต้องหรอก ข้าวของเราไม่ได้มากมายอะไร เรากลับเองได้” เพ็ญตอบ
เราสองคนเงียบไปพักหนึ่ง เพ็ญทำท่าเหมือนกับอยากพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด
“คิดอะไรอยู่เหรอ” ผมถามนำเพื่อเปิดโอกาสให้เธอพูด
“เราอยากขอบใจเธอ...” เพ็ญพูดช้าๆ “ที่จริงก็อยากถามอะไรเธอด้วย”
“อะไรล่ะ ว่ามาสิ” ผมพูดกระตุ้นเมื่อเห็นเพ็ญลังเล
“เราอยากขอบใจอูที่... ที่ไม่ถามอะไรเรา” เพ็ญพูดช้าๆ “แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าหลายวันมานี้เธอไม่เคยถามอะไรเราเลย มาถึงก็มาชวนเราคุยเรื่องทั่วๆไป แล้วก็นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ”
ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดของเพ็ญ มันเป็นคำถามที่ผมนึกไม่ถึงว่าจู่ๆเพ็ญจะถามขึ้นมา
หลายวันมานี้ผมทำอย่างที่เพ็ญพูดจริงๆ นั่นคือ ชวนเพ็ญคุยในเรื่องสัพเพเหระ จากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือ ผมไม่เคยถามเพ็ญเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยทั้งๆที่มีโอกาสจะถาม มีเรื่องหลายเรื่องที่ผมยังไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพ็ญจนต้องกลับกลายมาอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ถาม
จำได้ว่าความคิดวูบแรกที่เกิดขึ้นในหัวของผมเมื่อผมได้รู้เรื่องของเพ็ญก็คือคำว่าฆาตกร แต่เมื่อได้เห็นสภาพของเพ็ญแล้วผมก็อดสงสารไม่ได้แม้ในใจยังนึกตำหนิอยู่ก็ตาม
หลังจากที่ผมมาเยี่ยมเพ็ญและอยู่เป็นเพื่อนเพ็ญในวันต่อมา ได้เห็นเพ็ญผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ยามอยู่เงียบๆผมจึงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย... ผมอดนึกถึงเรื่องของตี๋ไม่ได้...
ตอนนั้นถ้าไม่ได้ไอ้นัยช่วยเตือนสติผมด้วยเรื่องพระเยซูกับหญิงคนชั่วผมก็ยังคงคิดรังเกียจไอ้ตี๋เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แล้วเพ็ญล่ะ เพ็ญต่างอะไรจากตี๋
ตั้งแต่นั้นมา ทัศนคติของผมที่มีต่อเพ็ญก็กลับกลาย มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะไปตัดสินโทษของเพ็ญ ผมเป็นเพียงแค่เพื่อน... และเพื่อนก็มีหน้าที่ของเพื่อนที่จะต้องทำ...
“เพ็ญ...” ผมพูดช้าๆ พยายามเรียบเรียบคำพูดอยู่ในใจเพื่อไม่ให้พูดผิดพลาด “ที่เราไม่ถามถึงเรื่องในอดีตเพราะเราอยากให้เพ็ญรู้ว่าปัจจุบันต่างหากคือเวลาที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเราจึงไม่ได้สนใจอดีตของเพ็ญ แต่เราสนใจในปัจจุบันของเพ็ญมากกว่า เธอจะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้หากยังมัวแต่ยึดติดอยู่กับอดีต”
เพ็ญมองหน้าผมนิ่ง ไม่พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ
“คนเราต่างก็มีอดีตที่ไม่น่าจดจำด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราก้าวข้ามมันไปได้ และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด นั่นก็เท่ากับว่าเราได้สร้างอดีตอันงดงามขึ้นมาสำหรับอนาคต แต่ถ้าเพ็ญก้าวข้ามอดีตไปไม่ได้ เพ็ญก็จะไม่อาจสร้างอดีตอันงดงามสำหรับวันในอนาคตได้ ดังนั้นเราไม่อยากให้เพ็ญอยู่กับอดีต แต่อยากให้เพ็ญอยู่กับปัจจุบัน”
โห พระเอกโคตรๆเลย ผมนึกในใจ พลางก้มลงมองดูที่พื้นห้อง อุปาทานทำให้ผมเห็นเงาของตนเองบนพื้นที่เกิดจากแสงไฟเพดานเหมือนกำลังทำท่าอ้วกอยู่ อะไรที่ผมพูดออกไปนั้นผมเองทำไม่ได้สักอย่าง แต่ก็อย่างว่า บทพูดของพระเอกมันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ
เพ็ญมองหน้าผมนิ่ง ไม่พูดอะไร แต่น้ำตาเริ่มพรูออกมาจากหัวตา จากนั้นเธอก็เริ่มสะอื้น เมื่อผมเห็นน้ำตาของเพ็ญมือไม้ก็ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก คิดได้อยู่อย่างเดียวว่ากลับก่อนดีกว่า
“พักผ่อนก่อนเถอะนะ ค่อยๆคิด เราไปก่อนล่ะ” ผมทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องไป

<ห้างเมอร์รี่คิงส์เป็นห้างสรรพสินค้าที่เกิดขึ้นในยุคห้างสรรพสินค้าเฟื่องฟู คือในราว พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นมา ห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาแรกอยู่ที่วังบูรพา ผมเห็นมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ต่อมาได้มาเปิดสาขาที่สองที่ย่านสะพานควาย โดยห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควาย นี้เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ และหลังจากนั้นก็ยังมีห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาอื่นๆตามมาอีก
เมื่อผ่านพ้นยุครุ่งเรืองของห้างสรรพสินค้ายุคต่อมาก็เป็นยุคร่วงโรย หลังจากที่ห้างสรรพสินค้าแข่งกันเปิดจนกรุงเทพฯมีห้างสรรพสินค้าทั้งใหญ่ กลาง และเล็กเป็นจำนวนมากมาย หลายปีผ่านไป ห้างที่มีสายป่านไม่ยาวมากนักก็เริ่มประสบปัญหาการเงินเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจสูง หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาต่างๆก็ทยอยปิดตัวลง สำหรับห้างที่สะพานควายนี้ไม่แน่ใจว่าปิดในปีใด แต่น่าจะหลังจากปี พ.ศ. ๒๕๔๕
จากภาพ ภาพบนเป็นห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควายในช่วงที่เพิ่งเปิดไม่นานนัก ราว ๒๕ ปีมาแล้ว ส่วนภาพล่างเป็นภาพในปัจจุบันที่ห้างปิดกิจการไปแล้ว>