Friday, July 23, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 73 (อวสาน)

อำเภอสุไหงโก-ลกไม่ได้มีอะไรน่ากลัวหรือต้องตื่นเต้นผจญภัยอย่างที่ผมเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ในตัวเมืองเจริญทีเดียว พื้นที่ที่เราไปอยู่นั้นเป็นย่านของชาวจีนและชาวไทยพุทธซึ่งอยู่นอกตัวอำเภอ บรรยากาศจึงเป็นชนบท สงบ และปลอดภัย เราพักอยู่ที่บ้านญาติของกรณ์ คุณอาซึ่งเป็นอาแท้ๆของกรณ์ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี แต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด พวกเราไม่มีโอกาสไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเลยเนื่องจากพวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยว่างกัน จึงไม่มีใครพาไป พวกเราจึงได้แต่นั่งๆนอนๆ กินๆ เล่นๆ ในบริเวณบ้านพัก อย่างมากก็ออกไปเดินเล่นในสวนยางใกล้ๆบ้านพักเท่านั้น

พักอยู่หลายวันพวกเราก็ลาคุณอาของกรณ์และเดินทางต่อมายังจังหวัดปัตตานีซึ่งกรณ์มีญาติอยู่อีกรายหนึ่ง ที่นี่ก็เป็นเช่นเดียวกัน พวกเราได้แต่นั่งๆนอนๆและเที่ยวเล่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงบ้านพัก ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวแต่อย่างใด จะไปกันเองก็ไม่กล้าเนื่องจากญาติของกรณ์กำชับเอาไว้หนักนหาว่าเป็นเด็กมาจากต่างถิ่นอย่าไปไหนกันเองให้ไกลหูไกลตา

หลังจากที่จับเจ่าอยู่แต่ในละแวกบ้านเป็นเวลาหลายวัน พวกขาเที่ยวทั้งหลายก็เริ่มบ่น กรณ์เองก็อึดอัดใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เรื่องฆ่าเวลาที่พอทำได้ก็คือเล่นไพ่กับดูวีดิโอ ยังดีที่บ้านนี้มีวีดิโอหนังจีนชุดกับหนังฝรั่งอยู่ไม่น้อย จึงพอฆ่าเวลาในช่วงแรกไปได้บ้าง พวกขาไพ่ก็จั่วกันทั้งวันพอหายเซ็งไปได้เนื่องจากเล่นไพ่กินเงินกัน ส่วนพวกดูวีดิโอสนุกแต่ในช่วงแรก ไปๆมาๆก็ดูวีดิโอจนเบื่อจึงเลิกดู หลังจากนั้นก็ต้องกลับมาดูวีดิโอใหม่อีกครั้งเนื่องจากไม่มีอะไรทำ

“โอ๊ย นี่กูอยู่บ้านไม่ดีกว่าหรือวะเนี่ย จะมาล่องใต้ทำไมให้เสียเงิน” ไอ้กี้บ่นอุบอิบ คนอื่นก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันแต่ว่าแอบบ่นไม่ให้กรณ์ได้ยินเนื่องจากเกรงใจกรณ์ ยกเว้นแต่ไอ้กี้ที่หลุดปากบ่นออกมา บรรยากาศจึงเริ่มตึงเครียด กรณ์เองก็อึดอัดใจกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

“ลองหาวีดิโอดูดีกว่า” หมูพยายามผ่อนคลายบรรยากาศด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พลางเดินไปที่ตู้เก็บม้วนวีดิโอเทป หลังจากค้นไปค้นมาชั่วครู่ก็หยิบวีดิโอเทปออกมาม้วนหนึ่ง “ดูเรื่องนี้ละกัน เก่าหน่อยแต่เป็นหนังรางวัล”

หนังเรื่องที่หมูหยิบออกมาคือหนังเรื่อง มนต์รักเพลงสวรรค์ หรือ The Sound of Music ซึ่งเป็นหนังที่เก่าพอดู อายุของภาพยนตร์ในตอนนั้นก็ยี่สิบกว่าปีเข้าไปแล้ว ถ้านับอายุมาจนถึงตอนนี้ก็สี่สิบกว่าปี ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของหนังเรื่องนี้มารวมทั้งเคยดูในทีวีด้วยแต่ไม่เป็นการดูอย่างกระท่อนกระแท่น ไม่เคยได้ดูเต็มเรื่องเลย

หนังเก่าที่ถือว่าเป็นหนังคลาสสิกหรือบางคนอาจเรียกว่าเป็นหนังอมตะนิรันดร์กาลนั้น ตั้งแต่ในวัยเด็กมาที่รู้จักก็มีอยู่เพียงสองสามเรื่อง เช่น เบนเฮอร์ (Ben-Hur) ซึ่งเป็นหนังประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้ ๑๑ ตุ๊กตาทอง และมนต์รักเพลงสวรรค์นี่เอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เพลง การดำเนินเรื่องเป็นแบบนิยายชีวิตและสอดแทรกบทเพลงร้องอยู่ในเนื้อเรื่อง ซึ่งถ้าในยุคก่อนก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สนุกสนานอีกทั้งมีบทเพลงไพเพราะ แต่วัยรุ่นในยุคนี้อาจหัวเราะและคิดว่าเป็นเรื่องตลกขบขันหรือเป็นเรื่องเชยไปแล้วก็ได้

เมื่อหมูเริ่มฉายหนังเรื่องนี้ เพื่อนๆหลายคนดูได้สักพักก็พากันปลีกตัวจากไปตั้งวงเล่นไพ่กันแทนเพราะเห็นว่าหนังไม่สนุก

“หนังอะไรวะ ดีใจก็ร้องเพลง เสียใจก็ร้องเพลง ร้องไปก็เต้นไป จะบ้าหรือเปล่า กูไปเล่นไพ่ดีกว่า” ไอ้กี้วิจารณ์พลางเดินจากไป

เนื่องจากหมู กรณ์ และสิทธิ์เป็นนักดูหนัง ทั้งสามคนจึงดูหนังเรื่องนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ผมเองทีแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่เนื่องจากไม่มีอะไรจะทำจึงดูหนังไปเรื่อยๆ ดูไปดูมาก็สนุกดีเหมือนกัน เวอร์ชันที่ดูนี้เป็นเสียงภาษาอังกฤษในฟิล์มและมีคำบรรยายไทย

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรียในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง เนื้อเรื่องก็เป็นแนวรักมีอุปสรรคเพราะช่องว่างระหว่างชนชั้น กล่าวคือ นางเอกของเรื่องชื่อมาเรีย เดิมทีต้องการจะอุทิศชีวิตให้แก่พระผู้เป็นเจ้าด้วยการบวชเป็นนางชี จึงมาใช้ชีวิตในคอนแวนต์เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ ขณะที่อยู่ในคอนแวนต์นั้นเอง มาเรียก็มีโอกาสได้รับงานพี่เลี้ยงดูแลเด็กชายหญิง ๗ พี่น้อง หัวหน้าครอบครัวนี้หรือพระเอกในเรื่องนี้เป็นคือผู้การฟอนแทรปป์ซึ่งนายทหารเรือมีชาติตระกูลและเป็นพ่อหม้าย

เมื่อมาเรียมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กก็เกิดต้องตาต้องใจกับพระเอก จนกลายเป็นความรักขึ้น แต่ผู้การคนนี้มีคู่หมั้นหมายที่มีฐานะสมกันอยู่แล้วและกำลังจะแต่งงานกัน เมื่อมาเรียทราบความจริงเช่นนี้จึงหนีออกจากคฤหาสน์ของผู้การฟอนแทรปป์และกลับไปที่คอนแวนต์ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ พร้อมกับแสดงเจตนาต่อแม่อธิการว่าต้องการอุทิศชีวิตรับใช้พระเจ้าอยู่ในคอนแวนต์

ผมดูไปเรื่อยๆจนมาถึงตอนนี้ ก็ได้ยินเสียงแม่อธิการพูดขึ้นมาว่า

“Maria, these walls were not meant to shut out problems. You have to face them. You have to live the life you were born to live.”

ผมสะดุดกับคำพูดที่ได้ยินจากในภาพยนตร์ ขณะที่กำลังใคร่ครวญอยู่นั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงเพลงที่ร้องโดยแม่อธิการดังตามมา

Climb every mountain,
Search high and low.
Follow every byway,
Every path you know..

Climb every mountain,
Ford every stream.
Follow every rainbow,
'Til you find your dream!

A dream that will need
all the love you can give,
Every day of your life
for as long as you live.

Climb every mountain,
Ford every stream,
Follow every rainbow,
'Til you find your dream!

บทเพลงถูกร้องอย่างชัดถ้อยชัดคำ ภาษาที่ใช้ก็ไม่ยาก ผมจึงฟังและเข้าใจความหมายของเนื้อเพลงได้โดยตลอด แม่อธิการกำลังเตือนสติให้มาเรียให้เผชิญหน้ากับอุปสรรคโดยไม่หนีปัญหา ใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็น พร้อมทั้งให้ตามหาความฝันอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ห้วยละหาน และรุ้งยาวที่ทอดข้ามฟ้า จนกว่าจะพานพบฝันของตน

เพลงจบลงไปแล้ว และภาพยนตร์ก็ดำเนินต่อไป แต่ผมไม่ได้ใส่ใจกับภาพที่เคลื่อนไหวในจอทีวีอีก ผมกลับคิดถึงคำพูดและความหมายของเนื้อเพลงที่ได้ยินนั้น

ใช่แล้ว แต่ละคนย่อมมีความฝันของตน ผมเองก็มีความฝันของผมเช่นกัน หญิงสาวในภาพยนตร์ในที่สุดก็คงลงเอยกับชายที่ตนรักอย่างสุขสมตามแบบฉบับของนิยาย ส่วนผมนั้นเล่า... ความฝันของผมไม่ใช่ความฝันในแบบที่คนปกติทั่วไปใฝ่ฝันกัน มันไม่ใช่เรื่องของชายหนุ่มหญิงสาว แต่มันเป็นเรื่องของชายกับชายที่รักกัน...

“เธอเป็นเด็กผู้ชาย ยังไงต่อไปก็ควรต้องแต่งงานมีครอบครัว เธออย่าเลือกเดินทางผิดนะ หากถลำไปแล้วมันจะถอยได้ยาก อีกหน่อยเธออาจเป็นคนมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคมก็ได้ เธอต้องประพฤติตัวให้สังคมยอมรับได้ คิดเสียตั้งแต่ยังไม่สายเกินแก้” คำพูดของอาจารย์ประพิมพ์ อาจารย์ประจำชั้น ม.๑ ยังดังก้องอยู่ในหู อาจารย์เคยเตือนผมหลังจากที่ผมมีเรื่องกับโหนก คำพูดเหล่านี้แม้จะเป็นความหวังดีแต่ก็บาดลึกเข้าไปในหัวใจของผม

หลายปีมานี้ผมเริ่มยอมรับในธรรมชาติที่ผิดปกติของตนเอง ผมพยายามที่จะพิสูจน์ว่าคำพูดของอาจารย์ประพิมพ์นั้นไม่เป็นความจริง... ผมสามารถเลือกเส้นทางเดินของผมเองได้ ผมเป็นอย่างที่ผมเป็นได้... มันก็แค่ผู้ชายรักกัน... แต่ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมก็ยังไม่สามารถหักล้างคำพูดของอาจารย์ได้เลย

หวนนึกถึงชะตาชีวิตของไอ้นัย น้ำเสียงและท่าทีของคุณอาไอ้นัยที่มีต่อหลานเมื่อคิดว่าหลานเป็นเกย์... อุปสรรคในชีวิตครั้งนั้นผมแทบจะผ่านมันไปไม่ไหว

หวนนึกถึงพงษ์ปากกว้างที่ถูกไอ้อ้วนเหยียดหยามรังแกเมื่อตอนอยู่ชั้น ม.๑...

หวนนึกถึงนน จอมมารดำ ถึงแม้การเป็นเด็กเรียนเก่งจะช่วยให้เพื่อนๆเกรงใจได้บ้าง แต่นนก็ไม่วายถูกเพื่อนๆหยามเล่นเป็นเรื่องสนุก…

หวนนึกถึงบอย... จู่ๆบอยก็เปลี่ยนไปและเริ่มถอยห่างจากผมเมื่อผมเริ่มรู้สึกจริงจังกับมัน...

เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต อาจบางที... ผมไม่ควรติดตามสายรุ้งยาวที่ทอดข้ามขอบฟ้าไปจนพบความฝันของตนเอง แต่ผมควรเก็บความฝันนั้นไว้ที่ปลายฟ้าด้านโน้นเสียมากกว่ากระมัง... เก็บซ่อนเอาไว้เพื่อที่จะไม่มีใครได้พบ... ทิ้งความฝันเอาไว้ที่นั่นเพื่อที่ผมจะได้ไม่มีวันหวนกลับไปหามันได้อีก... พร้อมทั้งอยู่ต่อไปอย่างไร้ความฝันและพยายามใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติ...

“เฮ้ย ไอ้อู เป็นอะไรไป” ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมพร้อมทั้งเขย่าตัว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นใครเรียก

“ทำไมเหรอ” ผมค่อยตื่นขึ้นมาจากภวังค์

“พวกเราเรียกมึงตั้งหลายครั้งมึงก็ไม่ตอบ นึกว่าช็อคตายคาจอทีวีไปแล้ว” กรณ์พูด

“ใจลอยคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ” ผมตอบ เรื่องใจลอยกับผมนี่เป็นของคู่กัน บอยชอบว่าผมในเรื่องนี้เป็นประจำ

“คิดอะไรอยู่วะ หนังก็ไม่ดู” กรณ์ถามอีก

“คิดเรื่อยเปื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ผมพูดปัด

- - -

หลังจากพักที่ปัตตานีอยู่หลายวัน ในที่สุดพวกเราก็เดินทางต่อไปยังจังหวัดสงขลา กรณ์คนญาติเยอะมีญาติอยู่ที่สงขลาด้วย

“คราวนี้คงจะได้เที่ยวเสียที อย่างน้อยก็ไปดูวอล์กแมนที่ตลาดสันติสุข” ไอ้กี้ตั้งความหวัง มันเตรียมเงินมาจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อวอล์กแมนรุ่นดีๆกลับไป

เมื่อไปจึงจังหวัดสงขลา เหตุการณ์ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเสียอีก กรณ์บอกว่าญาติของมันอยู่ในตัวเมือง พวกเราก็คิดกันว่าน่าจะอยู่ใกล้ๆตลาดสันติสุขและสามารถไปเที่ยวได้โดยสะดวก ตลาดสันติสุขในยุคนั้นมีชื่อเสียงมากเพราะเป็นแหล่งเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกที่นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ว่ากันว่าถูกกว่าซื้อในกรุงเทพฯพอสมควรทีเดียว เหตุที่ราคาถูกเพราะว่าส่วนหนึ่งใช้การหิ้วเข้ามา แต่อีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้คุณภาพไม่ค่อยดีนัก จึงขายได้ในราคาต่ำ ราคาถูกเอาไว้ก่อนส่วนจะใช้งานได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

บ้านของญาติไอ้กรณ์นั้นอยู่ในตัวเมืองสงขลาจริง ส่วนตลาดสันติสุขและแหล่งซื้อของต่างๆนั้นอยู่ในอำเภอหาดใหญ่ซึ่งเป็นคนละอำเภอกัน จึงกลายเป็นว่าบ้านที่เราไปพักอยู่นั้นห่างจากตลาดสันติสุขหลายสิบกิโลเมตรเลยทีเดียว บ้านนี้อยู่ใกล้ชายทะเล ถ้าจะไปเที่ยวชายทะเลละก็ง่ายมาก

“โอย กูจะบ้าตายห่า” ไอ้กี้ถึงกับครางเมื่อรู้ข้อเท็จจริง “กูจะมาซื้อของ กูไม่ได้มาเที่ยวทะเลโว้ย”

พวกเราพักอยู่ที่นี่อีกสามสี่วัน ที่สงขลานี้การคมนาคมสะดวก สามารถนั่งรถไปซื้อของที่ตลาดสันติสุขและตลาดกิมหยงได้ อีกทั้งหาดใหญ่ สงขลา เป็นเมืองท่องเที่ยว ตอนนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการก่อความไม่สงบเลย ดังนั้นพวกเราจึงไม่ถึงกับต้องแกร่วอยู่แต่ในบ้าน สามารถนั่งรถมาเที่ยวที่ตลาดและตัวเมืองหาดใหญ่ได้ตามสบาย แต่นอกจากเดินตลาดแล้วพวกเราก็ไม่ค่อยได้ไปไหนเช่นเดิม

สงขลาเป็นจังหวัดสุดท้ายที่เราแวะพัก ในที่สุดการเดินทางก็สิ้นสุดลง เราเดินทางกลับด้วยรถโดยสารปรับอากาศหรือว่ารถทัวร์ รถทัวร์ทำเวลาได้ดีกว่ารถไฟมาก ไม่มีหวานเย็น ใช้เวลาเพียง ๙ หรือ ๑๐ ชั่วโมงก็ถึงกรุงเทพฯ ไอ้กี้บ่นพึมมาหลายวันแล้ว ดูท่าทางมันคงผิดหวังการการเที่ยวครั้งนี้ไม่น้อย เพื่อนๆคนอื่นๆก็ผิดหวังมากบ้างน้อยบ้างตามแต่ความคาดหวังของแต่ละคน สำหรับผมนั้นก็ผิดหวังเช่นกัน แต่ก็ไม่มากนัก แม้ไม่ได้ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อต่างๆ แต่อย่างน้อยผมก็ได้มาเปิดหูเปิดตาในเส้นทางสายภาคใต้ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน และยังเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตของผมอีกด้วย

- - -

พวกเรากลับมาถึงกรุงเทพฯตอนสิ้นเดือนเมษายน ส่วนการประกาศผลสอบเอนทรานซ์เป็นช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เมื่อเวลาห่างกันอีกเพียงไม่กี่วันผมจึงไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัด แต่อยู่ในกรุงเทพฯเพื่อรอดูผลสอบไปเลย

ในยุคที่ผมเข้าสอบและก่อนหน้านั้น ช่องทางหลักในการประกาศผลการสอบเอนทรานซ์จะใช้วิธีการติดประกาศบนบอร์ด ไม่สามารถดูผลการสอบแบบออนไลน์ได้เพราะในตอนนั้นแม้มีคอมพิวเตอร์แบบพีซีแล้วแต่ก็ยังไม่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับส่วนกลางนั้นสถานที่ประกาศผลสอบก็คือสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือที่เรียกกันเล่นๆว่าสนามจุ๊บซึ่งอยู่แถวๆสามย่าน

หลังจากที่มีการติดประกาศผลบนบอร์ดไปแล้วหนังสือพิมพ์ก็จะนำรายชื่อผู้ที่สอบได้ในคณะต่างๆมาทยอยลงในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน รวมทั้งสถานีวิทยุบางแห่งก็มีการนำรายชื่อผู้ที่สอบได้มาอ่านด้วย แต่รายชื่อนับหมื่นไม่สามารถตีพิมพ์หรืออ่านออกอากาศได้หมดภายในวันเดียว ดังนั้นจึงต้องทยอยตีพิมพ์หรืออ่านออกอากาศเป็นเวลาหลายวัน นอกจากช่องทางเหล่านี้แล้วผู้ที่สอบได้ยังได้ได้รับไปรษณียบัตรแจ้งจากทบวงมหาวิทยาลัยโดยตรงอีกด้วย

สำหรับการติดประกาศผลการสอบนั้นเจ้าหน้าที่จะมาติดประกาศผลกันตั้งแต่ยังไม่รุ่งเช้า ดังนั้นในคืนก่อนหน้าวันประกาศก็จะมีนักเรียนมารอที่สนามประกาศผลแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ติดประกาศผลการสอบเอนทรานซ์เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังมืดอยู่ นักเรียนจึงต้องจุดเทียนหรือส่องไฟดูผลกัน สำนวนที่พูดกันในยุคก่อนว่าส่องเทียนดูผลเอนทรานซ์ก็มีที่มาเช่นนี้เอง

- - -

วันประกาศผลสอบ

ในที่สุดวันประกาศผลการสอบเอนทรานซ์ก็มาถึง ผมออกจากหอพักไปสนามจุ๊บตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความตื่นเต้น ผมลงจากรถประจำทางที่หน้าคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ จากนั้นเดินทะลุคณะครุศาสตร์ไปทางด้านหลังก็จะเป็นสนามจุ๊บ

เมื่อไปถึงบริเวณสนามกีฬา ผมแลเห็นนักเรียนออกันอยู่เป็นจำนวนมาก สนามจุ๊บเป็นสนามกีฬาขนาดมาตรฐาน พื้นที่ตรงกลางเป็นสนามกีฬา ขอบนอกเป็นอัฒจรรย์สำหรับนั่งชมกีฬา บอร์ดที่ติดประกาศผลการสอบเอนทรานซ์นี้ตั้งเรียงรายอยู่รอบนอกของสนามกีฬานั่นเอง

ขณะที่ผมเดินเข้าไปใกล้บอร์ดที่ติดประกาศผลการสอบ ผมได้มีโอกาสเห็นภาพชีวิตที่ผมไม่มีวันลืม นั่นคือ ผมได้เห็นทั้งผู้ที่ปรีดาและโศกเศร้าเป็นจำนวนมากในเวลาและสถานที่เดียวกัน นักเรียนที่เดินสวนออกมามีทั้งผู้ที่อยู่ในอาการลิงโลดและผู้ที่มีอาการเศร้าซึม นักเรียนบางคนเดินร้องไห้ออกมา บ้างก็ถึงกับต้องให้เพื่อนช่วยพยุงไปนั่งในขณะที่บางคนก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

ผมค่อยๆเบียดคนที่มาออกันที่บอร์ดประกาศผล นักเรียนคนแล้วคนเล่าเบียดเสียดเข้ามาที่บอร์ดจากนั้นก็ผละออกไปด้วยอาการต่างๆกัน

ผมเดินหาบอร์ดที่ติดประกาศผลสอบในช่วงเลขที่นั่งของผม เมื่อหาบอร์ดพบแล้วก็เบียดเข้าไปดูใกล้ๆ ค่อยๆไล่หาเลขที่นั่งสอบบนกระดาษที่แปะอยู่ในบอร์ดอย่างระมัดระวังด้วยใจอันระทึก

หมายเลขที่นั่งสอบเลขแล้วเลขเล่าผ่านสายตาของผมไป... ในที่สุดผมก็พบเลขที่นั่งสอบของผมในประกาศ ที่ท้ายชื่อและนามสกุลมีรหัสคณะเทคโนโลยีพิมพ์ติดอยู่ด้วย

ผมดูประกาศให้แน่ใจอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยออกมาจากบอร์ดด้วยความรู้สึกที่เลื่อนลอย ความรู้สึกในขณะนั้นนึกถึงคนหลายๆคนขึ้นมาพร้อมๆกันจนแยกไม่ออกว่านึกถึงใครก่อนกัน มีทั้งแม่ พ่อ ไอ้นัย และบอย ภาพเหตุการณ์ต่างๆในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในห้วงคำนึงของผมอีกครั้งหนึ่ง...

เมื่อถอยห่างออกมาจากบอร์ด ผมเริ่มสังเกตว่ามีพี่ๆนักศึกษามาคอยบอกนักเรียนทราบว่าใครที่สอบได้คณะอะไรก็ให้ไปพบพี่ๆของคณะตนที่บริเวณด้านหนึ่งของสนามกีฬา หลังจากที่ผมตามหาพี่ๆคณะเทคโนโลยีจนพบ พวกพี่ๆก็ทักทายและแสดงความยินดีแก่ผม พร้อมกับให้คำแนะนำสำหรับขั้นตอนต่อไป เช่น เรื่องการตรวจร่างกายและการสอบสัมภาษณ์ ฯลฯ

หลังจากที่คุยกับรุ่นพี่เสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินออกจากสนามจุ๊บมา ความรู้สึกในของผมในตอนนั้นก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าดีใจหรือเสียใจ พึงพอใจหรือว่าผิดหวัง ภาพต่างๆที่ผมเห็นอยู่รอบข้างทำให้ผมวางอารมณ์ของตนเองไม่ถูก แต่อย่างน้อยผมก็ได้เรียนรู้ความจริงอย่างหนึ่ง... ความจริงที่ผมไม่ได้ตระหนักในยามที่เป็นนักเรียน... นั่นคือ โลกนี้คือการแข่งขัน และผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้...

การเดินทางล่องใต้ของผมจบลงไปแล้ว แต่การเดินทางบนเส้นทางชีวิตของผมดูเหมือนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น บนเส้นทางการล่องใต้ ผมได้เห็นและเรียนรู้ชีวิตและวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่เดินทางผ่านไป... บนเส้นทางชีวิต ผมก็ต้องเรียนรู้โลกไปพร้อมกับแสวงหาคุณค่าของชีวิต... เพื่อที่จะเอาตัวรอดในโลกใบนี้ และเพื่อการดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีความหมาย...

ผมอดนึกถึงพุทธภาษิต วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ ที่เคยเรียนมาในวิชาสังคมไม่ได้ หวนนึกถึงบทเรียนในชีวิตที่ทำให้ผมเติบโตและงอกงามขึ้นมาได้ล้วนแต่เป็นบทเรียนที่แลกมาด้วยชีวิตของคนที่ผมรักทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความขมขื่นของไอ้นัย การจากไปของครูช่วย และความเจ็บป่วยของแม่ แม้ว่าความเจ็บป่วยของแม่จะเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าหากแม่รู้ว่าบทเรียนนี้จะช่วยผมได้แม่ก็พร้อมที่จะจ่ายคุณค่าเพื่อซื้อมันมา หากผมยังใช้ชีวิตดังเช่นที่ผ่านมาอีกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบุคคลที่ผมรักยังต้องจ่ายคุณค่าอีกเท่าใดเพื่อซื้อบทเรียนชีวิตให้แก่ผม

ผมหยุดยืนที่หน้าประตูสนามกีฬาอยู่ครู่หนึ่งราวกับจะตั้งหลัก สูดอากาศยามเช้าเข้าไปจนเต็มปอด จากนั้นจึงก้าวเดินต่อไปข้างหน้า พร้อมกับทิ้งเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้เอาไว้เบื้องหลัง...


ฟังเพลง Climb Every Mountain พร้อมทั้งชมคลิปภาพยนตร์ตอนที่มาเรียหนีจากคฤหาสน์กลับมาที่คอนแวนต์


<ภาพยนตร์เรื่องมนต์รักเพลงสวรรค์หรือ The Sound of Music เป็นภาพยนตร์เพลงที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงโดยก่อนที่จะมาเป็นภาพยนตร์นี้เคยเป็นหนังสือและละครบรอดเวย์มาก่อน ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ และได้รางวัลตุ๊กตาทองถึง ๕ รางวัล แม้ด้านรางวัลจะสู้ภาพยนตร์ ๑๑ ตุ๊กตาทองเรื่องเบนเฮอร์ไม่ได้ แต่ทว่าด้านรายได้กลับดีกว่า อันแสดงถึงความนิยมชื่นชอบของผู้ชมที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ต่อมาก็มีการจัดโปรแกรมทัวร์ตามรอยภาพยนตร์เรื่องนี้โดยนำชมเมืองซาลส์บูร์ก (Salzburg) ประเทศออสเตรียและบริเวณใกล้เคียงอันเป็นสถานที่ในเนื้อเรื่อง พร้อมทั้งพาชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ โปรแกรมทัวร์ออสเตรียหลายโปรแกรมที่ผ่านเมืองซาลส์บูร์กก็ยังพานักท่องเที่ยวแวะชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่แม้เวลาจะผ่านมากว่าสี่สิบปีแล้วก็ตาม>


<จูลี แอนดรูว์ส นางเอกของเรื่องมนต์รักเพลงสวรรค์ซึ่งเป็นทั้งนักร้องและนักแสดง ในวัยเกือบ ๓๐ ปีอันเป็นช่วงที่แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้กับในวัยเกือบ ๗๐ ปีของปัจจุบัน>


<ในยุคที่ผมเข้าสอบและก่อนหน้านั้น ช่องทางหลักในการประกาศผลการสอบเอนทรานซ์จะใช้วิธีการติดประกาศบนบอร์ด สำหรับส่วนกลางนั้นสถานที่ประกาศผลก็คือสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือที่เรียกกันเล่นๆว่าสนามจุ๊บ เดิมชื่อสนามกีฬาจารุเสถียร ต่อมาภายหลังยุค ๑๔ ตุลาจึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การติดประกาศผลการสอบนั้นเจ้าหน้าที่จะมาติดประกาศผลกันตั้งแต่ยังไม่รุ่งเช้า โดยในคืนก่อนหน้าวันประกาศก็จะมีนักเรียนมารอที่สนามประกาศผลแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ติดประกาศผลการสอบเอนทรานซ์เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังมืดอยู่ นักเรียนจึงต้องจุดเทียนหรือส่องไฟดูผลกัน ในยุคต่อมาสถานที่ประกาศผลของส่วนกลางถูกย้ายไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และการประกาศผลก็มีช่องทางเพิ่มมากขึ้น เช่น การประกาศผลทางทีวีโดยใช้ตัววิ่ง ต่อมาการติดประกาศผลสอบเอนทรานซ์ที่สถานที่กลางได้ถูกยกเลิกไปพร้อมๆกับการสิ้นสุดของยุคการสอบเอนทรานซ์เมื่อมีระบบคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยด้วยระบบแอดมิชชันเข้ามาแทนที่ ภาพนี้ถ่ายเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีมาแล้ว บอร์ดประกาศผลเรียงรายอยู่รอบนอกของสนามจุ๊บ คลาคล่ำไปด้วยนักเรียนที่มาดูผลสอบ>


<ภาพถ่ายที่นราธิวาสเมื่อครั้งล่องใต้หลังจบ ม.๕ สามคนที่อยู่ข้างหน้าสุดคือหมู กรณ์ และสิทธิ์ ถัดมาคือพัน คนนี้เรียนเก่งมากแต่ก็ทะลึ่งมากด้วยเช่นกัน คนหลังสุดในภาพคือไอ้กี้ นอกนั้นเป็นเพื่อนๆที่ไม่ได้กล่าวถึงในเรื่อง>

36 comments:

Anonymous said...

อูเติบโตมากครับ
ดีใจที่ได้ติดตามมาจนถึงตอนจบขอให้สุขสมหวังนะครับ
ก้าวผ่านทุกสิ่งอย่างมีสติ
รักอูและนัยมากๆ

Anonymous said...

จบภาคมัธยมแล้ว ติดตามเงียบๆ มาตลอด เรื่องที่เขียนให้ข้อคิดได้มากมาย ยังไงจะรอติดตามภาค 4 ต่อนะครับ

nai said...

ขอบคุณ สำหรับความสุขที่มอบให้ตลอด 3 ภาคที่ผ่านมา การเข้ามาในอ่านในเรื่องนี้ เข้ามาอ่านโดยบังเอิญ แต่อ่านอย่างตั้งใจ และตั้งหน้าตั้งตารอตอนต่อต่อไปอยู่อย่างสม่ำเสมอ

รู้สึกดีและดีใจทุกครั้งที่ อู โพสตอนใหม่

นัย

Anonymous said...

อูคับ
ช่วยไปอ่านเม้นต์สุดท้ายของตอนที่แล้วด้วยคับ
ผมเข้ามาเม้นต์ให้ก่อนที่อูจะโพสต์ตอน อวสาน
แป๊บนึง
KTB

อย่างไรก้อตามถ้าอูจบห้วนๆแบบนี้ แสดงว่าอูยังจะเข้ามาพูดอะไรต่ออีกแน่ๆ คงยังไม่ได้จากกันไปเลยนะคับ
นึกถึงอดีตที่ได้เม้นต์ได้วิจารณ์โต้ตอบกับอูอย่างต่อเนื่องทุกบททุกตอนแล้วยังรู้สึกสนุกมากคับ ตอนหลัง ๆ คนเก่า ๆ หายไปหมด หายเม้นต์นะคับ
แต่การติดตามผมว่าทุกคนคงติดตามจนจบคับ
เพราะตอนหลังสมาชิกใหม่ต่างเข้ามาเม้นต์กันอย่างสนุกสนานได้เรื่องมากมายผมก้อติดตามอ่านเม้นต์อย่างสนุกได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่พูดคุยกัน
ทั้งหลานๆของอู น้องๆ และพี่ๆคับผม
อูคงยังไม่หายไปเลยนะคับ

boyaofza2 said...

จบแล้วหรอ มีภาค4แน่นอนหรอครับ
จะติดตามต่อไปนะครับ
อิอิ ได้ที่ สี่พอดีกับภาค สี่ เลย

Anonymous said...

ขอบคุณค่ะอูที่มาแปะตอนอวสานในวันนี้..
เสน่ห์เรื่องของอูอยู่ที่ภาษาและลำดับขั้นตอนที่ใช้ในการถ่ายทอด ทำให้แฟนคลับมโนภาพที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ยิ่งเป็นบุคคลร่วมสมัยเดียวกันด้วยแล้ว อื้อฮือ
เหมือนย้อนกลับไปดูภาพเก่ายังไงยังงั้น..

สำหรับตอนนี้ความคิดอูถูกเคี่ยวจนตกผลึกแล้วจริงๆด้วย เหลือแต่ก้าวเดินออกไปข้างหน้า ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิดหากเราไม่เอาชีวิตไปแขวนไว้กับผู้อื่น..จริงมั้ยคะ'จารย์ชู?(ชอบวิธีคิดของชูจึงยกให้เป็นอาจารย์ชูเพราะเป็นกูรูทุกทาง ไม่ว่ากันนะคะ)

และแล้วธงของดาว อุ้ย!เผลอไปของคนลาดพร้าวก้อไม่หักจริงๆด้วย พี่เองก้อเลือกที่เดียวกับอูแต่บังเอิญมาติดอันดับ4ที่ม.ช.ซะก่อน โดยรวมแล้วพี่ว่าเอนท์ยุคโน้นง่ายกว่ายุคนี้นะ ในยุคนี้ขืนทำตัวสบายๆแบบพี่มีหวังเน่าแหงๆเลย

หลังฝนตกฟ้าย่อมแจ่มใสเสมอ รออูมาเล่าเรื่องตอนฟ้าแจ่มต่อนะคะ ชีวิตในรั้วมหา'ลัยส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ไม่อยากให้แฟนคลับพลาดด้วยประการทั้งปวง(อันนี้โมเมต่อเลย อิ อิ)

อย่างที่เคยบอก..พี่มาเจอบล็อกของอูโดยบังเอิญแต่ณ.ขณะนี้ถึงขั้นเสพติดยากต่อการบำบัดซะแล้ว หากไม่มีภาค4ต่อมีหวังลงแดงแหงๆ ส่วนจะเล่าต่อเชิงไหน เรทใด คิดว่าแฟนคลับรับได้หมดค่ะ..มิต้องกังวล!! อย่าให้เรื่องแม่หญิงทั้งหลายที่พากันเฮมาอ่านมากขึ้นในระยะหลังเป็นอุปสรรคในการรังสรรค์เลยนะคะ..

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

รออ่านเรื่องของอูภาคมหาวิทยาลัย

ป้าขวัญดูหนัง The Sound of Music หลาายรอบ
ชอบ Julie Andrews มากจ๊ะ

ลองดูฉากที่กัปตันบอกรักมาเรียสิ เพลงตอนนั้น
(Something Good)เพราะและแฝงปรัชญาไว้ด้วย

andy_kwan

Anonymous said...

คิดถึงตอนไปดูผลเอ็นฯเหมือนกัน
เพื่อนติดหมอ พอดูผลมันก็หันมากอดเราดีใจ
แต่เราไม่ติดเลย ตอนนั้นความรู้สึกสับสน
ดีใจกับเพื่อนก็ดีใจ รู้สึกผิดหวังเหมือนกัน
แต่ก็ทำใจไว้แล้วเพราะม.ปลายก็ไม่ค่อยใส่ใจเรียน
แต่ที่รู้สึกกังวลก็จะทำอย่างต่อไปดี
สุดท้ายเข้าเรียนม.เอกชน
ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆหนึ่ง
กับกิจการที่เข้าหุ้นกับเพื่อนเป็นบริษัท
โดยรวมๆก็ถือว่าดี

อยากจะบอกน้องๆว่า
ทุกช่วงของชีิวิตเหมือนขั้นบันได
ถ้าเอากล่องมาเรียงๆกันมันง่ายแต่ไปไม่สูงจะล้มครืน
บันไดที่ก่อสร้างด้วยไม้สร้างยากขึ้นมาีอีกหน่อยไปสูงกว่าแต่ก็ไม่ทน
แต่บันไดทีก่อสร้างด้วยอิฐปูนจะสร้างยากสุดแต่ไปได้ไกลและคงทน
ความลำบากอดทนและเพียรพยายามจะทำให้เราได้บันไดที่สู่ฝัน

ชีวิตคือการแข่งขัน แต่อย่าแก่งแย่ง
เหนืออื่นใด ต้องเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์
ใจกว้าง เอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ ประหยัด
แ้ล้วชีิวิตจะมีความสุขประสบความสำเร็จ
ถ้าเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีใครคบ คนดีๆหายหมด
คนดีๆจะสามารถที่จะช่วยเหลือ และให้
โอกาศดีๆกับเรา
นี่้เป็นบทสรุปที่ประมวลมาทั้งชีิวิต นำมาเล่าให้น้องๆฟัง

ภาค3 ที่จบโดยบริบูรณ์หรือเปล่า
เพราะเห็นว่าอูช่วงนี้งานยุ่ง

ถ้าจบโดยสมบูรณ์
ช่วยเพิ่มตอนพิเศษสักตอน
เขียนถึงตัวละครว่าปัจจุบันนี่้เป็นอย่างไรบ้าง
จะได้ไม่คาใจ

thom

Anonymous said...

โหเก่งอ่ะพี่อูเอ็นติดด้วย
เจ๋ง อะ

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวทุก ๆ ตอนครับ


แต่ขอภาคสี่ด้วยคนนะคร้าบบบบ


OaH คร้าบบ

Anonymous said...

อูติดคณะเทคโนมหาลัยอะไรอ่ะ ยังไม่ได้บอกมหาลัยเลย

Anonymous said...

ภาคสามจบแล้ว.....
ภาคสามจบแล้ว.....
ก็มาต่อภาคสี่ด้วยนะครับ

กัน

Anonymous said...

มารักอาอูครับ
งงว่าอยู่ดีดีก็อวสาน น่าจะเขียนว่า "จบภาค" ดีกว่าครับ
เนอะ (ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย)

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ยินดีด้วยนะครับอาอู ที่สอบติดแล้ว
สู้ๆ นะครับ
ช่วงที่ผ่านมาก็เหนื่อยนิดนึง ตอนนี้อะไรคงดีขึ้นแล้ว
ระวังป่วยเหมือนผมนะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อยากอ่านภาคสี่ต่อครับ
Federick
ป.ล.นั่งนับวันที่จะได้เจอแฝดตัวเป็นๆ

พี said...

อวสาน....แล้ว คงเป็นเพียง แค่จบตอนนี้เท่านั้นนะครับ คุณอู ยังน่าจะมีไฟ ที่เล่าเรื่อง(ที่บอกว่าแต่งเรื่อง) ตอนช่วงมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงที่โตพอที่ได้รับประสบการณ์ต่างๆ และมีชีวิตที่อิสระ...มากมาย มาเล่าต่อนะครับ

ผม อ่าน ต่อเนื่องมาได้ 3 ปี เศษแล้ว ก็อย่างที่หลายๆคนเป็น มีอาการ ติด ในสำนวนของคุณอู ยิ่งกว่า รอดูละคร ภาคค่ำซะอีก สำหรับที่ผมชอบอ่านมากๆ ก็คงเป็นเพราะส่วนหนึ่ง ในชีวิต ช่วงประถม มัธยม รวมทั้งมหา'ลัย ผมไม่มีประสบการณ์แบบที่คุณอูเล่ามาเลย แม้แต่โอกาสที่จะได้เปิดใจตัวเองเลย ผมก็ไม่ได้ทำ เพราะยังไม่รู้ใจตัวเอง ต้องรอให้เรียน จบเสียก่อน จึงได้มีโอกาส ในช่วงนั้นก็พอเข้าใจว่าตัวเองเริ่มชอบเพื่อนสมัยมัธยมแล้ว แต่อาจไม่มีเรื่องความรู้สึกทางเซ้กส์มาเกี่ยวข้อง(อินโนเซ้นส์อยู่) ก็เลยสับสนอยู่ มาได้อ่านเรื่องของอู ก็เลยได้ ได้มีโอกาสจินตนาการถึงช่วงนั้นสักหน่อย ยิ่ง มาอ่านเรื่องของอู ช่วงเศร้าๆ(ภาค 3) จังหวะเดียวกับที่ ตัวเองกำลังมีเหตุการณ์ในชีวิตจริง ยิ่งทำให้ผม ทราบซึ้งไปใหญ่ แต่ ก็ผ่าน พ้นมาได้....

ก็...กลายเป็นกิจวัตรประจำ ไปแล้ว เมื่อยามคลิ๊กเข้าเน็ต เข้าหน้ากูเกิ้ลที่ตั้งไว้เป็นเพลงออนไลน์ เปิดเพลงฟังแล้ว ก็คลิ๊ก อีกหน้าต่างนึง ถ้าไม่มีใครอยู่ใกล้ ก็ WWW.uustory.blogspot.com ก่อนเลย แต่ถ้ามีคนอื่น ก็เข้าเวปฯ สยามสปอร์ตก่อน ที่มาบอกนี่ ก้มาเอิ้นให้ฟัง ว่ายังมี แฟนเหนียวแน่นอีกคนนึง รออ่านอยู่ แม้ว่า ช่วงหลัง จะไม่ได้คอมเม้นต์ เท่าไร แอบอ่านของคนอื่นเอา เหมือน ใจ...เรานี่ ล่ะ ที่ต้องแอบๆ ไว้

ตอนที่แล้วก่อน ตอน 72 คุณอู พูดกล่าว ถึงคณะของผมแถว เมืองเหนือด้วย ก็มีพี่ขวัญ ก็เผยตัว ออกมาว่าเป้น Acc-Ba ดันมาเจอรุ่นพี่เข้าให้ แต่ผมไม่บอกนะครับว่าผมเป็นเรือสำเภา ลำที่เท่าไร ตอนผมเรียน ตอนนั้นมีรุ่นน้องคนนึง เป็นนางเอกโฆษณากางเกงยีนส์ยี่ห้อนึง ที่มีเพลงประกอบดังมากๆ More Than Word ผมเรียนไป ดูความสวย น่ารัก ของน้องเขาไป เอ้อ...เกือบเรียนไปจบนะเรา เอ...รึว่า เป็นเพราะอกหักจากแอบชอบน้องเขา เลยกลับลำ เปลี่ยนมาแอบชอบเพศเดียวกัน อ้อ...แล้ว ยังมี สาวลาดพร้าว เป็นศิษย์สำนักเดียวกันอีก ก็ ช่วยนอนตะแคงยัน อีกที ว่า ค่าเทอม ตอนนั้น(ตอนผมเรียน) หน่วยละ 10 บาท เอง วิชาโดยทั่วไป ก็จะมี 3 หน่วยกิจ ลง 7 วิชา ก็ 21 หน่วยแล้ว ใครอยากลง เต็มเอี้ยด 22 หน่วย ก็ไปหา วิชา ที่มีอีก 1 หน่วยมาลงเพิ่ม ส่วน ค่าข้าว สมัยผมเพิ่มมาเป็น จาน 6 บาทแล้ว ทานบ่อยๆข้าวมันไก่ร้านประจำใต้หอผม หอ 4 ชาย หรือจะเกาเหลาเนื้อเปื่อย 6 บาท บวก ข้าวมันอีกถ้วย 2 บาท ก็อิ่มสบายท้องล่ะ เจ๊เจ้าของจะจ้าง ลูกจ้างเป็นชาวเขา เปลี่ยนหน้า ทุกๆเทอมหรือบางที เดือนสองเดือนก็หายหน้าไปแล้ว นี่กระมัง ถึงทำให้ขายถูกได้ หรือจะไปกินที่อสมช. หลายๆร้านดี แต่ที่ใต้คณะ สังคม ผมไม่ค่อยได้เข้าไปทานเลย คนเยอะ ขี้เกียจรอ เย็นๆ ก็หน้ามอ หลังมอ เต็มไปหมด หรือจะไปกินที่ฝายหิน ร้านประจำผม ก็ข้างหมกไก่ พอดีมีเพื่อนเป็นสุสลิม เลยต้องกินตาม แต่ของเขาก็อร่อยดี

ส่วนเรื่องโทรศัพท์ ตอนนั้น ใต้หอ4ชาย ด้านหน้า จะมีตัวแทนขององค์การโทรศัพท์ฯ มาเปิดบริการ ต่อสายทางไกลให้ ก็จะเป็นแหล่งรวมสาวๆเลย แต่ผมชอบโทรด้วย การ์ดโฟนมากกว่า ซึ่งตอนนั้นถือว่า ทันสมัยที่สุดแล้ว ผมชอบไปโทร ที่คณะ เกษตร เพราะมีจุดโทรเงียบๆดี แล้ว ต้องรอโทรตอน 4 ทุ่มไปแล้ว จะได้ประหยัดหน่อย โทรเข้ากรุงเทพฯ จาก 18บาทต่อนาท เหลือแค่ 6 บาท ต่อนาที หลังจากนั้นก็เริ่มมีมือถือ ตั้งโต๊ะ จาก เกิน 5 บาท ต่อนาที จนก่อนผมจะจบ ลดลงเหลือ นาทีละ 1 บาท แข่งกันเหมือนค่ายมือถือสมัย 3-4 ปี ที่แล้วเลย

เล่าแล้ว ก็คิดถึงมอชอ... อยาก ขึ้นไปอีกจัง ไม่ได้ไป 6 ปีแล้ว ตอนนี้ก็มาอยู่ซะไกลเลย สงขลา

ดึกแล้ว... ขอเล่าแค่นี้ก่อนนะครับ มาให้กำลังใจคุณอู ต่อดีกว่า มาต่อภาคใหม่ไวไวนะครับ

ราตรีสวัสดิ์..ครับ

++ P ++

พี said...

ขอโทษนะครับ....ทำไมขึ้นมา 3 คอมเม้นต์เลย ลบไงล่ะ รบกวน คุณอู ลบให้เหลือ อันเดียวพอครับ

Anonymous said...

มีลูกช้างตังหลายเชือก รวมกันเป็นดขลง แล้วมั้งในบล๊อกพี่อู คูณพีน่าจะจบก่อน กุหลาบไม่นาน

ตอนก่อนกุหลาบจะจบยังมีตู้โทรศัพท์หน้าคณะเกษตรอยู่เลย

ต้งแต่เรียนจบก็ยังไม่เคยขึ้นไปร่วมรับน้องขึ้นดอยเลย
ว่าแต่ พี่พี พี่ขวัญ พี่ลาดพร้าวขึ้นไปมั่งรึปล่าวคะ

Anonymous said...

วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ พี่อูนี่โตขึ้นมากเลยนะ

ขอบคุณที่ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆออกมา เป็นกำลังใจให้

รอภาค 4 อยู่ด้วยนะค้าบ

boyaofza2 said...

อ่านจบแล้วรู้สึกว่าเว้งว้างจังเลยครับ เศร้าๆยังไงไม่รู่ครับ นวนิยายเรื่องนี้เขียนมาหลายปีแล้วก่อนที่ผมจะเจอเรื่องนี้ ตอนนั้นผมอยู่บ้านไม่มีอะไรทำเลยจับโทรศัพท์มาเข้าอินเตอร์เน็ต แล้วพิมพ์คำว่า นวนิยาย (เกย์) เห็นชื่อทีแรกก็ยังไม่คิดที่จะเข้าไปดูนะครับ เพราะชื่อภาคแรกคือ เรื่องของอู ซึ่งผมก็ไม่ได้เข้าไปอ่านในตอนแรก พอหลังๆเห็นบ่อยๆก็เลยลองเข้าไปดูอ่านดูแล้วภาคแรกสนุกมากเลยแต่ภาคสองที่อ่านมานอนไม่หลับเลยครับ ผมต้องพยายามเข้ามาติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้หัวใจของผมไม่คิดฟุ้งซ่านผมเฝ้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่ถึงจะผ่านพ้นตอนนั้นไปได้อ่ะครับ อ่านแล้วเหมือนกับว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องไปแล้วแหละ อิอิ
พอมาถึงตอนนี้ผมก็รู้แล้วแหละครับว่า ชีวิตต้องการอะไรอะไรดีหรือไม่ นวนิยายลุงอูให้ข้อคิดมากมายเลยแหละครับ

แต่ผมก็อดขำคุณแม่สองคนคุยกันไม่ได้นะครับ อิอิ ตลกดี

อ๋อลืมบอกไป ผมอ่านเรื่องของลุงอูนี่แหละครับทำให้ผมสอบเข้ามหาลัยได้ ตอนนี้ผมเรียน ราชภัฏครับ อยู่ที่อุดร ขอบคุณมากมายนะครับสำหรังประสบการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง

ปล บอย เด็กที่คอยติดมตามมาบล๊อคนี้มาโดยตลอด อิอิ แต่น่าเสียดายตอนแรกๆที่อ่าน เข้ามาคอมเม้นไม่เป็น ตอนนี้ก็พอได้แล้วล่ะครับ
และสุดท้ายนี้ก็ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนไตรพร้อมด้วยสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดช่วยคุมครองทุกคนในบล๊อกแห่งนี้ ให้มีแต่ความสุขความเจิญทุกๆคนตลอดกลนาน เทอญ...สาธุ

Anonymous said...

ติดตามมาตลอด สนุกมากครับ
ชอบที่มีบันทึกประวัติศาสตร์ไว้ในแต่ละตอน

เป็นกำลังในการเขียนตอนต่อไปครับ

Anonymous said...

จบภาค ๓ นี่ผมเองก็รู้สึกประทับใจ เพราะว่าพวกเราได้ช่วยกันเล่าความหลังมาคนละเล็กละน้อย ต้อมที่ไม่เคยเล่าอะไรเลยก็ได้เล่าชีวิตส่วนหนึ่งของตนเองออกมาเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่น้องๆหลานๆ ส่วนพีก็ไม่เคยรำลึกความหลังให้ฟังมาก่อน เพิ่งจะได้อ่านวันนี้เอง

ส่วนพี่สาวลาดพร้าวขานั้นรำลึกประจำ ต้องคอยส่งหมากพลูให้จะได้เคี้ยวไปเล่าไป เป็นดาวแล้วเคี้ยวหมากได้ไงเนี่ย เสียฟอร์มหมดเลย

พูดเรื่องถึงเรื่องช้างม่วงขึ้นมา นับกันไม่ไหว โห ศิษย์เก่าตรึม เพิ่งรู้ว่าพีกับกุหลาบก็ศิษย์ช้างม่วง

ผมชอบไอติมกับเบเกอรี่ที่ร้านโบ๊ตตรงห้วยแก้ว จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีศาลาโฟร์โมสต์ด้วยใช่ไหมครับ แต่อยู่ได้ไม่กี่ปีก็เลิกไป

ไม่ได้คุยกับ KTB มานาน พอมีคอมเมนต์เชียงใหม่เข้ามา KTB ก็โผล่มาพอดี เข้าไปอ่านคอมเมนต์ตอนก่อนแ้ล้วครับ ขอบคุณมาก

อยากรู้ว่าบอยอ่านเรื่องนี้แล้วช่วยให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างไร เอามาคุยให้ฟังกันหน่อยสิ

รั้วเขียวเหลืองของบอยเป็นสถานศึกษาเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงทีเดียว เดี๋ยวนี้เติบโตเร็วมาก ตึกใหม่ๆสูงๆเต็มไปหมด โดยเฉพาะคณะบริหารฯดูน่าเรียนดี ลุงเห็นหม้อบ้านเชียงใบใหญ่เท่าตึกตั้งอยู่ข้างหน้า ก็ดูๆอยู่เหมือนกันว่าจะมีใครมาขโมยไปไหม เพราะว่าสวยดี แต่ก็ไม่มีใครเอาไปเสียที คงยกไม่ไหว

สาขาที่บอยเรียนนั้นหลักสูตรที่นี่ได้รับการรับรองแล้ว จบไปไม่มีปัญหาเรื่องประกอบวิชาชีพ สบายใจได้ ต่างจากบางที่ที่ยังไม่ได้รับการรับรอง จบได้แต่ทำงานไม่ได้ ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ อย่าเหลวไหลแบบลุงอู

เืพื่อนร่วมรุ่นของผมใครเป็นใคร ใครจบอะไร คงยังไม่บอกละครับ เพราะว่าจะเอาไปเล่าในภาค ๔ แต่เกริ่นเอาไว้ก่อนก็ได้ว่ากลุ่มไอ้เฉานั้นสอบติดแพทย์ วิศวะ ที่ดีๆกันทั้งนั้น ติดแพทย์ มช คนหนึ่ง ติดศิริราชสองคน แพทย์พระมงกุฎคนหนึ่ง แพทย์จุฬาอีกคน แล้วก็วิศวะจุฬา ๒ คน ก็ประมาณนั้นแหละครับ นี่พวกแกนของกลุ่ม พวกเกาะไปกับกลุ่มนี่ก็ติดแพทย์ติดวิศวกันอีกหลาย ม.๖ เหลือไม่ถึงครึ่งห้องเลย

ขอพักสักแป๊ปนะครับ แล้วมาต่อภาค ๔ กัน พักไม่นานหรอกครับ ชีวิตมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง ลองทายกันดูเล่นๆว่าภาค ๔ จะชื่ออะไร

อู

nai said...

ประกวดตั้งชื่อไปเลยจะดีไหม ?

นัย

Szopen said...

disco.grove^2hotmail

จบตอนแล้วหรอครับอาอู
เวลาผ่านไปไวจังเลยนะครับ

รออ่านตอนต่อไปนะครับ อิอิ

*แล้วคุยกันนะแฝด
คิดถึงอาๆ ทุกท่านนะครับ ช่วงนี้งานเยอะมากๆ เลย
เหนื่อยจัง

Anonymous said...

ุเข้ามาขอบคุณลุงอูที่มีเรื่องดีๆให้อ่าน และขอบคุณแฝดที่ให้อีเมล์มา แล้วคุยกันนะ
Federick

Anonymous said...

แฝดเข้ามาอ่านดวน เราส่งอีเมล์ไปหาแฝดแล้วมันเด้งกลับมา ขออีเมล์อีกรอบนะครับ ด่วนที่สุด
Federick

Anonymous said...

ภาคสี่ ช้างอูหื่น สู่ดอยรื่นรมย์

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ขอบคุณคุณอูมากครับ ที่มีภาคสี่ให้ชื่นใจ เหมือนยังมีเพื่อนที่เข้าใจเรา ยืนอยู่ข้างๆ เรา ขอบคุณอีกครั้งครับ
pee

Anonymous said...

เดี๋ยวนี้อูไม่ค่อยหื่นแล้วไม่ใช่เหยอ หรือว่าแอบหื่น 555

Anonymous said...

..อูส่งหมากส่งพลูให้พี่แล้วทำไมไม่เตรียมผ้าซับน้ำหมากไว้ด้วยเล่า อย่างนี้ถือว่าเจ้าบ้านทำหน้าที่ไม่ครบถ้วนนะเนี่ย..555

ขอแจ้งข่าว..ขณะนี้ดาวเอ้ย!คนลาดพร้าวได้พยายามฝึกบริหารกล่องเสียงทุกเช้า กะไว้ว่าถึงวันมหามงคลของคู่แฝดเมื่อไหร่จะได้ไม่ขายหน้า แต่เจ้าภาพอย่าลืมเตรียมวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นและอุปกรณ์ช่วยชีวิตไว้ด้วยนะคะ

ตอบน้องหลาบ..เรื่องรับน้องขึ้นดอยพี่คอยตามข่าวทางเว็บแต่ไม่เคยขึ้นไปร่วมด้วยค่ะ(ตอนปี1ตรงโค้งขุนกัณฐ์พี่ยังหอบแฮ่กๆไม่หายอยู่เลย อิอิ)เด็กสมัยนี้นับวันยิ่งอลังการงานสร้างขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ยุคพี่มีเพียงเสื้อม่อฮ่อมตัวเดียวเอ๊ง ดูคลิปรับน้องทีไรใจมาทุกครั้งเลยเชียว..

สวัสดีค่ะพี..เข้าใจว่าเราน่าจะรุ่นใกล้เคียงกันนะ แต่คนลาดพร้าวไม่เห็นจะจำอะไรได้เชียะๆอย่างพีเลย สงสัยจะกินปลาน้อยไปหน่อย ตู้โทรศัพท์ทางไกลในมอมีด้วยเหรอคะ สงสัยที่คนลาดพร้าวชอบไปโทรหน้ามอ
เพราะไปยืมนิยายแล้วตบท้ายด้วยร้านโบ๊ทแหงๆ(ร้านโปรดเลยนะนั่น!!)

หลานหนิงหายไปไหนน้า?สงสัยรอตอนอวสานของอาอูจนขอบตาดำปิ๊ดปี๋ป่านนี้ถึงยังไม่มาแสดงตัว ส่วนพี่เองไปย้อนอ่านเรื่องสั้นของเราจนขอบตาดำไปเรียบร้อยอีกคนนึงแล้ว..ในโลกนี้จะมีคนอย่างพี่โอจริงๆรึเปล่านะ..?

อูใจดีจริงๆที่มาต่อภาค4ให้แฟนคลับ..ชื่อตอนน่าจะเป็นการติดปีกบินสู่โลกกว้างหรือโลกแห่งความเป็นจริงอะไรทำนองนั้น พี่ว่าแฟนคลับของอูเยอะทุกสถาบันค่ะ เพียงแต่พวกลูกช้างส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกสนุกสนานเฮฮาอันนี้เป็นไปตามสภาพภูมิประเทศรึเปล่าไม่รู้ หรืออาจมีความทรงจำและวีรกรรมส่วนตัวเลยออกมาแสดงตัวในบล็อกกันยกใหญ่ นี่พี่ยังไม่ได้เล่าเรื่องแอบปีนขึ้นหอหญิงหลังหอปิดเลยใช่ไหม ไว้เล่าวันหลังละกันกลัวอูจะเช็ดน้ำหมากไม่หวาดไม่ไหวพื้นเก่ายังหมาดๆไม่แห้งอยู่เลย..555

ป.ล.ตามหาคนหาย..พี่เม้นท์42กับ'จารย์ชูอยู่ไหน คะ กรุณากลับบล็อกด่วน ขณะนี้คลื่นลมสงบแล้ว

คนลาดพร้าว

kyredeF said...

disco.groove@hot
- -
พิมผิดไปหรอคับแฝด..

Choo said...

ไม่ได้หายไปไหนครับพี่คนลาดพร้าว ณ ช้างม่วง หากย้อนกลับไปดูตั้งแต่เริ่มภาค 3 ผมมาให้กำลังใจอูทุกตอนไม่เคยขาด ชอบและรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นหลาน Arus มารักอาอูทุกตอนเลยเช่นกัน แล้วก็ยิ้มแก้มปริทุกครั้งที่ได้อ่านพี่คนลาดพร้าวแซวอู หรือแขวะตัวเอง 555

รู้สึกใจหายเช่นกันที่จบภาค 3 ถึงแม้อูจะมีภาค 4 ก็ตาม เพราะโดยส่วนตัวผมรู้สึกผูกพันกับภาคนี้มาก ผมยังจดจำความประทับใจครั้งแรกที่อูกล่าวว่า “ใช้เวลาเนิ่นนาน ในการค้นหาความหมายของชีวิต และการดำรงอยู่อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี” มันอาจเป็นประโยคง่ายๆ แต่มันเป็นบทสรุปของชีวิตที่เหมือนๆ กันกับชีวิตผม

รู้สึกโชคดีที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบล็อกของอู ได้สัมผัสกับมิตรภาพเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึก ทั้งจากอูและเพื่อนร่วมเมนต์ทุกคน ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้รู้จักกัน แต่ก็มีโอกาสได้รับประสบการณ์ต่างๆ ร่วมกัน ได้รับรู้ได้สัมผัสถึงความรัก ความหวัง ความเศร้า ความเหงา และวิวัฒนาการของวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ผมเชื่อว่าทุกคนได้หลงรักไปเรียบร้อยแล้ว

จึงขอขอบคุณอูอีกครั้ง สำหรับการบอกเล่าประสบการณ์ดีๆ ที่มีคุณค่า มีประโยชน์สำหรับน้องๆ หลานๆ คนรุ่นหลังที่นำไปใช้เป็นอุทาหรณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป โดยเฉพาะคำกล่าวที่ครูประจำชั้น ม. 1 ได้เคยบอกอู และอูไม่ลืมที่จะมาย้ำอีกครั้งในตอนจบนี้ ในโลกความจริงมันไม่ง่ายเลยที่พวกเราจะผ่านพ้นความรู้สึกหรือเหตุการณ์เหล่านี้ไปอย่างง่ายดาย เชื่อว่าทุกคนในบล็อกนี้ล้วนต้องผ่านความรู้สึกอันสับสนในจิตใจไม่มากก็น้อย แต่ก็หวังให้น้องๆ หลานๆ ของอาอู สามารถผ่านพ้นไปด้วยดี นำเอาเรื่องของอาอูไปใช้ประโยชน์แก่ตนให้เต็มที่ เลือกหนทางที่เหมาะสมกับตัวเอง มีความสุขและความภาคภูมิใจในตนเอง จริงๆ thom แฟนคลับรุ่นแรกๆ ก็สรุปไว้ให้น้องๆ หลานๆ แล้วตามเมนต์แรกๆ นะครับ

แม้....เขียนเหมือนจะเป็นอูซะเองเลย ......ก็นะ.....เรื่องบางอย่างอูพูดเองเขียนเอง มันอาจจะเขินนะ ผมก็เลยฉวยโอกาส เอ้ย......ไม่ใช่ เป็นตัวแทนอูบอกความในใจ ส่งความปรารถนาดีที่มีต่อน้องๆ หลานๆ นะ อูจะได้ไม่เขินไงครับ

เพิ่มเติมอีกว่าด้วยเรื่อง The sound of Music เป็นหนังอัมตะเรื่องหนึ่ง นับถึงวันนี้ 50 ปีแล้ว แต่ทุกวันนี้เมืองซัลสบวล์ก หรือ ซัลสบูร์ก ก็ยังใช้เป็นจุดดึงดูดการท่องเที่ยวของออสเตรียอยู่เลย นอกจากนั้นยังเป็นเมืองบ้านเกิดของโมสาร์ท กวีเอกนักประพันธ์เพลงของโลกด้วย เรื่องนี้ผมชอบการที่มาเรียมีวิธีการเอาชนะใจเด็ก 7 คน ลูกๆ ของพระเอกที่เป็นทหาร ความรักที่มาเรียมีต่อลูกๆ ของพระเอก การช่วยเหลือให้เด็กๆ หนีภัยสงคราม และการเปลี่ยนแปลงพระเอกมาเป็นคนที่อ่อนโยนได้ เป็นรักในช่วงสงครามที่โรแมนติกมากๆ

ลืมไปอูยังไม่ได้บอกเลยนะว่าเอ็นติด มช. อาจไม่ใช่ก็ได้นะ เนี้ยผมคิดว่าตกหลุมอูกันไปหลายคนเลย ดูซิบลอ๊คนี้เกือบกลายเป็นชมรมศิษย์เก่าช้างม่วงไปเสียแล้ว เปิดเผยตัวออกมากันเพียบเลย ดีนะไม่ใช่ลูกช้างม่วง ไม่งั้นคงได้เม้าส์กระจายบ้าง

ชู

Anonymous said...

หลานหนิงจะผ่านโปร อาทิตย์นี้ครับ เลยยุ่งๆ นิดนึง
ตอนนี้อ่านเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่อยากเม้นท์ แต่แอบตามอ่านเม้นท์ชาวบ้านเงียบๆ เพราะช่วงนี้หัวมัน แบล๊งค์ๆชอบกล

ณ ตอนนี้ ยังไม่รู้จะเขียนอะไรจริงๆ อะแหละ แหะๆๆๆ
เอาเป็นว่า รักทุกคนนะคร้าบบ

หลานหนิง

ปล.อยากได้เมลพี่สาวลาดพร้าวจัง
แปะเมลมั่งเผื่อจะมีคนแอด อิอิ
glorynhingonline@hot

Anonymous said...

วุ่ยวายกับชีวิตไม่ได้เข้ามาอ่านพักเดียว
พี่เล่นจบภาคสะงั้นเลยอ่า

อย่างไงรอภาค 4 ต่อคับ ตอนนี้พักบ้าง
อะไรบ้างก็ดีคับ สู้ๆ น่ะคับพี่อู
^^sky^^

Anonymous said...

)^_^(ที่35 หนังเรื่องนี้ที่บ้านก็มีครับ สอบเสร็จจะเอามาดูสะหน่อยแล้ว หุหุ ภาค4นี่ชื่อจะชื่อวัยรุ่น หรือวัยมหาลัย

Anonymous said...

ติดตามมาตลอด และจะติดตามผลงานดี ๆ ของพี่อูในภาคต่อไป ครับ
ขอบคุณสำหรับ เรื่องราวที่สนุกและข้อคิดที่ดีๆ ครับ

ไก่