Sunday, July 11, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 70

หลังจากที่แม่กลับบ้านไป ผลตรวจชิ้นเนื้อก็ออกมา พ่อเป็นคนรับทราบผลตรวจและคุยกับหมอโดยไม่บอกให้แม่รู้ พ่อเล่าให้ฟังว่าผลตรวจเป็นไปตามที่หมอคิดเอาไว้ นั่นคือ เนื้องอกของแม่นั้นเป็นมะเร็งชนิดหนึ่ง และหลังจากนี้ต่อไปแม่ควรมารับการตรวจเป็นระยะเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเซลล์มะเร็งอาจกระจายออกไปแล้วก็ได้

หลังจากที่แม่กลับบ้านไปแล้ว คนที่สบายอกสบายใจดูเหมือนจะมีอยู่คนเดียวในบ้านนั่นคือแม่ซึ่งเป็นตัวคนไข้เอง แม่คงเข้าใจว่าเนื้องอกของแม่นั้นเป็นเพียงเนื้องอกธรรมดา เมื่อผ่าตัดออกไปแล้วจึงสบายใจขึ้น ส่วนเราสามคนพ่อลูกกลับรู้สึกกังวล โดยเฉพาะผม การป่วยของแม่ทำให้ผมรู้สึกว่าครอบครัวของเราสูญเสียความมั่นคงทางใจไป ทุกครั้งที่ผมคิดถึงวันที่ครอบครัวของเราอาจไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งสี่คนผมอดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้

การดูหนังสือเตรียมสอบของผมเต็มไปด้วยความยากลำบาก ความรู้สึกต่างๆที่โถมทับลงมาไม่ว่าเรื่องของบอย เรื่องของแม่ ทำให้ผมคิดฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่ผมเริ่มเปิดหนังสือออกมาอ่าน ผมก็จะริ่มคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยและไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ การต่อสู้กับความฟุ้งซ่านภายในจิตใจไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาแต่ละวินาทีที่ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเป็นความเบื่อหน่ายและความทุกข์ ผมนึกไม่ออกเลยว่าเวลาเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดและผมจะผ่านพ้นเวลาเช่นนี้ไปได้อย่างไร...

ทางด้านบอยนั้นเหมือนกับชะตาจะเล่นตลกกับผม ในช่วงก่อนที่ผมพยายามมองหาบอยผมก็ไม่ค่อยพบบอย แต่พอมาในช่วงนี้เมื่อผมต้องการตัดใจจากบอยผมกลับเห็นบอยบ่อยๆ ในโรงอาหารบ้าง ในสนามช่วงเข้าแถวเคารพธงชาติบ้าง ความพยายามที่จะลืมบอยจึงไม่สำเร็จ

“ฮัลโหล” เสียงวัยรุ่นจากปลายสายอีกด้านหนึ่งรับสายแบบเนือยๆ ตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว

“บอยเหรอ นี่พี่เอง” ผมพูดกับบอยด้วยความดีใจ หลายเดือนมานี้บอยไม่เคยรับโทรศัพท์เองเลย เข้าใจว่าอาจต้องการหลบผม แต่วันนี้... หลังจากที่ผมไม่ได้โทรหาบอยนานพอสมควรแล้ว... ผมก็ได้ยินเสียงบอยอีกครั้งหนึ่ง

“พี่อู” บอยพูดเสียงอึกอัก

“ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ” ผมทักทาย “นายเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”

“สบายดีฮะ” บอยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่อูโทรมามีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรแล้วโทรมาไม่ได้หรือไง” ผมพยายามพูดให้ตลก ความรู้สึกของการเป็นส่วนเกินหรือว่าส่วนที่ไม่พึงปรารถนานี่มันขมขื่นจริงๆ

“...”

“พี่... เอ้อ” ผมเริ่มอึกอักบ้าง รู้สึกเหมือนกับจะพูดไม่ออก “นี่ก็ใกล้วันลอยกระทงอีกแล้ว... พี่เลย... ก็... เอ่อ... ลองโทรมาถามดูเผื่อว่านายอยากไปเที่ยวงานภูเขาทองปีนี้อีก”

พูดจบก็รู้สึกโล่งใจ คืนนี้ผมเดินวนเวียนอยู่รอบตู้โทรศัพท์อยู่เป็นนาน รู้สึกลังเลใจว่าจะโทรไปชวนบอยดีหรือไม่แต่ในที่สุดก็แพ้ใจตนเอง ผมยังไม่สามารถตัดความรู้สึกห่วงหาอาวรณ์บอยออกไปจากใจได้

“บอยไม่ว่างฮะพี่อู” บอยอึกอักอีก

“มีธุระอะไรนักหนา พ่อนักธุรกิจร้อยล้าน” ผมใช้คำพูดที่มันเคยพูดเหน็บผม “แค่ไปเที่ยวงานวัดก็ไม่ว่าง”

“ก็... ไม่ว่างน่ะพี่อู” บอยพูดย้ำคำเดิม

“ที่จริงพี่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ไม่ใช่นายไม่ว่าง แต่ว่านายไม่อยากไปกับพี่” ผมพูดพลางถอนหายใจ “พี่ผิดเอง พี่เคยสัญญากับนายเอาไว้ว่าจะไม่กวนใจนายอีก แต่พี่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ แต่นายไม่ต้องลำบากใจ พี่ไม่ตื๊อให้นายไปกับพี่หรอก แค่ลองโทรมาถามดูเท่านั้น ไม่ไปก็ไม่ไป”

“ฮะ พี่อู” บอยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงของบอยในคืนนี้ทั้งแผ่วเบา ทั้งอึกอัก ผมเดาใจบอยไม่ออกเลยว่าบอยกำลังคิดอะไรอยู่

“วันพฤหัสนี้ตอนสามทุ่มพี่จะอยู่ที่ยอดภูเขาทองนะบอย เอ้อ... แค่บอกให้นายรู้เฉยๆน่ะ” ผมอดมีความหวังใยสุดท้ายไม่ได้

การสนทนาของเราในคืนนั้นใช้เวลาไม่นานนักเนื่องจากผมไม่อยากกวนใจบอยนาน ผมอยากตัดใจจากบอยให้ได้แต่แล้วผมก็ทำไม่ได้เสียที

- - -

วันพฤหัส

ผมไปที่งานภูเขาทองตั้งแต่ยังหัวค่ำ วันนั้นรถติดมาก เมื่อไปถึงวัดสระเกศก็เห็นคนมาเที่ยวงานเต็มไปหมด อาหารและสินค้าละลานตา

บอยต้องชอบของกินพวกนี้แน่เลย ผมคิดขณะที่เดินผ่านซุ้มขายอาหารต่างๆ ผมไม่มีใจจะดูข้าวของต่างๆ เมื่อมาถึงก็เดินลัดเลาะเพื่อขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของภูเขาทองเลย

คนที่เดินขึ้นภูเขาทองในช่วงค่ำแน่นมาก ผมไหลไปกับฝูงชนเรื่อยๆ ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะเบียดเสียดผู้คนมาจนถึงชั้นดาดฟ้าได้ เมื่อขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าก็แทบไม่มีที่เดินเพราะว่าคนอยู่กันเต็มไปหมด

ตอนนั้นเป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง ผมอดเสียใจไม่ได้ที่กำหนดสถานที่เช่นนี้กับบอย เพราะกว่าจะขึ้นมาใช่ว่าจะง่ายๆ เมื่อขึ้นมาถึงแล้วก็ใช่ว่าจะหากันเจอ ผมพยายามเบียดเสียดผู้คนเดินวนรอบเจดีย์ภูเขาทองไปเรื่อยๆเผื่อว่าจะเห็นบอยได้ง่ายขึ้นรวมทั้งบอยคงสังเกตเห็นผมได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน... ถ้าบอยมา...

ห้าทุ่มแล้ว

ผมยืนเหม่อมองดูทิวทัศน์ของกรุงเทพฯยามราตรีอย่างเลื่อนลอย คนบนชั้นดาดฟ้าซาลงไปมากแล้ว ผมรออยู่กว่าสองชั่วโมงแต่ก็ไม่พบบอยแม้แต่เงา แม้ผลลัพธ์เช่นนี้จะอยู่ในความคาดหมายของผมอยู่แล้วแต่ถึงกระนั้นก็ยังอดรู้สึกเคว้งคว้างไม่ได้

ผมเดินลงมาจากภูเขาทอง เมื่อมาถึงพื้นล่างก็เดินไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยร้านค้า น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่าตอนขากลับนี้อาหารที่เมื่อตอนขามาส่งกลิ่นหอมหวนก็กลายเป็นไร้กลิ่นชวนกิน ขนมที่เมื่อขามามีสีสันสดสวยดึงดูดใจให้ลิ้มลองก็กลับกลายเป็นสีซีดจางดูไม่น่ากิน แม้แต่ไฟประดับในงานที่เจิดจ้าสว่างตาก็กลายเป็นหม่นทึมไป ผมเดินอย่างไรจุดหมายอยู่ในงานภูเขาทองคนเดียวสักพักเพื่อคลายเหงาแต่ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกเหงา... เหงาจนจับใจ

- - -

สายลมเย็นพัดโชยเข้ามาในรถประจำทาง ผมสูดกลิ่นอายชนบทในช่วงต้นฤดูหนาวเข้าไปอย่างสดชื่น กลิ่นอายชนบทจะแตกต่างกันออกไปตามฤดูกาล ฤดูร้อนก็อย่างหนึ่ง ฤดูฝนก็อย่างหนึ่ง กลิ่นที่ผมกำลังสูดอยู่นี้เป็นกลิ่นที่ผมค่อนข้างแปลกใหม่เนื่องจากมันเป็นกลิ่นอายชนบทในช่วงต้นฤดูหนาวซึ่งปกติผมไม่ค่อยได้กลับบ้านในช่วงเวลานี้

เมื่อผมลงจากรถประจำทางและเดินเข้าไปในบ้าน พ่อและแม่ต่างก็มองหน้าผมด้วยความแปลกใจ

“อู กลับบ้านมาทำไมกัน มีเรื่องอะไรเหรอ” แม่ถาม สีหน้าแสดงความเป็นห่วง

“โห แม่” ผมอุทานพลางหัวเราะ “อูจะกลับบ้านสักครั้งต้องมีเรื่องเดือดร้อนหรือไง”

“เปล่าๆ” แม่รีบพูด “แต่นี่มันเปิดเทอมอยู่ อูไม่เคยกลับบ้านในช่วงนี้เลยนี่”

“อูมาเยี่ยมแม่ ก็แม่บอกว่าให้กลับบ้านบ่อยหน่อย อูก็มานี่ไง” ผมทวนความจำให้แม่

“กินอะไรมาหรือยัง หิวหรือเปล่า เดี๋ยวแม่ทำอาหารให้กิน” แม่พูดพลางลุกจากเก้าอี้เตรียมจะเข้าครัว

“อูกินมาจากที่ท่ารถแล้วแม่” ผมตอบ แล้วหันมาทักทายพ่อ “ป๊าเป็นไงบ้าง”

“ฮื่อ ก็ดี” พ่อตอบ ดูพ่อจะเหนื่อยน้อยลงเมื่อไม่ต้องวิ่งขึ้นล่องระหว่างบ้านกับกรุงเทพฯบ่อยๆ

“แล้วแม่เป็นไง แผลหายดีหรือยัง เมื่อไรต้องไปหาหมออีก” ผมหันไปถามแม่อีก

“ก็สบายดี” แม่ตอบ ว่าแล้วก็อดบ่นไม่ได้ “แต่แผลผ่าตัดมันน่าเกลียด แม่ต้องพยายามเอาคอเสื้อปิดเอาไว้”

“ก็บอกแล้วว่าให้หาสร้อยทองโตๆใส่ทับ จะได้ไม่เห็นแผล” ผมแนะนำ

“บ๊อง อยู่บ้านใส่สร้อยทองให้ใครดูกัน” แม่ตอบ ปกติแม่เป็นคนไม่ชอบใส่เครื่องประดับยกเว้นตอนไปงานเท่านั้น

“งั้นใส่ตอนออกไปนอกบ้านก็ได้” ผมแนะนำใหม่

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวโดนกระชากสร้อยคอขาด” แม่ไม่เอาความคิดนี้อีก

“ยังงั้นแม่ก็ใส่เสื้อปิดคอเอาไว้ละกัน ง่ายดี” ผมยอมแพ้ อะไรก็ไม่เอาสักอย่าง

“ตกลงนี่อูกลับบ้านมาทำไมกันเนี่ย” แม่วกมาที่เรื่องการกลับมาของผมอีก คงยังไม่หายสงสัย

“ก็กลับมาเยี่ยมแม่ไง ไม่ได้มีเรื่องอื่นจริงๆ” ผมตอบ “ต้นเดือนธันวาอูมีสอบพรีเอนทรานซ์ อูเอาหนังสือมาอ่านด้วย อ่านที่หอทุกวันแล้วเซ็ง เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง นอนอ่านที่บ้านสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับ”

“แล้วทำไมตอนตอบต้องหัวเราะด้วย” แม่ก็ยังสงสัยอยู่ดี

“ถ้าอูทำหน้าบึ้งตอบแม่ก็คงถามว่าทำไมตอนตอบต้องทำหน้าบึ้ง” ผมอดย้อนไม่ได้ “เอางี้ละกัน แม่อยากให้อูตอบยังไง แม่บอกมาได้เลย เดี๋ยวอูจะตอบให้ตามนั้น แม่จะได้สบายใจ”

“ยวนจริงเชียวลูกคนนี้” แม่ดุแล้วก็หัวเราะ

“ไปดีกว่า” ได้แซวแม่เสียหน่อยแล้วค่อยสบายใจ จากนั้นผมก็รีบเดินขึ้นห้องไป

หลังจากที่แม่ออกจากโรงพยาบาล ความคิดของผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป แต่เดิมที่ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องที่บ้านและไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยนัก แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเป็นห่วงที่บ้านขึ้นมา ความรู้สึกไม่มั่นคงทำให้ผมอยากกลับบ้าน เวลาของแม่จะเหลืออีกเท่าไรไม่มีใครรู้ได้... ผมอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ดีที่สุด ความรู้สึกที่ว่าชีวิตนี้เป็นอิสระก็เริ่มกลายเป็นมีห่วงของครอบครัวให้พะวงขึ้นมา

- - -

ต้นเดือนธันวาคม

ในที่สุดวันสอบพรีเอนทรานซ์ก็มาถึง เนื่องจากการสอบนี้จัดโดยกิจกรรมนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ดังนั้นห้องสอบส่วนใหญ่จึงอยู่ตามตึกต่างๆในมหาวิทยาลัย นักเรียนเดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด มาจากโรงเรียนต่างจังหวัดก็ไม่น้อย ห้องสอบของผมอยู่ที่ตึกในคณะวิทยาศาสตร์ ตัวอาคารเป็นตึกสี่ชั้นเก่าแก่ ดูเหมือนว่าผมมักหนีไม่พ้นตึกเรียนเก่าๆ

ผมนั่งรอเวลาเข้าห้องสอบอยู่ที่ชั้นล่างของตึก ด้านหลังตึกเป็นถนนเล็กๆและลานขนาดย่อม มีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์เรียงราย เมื่อลมหนาวพัดโชยต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ที่เริ่มผลิดอกบ้างแล้วก็ปล่อยให้ดอกร่วงหล่นลงมาบ้าง หวนนึกถึงยามที่ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ปล่อยดอกให้ร่วงหล่นลงมาพร้อมๆกัน พื้นถนนคงราวกับปูด้วยพรมดอกไม้สีชมพูอ่อน แม้มีนักเรียนมานั่งรอเพื่อเข้าห้องสอบเป็นจำนวนมากแต่บรรยากาศยามเช้าก็ยังเงียบสงบเพราะนักเรียนส่วนใหญ่นั่งอ่านหนังสือกันเงียบๆ ผมก็นั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบแต่ก็อดเงยหน้าขึ้นมามองดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ร่วงหล่นจากต้นไม่ได้

“ไอ้เหี้ยอู” คำเรียกหาอันคุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู “มึงมาสอบกับเค้าด้วยหรือวะ”

ผมเงยหน้าจากหนังสือ ไอ้กี้นั่นเอง

“เฮ้อ” ผมแกล้งถอนหายใจดังๆ “ทำไมกูต้องมาเจอมึงด้วยวะ”

“ไอ้สัตว์นี่” กี้พูดพลางหัวเราะตาหยี ไม่สนใจถ้อยคำประชดของผม “เสือกมาซุ่มสอบ มึงจะสอบไปทำไมวะ”

“ก็อยากลอง มีไรมั้ย” ผมตอบ “แล้วมึงจะเรียกกูว่าอูเฉยๆได้มั้ย”

“แน่ะ เดี๋ยวนี้หือ ไอ้เหี้ยอูเฉยๆ” กี้หัวเราะอีก “เจอพวกไอ้เฉาหรือยัง”

“ยังอะ ไม่เห็นเจอใครเลย” ผมตอบ ที่จริงการมาสอบในครั้งนี้ผมก็ไม่ค่อยอยากเจอเพื่อนๆนัก จึงมาหลบมุมดูหนังสือปนกับนักเรียนจากโรงเรียนอื่น พยายามไม่สนใจใครและไม่อยากให้ใครมาสนใจผม

“งั้นกูไปเดินหาพวกมันก่อน มึงดูหนังสือไปเถอะ โชคดีโว้ยเพื่อน” ไอ้กี้ทิ้งท้ายก่อนปลีกตัวจากไป

ก่อนเก้าโมงเล็กน้อย เสียงออดเข้าห้องสอบก็ดังขึ้น พวกนักเรียนที่มายืนออกันพร้อมหน้าอยู่ที่หน้าห้องสอบพากันทยอยเข้าห้อง จากนั้นผู้คุมห้องสอบซึ่งเป็นนิสิตก็กล่าวชี้แจงกฎระเบียบในการสอบพร้อมกับแนะนำการฝนกระดาษคำตอบ

การสอบเอนทรานซ์ในยุคนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของการใช้เครื่องตรวจข้อสอบ ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่ปียังเป็นยุคของการตรวจกระดาษคำตอบด้วยมืออยู่ กระดาษคำตอบในยุคตรวจด้วยมือเป็นกระดาษพิมพ์ธรรมดา การตอบก็เพียงใช้ปากกาทำเครื่องหมายกากบาททับตัวเลือกที่ต้องการ ซึ่งเหมือนกับการสอบในโรงเรียน แต่ต่อมาเมื่อการสอบเอนทรานซ์มาถึงยุคของการใช้เครื่องตรวจข้อสอบ กระดาษคำตอบจึงเปลี่ยนมาเป็นกระดาษที่พิมพ์ขึ้นมาเป็นพิเศษ การตอบต้องใช้ดินสอดำ 2B ฝนตัวเลือกที่ต้องการ แม้แต่รหัสประจำตัวผู้เข้าสอบก็ยังต้องฝนลงในช่องที่กำหนด ไม่ได้ใช้การเขียนด้วยปากกา

กระดาษคำตอบแบบฝนซึ่งตรวจด้วยเครื่องนี้ปัจจุบันใช้กันแพร่หลายทั่วไป นักเรียนคุ้นเคยกันดี แต่ในยุคนั้นมีใช้เฉพาะมหาวิทยาลัยเปิดอันได้แก่ มสธ. และรามคำแหง ซึ่งมีนักศึกษาจำนวนมากเท่านั้น และต่อมาจึงนำมาใช้กับการสอบเอนทรานซ์ จึงถือว่าเป็นของใหม่ในการสอบเอนทรานซ์ ปีแรกๆที่นำมาใช้ก็อลเวงกันพอสมควรเพราะว่านักเรียนฝนกระดาษคำตอบผิดพลาดกันมาก มีนักเรียนที่พลาดโอกาสในการสอบเข้าเนื่องจากมีปัญหาในการฝนกระดาษคำตอบ เช่น ฝนแล้วแก้แต่ลบไม่หมด ทำให้ไม่ได้คะแนน

การสอบพรีเอนทรานซ์ในยุคนั้นดูเหมือนจะมีเพียงที่หรือสองที่เท่านั้นที่ใช้กระดาษคำตอบแบบฝนและตรวจด้วยเครื่องเหมือนกับการสอบเอนทรานซ์จริงๆ นอกนั้นยังเป็นการใช้กากบาทแล้วตรวจด้วยมือ และนี่เองคือสาเหตุที่เชาวน์และพวกเพื่อนๆเลือกที่จะมาสอบที่นี่ ทั้งนี้ เพื่อซ้อมการฝนกระดาษคำตอบนั่นเอง การเตรียมตัวสอบที่ดีของเชาวน์และเพื่อนๆในกลุ่มทำให้ผมพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วยทั้งๆที่ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก มีอะไรก็ต้องคอยตามเพื่อนๆ

- - -

การสอบใช้เวลา ๒ วัน มีเพียง ๔ วิชา คือ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา ใช้เวลาในการสอบวิชาละ ๓ ชั่วโมง จำนวนข้อสอบวิชาละ ๑๐๐ ข้อ เหมือนกับการสอบเอนทรานซ์จริงๆ รวมทั้งบรรยากาศในการสอบก็น่าจะใกล้เคียงกันเนื่องจากเมื่อเข้าไปนั่งสอบผมอดรู้สึกเกร็งไม่ได้ ทำไปคิดไม่ออกก็กัดดินสอเล่น เมื่อเห็นว่าใช้เวลานานเกินไปแล้วก็ข้ามไปก่อน ข้ามไปข้ามมาในที่สุดก็ย้อนกลับมาทำไม่ทัน สุดท้ายก็ต้องฝนมั่วๆในส่วนที่ทำไม่ทัน ดีกว่าปล่อยให้ว่างเอาไว้เนื่องจากตอบผิดก็ไม่หักคะแนน การมั่วตอบนั้นก็มีสองแบบ คือแบบตามใจฉัน นั่นคือ ฝนมั่วๆคละกันไปทั้งตัวเลือก ก ข ค ง สุดแท้แต่ว่าอยากจะเอาตัวเลือกไหน ซึ่งแบบนี้เดาไม่ถูกว่าจะมีโอกาสได้คะแนนเพิ่มอีกสักกี่คะแนน กับอีกแบบคือฝนแบบทิ้งดิ่ง นั่นคือ ฝนมั่วไปเพียงตัวเลือกเดียว ถือว่ามั่วแบบมีหลักการ ซึ่งหากมองในแง่ของความน่าจะเป็น การฝนแบบนี้ทำให้มีโอกาสได้คะแนนเพิ่มอีกหนึ่งในสี่ของข้อที่มั่ว เช่น หากฝนทิ้งดิ่ง ๒๐ ข้อก็น่าจะมีโอกาสได้คะแนนสัก ๕ คะแนน เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการสอบในปัจจุบันหากมั่วแบบทิ้งดิ่งจะถูกหักคะแนนเพราะผู้ตรวจรู้ทันเนื่องจากสามารถวิเคราะห์รูปแบบการตอบได้

หลังจากการสอบ แม้ว่าผลสอบยังไม่ออกแต่ผมก็พอรู้ตัวเองว่าน่าจะอยู่ในขั้นร่อแร่ เพราะว่าทั้งสี่วิชามีส่วนที่ทำไม่ได้มากทีเดียว แต่ละวิชานี่โคนดินสอ 2B เยินไปหมด นี่ยังไม่นับวิชาภาษาอังกฤษกับสามัญ ๑ หากเป็นการสอบเอนทรานซ์จริงๆเรื่องสอบติดคณะอะไรยังไม่ต้องไปคิดถึง แค่จะสอบติดหรือไม่ก็ยังไม่แน่ การเตรียมตัวที่ผ่านมากับความพร้อมที่ได้มาดูเหมือนว่าจะไม่สมกันนัก

ในขณะที่เรามีความทุกข์ เวลามักเหมือนกับจะหยุดนิ่ง ความทุกข์ดูเหมือนจะดำเนินอยู่ไม่มีที่สิ้นสุดจนเราไม่รู้ว่าเมื่อใดความทุกข์นั้นจึงจะหมดไป แต่ในขณะเดียวกันแผลในจิตใจของเราก็จางเบาบางลงพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ดังนั้นเวลาจึงเป็นเสมือนยาพิษร้ายที่กัดกร่อนจิตใจและในขณะเดียวกันก็เป็นยาวิเศษที่สามารถเยียวยาแผลในจิตใจได้ แต่แท้ที่จริงแล้วเวลาดำเนินไปด้วยจังหวะที่แน่นอน ให้ความยุติธรรมเสมอหน้าแก่ทุกคน ไม่ว่ายากดีมีจน ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ เวลาล้วนผ่านไปอย่างเท่าเทียมกัน เพียงขึ้นอยู่กับว่าใครจะรู้สึกอย่างไรเท่านั้นเอง

หลังจากการสอบทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมาก ผมต้องทบทวนวิธีการดูหนังสือและสิ่งที่ได้ดูไปแล้วใหม่ ขณะเดียวกันผมก็กลับบ้านบ่อยขึ้นกว่าเดิมมาก เวลาที่ผ่านไปและชีวิตที่ดำเนินไปทำให้จิตใจที่บอบช้ำจากเรื่องของบอยค่อยบรรเทาลง เดิมทีผมแทบไม่รู้ว่าจะผ่านวันเวลาต่อไปได้อย่างไรเมื่อไม่มีบอยแต่ในที่สุดผมก็ผ่านพ้นมาจนได้

- - -

ปีใหม่

ปีนี้ผมและเอ๊ดต่างก็กลับบ้านในช่วงปีใหม่ อากาศในช่วงปีใหม่ของปีนี้ค่อนข้างหนาวทีเดียว เราสี่คนพ่อแม่ลูกได้อยู่กันพร้อมหน้าในช่วงเทศกาล พ่อนึกครึ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ซื้อเค้กก้อนใหญ่มา ทำให้เอ๊ดและผมกินเค้กกันจนท้องอืด

กิจกรรมในช่วงปีใหม่ที่กลับบ้านไปในครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรมากนัก ส่วนใหญ่ผมจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง เอ๊ดก็นั่งๆนอนๆโดยไม่รบกวนผม บางทีผมเบื่อๆขึ้นมาก็ออกไปขี่จักรยานเล่นคนเดียว

ผมขี่จักรยานไปเรื่อยๆตามถนนในชนบท จนมาหยุดที่สวนซึ่งเป็นปากทางเข้าบึงน้ำ จู่ๆผมก็รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ อดนึกเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้ ใจหนึ่งอยากจะเข้าไปดูในบึงน้ำว่าเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงความตั้งใจที่เคยตั้งใจเอาไว้ ในที่สุดจึงไม่ได้เข้าไป

ผมยืนมองที่หน้าสวนอยู่ชั่วครู่ ปากทางเข้าเต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงหล่น ผมอดนึกถึงสายลมเย็นและภาพของถนนที่โรยไปด้วยดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ไม่ได้ ผมอยากให้ชีวิตของผมสงบสุขและราบรื่นเช่นนั้นบ้างเหลือเกิน...


<ผมยืนมองที่หน้าสวนอยู่ชั่วครู่ ปากทางเข้าเต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงหล่น ผมอดนึกถึงสายลมเย็นและภาพของถนนที่โรยไปด้วยดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ไม่ได้ ผมอยากให้ชีวิตของผมสงบสุขและราบรื่นเช่นนั้นบ้างเหลือเกิน...>

22 comments:

แตงกวา said...

มาที่ 1

ให้กำลังใจคุณอูค่ะ

Anonymous said...

ที่สองค่ะพีอู
กุหลาบ

Choo said...

ที่ 3 ก็ดีครับ

ชู

Anonymous said...

มารักอาอู แล้วครับ
ทำงานมากไประวังป่วยนะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

หลังจากที่แม่ออกจากโรงพยาบาล ความคิดของผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป แต่เดิมที่ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องที่บ้านและไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยนัก แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเป็นห่วงที่บ้านขึ้นมา ความรู้สึกไม่มั่นคงทำให้ผมอยากกลับบ้าน เวลาของแม่จะเหลืออีกเท่าไรไม่มีใครรู้ได้... ผมอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ดีที่สุด ความรู้สึกที่ว่าชีวิตนี้เป็นอิสระก็เริ่มกลายเป็นมีห่วงของครอบครัวให้พะวงขึ้นมา
"""""""""""""""""
ผมขี่จักรยานไปเรื่อยๆตามถนนในชนบท จนมาหยุดที่สวนซึ่งเป็นปากทางเข้าบึงน้ำ จู่ๆผมก็รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ อดนึกเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้ ใจหนึ่งอยากจะเข้าไปดูในบึงน้ำว่าเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงความตั้งใจที่เคยตั้งใจเอาไว้ ในที่สุดจึงไม่ได้เข้าไป

ผมยืนมองที่หน้าสวนอยู่ชั่วครู่ ปากทางเข้าเต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงหล่น ผมอดนึกถึงสายลมเย็นและถนนที่โรยไปด้วยดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ไม่ได้ ผมอยากให้ชีวิตของผมสงบสุขและราบรื่นเช่นนั้นบ้างเหลือเกิน...
................
บรรยายออกมาได้สุดยอดมากๆๆครับ
ปรบมือให้ดังๆเลยครับ ขอบคุณมากครับกับเรื่องราวของนยอูน่าสนใจจริงๆ

Anonymous said...

ไม่ได้ติดท้อปเทนนาน ด้วยความขี้เกียจเม้นท์แหะๆๆ

อ่านตอนนี้แล้วเง้า เหงา

สงสัยอารมณ์เดียวกัน คือโสดด นั่นเอง อิอิ

แต่ก้อนะครับ ตอนนี้หลานหนิงมีเรื่องให้คิดเยอะแยะ จนบางทีลืมไปเลย ว่าเฮ้ย เมื่อก่อนเรายังมานั่งเพ้อเจ้อว่า เฮ้ย มะไหร่ตูจะมีแฟนวะ 555+

เวลา เป็นสิ่มมหัศจรรย์ของจักรวาลจริงๆ สารพัดประโยชน์มากๆ ทั้งรักษา คงรูปร่าง และเปลี่ยนแปลง สุโค่ยยย

เพิ่งคุยกับอาชูเมื่อไม่นาน ได้ความว่า อาชูงานยุ่ง พอดีกับที่อาอูเองก้ออกตัวว่า งานยุ่งเช่นกัน เลยเข้าใจว่า ช่วงนี้คนรุ่นราวคราวเดียวกับอาชู คงจะยุ่งเหมือนๆกัน อานัยล่ะครับ ช่วงนี้สบายดีหรือเปล่า ยุ่งตาม สองอาเค้าด้วยมั้ยครับ

ไหนๆวันนี้ตั้งใจจะเม้นท์ เลยขอแซวให้ครบเลย อิอิ หลังจากที่เราซุ่มดูอยู่นาน เห็นพี่ๆ แฝดชื่อฝรั่งแซวกันน่ารักจังเลย รายงานความคืบหน้าหน่อยนะครับ ว่าได้เป็น BF กันจริงๆ หรือยัง

พี่สาวลาดพร้าว สาววายคนแรกของบล๊อก (มั้ง) เห็นเม้นท์พี่แล้ว น่ารักจังครับ ถ้ามีจัดมีทติ้งอาอู FC ขอกอดทีนะครับ ^ ^

จำได้ว่าเมื่อนานมาแล้ว ผมเคยแซวบรรดาหลานๆของอาอู ว่า ถ้าเอาชื่อมารวมกันแล้วนี่ สุดแสนจะโรแมนติก เพราะมีทั้ง หลานทะเล หลานพระอาทิตย์ ฯลฯ (แอบจำได้ไม่ครบ แหะๆๆ พอทำงานแล้วรู้สึกว่าตัวเองแก่จำ หลงลืมที่หนึ่ง) ตอนนี้ยังอยู่กันครบมั้ยเอ่ย

สำหรับน้องอาร์ หลานอาอู ช่วงนี้คงมีความสุขน่าดู ได้ข่าวว่า ได้เจอคนที่ใช่ฅซะที ยินดีด้วยครับ เจริญรอยตามอาชูไปอีกคน

น้องโตโต้ คิดถึงเราจัง นิยายพี่ที่เล้าเรื่องนั้นพี่ตัดจบแล้วนะ อิอิ

ใครที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ ผมก็รักและคิดถึงเหมือนกันนะครับ ซารางเฮโย เฌอแต็ม

หลานหนิง

Anonymous said...

เป็นกำลังใจให้กับพี่อูนะครับ ติดตามผลงานอยู่ทุก ตอนครับ ทำงานหนัก อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะครับ


ไก่

Anonymous said...

โอ้ มาแล้ว หลังจากที่คอยมานาน อ่านตอนนี้แล้วคิดถึงตัวเองมากๆสมัย ม.ปลาย แต่อาการเหงาของอาอูนี่มันเหงาจนน่ากลัวจริงๆ (พูดคำนี้แล้วคิดถึงมิวในเรื่องรักแห่งสยามจังเลย)แต่ชีวิตมันก็ต้องเดินต่อไปครับ
Federick
ป.ล.คิดถึงแฟนแฝดจังเลยครับ
ป.ล.1 น้องหนิงถ้าพี่กับแฝดได้เป็นแฟนกันจริงๆจะมาประกาศในบล็อกนี้ก่อนเพื่อนเลยครับ

nai said...

ยังไม่เม้นท์นะ ขออ่านนานๆหน่อย สมกับที่เขียนและรอนะ

นัย

naja said...

รูปสวยจังเลยครับพี่ ดูแล้วมีความสุข สงบจัง

นั่งดูรูปอยู่นานทีเดียว

อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ชีวิตผมปั่นป่วนสุดๆ อยากอยู่อย่างสงบจัง

Anonymous said...

ไม่อยากเขียนอะไรเลย รู้สึกเหงาจนน่ากลัว
เหมือนกับอาอูเขียนเพื่อจะแกล้งความรู้สึกของคนที่เป็นFC
อยากจะบอกว่าเศร้า เหงา มานานแล้วนะครับ อาอู

กัน

Anonymous said...

อ่านเรื่อง ดูรูป แล้วทั้งเหงาและทั้งเศร้า นึกถึงเวลาที่ผมเคยเหงา มันซึมลึกทั้งๆที่ดูภายนอกเหมือนกับไม่เป็นอะไร แต่เข้าใจดีว่ามันโหดร้ายมากมายจริงๆ

เป็นกำลังใจให้ครับ

Anonymous said...

..อูกลับมาแล้วที่เดิม..พร้อมมาเติมความเหงาให้FCเหมือนเคย..หายยุ่งบ้างรึยังคะอู?

ช่วงนี้หลายๆคนพากันยุ่งกับภาระกิจรอบตัวไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าหมึกพอล..พี่เองก้อเช่นกันค่ะแต่ยังไง๊ก้อยังพร้อมตั้งขบวนขันหมากให้คู่แฝดอภินิหารอยู่นะคะ..รอเพียงฟังประกาศจากศอฉ.ในบล็อคอยู่..แต่ดูเหมือนไม่ทันใจสาววายของหลานหนิงเอาซะเลย..อิอิ

สำหรับใครที่กำลังเหงาและเศร้าลองอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าหมาแมวดูสิคะ..ช่วยได้เยอะเลยเชียวค่ะ..

ถึงตอนนี้แล้วพี่มั่นใจว่าอูเอ็นท์ติดแหงๆ..เพราะดูเหมือนความคิดเริ่มจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง รอการเคี่ยวอีกสักนิด รอให้ตกผลึกอีกสักหน่อย.. อาจเป็นเพราะสถานการณ์รอบตัวช่วยกำหนดนั่นเอง..

ป.ล.วันนี้ขอเป็นสาวเจนวายซักวันนึงนะคะ..
เอ๊!หรือหลานหนิงเค้าหมายถึงอย่างอืนวายกันแน่..
ไม่รู้ล่ะ..อุ๊บอิ๊บแล้ว!!555

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

อยากเลี้ยงหมาเหมือนกันครับ พี่สาวลาดพร้าว แต่แม่ไม่ปลื้มหมา ช่วงที่หนังเรื่องดอกรักริมทางที่บี้กับวิวเล่น ที่มีหมาชื่อฮั่งตู๋เล่นอะ ทั้งผมกับแม่ นั่งกรี๊ดหมากันอยู่สองคน เลยลองปะเหลาะแม่ "แม่ๆ อยากได้ซักตัวมั้ย" และแน่นอน แม่บอก ไม่ เหมือนเดิม 555+ อ้อนมายี่สอบก่าปีละ

พี่แฝดอภินิหารครับ เด๋วผมจะกินมะนาวรอนะครับ เสียงจะได้ดีๆ ตอนโห่ เอ้า ฅโห่รอเลยแล้วกัน

เอ้า โห่ ฮี้โห ฮี้โหววววว่~~~ (พี่สาวลาดพร้า: ฮิ้ววววว)

ปล.คนอื่นๆรำคาญผมมะเนี่ย 55+
ปลล. สาววาย คือ ผู้หญิงที่ชอบและสนับสนุนให้ผู้ชายรักกัน ได้กันเองครับ กว่าครึ่งของสาววายในเมืองไทย พบได้เยอะในเว็บเล้าเป็ดครับ

หลานหนิง

Anonymous said...

อ้าว!เล่นเอาออกทะเลไปไกลโข..
ก้อรู้จักแต่Gen.X/Gen.Yอะไรแบบนี้
พอมีโอกาสได้เป็นเจนวาย..เลยรีบโดดงับเลยอ่า..

เลี้ยงหมาแมวไม่ได้ก้อเลี้ยงต้นไม้แล้วกันหลานหนิง
เห็นมันเติบโตขึ้นทุกวัน..ช่างเป็นความสุขที่แท้จริงเสียนี่กระไร..!!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ต้องขออภัยที่โพสต์ตอนที่ 70 ช้า แบบว่าตอนที่แล้วเลขตอนสวยดี ผมเลยแช่เอาไว้นานๆ

ช่วงนี้ชีวิตก็วุ่นๆครับ ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไร แต่ว่าเริ่มปรับตัวได้แล้วมากกว่า คนเราเอาตัวรอดได้เพราะการปรับตัว ผมก็เลยต้องพยายามปรับตัว

ที่จริงตอนนี้ผมว่าไม่เศร้าเท่าไร เพราะว่าเป็นช่วงที่เริ่มทำใจได้บ้างแล้ว แต่เรื่องความเหงานั้นคงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่พ้น เพราะนิสัยเป็นแบบนี้เอง แต่ผมก็อยู่ตัวคนเดียวได้เหมือนกันนะ คอยดูกันต่อไป

ไม่ได้เห็นคอมเมนต์ของหลานหนิงเสียนาน คราวนี้อ่านเสียจุใจ แต่อาไม่เคยบอกเลยนะว่างานยุ่ง ไปเอามาจากไหน โปรดหาหลักฐานมายืนยันด้วย ถ้ามีคลิปด้วยก็ดี

พี่สาวครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง ดูพี่จะมั่นใจทีเดียว ข้อนี้พี่ชูยังไม่กล้าฟังธงเลย รออ่านต่อไปอีกนิดก็แล้วกันครับ จะได้รู้ว่าเอนติดไหม แต่นิสัยขี้เหงาของผมนี่คงอาการหนักมากเพราะว่าเลี้ยงอะไรก็ไม่หาย

นาจาเป็นไงบ้าง มีอะไรที่พี่ช่วยได้ก็บอกนะครับ

ขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่เป็นห่วงครับ

อู

Choo said...

ผมว่าผมฟันธงแล้วนะ

สอบเทียบผ่าน แต่เอ็นทรานซ์ไม่ติด
ไม่เรียน ม.6 แต่กลับไปอยู่โรงอิฐ

ไม่ถูกก็หน้าแตกละครับ

ว่าแต่หลานหนิงอารมณ์ดีจังนะครับ

ชู

little_tum said...

กลับมายืนที่เดิม ที่ที่เคยคุ้นตา
ที่ที่ใจนั้นคอยเรียกหา
เฝ้าคิดถึง วันที่ผ่านไป
ที่ที่เคยพบเธอ ที่ที่ยังฝังใจ
กลับมาตามหาความสดใส
ที่ยังเหลือ พอให้จดจำ
กวาดตามอง ไม่พบเธอตรงที่เก่า
ถึงแม้วันนี้ เงียบเหงา
แต่ยังดีใจ ที่ได้มาเยือน.............

ขอบคุณนะครับที่เขียนตอนใหม่ให้อ่านกัน รักษาสุขภาพด้วยนะครับ

Anonymous said...

)^_^(ที่1 9 มาแว้วครับ ลุงอูไม่เหงาหรอกผมว่าดีกว่าอยู่ที่หอนะครับ ตอนนี้ทำให้แม่มีความสุขลุงก็คงมีความสุขด้วยแล้ว

boyaofza2 said...

คึดถึงจังเลยครับ ไม่ได้เจอตั้งนาน ในที่สุดก็มาต่อ อิอิ
บอยนึกว่าจะไม่มาต่อแล้ว เข้ามาดูอยู่บ่อยๆก็ยังไม่เห็น มาต่อ ดีใจจังที่มาต่อ บอยขออ่านก่อนนะเดี๋ยวมาคอมมเม้นอีกหลังอ่านเสร็จ อิอิ

Unknown said...

เข้ามาตามจนทันแล้วครับ

ขอสมัครเป็น FC ด้วยคนนะครับ

Anonymous said...

ว่าแต่ ตอน ๗๑ ต้องรออีกน้ามั้ยพี่อู
มาทวง อิๆๆๆๆ กุหลาบ