Thursday, July 15, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 71

หลังปีใหม่ผลการสอบพรีเอนทรานซ์ก็ออกมา คะแนนวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ไม่ได้เรื่องสักวิชา แค่อยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ย พูดง่ายๆก็คือได้ประมาณเกรดซี ส่วนคะแนนวิชาชีววิทยาของผมได้ศูนย์ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าผมจะทำไม่ได้เลยสักข้อ ผมทราบต่อมาในภายหลังว่าที่ได้คะแนนศูนย์เป็นเพราะว่าผมระบายเลขรหัสประจำตัวสอบผิด และบังเอิญที่เลขรหัสที่ผมระบายผิดนั้นเจ้าของเลขประจำตัวสอบตัวจริงก็ไม่ได้มาสอบในวิชาชีววิทยา คะแนนของผมจึงเป็นของคนนั้นไป นับว่าเป็นบทเรียนที่มีค่ามากสำหรับความผิดพลาดซึ่งบางครั้งเราอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวได้อีก

ช่วงปลายภาคในปีนี้ค่อนข้างพิเศษกว่าปีอื่นๆ อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผม นักเรียนกว่าครึ่งห้องดูหนังสืออย่างขะมักเขม้นเพื่อนเตรียมสอบสอบเอนทรานซ์ บรรยากาศการเรียนในชั้นเรียนไม่ค่อยดีนักเนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเพราะมุ่งแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบ กศน. และสอบเอนทรานซ์ หากมีโอกาสโดดเรียนได้เป็นต้องมีคนโดดเรียน ผมเองไม่นิยมการโดดเรียนเพราะว่าโดดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ส่วนใหญ่ก็จะนั่งอยู่ในห้องเรียนแต่ว่าเอาหนังสืออื่นมานั่งอ่านใต้โต๊ะไปด้วย

กลุ่มติวของเชาวน์ยังเกาะกลุ่มกันอยู่แต่เหลือกลุ่มไม่ใหญ่นัก หลายคนแยกไปดูหนังสือด้วยตนเอง แต่ส่วนที่ยังเกาะกลุ่มกันอยู่ทำงานเป็นทีมกันได้ดี มีการนัดติวทุกวันไม่เว้นแม้แต่วันหยุด ส่วนวันหยุดของผมนั้นผมใช้เวลาไปกับการดูหนังสือ พบกลุ่ม กศน. และกลับบ้านต่างจังหวัด ช่วงปลายภาคเป็นช่วงที่ผมโดดเรียน กศน. ไปหลายครั้งเพื่อกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ แต่ว่าไม่เกินเกณฑ์จนถึงกับหมดสิทธิ์สอบ

ในช่วงปลายภาคผมไม่ได้ติดต่อกับบอยอีกเลย ผลสอบพรีเอนทรานซ์ทำให้ผมต้องทบทวนแผนการเตรียมตัวสอบเสียใหม่และพยายามอ่านหนังสือหนักยิ่งขึ้น ความรู้สึกบอบช้ำจากเรื่องของบอยค่อยๆลดน้อยลงไปและในที่สุดผมก็ตัดใจจากบอยได้และกลับมามีสมาธิกับการอ่านหนังสือได้อีกครั้งหนึ่ง

หลังจากวันนั้นแล้วผมไม่ได้โทรศัพท์ไปหาบอยอีกเลย เรายังพบกันบ้างเมื่ออยู่ในโรงเรียนแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกัน เพียงแค่พยักหน้าทักทายกันเท่านั้น จนท้ายที่สุด เราสองคนก็กลายเป็นแค่คนที่เคยสนิทกันเท่านั้น

- - -

ในที่สุด ภาคสองของปีการศึกษาก็ใกล้จบสิ้นลง วันนี้เป็นการสอบปลายภาควันสุดท้าย

ผมมาถึงโรงเรียนแต่เช้าและเดินเล่นไปรอบๆโรงเรียน การสอบปลายภาคสำหรับผมก็เป็นเช่นเดียวกับนักเรียนที่เรียน กศน. ไปด้วยคนอื่นๆ นั่นคือไม่ค่อยมีความหมายอะไรนัก ขอแค่ผ่านก็พอ ไม่ได้หวังเอาเกรดสวยๆแต่อย่างใด สอบ กศน. ให้ผ่านเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

ผมเดินเล่นไปรอบๆโรงเรียนด้วยความรู้สึกที่แปลกไปจากทุกวัน หากผมสอบ กศน. และสอบเอนทรานซ์ได้ วันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้เรียนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ คิดไปแล้วก็ใจหาย เวลา ๕ ปีที่นี่นับว่าไม่สั้นนัก บางครั้งกว่าผมจะผ่านชีวิตไปได้แต่ละวันมันช้าเหมือนกับจะเจียนตาย แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ห้าปีที่นี่กลับกลายเป็นรวดเร็วอย่างที่คาดไม่ถึง

ผมเดินขึ้นไปบนอาคารเก่าแก่อันเป็นที่ตั้งของห้องสมุดและชมรมต่างๆ เดินไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่หน้าห้องสหกรณ์การอ่าน

ประตูห้องสหกรณ์ปิดและคล้องกุญแจเอาไว้เนื่องจากปิดให้บริการในช่วงปลายภาค ผมยืนเหม่ออยู่หน้าประตูห้อง ความคิดล่องลอยย้อนกลับไปสู่อดีต ผมมีความทรงจำอยู่ที่นี่มากมาย ทั้งสุขและทุกข์... ไอ้นัย บอย ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสถานที่นี้ทั้งสิ้น แต่หลังจากวันนี้ไปมันคงกลายเป็นความทรงจำที่ผมจำเป็นต้องทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง...

เมื่อผมกลับไปที่ห้องเรียนซึ่งขณะนี้เปลี่ยนสภาพไปเป็นห้องสอบ นักเรียนอออันอยู่หน้าห้องเพื่อรอเข้าแถวเคารพธงชาติ บางคนนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ บางคนก็นั่งคุยกัน บรรยากาศเหมือนกับวันสิ้นปีการศึกษาโดยทั่วๆไปเช่นปีก่อนๆ ไม่มีการร่ำลาเหมือนกับการจบการศึกษาแต่อย่างใดทั้งๆที่พวกเราก็รู้กันดีว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่โรงเรียนนี้สำหรับหลายๆคน...

- - -

ในที่สุดการสอบปลายภาคในวันสุดท้ายก็สิ้นสุดลง ต่างคนสอบเสร็จต่างก็ทยอยกันกลับไป ผมออกจากห้องสอบเกือบเป็นคนสุดท้าย วันนี้ผมรู้สึกเหงาๆอย่างไรก็ไม่รู้ ผมอดแปลกใจไม่ได้ ไม่มีการนัดเลี้ยง ไม่มีการอำลา ราวกับว่าปีการศึกษาหน้าพวกเราจะได้มาพบกันอีก ในใจของผมรู้สึกอยากร่ำลาเพื่อนๆ... เผื่อว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก แต่แล้วในที่สุดก็ไม่ได้ทำเพราะไม่มีเห็นใครทำกัน

“ไอ้อู รอเดี๋ยว” เสียงคนเรียกผมขณะที่ผมกำลังเดินลงจากตึก

“ว่าไง” ผมหันไปมอง หมู กรณ์ และสิทธิ์ เพื่อนร่วมโต๊ะวิทยาศาสตร์และขาดูหนังของผมกำลังเดินไล่หลังมา

“ปิดเทอมไปเที่ยวด้วยกัน จองตัวมึงแล้วนะโว้ย” กรณ์พูดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ไปเที่ยวที่ไหนเหรอ” ผมถามอย่างงงๆ

“ล่องใต้ หลายจังหวัด” กรณ์ตอบ

“ไอ้กรณ์ชวนไปเที่ยวที่บ้านมัน มันมีญาติอยู่หลายจังหวัด ที่นราธิวาสด้วย ก็เลยวางแผนกันว่าจะเที่ยวไล่ตั้งแต่นราธิวาสขึ้นมาเลย แวะหาดใหญ่ด้วย ไปสักสิบวัน” หมูอธิบายเพิ่ม

“หูย เที่ยวยาวเลย” ผมตาโต ผมไม่เคยได้ท่องเที่ยวกับเพื่อนๆแบบไปกันเองเช่นนี้มาก่อน ยิ่งเป็นแบบยาวๆเช่นนี้ด้วย ฟังดูน่าสนุกมาก “ไปเมื่อไรล่ะ มีนากับต้นเมษาไม่ว่างอะ”

ผมออกตัวเนื่องจากต้องสอบเอนทรานซ์ในเดือนเมษายนและก่อนหน้านั้นก็ต้องเตรียมตัวสอบ

“ไปหลังสงกรานต์ มีพวกที่สอบเอนทรานซ์จะไปด้วย รอให้พวกมันสอบเสร็จกันก่อน” กรณ์ตอบ

“ดีเลย งั้นขอไปถามที่บ้านก่อน ไม่รู้ว่าพ่อจะให้ไปไหม” ผมยังลังเล “ถ้าพ่อให้ก็ไปได้”

“เออ เออ ไม่เป็นไร เอาไว้ปิดเทอมแล้วค่อยโทรนัดกันอีก ไปขอพ่อขอแม่ให้เรียบร้อยเสียก่อน” กรณ์พูดติดตลก

หลังจากที่ทั้งสามคนแยกจากไป ผมหันกลับไปดูห้องเรียนของผมอีกครั้ง ระเบียงทางเดินและที่นั่งยาวหน้าห้องที่ผมและเพื่อนๆมักนั่งคุยกันเล่นขณะนี้ไร้ผู้คน บรรยากาศเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย

ผมก็เดินไปที่สหกรณ์อีกครั้งหนึ่ง ประตูห้องยังปิดสนิทและคล้องกุญแจเอาไว้เช่นเดิม แม้ผมจะถูกกางกั้นเอาไว้ด้วยประตูไม้เก่าแก่บานใหญ่แต่ในห้วงคำนึงของผมเหมือนกับเห็นไอ้นัยนั่งทำงานอยู่ในนั้น และพร้อมกันนั้นก็เหมือนกับเห็นบอยคอยเชียร์ลูกค้าให้เช่าหนังสืออยู่... ผมยืนอยู่ที่หน้าห้องอีกชั่วครู่ปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับไปสู่วันเวลาที่ผ่านมา... และแล้ว ในที่สุดผมก็เดินกลับ

ลาก่อน... ผมกล่าวคำอำลาด้วยใจที่ยังห่วงหาอาวรณ์... ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมยังห่วงหาอาวรณ์ใครหรือสิ่งใด...

- - -

การสอบปลายภาคของ กศน. ก็เสร็จสิ้นลงในเวลาที่ใกล้เคียงกับการสอบปลายภาคที่โรงเรียน เมื่อการสอบทั้งสองผ่านพ้นไป เวลาที่เหลือก็ถือว่าเป็นโค้งสุดท้ายของการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์สำหรับนักเรียนชั้น ม.๕ และ ม.๖ และรวมทั้งเป็นช่วงเวลาทองของธุรกิจติวเอนทรานซ์ โรงเรียนติวทุกแห่งต่างก็จัดโปรแกรมติวโค้งสุดท้ายก่อนสอบเอนทรานซ์โดยใช้เวลาประมาณ ๑ เดือน นักเรียนจากต่างจังหวัดหลั่งไหลกันเข้ามาพักในกรุงเทพฯเพื่อติวและรอสอบเอนทรานซ์ไปด้วยในตัว หอพักย่านใจกลางกรุงตั้งแต่ย่านหัวลำโพงไล่มาจนถึงย่านราชเทวี ตลอดไปจนถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิล้วนแต่มีนักเรียนจากต่างจังหวัดมาพักจนแน่นขนัดไปหมด

โรงเรียนติวเอนทรานซ์ในยุคของผมนั้นเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน กล่าวคือ เดิมทีโรงเรียนติวมักอยู่ในย่านถนนราชดำเนินและมักเป็นธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว นั่นคือ เจ้าสำนักก็คือผู้ติวเอง อาทิ ฟิสิกส์เซ็นเตอร์ของอาจารย์นรินทร์ที่ติวฟิสิกส์ แม็ทเซ็นเตอร์ของอาจารย์สกนธ์ที่ติวคณิตศาสตร์ โฮมออฟอิงลิชของอาจารย์คณิศวร์และเสริมหลักสูตรของอาจารย์สงวนที่ติวภาษาอังกฤษ พวกนี้จะอยู่ย่านราชดำเนิน นอกจากนั้นก็มีโรงเรียนพันธะศึกษาและอาจารย์สุธนที่ติวเคมี ในปีที่ผมสอบเอนทรานซ์นี้อาจารย์อุ๊เคมียังไม่ดัง อาจารย์ช่วง ทมทิตชงค์ติวฟิสิกส์ ถ้าเป็นวิชาชีววิทยาก็ต้องอาจารย์กันยา แล้วก็ยังมีกวดวิชาแม็ค พวกหลังนี้อยู่นอกย่านราชดำเนินโดยบางส่วนอยู่ในย่านสยามสแควร์และสามย่าน

ต่อมายุคเจ้าสำนักติวเองเริ่มเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นสำนักติวที่มีลักษณะเป็นเจ้าของหลายคนหรือว่าเป็นหุ้นส่วนกันและจ้างติวเตอร์มาติว หรือบางทีหุ้นส่วนก็ติวเอง พร้อมๆกันนั้นศูนย์กลางการติวก็ย้ายจากถนนราชดำเนินมายังสยามสแควร์ สามย่าน และรองเมือง ยุคนี้เป็นยุคที่มีทั้งสำนักติวยุคเก่ากับสำนักติวยุคใหม่ปะปนกัน ตัวอย่างของสำนักติวรุ่นใหม่ในตอนนั้นได้แก่ PEP เดอะติวเตอร์ พร็อบเบล็มเซ็นเตอร์ ฯลฯ เริ่มมีการเปิดสาขาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ทำรายได้อย่างงดงาม

หลังจากนั้นต่อมายุคของเจ้าสำนักติวเองหรือโรงเรียนติวในยุคแรกก็ค่อยๆหายไป ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้ติวสูงวัยขึ้นและไม่มีการสืบทอดกิจการ จึงทำให้ต้องเลิกราไป ที่เหลือสืบทอดต่อมาได้มักเป็นผลงานของทายาทในรุ่นที่สอง

เวลาผ่านมาหลายสิบปี เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป รูปแบบของสำนักติวและรูปแบบการติวก็เปลี่ยนแปลงไป การติวในยุคนี้ผู้ติวใช่ว่าจะเก่งวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องสร้างความบันเทิงได้ด้วย อย่างที่เรียกว่าเอดูเทนเมนต์ หรือว่าติวไปเต้นไป สำนักติวในยุคก่อนที่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ก็มีและที่ล้มหายตายจากไปก็มี รวมทั้งที่เกิดใหม่เป็นสำนักติวร่วมสมัยก็มาก ศูนย์กลางการติวมีแนวโน้มค่อยๆย้ายออกจากย่านสยามสแควร์และสามย่านไปสู่ย่านสี่แยกพญาไท แม้วันเวลาจะเปลี่ยนผันไป รูปแบบของธุรกิจติวจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ที่ยังเหมือนเดิมก็คือนักเรียนทั้งประถมและมัธยมต้องแข่งกันเรียนพิเศษ เรียนเพิ่ม เรียนเสริม กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

สำหรับผมนั้นก็นิยมการซื้อหนังสือมาดูด้วยตนเองเช่นเดิม ดูที่หอพักบ้าง กลับมาดูที่บ้านบ้าง แต่ต่อมาผมฝันร้ายบ่อยมากซึ่งฝันร้ายนั้นก็เป็นเรื่องเดิมๆที่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผมมีความกดดันหรือเคร่งเครียด ผมไม่แน่ใจว่าตนเองละเมอเอะอะบ้างหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อความสบายใจ ไม่อยากให้ที่บ้านกังวลถึงปัญหาสุขภาพจิตของผม ผมจึงดูหนังสืออยู่ที่หอพักโดยตลอด

ผมจำใจต้องเลิกดูหนังสือในแนวติวแม้ว่าจะยังอ่านไม่จบก็ตาม และใช้เวลาที่เหลืออยู่หันมาตั้งหน้าตั้งตาทำข้อสอบเอนทรานซ์เก่าๆแทน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการทำโจทย์ ทำไปจับเวลาไป เสร็จแล้วก็มาดูเฉลย หนังสือเฉลยข้อสอบเอนทรานซ์ในยุคนั้นก็มาตรฐานไม่ค่อยแน่นอน บางทีอ่านเฉลยแล้วงง คิดหัวแทบแตกก็คำนวณไม่ได้คำตอบตามนั้น ที่ไหนได้กลายเป็นว่าหนังสือพิมพ์ผิด ทำให้เสียเวลาไปเปล่า

- - -

ในที่สุดผลการสอบของผมก็ออกมา ผลการสอบชั้น ม.๕ ที่โรงเรียนผมได้เกรดประมาณ ๒.๘ ส่วนผลการสอบ กศน. นั้นผมสอบผ่านทั้งหมด รวมแล้วผมสามารถจบหลักสูตร ม.ปลายได้ภายในหนึ่งปีโดยไม่ต้องสอบซ่อมเลย

เมื่อจบ ม.ปลาย แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการสมัครสอบเอนทรานซ์ การสอบเอนทรานซ์มีเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น สูตรสำหรับการสอบเอนทรานซ์ในยุคนั้นก็คือ ๓-๔-๕ นั่นคือ สมัครสอบเดือนมีนาคม สอบช่วงต้นเดือนเมษายน และประกาศผลสอบช่วงเดือนพฤษภาคมพร้อมทั้งดำเนินขั้นตอนการสอบสัมภาษณ์และการรับเข้าเป็นนิสิตนักศึกษาใหม่

การสอบเอนทรานซ์ในยุคของผมนั้นเลือกได้ถึง ๖ อันดับ ระบบที่เลือกได้ ๖ อันดับนี้ใช้กันมาแต่ดั้งเดิมจนถึงปีการศึกษา ๒๕๓๓ เมื่อมีการทำวิจัยพบว่าอันดับสุดท้ายมีนักเรียนสละสิทธิ์กันเป็นจำนวนมาก ต่อมาในปีการศึกษา ๒๕๓๔ จึงมีการลดอันดับการเลือกลงให้เหลือเพียง ๕ อันดับ ใช้มาได้เพียงไม่กี่ปีก็พบว่าอันดับสุดท้ายยังมีการสละสิทธิ์กันมากอีก จึงใช้มาเพียงแค่ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ต่อมาในปี การศึกษา ๒๕๓๗ จึงมีการลดอันดับการเลือกให้เหลือเพียง ๔ อันดับ และหลังจากนั้นมาก็ให้เลือกได้เพียง ๔ อันดับมาจนจบยุคของการสอบเอนทรานซ์

การสมัครสอบนั้นถือเป็นมหกรรมอย่างหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากมีนักเรียนสมัครสอบเป็นจำนวนมาก สถานที่สมัครสอบแต่ละแห่งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดจึงเนืองแน่นไปด้วยนักเรียน นักเรียนที่วางแผนและเตรียมตัวมาดีจะต้องรู้ความสามารถของตนเองเสียก่อนโดยประเมินตนเองจากการทำข้อสอบเอนทรานซ์เก่าๆ จากนั้นลองคำนวณคะแนนที่ได้และเปรียบเทียบกับค่าคะแนนสูงสุดต่ำสุดที่แต่ละคณะรับในปีที่ผ่านมา ผู้ที่ไม่ประเมินตนเองสูงเกินไป เลือกแต่คณะที่มีระดับคะแนนสูงสุดต่ำสุดในช่วงคะแนนของตนเองก็จะมีโอกาสสอบติดมากขึ้น หากไม่มีการประเมินตนเองมาก่อนเลือกส่งเดชก็อาจเสียเปรียบ ในยุคของผมนั้นมีจำนวนคณะ/สาขาวิชาให้เลือกไม่มากมายเหมือนในปัจจุบันเนื่องจากในสมัยนั้นการแยกวิชาเอกหรือแยกสาขามักทำในชั้นปีที่ ๒ คือหลังจากที่เข้าคณะไปแล้ว ส่วนปี ๑ จะเรียนเหมือนกันโดยไม่มีการแยกเป็นสาขา ดังนั้นการเลือกในการสอบเอนทรานซ์จึงมักเป็นการเลือกคณะเสียเป็นส่วนใหญ่

สำหรับผมนั้นผมตัดสินใจเลือกคณะแพทย์ไปทั้งหมด ๕ อันดับ ตอนนั้นมีความตั้งใจที่จะเรียนแพทย์มาก จึงเลือกคณะแพทย์ไปเกือบหมด ไม่ได้เลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์เอาไว้เลย เหลือไว้เพียงอันดับสุดท้ายที่เลือกคณะที่คะแนนไม่สูงนักเอาไว้กันเหนียว

อันดับที่ ๖ นี่เอาอะไรดี ผมคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ไปเลือกเอาคณะเทคโนโลยีอันเป็นคณะที่เพิ่งเปิดใหม่ของมหาวิทยาลัยกลางเก่ากลางใหม่แห่งหนึ่งซึ่งคะแนนไม่สูงมากนัก ในยุคนั้นเป็นยุคที่เกิดค่านิยมที่ว่าใครครองเทคโนโลยี ผู้นั้นก็ครอบครองอำนาจ อะไรประมาณนั้น ทางภาครัฐจึงให้การสนับสนุนการเรียนด้านเทคโนโลยีค่อนข้างมาก ทำให้มีการเปิดคณะใหม่และสาขาใหม่ด้านเทคโนโลยีกันในหลายสถาบัน

- - -

เดือนเมษายน

ในที่สุดวันสอบเอนทรานซ์ก็มาถึง ผมต้องสอบทั้งหมด ๖ วิชา สนามสอบของผมเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ใจกลางกรุง

ในการสอบวันแรกเป็นวันที่ทุลักทุเลเอาการสำหรับผมเนื่องจากผมอ่านหนังสือจนดึกมาก เดิมทีตั้งใจว่าจะนอนตั้งแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้า แต่เนื่องจากดูหนังสือเท่าไรก็ไม่ทันเสียทีจึงพยายามดูจนถึงนาทีสุดท้าย ผมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้หลายเรือนเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผมจะตื่นแต่เช้ามืดได้แน่ๆ แต่แล้วในที่สุดผมก็ตื่นสาย โชคดีที่ตื่นสายไม่มาก คำนวณแล้วน่าจะไปสอบได้ทัน

ผมไปถึงห้องสอบก่อนเวลาพอสมควร สนามสอบคลาคล่ำไปด้วยนักเรียน ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ผมเคยเห็นออกดอกบานอยู่บนต้นในช่วงฤดูหนาว พอมาถึงตอนนี้ดอกสีชมพูอ่อนพร้อมใจกันร่วงลงจากต้นเกลื่อนอยู่บนทางเดิน ทำให้ทางเดินราวกับปูด้วยพรมดอกไม้งดงามดังเช่นในจินตนาการ

ผมเข้าห้องสอบด้วยจิตใจที่ไม่ตื่นเต้นมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมคิดว่ายังมีโอกาสแก้ตัวได้อีกครั้งหนึ่งในปีหน้า จึงทำให้การทำสอบของผมไม่เคร่งเครียดนัก ต่างกับนักเรียนบางคนที่ตึงเครียดจนถึงกับเกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนออกมา


<ผมก็เดินไปที่สหกรณ์อีกครั้งหนึ่ง ประตูห้องยังปิดสนิทและคล้องกุญแจเอาไว้เช่นเดิม แม้ผมจะถูกกางกั้นเอาไว้ด้วยประตูไม้เก่าแก่บานใหญ่แต่ในห้วงคำนึงของผมเหมือนกับเห็นไอ้นัยนั่งทำงานอยู่ในนั้น และพร้อมกันนั้นก็เหมือนกับเห็นบอยคอยเชียร์ลูกค้าให้เช่าหนังสืออยู่... ผมยืนอยู่ที่หน้าห้องอีกชั่วครู่ปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับไปสู่วันเวลาที่ผ่านมา...>


<หนังสือเฉลยข้อสอบเอนทรานซ์ คู่มืออย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักเรียนที่เตรียมสอบเอนทรานซ์ หนังสือเฉลยข้อสอบในยุคนั้นมีสำนักพิมพ์ผลิตออกมามากมายหลายสำนักพิมพ์ แต่ทว่าคุณภาพแตกต่างกัน โดยมากมักเป็นปัญหาด้านความถูกต้อง>

30 comments:

Anonymous said...

ที่ 1 อ่ะ ดีใจจัง เดี๋ยวมาเมนต์ต่อ
Federick

Anonymous said...

อ่านแล้วทำให้ทราบว่า อาอูช่างเป็นคนละเอียดละออในงานของตัวเองจริงๆ จะเขียนอะไรสักอย่างที่น่าจะให้ผู้อ่านได้มีความรู้ ก็หาข้อมูลมาได้อย่างดี เข้าใจและเห็นภาพตามเลยครับ แต่พออ่านตอนนี้แล้วคาดว่าอาอูน่าจะได้อันดับหกนะครับ หรืออาจจะต้องเอ็นท์ใหม่ปีหน้า ไม่ได้ดูถูกนะครับ แต่ผมมองว่าถ้าจะสอบคณะแพทย์ทั้งที่คงต้องเตรียมตัวได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่แน่หรอก ชีวิตอาอูมักมีอะไรให้ผู้อ่านประหลาดใจเสมอ
Federick
ป.ล.แฟนแฝดผมหายไปไหนอ่ะ ไม่มานานแล้ว พี่คิดถึงเรานะ

Anonymous said...

ไม่ติดแน่นอน ฟันธง คริๆ

หลานหนิง

naja said...

ขอให้พี่อูสอบได้นะครับ จะได้มีชีวิตใหม่ ซะที

PR_BLeaCH said...

สู้ ๆ ครับอา

Anonymous said...

โอ้โห!อูบรรยายได้ละเอียดละออมาก..
พี่ถึงกับอึ้งไปเลยว่าเราผ่านช่วงนั้นมาได้อย่างไร
เพราะต่างกับอูโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว
เลือกได้6อันดับเหมือนกันน่ะจริงอยู่..
แต่อูช่างกล้ามั่กๆที่เลือกคณะแพทย์ไปถึง5อันดับ
ส่วนพี่น่ะเหรอ..เลือกทั่วประเทศเลยค่ะ
ขอให้สอบน้อยวิชาและเสร็จเร็วๆเป็นพอ
เหตุผลใหญ่คือ..อยากไปเที่ยวเร็วๆอ่า..
แถมตอนไปสอบยังทำตัวสบายๆซะอีก
.....
ขอปักธงลงบนพื้นซีเมนต์อีกครั้งว่า..
อูสอบติดแน่นอนแต่เป็นอันดับ6ค่ะ..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

555..ย้อนกลับมาดูรูปประกอบอีกที
งานนี้ความลับแตกซะแล้ว..
FCสามารถคาดเดาอายุของอูได้หมดเลยนะเนี่ย..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องสอบเอ็นฯดีคับ เห็นภาพเลย ผมว่าสอบเอนทรานซ์แบบเก่ามันก็ไม่วุ่นวาย ดีเหมือนกัน

ขอทายบ้างว่าพี่อูสอบไม่ติดแล้วไปเรียนรามฯ คิดว่าไม่น่ากลับไปเรียน ม.๖

Unknown said...

มารอลุ้น


อยากให้สอบได้อ่ะครับ


ไม่อยากให้ชีวิตมีจุดหักเหอีก


แค่นี้ก้อบีบค้ันหัวใจมากแระ...

Anonymous said...

"ผมก็เดินไปที่สหกรณ์อีกครั้งหนึ่ง ประตูห้องยังปิดสนิทและคล้องกุญแจเอาไว้เช่นเดิม แม้ผมจะถูกกางกั้นเอาไว้ด้วยประตูไม้เก่าแก่บานใหญ่แต่ในห้วงคำนึงของผมเหมือนกับเห็นไอ้นัยนั่งทำงานอยู่ในนั้น และพร้อมกันนั้นก็เหมือนกับเห็นบอยคอยเชียร์ลูกค้าให้เช่าหนังสืออยู่... ผมยืนอยู่ที่หน้าห้องอีกชั่วครู่ปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับไปสู่วันเวลาที่ผ่านมา..."

พี่อูบอกว่าตัดใจจากบอยได้ แต่ทำไมผมอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหงาจังครับ

แจส

Anonymous said...

มารักอาอู แล้วครับ พึ่งกลับถึงบ้าน
(พรุ่งนี้มีเรียน 08.00 T-T อาจารย์นัดเพิ่ม)

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

)^_^(ที่1 + 2 นั่งดูคลิปในท่านทูบอยู่ครับ ตอนนี้มาเร็วและยาวดีนะครับแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันใกล้จะจบแล้วคิดแล้วใจหาย ลุงคงรู้สึกอาลัยโรงเรียนใช่มั้ยละครับ ผมคงไม่ต้องเดาแล้วว่าลุงจะไม่ได้กลับมาเรียนที่นี่อีกแน่นอนแล้วเพราะลุงจะกลับไปอยู่กับแม่ นี่คงทำให้ลุงไม่มีรูปในรุ่น ใช่เลยบรรยากาศที่ยืนมองไปตามแนวตึกยาว แล้วไม่มีใครนั่งอยู่เลย ประตูห้องก็ปิดทุกบาน แถมเป็นเวลาเย็นแล้ว มันวังเวงหงอยๆแท้ ผมขอขอบคุณศิษยลุง(ในนิยาย)ด้วยครับที่มาเล่าเรื่องสนุกให้ฟัง http://www.youtube.com/watch?v=6mCbtrSryLM

Anonymous said...

มาติดตาม ครับผม
มีทั้งคนอยากให้สอบไม่ติด และให้ติด
ผมว่า อาอูต้องมีอะไรแกล้งคนติดตามอยู่แล้ว
ผมว่า ไม่ติด อีกคน ดูว่าอาอูต้องต่อเรื่องไปแบบไหนนา

แฟนคลับครับผม

กัน

Anonymous said...

เดินเรื่องเร็วมากๆ แล้วช่วงค่า ร.ด. ที่บอกว่า
จะเล่าก็หายไปด้วยนะเนี่ย >.<

คุยกับอาอูมานานรู้ Spoiled เรื่องพอสมควร T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ตอนนี้มาอย่างว่อง

๗๑ ตอนเข้าไปแล้ว เห็นว่ายาวแล้วน่ะครับ เลยคิดว่าจะจบเสียที ผมถูกคนอ่านต่อว่าว่าใจร้ายด้วยละครับ

เรื่อง รด. ว่าจะเล่าก็ไม่ได้เล่าเพราะเห็นว่าเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆก็เยอะอยู่แล้ว เกรงจะยืดเยื้อเกินไป และตอนนั้น รด. ก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรมาก เลยข้ามๆไปบ้าง

พี่สาวทำไมสอบเอนทรานซ์สบายอารมณ์อย่างนี้ พี่เอามะกอก มะม่วงดองเข้าไปจิ้มกินในห้องสอบด้วยหรือเปล่า เวลาทำข้อสอบจะได้ไม่เหงา(ประชดนะเนี่ย)แล้วพี่ปักธงบนพื้นซีเมนต์มันจะปักลงหรือครับ ระวังด้ามหักเน้อ

เอาใจช่วยกันมาคนละแบบ มีทั้งสอบติดและไม่ติด ไม่ติดแล้วจะไปไหน ติดแล้วติดอะไร ตอนหน้าคงทราบกัน หลานหนิงมาฟันธงแบบเดียวกับอาชู อาหลานคู่นี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว มีการโทรคุยกันอีก คงสนิทกันมากกกกก

หลานฝาแฝดหายไปฝาหนึ่ง เป็นแฟนกันยังไง ทำไมมาประกาศหาตัวกันในนี้ โทรไปสิครับ

ขอบคุณสำหรับความเห็นและกำลังใจครับ

อู

Anonymous said...

จะจบแล้วเหรอ ไม่เอา ไม่ยอม ต้องเล่าต่อไปเรื่อยๆด้วย ตอนนี้เรื่องของอาอูกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วนะครับ มาทิ้งกันไปง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงอ่ะ พูดแล้วใจหายนะเนี่ย
ผมจะรอภาค 4 นะครับ
Federick
ป.ล.อยากโทรไปแฟนแฝดเหมือนกันแต่ไม่มีเบอร์

Bomber_Boy said...

อ้าวจะจบแล้วหรอ..งั้นจบก็ได้....!!!!!

แต่ต้องสัญญาว่าต้องเล่า้เรื่องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยต่อด้้วยนะ

Bomber_Boy

ยังรักและคิดถึงเสมอนะครับ

Anonymous said...

เวลาเปลี่ยนไป ทุกชีวิตย่อมต้องเปลี่ยนแปลงครับ

ช่วงวัยมัธยม เป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ เปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กเป็นวัยหนุ่มสาว ทุกคนล้วนผ่านประสบการณ์ที่ประทับใจ และที่ยุ่งยากใจมาด้วยกันทั้งสิ้น

อ่านตอนนี้ของอูแล้ว อาจด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน สิ่งที่อูเล่ามา สถาพแวดล้อมของเด็กมัธยมสมัยนั้น บรรยากาศการเรียน การติวหนังสือ วิธีการสอบเอนทรานส์ ล้วนเป็นฉากที่คล้ายคลึงกันหรืออาจจะเหมือนกันเลย ทำให้ผมหวนนึกถึงเรื่องราวของตัวเองในช่วงนั้นเช่นกัน

เมื่อคืนได้รื้อเอารูปเก่าๆ ในช่วงมัธยมปลายออกมาดู เกือบทุกภาพสามารถสร้างรอยยิ้มเล็กๆ ในจิตใจได้อย่างแจ่มชัด แม้ว่าการหวนคิดถึงอดีตในบางเรื่องจะเป็นการตอกย้ำให้หวนคิดถึงเรื่องราวที่เป็นทุกข์ ไม่สมหวัง ความรู้สึกผิดในบางเรื่อง หรือแม้แต่พลัดพรากจากกันก็ตาม แต่ในปัจจุบันทุกเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนเป็นความทรงจำที่งดงาม ประทับใจ

จึงเชื่อเหลือเกินว่าเรื่องราวของอูในอดีตทั้งที่เป็นสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้อูมีความภาคภูมิใจและเข้มแข็งในขณะนี้

และผมก็ภูมิใจในตัวอูนะครับ และขอบคุณในการตั้งอกตั้งใจเล่าประสบการณ์อันน่าประทับใจเหล่านั้นได้อย่างนักเขียนมืออาชีพ จนหลายครั้งผมเหมือนตกเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง

งานเลี้ยงใดๆ ต้องมีวันเลิกรา แต่ก็หวังว่างานเลี้ยงสามารถจัดได้หลายครั้งนะอู เชื่อว่าอูคงจัดงานเลี้ยงครั้งที่ 4,5 ต่อไป

และหวังว่างานเลี้ยงครั้งหน้า น่าจะมีอะไรเสียวๆ (ผมหมายถึงเสียวไส้นะ) มากกว่านี้นะครับ ภาคนี้น้อยจัง

ชู

ปล. นอกจากแฝดจะหายไปหนึ่งฝาแล้ว นัยเพื่อนคู่ยากของอูก็หายไปนะ รายงานตัวด่วน

Anonymous said...

นึกว่าโก๋หลังวังที่ไหนมาป่วนในคอมเมนต์ ที่แท้โก๋พี่ชูนี่เอง ลบให้จนเมื่อยเลย

ตอนหน้าจะมีภาพเก่ามาฝากครับ เป็นภาพบรรยากาศในวันประกาศผลสอบเอนทรานซ์สมัยพี่สาวลาดพร้าวยังนั่งจิ้มฝรั่งดองอยู่ในห้องสอบ อูจะหัวเราะร่าหรือจะน้ำตารินคงได้รู้กัน

ที่พี่สาวลาดพร้าวบอกว่ารูปผมหลุดบอกอายุออกมานั้น ที่จริงผมไม่ได้ปิดบังอายุนะครับ เพียงแต่ไม่ได้บอกเท่านั้นเอง แหะๆ งงไหม คือใครที่ช่างสังเกตหน่อยก็เอาเหตุการณ์ในเรื่องไปคำนวณอายุของผมออกมาได้ พี่ชูยังคิดออกเลย ส่วนนัยคนที่มาป้วนเปี้ยนอยู่ในคอมเมนต์นี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รายนั้นรู้ยิ่งกว่ารู้

เด็กวางระเบิดหายไปนานเชียว คิดถึงเช่นกันครับ เมื่อได้รู้ว่าแอบอ่านมาตลอดก็ชื่นใจแล้วครับ ไม่โพสต์คอมเมนต์ก็ไม่เป็นไร

คาดว่าคงอวสานในตอนที่ ๗๒ หรือ ๗๓ นี่แหละครับ ถึงเวลาอีกแล้วหรือนี่ ใจหายเหมือนกัน

อู

Anonymous said...

จิงดิ พี่อู จะจบแล้วเหรอ
ไม่ยอมอะ หลาบไม่ยอม

boyaofza2 said...

เฮ้ย ไม่ทันที่ 1 ที่ 2 กับเขาซักที
๒๕๓๔ อ่ะ พศ.เกิดผมเลยนะนั่นน่ะ อิอิ
คิดถึงนัยขึ้นมาอีกแล้วอ่ะครับ เมื่อไหร่จะได้เจอซักทีครับ ผมว่าผมคิดถึงนัยมากกว่าอาอูอีกนะครับเนี่ย 55
ผมว่าเหมือนกันกับที่พี่ราดพร้าวพูดครับ ที่ 6 ชัวร์
ถ้าจบแล้วจะต่อภาคใหม่หรือปล่าวครับ
บอกหน่อยได้ไหมครับ ว่าภาคใหม่จะชื่ออะไรน้า
ชักอยากรู้แล้วล่ะซิ

nai said...

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เรื่องของอู ตั้งแต่ ป.๕ จนถึง ม.๕ รวมระยะเวลา ก็ประมาณ ๖ ปีกว่าๆ ถ้ามองในระยะเวลาก็ใกล้เคียงกับ แฮรี่พอตเตอร์ ไปโน้นเลย

ถ้ามองในแง่วิวัฒนาการของงานเขียนของเพื่อนเราคนนี้ พัฒนาไปไกลเหลือเกิน จากตอนแรกของภาคที่หนึ่ง จนถึงภาคที่สาม ตอนที่ ๗๑ เหมือนกับไม่ใช่คนเดียวกันเขียน แต่ความจริงก็คนเดียวกันนั้นแหละ แต่ฝีไม้ลายมือพัฒนาไปสู่นักเขียนมืออาชีพซะแล้ว

ถ้ามองถึงภาษาไทยที่ใช้ ในตอนหลังๆ จะใช้คำว่า อู พิมพ์ไม่มีคำผิดให้เห็นเลย โดยเฉพาะในภาคที่สาม เท่าที่จำได้ผิดแค่ครั้ง หรือ สองครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นแบบอย่างให้กับน้องๆ หลานๆในการใช้ภาษาได้ดีจริงๆ

ถ้ามองในแง่ การพัฒนาของตัวละครอื่นๆ ที่นำมาเล่า ก็จับเอาข้อดีข้อเด่นมาเขียน มาบรรยาย จนเห็นภาพของคนๆนั้น ตัวละครตัวนั้น เวลาอ่านเรื่องนี้ แล้วก็พลอยนึกภาพต่างๆตามไปด้วย

ถ้าบรรยายถึงเรื่องเศร้า ก็รู้สึกเศร้ารู้สึกผิดหวังไปด้วย บางครั้ง อ่านจบก็นอนไม่หลับซะอย่างนั้น ทั้งๆที่ อู บอกว่าเป็นนิยายนิยาย.......

ถ้าเป็นเรื่องที่มีความสุข ช่างน้อยเหลือเกิน นายคนนี้ อ่านแล้วยิ้มตาม สุขตาม ถึงแม้จะน้อยตอน แต่อ่านแล้วนอนหลับฝันดีไปด้วย

แต่ถ้าเป็นเรื่องเสียว ใช้คำว่าอะไรดี เอาอย่างนี้ บรรยายได้ถึงทุกรูขุมขน ทุกอนุของร่างกาย จนอด........ไปด้วยไม่ได้

สุดท้าย การวิวัฒนาการของ เด็กชายอู จนเป็นนายอู มีวิวัฒนาการมากจนน่าตกใจ จากเด็กชายร่าเริง ช่างพูด เซ็กส์จัด หน้าด้านสมัยอยู่ ป.๕ ต่อมาก็เป็นคนช่างคิด อยู่กับตัวเอง คิดเองเออเอง รักเองช้ำเอง แต่ว่า อู ก็เป็นอู คิดได้ทำได้ กลับมาได้เสมอ

สุดท้ายของสุดท้าย ตอนหลังๆ นายพูดหรือเขียนถึงเราน้อยมากเลยนะ ถ้าภาคต่อไป พูดถึงเราน้อย เราจะไม่อ่านแล้ว ล้อเล่นครับ เดี๋ยวโดนแฟนคลับ อู รุมทึ้งเอา

สุดท้ายจริงๆละ อู เรายังอยากอ่านต่อ ช่วยมาต่อด้วยนะ ต่อนะ ต่อนะ

คิดถึงมึงนะ
นัย

Anonymous said...

ไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย
ได้อันดับ6แหงๆ ฟันธง!!
.......
ส่วนจะปักธงลงบนพื้นซีเมนต์ที่แข็งตัวแล้วหรือกำลังเซ็ตตัวอยู่ ก้อคอยดูกานปายยยย...
.......
ป.ล.ที่พี่บอกไปสอบแบบสบายตัวนั้นเพราะพี่ชุ่ยไงคะ
เลือกแบบลวกๆ สอบแบบลวกๆ..ทั้งนี้อาจเป็นเพราะยุคนั้นไม่มีกฎเกณฑ์มากมายที่จะต้องทำคะแนนให้ดีตลอด3ปีเหมือนสมัยนี้ก้อเป็นได้ ฉะนั้นเยาวชนทั้งหลายโปรดอย่าเอาเป็นแบบอย่างนะคะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

วันนี้นั่งอ่านเรื่องของคุณอูพร้อมกับฟังไฟล์ธรรมะไปด้วย มาเจอตอนเม้นท์กันว่าใกล้ถึงตอนอวสานก็ใจหายนะคะ พร้อมๆกันหลวงพ่อ(ในเทป)พูดว่าทุกสิ่งในโลกล้วนชั่วคราวไม่มีอะไรคงทนถาวร ถ้าคุณอูจะต่อภาคต่อไปก็จะติดตามไปเรื่อยๆ แต่ถ้าจะจบจริงก็ต้องขอขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆด้วยค่ะ ได้ความสนุก สาระความคิดดีๆเยอะเลย
เด็กแว่น

Fryderyk C. said...

แฝดไม่ได้ไปไหนครับ ยังอยู่
ช่วงนี้งานเยอะมากๆ เลย

อาอูครับ แหมๆ ตอน 71 มาเร็วจัง

คิดถึงอาอูนะครับ เลือกหมอไปหมดเลย จะได้ซักอันไหมเอ่ย อิอิ

/ ป.ล. แฝด หลังไมค์มาเลยคับ เด็วให้เบอร์ 55+
จุ๊บๆ

Fryderyk C. said...

ขำอาชูครับ หายไปตอนเดียวเองเน่อ.. 555+

Anonymous said...

หลาน Fry มาขำอาด้วยเหตุใดครับ

ถ้าอาเปิ่นๆ โพสหลายหน อาอูได้ช่วยชีวิตไว้แล้ว อาก็หน้าแตกบ้าง ขอบคุณอาอูของหลานมา ณ โอกาศนี้ครับ

ถ้าเพราะหลาย Fry หายไปแค่ตอนเดียว..ก็นะ อาช่วยน้อง Fed ตามหานะ เดี๋ยวน้อง Fed จะเหงา ว่าแต่ต่างคนส่งเมลของตัวเองไปให้อาอูซิ แล้วให้อาอูเป็นพี่สิราณี

ชู

Anonymous said...

ฝาแฝดสองคนนี้เค้าจะรู้จักศิราณีเหรอครับ ไม่ได้ร่วมสมัยเลย คริคริ

Anonymous said...

กุศลใดเล่าจะเท่ากับส่งเสริมให้คนได้เจอเนื้อคู่
เค้าว่ากันว่า..ถึงขั้นเป็นเทวดาเลยเชียวนะ

Anonymous said...

แฝดอ่ะใจร้าย บอกว่าหลังไมค์ ไม่เห็จะให้อะไรมาเลย จะได้คุยกันมั้ยเนี่ย เฮ่อ
Federick