Friday, June 18, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 69

“เนื้อร้าย...” ผมอุทาน “คุณหมอแน่ใจหรือครับ”

หมอพยักหน้า

“คือมะเร็งหรือว่าก้อนเนื้อร้ายนี่มันจะมีลักษณะเป็นเนื้องอกที่มีถุงห่อหุ้มอยู่ ถ้าถุงที่ห่อหุ้มนี้ยังไม่แตก เซลล์มะเร็งก็ยังไม่กระจายไปไหน ถือว่าเป็นในขั้นต้น ถ้าสามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อนี้ออกก่อนที่ถุงหุ้มนี้แตกได้ก็เรียกได้ว่าหายขาด” หมอพยายามอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย “แต่ถ้าถุงนี้แตกออกมาแล้วเซลล์มะเร็งก็สามารถกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้”

“แล้วของแม่ละครับ อยู่ในขั้นไหน” ผมรีบถาม

“ถุงหุ้มมันแตกออกมาแล้วนะ” หมอตอบ

“แล้ว... ผลของมันจะเป็นยังไงครับ” ผมถาม รู้สึกใจหาย

“จากลักษณะที่เห็นก็ยังถือว่ายังอยู่ในขั้นต้นๆ เซลล์มะเร็งที่กระจายออกไปอาจมีจำนวนไม่มาก หมอว่าโอกาสหายขาดก็ยังมีอยู่สัก ๙๐ ถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ทีเดียว” หมอตอบ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหมอพยายามมองโลกในแง่ดีเพื่อให้ผมสบายใจหรือเปล่าแต่ว่าเมื่อฟังแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง อะไรๆคงยังไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

“แล้วต้องทำยังไงต่อละครับ” ผมซักต่อ “ต้องรักษายังไงต่อไป”

“การรักษาหลังจากนี้คงยังไม่มี แต่ต้องมาตรวจเป็นระยะเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลง” หมอตอบ

หมอหยุดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ

“แต่เรื่องที่หมออยากปรึกษาในตอนนี้ก็คืออยากถามทางครอบครัวของคนไข้ดูว่าต้องการให้คนไข้รู้เรื่องนี้หรือไม่”

“จะไม่บอกแม่หรือครับ” ผมทวนคำถาม

“คือถ้าคนไข้เป็นหัวหน้าครอบครัวหมอก็คงต้องบอก เพราะจะได้วางแผนเรื่องการหาเลี้ยงครอบครัวในอนาคต แต่นี่คนไข้ไม่ได้เป็นหัวหน้าครอบครัว หมอว่าจะบอกหรือไม่บอกก็ได้” หมออธิบาย “บางทีคนไข้รู้แล้วใจเสีย บางคนอายุสั้นเพราะว่าตรอมใจก็มี หมอจึงอยากให้ครอบครัวเอาไปปรึกษากันดูว่าต้องการยังไง”

หมอคุยกับผมอีกสักครู่ หลังจากนั้นผมก็รีบโทรศัพท์กลับไปหาพ่อที่บ้านและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยละเอียด พ่อฟังแล้วถึงกับเงียบไป

“ป๊า” ผมเรียก พ่อเงียบไปจนผมไม่แน่ใจว่าสายหลุดไปแล้วหรือไม่

“อูอย่าเพิ่งพูดอะไรกับแม่ เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อไปถึงแล้วค่อยว่ากัน” พ่อสั่งผม

- - -

“หมอตามอูไปคุยอะไรเหรอ” แม่ถามเมื่อผมกลับเข้าห้องพักคนไข้

ผมมองดูใบหน้าของแม่ ไม่แน่ใจว่าเป็นอุปาทานหรือเปล่า แต่ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าแม่ดูแก่ลงไปโขเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ใบหน้าของแม่ซีดเซียวและเริ่มมีร่องลึก แก้มของแม่ก็ดูตอบไปมาก

“หมอเรียกไปคุยเรื่องการดูแลหลังผ่าตัดเมื่อแม่กลับบ้านไปแล้วน่ะ” ผมตอบด้วยคำตอบที่เตรียมเอาไว้เพราะนึกอยู่แล้วว่าแม่คงต้องถาม

“ก็หมอบอกแม่แล้วนี่นา” แม่ยังไม่หายสงสัย

“หมอกลัวว่าแม่จะลืมหรือว่าไม่อยากทำไง เลยบอกคนที่บ้านให้ช่วนกำชับ โดยเฉพาะเรื่องมาตรวจตามนัด” ผมเฉไฉไป

“ก็หายแล้วยังต้องมาตรวจอะไรอีก” แม่บ่น ผมใจไม่ดี เกรงว่าแม่จะระแวง “เข้ากรุงเทพฯบ่อยๆก็เหนื่อย เสียเวลาด้วย”

“เห็นมั้ย พอหายก็เริ่มอิดออดไม่อยากมาตามนัดแล้ว นี่แหละหมอถึงได้เรียกไปกำชับ” ผมได้ที ไม่น่าเชื่อว่าผมจะลื่นได้ถึงขนาดนี้

- - -

ดึกแล้ว

ผมปิดไฟในห้อง ยืนพิงหน้าต่างมองดูท้องฟ้ายามราตรีของกรุงเทพฯ แม่หลับไปแล้ว วันนี้ดูแม่อารมณ์แจ่มใสเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเพราะว่ากำลังจะได้กลับบ้าน ส่วนผมนั้นหลังจากที่ได้คุยกับหมอแล้วความรู้สึกที่เคยสบายใจกับอาการหลังผ่าตัดของแม่ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมรู้สึกว่าในใจเหมือนมีเงาทะมึนครอบคลุมอยู่ พร้อมทั้งรู้สึกว่าต่อไปชีวิตครอบครัวของเราจะไม่เหมือนเดิมอีก

ผมอดนึกถึงใบหน้าที่ซีดเซียวของแม่ไม่ได้ การมีใครบางคนที่เรารักเป็นโรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจกันได้ง่ายๆ ผมพยายามไม่คิดในเรื่องที่ไม่เป็นมงคล แต่ในบางวูบของความคิดผมก็อดคิดเลยเถิดไปไม่ได้ ผมใคร่ครวญคำถามหลายข้อที่เมื่อก่อนนี้ไม่เคยคิดมาก่อน เช่นว่า แม่จะอยู่ไปได้อีกนานเท่าใด แม่จะทรมานหรือไม่ หลังจากที่ครอบครัวเราขาดแม่ไปจะเป็นอย่างไร...

ผมพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง แต่มันก็ไม่จากไปไหนไกล ในที่สุดมันก็วนเวียนกลับเข้ามาในห้วงความคิดอีก นี่ขนาดคนรอบข้างรู้ยังคิดฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้ ถ้าตัวแม่เองรู้ความจริงแล้วจะเป็นอย่างไร

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียนแต่เช้า แต่เมื่ออกมาจากห้องคนไข้แล้วก็ยังไม่ได้ไปโรงเรียนในทันที แต่ออกมาเพื่อดักรอพ่อที่บริเวณโถงกลาง

พ่อมาแต่เช้า หลังจากที่เราได้พบกันเราก็พากันไปหาหมอผู้ที่ผ่าตัดแม่ที่ห้องพักแพทย์ หมอได้อธิบายถึงเรื่องก้อนเนื้อร้ายที่ผ่าพบ ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ข้างหน้า และถามว่าต้องการบอกให้แม่รู้หรือไม่ พ่อนิ่งไปสักพัก พ่อเป็นคนตรงๆ ไม่ชอบปิดบังอะไร มีอะไรก็มักพูดออกมา ผมอ่านกิริยาของพ่อก็พอเดาออกว่าพ่อคงไม่คิดจะปกปิดแม่

“อย่าบอกเลยป๊า” ผมอดพูดไม่ได้ “บอกไปก็ไม่มีประโยชน์ ขนาดพวกเรารู้ยังกังวล ป๊าก็รู้ว่าแม่เป็นคนใจอ่อน ขี้กังวล ถ้าแม่ตรอมใจแล้วเสียสุขภาพจิตสู้ไม่รู้ดีกว่า”

“ถ้าคนไข้มีแนวโน้มจะคิดมากก็อาจจะไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้” หมอพูดเสริมขึ้น

หลังจากลังแลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดพ่อก็เห็นพ้องด้วยที่จะไม่บอกความจริงกับแม่ หมอคุยกับพ่อเรื่องการพาแม่มาตรวจเป็นระยะ และหลังจากนั้นพ่อก็ไปที่แผนกการเงิน ส่วนผมไปช่วยแม่เก็บข้าวของภายในห้อง เมื่อช่วยแม่เก็บข้าวของเรียบร้อยเป็นส่วนใหญ่แล้วผมจึงค่อยไปโรงเรียน

กว่าที่ผมจะออกจากโรงพยาบาลก็แปดโมงกว่า เมื่อไปถึงโรงเรียนก็เป็นคาบที่สองพอดี เพื่อนๆรุมถามถึงสาเหตุที่มาสายแต่ผมไม่ได้เล่าอะไร

ขณะที่เรียนในช่วงเช้า ผมคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย หวนนึกถึงภาพแม่ตอนที่ยังแข็งแรงและสดใสแล้วอดหดหู่ใจไม่ได้ มีคนที่ผมรักกี่คนแล้วนะที่ต้องพลักพรากจากผมไป ไอ้นัย ครูช่วย... แล้วยังมีบอยอีก... แล้วต่อไปล่ะ... ถึงแม้ไม่มีเรื่องโรคร้ายแต่ก็ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า การพลักพรากคงเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่งดังที่ครูช่วยพูด การป่วยของแม่ทำให้ผมเริ่มมองชีวิตจากอีกหลายๆด้านที่ผมไม่เคยมองมาก่อน จู่ๆผมก็รู้สึกกลัวอนาคตขึ้นมา...

เมื่อคิดถึงบอย ผมอดนึกถึงภาพวันเก่าๆไม่ได้ ผมเคยนั่งดูบอยกินขนมที่ผมซื้อให้อย่างเอร็ดอร่อยในโรงอาหาร คำพูดกวนๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส... ผมอยากย้อนกลับไปในวันเก่าๆที่แม่ยังแข็งแรง ผมอยากย้อนกลับไปในวันที่บอยยังสนิทสนมกับผมราวกับผมเป็นพี่ชายแท้ๆ... หรือว่ามากกว่าพี่ชาย...

วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกเหงาและอยากพบบอยมากเป็นพิเศษ พอถึงตอนเที่ยงผมจึงรีบเดินไปที่โรงอาหาร อยากจะแอบดูบอยให้หายคิดถึงสักหน่อย ผมเดินเลียบตามโต๊ะในโรงอาหารและพยายามมองหาแต่ก็ไม่พบบอย จนผมคิดว่าบอยคงออกจากโรงอาหารไปแล้วผมจึงเดินตรงไปที่ร้านอาหารเพื่อซื้ออาหารบ้าง

ขณะที่ผมละสายจากโต๊ะอาหารและมองไปข้างหน้า ทันใดนั้นเองผมก็ปะกับบอยเข้าอย่างจัง บอยกำลังเดินออกจากโรงอาหารกับเพื่อนๆ ผมชะงัก คิดจะส่งเสียงทักบอยแต่แล้วก็ไม่กล้าทักเพราะเห็นบอยกำลังอยู่กับเพื่อนๆ ส่วนบอยเองเมื่อเห็นผมก็ชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็เดินผ่านผมไปโดยไม่ทักทายผมแต่อย่างใด…

- - -

“เฮ้ย อู ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงพี่ธิตดังอยู่ที่ข้างหลังผมขณะที่ผมกำลังยืนเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีอยู่ที่ดาดฟ้าของหอพัก “นี่มันตีสองแล้วนะ”

“นอนไม่ค่อยหลับครับพี่” ผมตอบตามตรง

“หลายวันนี้พี่ไม่เห็นอูเลย ที่ห้องก็เงียบๆปิดไฟตลอด” พี่ธิตตั้งข้อสังเกต

“ผมไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลเสียหลายวันครับพี่ ไม่ได้อยู่ที่หอ” ผมเล่าสั้นๆ

“คุณแม่คงไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” พี่ธิตถาม

“ครับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้กลับบ้านไปแล้วครับ” ผมพยายามไม่เล่ารายละเอียด พี่ธิตเองก็ไม่ซักถามอะไรอีก “ผมดูหนังสือมึนๆเลยอยากมารับลมหน่อยน่ะครับ”

“เออๆ งั้นพี่ไปเข้าห้องน้ำแล้วนอนต่อละนะ อย่านอนดึกนักละอู” พี่ธิตพูดด้วยความเป็นห่วงจากนั้นก็ขอตัวจากไป

ผมหันกลับไปมองท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้ง จันทร์เสี้ยวยามข้างขึ้นส่องแสงนวลข่มแสงดาวที่อยู่ใกล้เคียงจนเกือบหมดสิ้น เหลือให้เห็นเพียงดาวฤกษ์ที่สุกสว่างบางดวงเท่านั้น สายลมเย็นโชยแผ่วพลิ้วกอปรเป็นบรรยากาศอันอ้างว้าง ห้องพักของแม่ที่โรงพยาบาลอยู่บนตึกสูงดังนั้นจึงเห็นทิวทัศน์ได้ไกลกว่าทิวทัศน์ที่ดูจากดาดฟ้าของหอพัก แต่เนื่องจากอยู่ในห้องปรับอากาศจึงไม่อาจซึมซับบรรยากาศในยามราตรีต้นฤดูหนาวได้ดีเท่ากับเมื่ออยู่ที่นี่

ผมอดนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันไม่ได้ บอยทำเป็นไม่รู้จักผมขณะที่เราเดินสวนกัน ภาพในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในห้วงคำนึงอีก ผมยังจำวันที่เดินหิ้วของพะรุงพะรังตามบอยต้อยๆที่สยามสแควร์ได้ ของที่ผมหิ้วเป็นของของมันทั้งนั้น

“นี่บอย” ผมเรียกมัน “นายคิดจะถือของบ้างมั้ยเนี่ย”

“ไม่คิดฮะ พี่อูหิ้วน่ะดีแล้ว” บอยสั่นหัว หัวเราะเสียงใสอย่างอารมณ์ดี “ว่าแต่จะพาบอยไปเที่ยวไหนล่ะ”

ยังมีวันที่เราเล่นเรือด้วยกันที่สวนลุม กินสุกี้เป็นครั้งแรกด้วยกันที่สยามสแควร์ มาวันนี้ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับบอยไปเสียแล้ว... ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากผมเรียนต่อ ม.๖ ที่นี่ เหตุการณ์ระหว่างผมกับบอยจะเป็นอย่างไรต่อไป...

คนเรานั้นมาพบกันเพียงเพื่อการพลัดพราก ถึงแม้จะมีวาสนาต่อกันเพียงใด สุดท้ายก็ยังต้องพรากจากกัน... คำพูดของครูช่วยนี้หมายถึงใครกัน หมายถึงแม่ หมายถึงบอย หรือว่าหมายถึงใครอื่น และหากผมจะกำหนดวาสนาของตนเอง ผมจะกำหนดชะตาชีวิตของผมกับวันเวลาที่ยังเหลืออยู่เพื่อใคร...

- - -

“ไอ้เฉา ใบสมัครสอบพรีเอนทรานซ์ของมึงขายไปหรือยัง” ผมถามเชาวน์ทันทีเมื่อพบหน้าวันในตอนเช้าของวันถัดมา

“มึงจะเอาเหรอ จะเอาไปทำไม” เชาวน์ถามด้วยความสงสัย

“ขอซื้อต่อโว้ย อยากลองไปสอบดู” ผมตอบ

“มึงไม่ได้สอบเอนทรานซ์แล้วจะซื้อไปทำซากอะไร” เชาวน์ถามอีก

“ม.๕ ลองสอบดูก็ไม่เห็นแปลก ก็อยากลองหาประสบการณ์ดูน่ะ” ผมรวบรัด ไม่อธิบายมากความ “จะขายไหมล่ะ”

ในที่สุดเชาวน์ก็ขายต่อใบสมัครสอบให้ผม ที่จริงใบสมัครนี้ไม่ได้มีมูลค่าอะไรนักหนา ราคาเพียงชุดละ ๕ บาทหรือ ๑๐ บาทเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าหากใครไม่สอบซื้อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนที่มีก็มีกันหมดแล้ว ดังนั้นเชาวน์เก็บเอาไว้หลายวันก็ยังไม่มีใครมาซื้อไป เพื่อนๆพากันแปลกใจกับการกระทำของผมแต่ผมก็ไม่อธิบายอะไร

หลังจากที่ผมได้ใบสมัครมา วันเสาร์นั้นเองผมก็ต้องไปสมัครสอบ การสมัครก็ไม่มีขั้นตอนอะไรมาก เพียงใช้รูปถ่ายกับใบสมัครและชำระค่าสมัครสอบก็เป็นอันเรียบร้อย ขั้นตอนต่อจากนี้ก็จะมีการประกาศที่สถานที่สอบและที่นังสอบ และเมื่อถึงวันสอบก็ไปสอบตามสถานที่ที่ระบุในประกาศ คล้ายคลึงกับการสอบเอนทรานซ์

- - -

หลังจากวันที่ผมได้พบกับบอยที่โรงอาหาร ผมก็พยายามกลับมาตั้งใจดูหนังสือเพื่อเตรียมสอบอีกครั้งหนึ่ง แต่มันก็ไม่ง่ายเลย ในระยะหลังที่จิตใจของผมว้าวุ่น ผมกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าๆเหมือนกับเมื่อตอนที่ชีวิตเสียศูนย์ไปหลังจากที่นัยไปต่างประเทศ ทำให้ผมเสียเวลาอ่านหนังสือไปมาก แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อผมเคยเอาชนะตนเองจนได้มาครั้งหนึ่งแล้ว ผมก็เชื่อว่าในครั้งนี้ผมก็จะทำได้อีก

ปัญหาเรื่องทำได้หรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง แต่ปัญหาเรื่องทำทันหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมอ่านหนังสือจนดึกทุกคืน แม้จะอ่านไม่รู้ก็ทนนั่งอ่านมันอยู่อย่างนั้น แม้ผมจะกลับมาตั้งใจอ่านหนังสือได้อีกครั้งหนึ่งแต่เวลาที่เสียไปผมไม่สามารถเรียกคืนมาได้อีก เวลาที่เหลืออยู่ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับการเตรียมตัว ดังนั้นผมจึงคิดใช้การสอบพรีเอนทรานซ์เป็นเครื่องช่วย ผมหวังว่าการสอบนี้จะให้แนวทางในการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์แก่ผมได้บ้าง

หากเวลากลับถอยหลัง
สักครั้งเราคงไม่พรากกัน
ไม่มีวันต้องแอบเจอกัน
เราคงเป็นของกันและกัน
แต่เวลาไม่ถอยหลัง
จึงพลั้งไปที่เราเจอกัน
จึงสายไปที่จะดึงดัน
ฉะนั้นฉันควรจะไป
ตัดใจและลืมฉันไปดีกว่า
กล่าวลาซึ่งกันและกัน
เธออยู่กับคนของเธอ
ฉันจะอยู่ของฉัน
จากกันด้วยความเข้าใจก็พอ
เช่นฉันต้องลืมรักเธอเช่นกัน
ผูกพันเหลือไว้แค่ฝัน
ยอมอดกดกลืนน้ำตาดีกว่าโหยหา
สิ่งที่เหมือนเราไม่ใช่เจ้าของ
จะแอบมอง เธอลืมเขาได้เมื่อไหร่
ก่อนใครโปรดนึกถึงฉัน
จะกลับมาเป็นของเธอไม่ห่างเหหัน
จะนานแสนนานเท่าไหร่
รู้ไว้ฉันจะคอย

เสียงเพลงความรู้สึกครั้งสุดท้ายจากอัลบั้มชุดเทวดาเดินดินของพี่แจ้ที่ผมซื้อมาเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ดังอยู่ในหูฟังของเครื่องเล่นวอล์กแมน คืนนี้ผมฟังเพลงนี้มาหลายครั้งแล้ว ผมเคยฟังเทปม้วนนี้และฟังเพลงนี้หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เคยคิดอะไร มาวันนี้เมื่อได้ฟังเพลงนี้อีกผมกลับรู้สึกกินใจเป็นพิเศษ แม้เพลงนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการรักคนที่มีเจ้าของแล้ว แต่เนื้อเพลงบางท่อนช่างตรงกับความรู้สึกของผมในตอนนี้เหลือเกิน ผมต่อสู้กับความเหงาและก้มหน้าอ่านหนังสือด้วยความพยายามอย่างเต็มที่...

ฟังเพลง ความรู้สึกครั้งสุดท้าย ของแจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ จากอัลบั้มชุด เทวดาเดินดิน

36 comments:

nai said...

ที่ 1 ครับ

little_tum said...

แอบมาอ่านก่อนนอน ขอเป็นที่ 2 (เพลงเพราะมากครับ)

Anonymous said...

เฮ้ยที่สาม เดี๋ยวมาต่อ
Federick

Anonymous said...

เพื่อนไม่เคย ไม่เคยทิ้งกัน ไม่ว่าความฝัน นั้นจะไกลสักเท่าไร ถ้าหกล้มซมซานเมื่อใด
เพื่อนจะปลอบใจ ไม่มีคนที่จะรู้ใจ ไม่มีใครรักและตามใจเหมือนเพื่อนเก่า จะทำไงตามใจแต่เรา เพื่อนเราเข้าใจ
จะมีกี่คน ที่จะเคยมีเพื่อนดี และให้เราทำตามความฝัน
จะมีกี่คน ที่เต็มใจจะร่วมทาง และเข้าใจในความสำคัญ ยิ่งทียิ่งผูกพัน เพื่อนเท่านั้นจะอยู่กันเรื่อยไปเพื่อนเป็นไงก็เป็นกัน กอดคอกันเอาไว้จนวันตาย

คิดถึงนายเสมอ

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วความดันขึ้นเลย เครียดแทน อาอูสู้ๆนะครับ
Federick
ป.ล.แฟนหายงอนเขาเถอะนะ ที่บอกว่าพิมพ์ผิดก็เพราะไม่อยากโกหก แต่แฟนลองคิดดูนะ ตัว "ฝ" กับ "ฟ" มันห่างกันมาก แต่เขาพิมพ์ผิดแสดงว่าจิตใต้สำนึกมันแล้วล่ะ คิดถึงนะครับ เรื่องเรียนก็สู้ๆนะ

Anonymous said...

ปรบมือเป็นกำลังใจให้อูนะครับ

naja said...

เอามจช่วยนะครับพี่

Fryderyk C. said...

^ ^

มาแล้วครับ อิิอิ ไม่ได้งอนครับ ช่วงนี้ม่ายค่อยได้เล่นเนตซํกเท่าไหร่คับ
ปวดหัวกับเปิดเทอมมากๆ ครับ

They are so many things that keep R'Uu in bad time, BF; Mom; and study, i hope R'Uu will be ok na kub,, ei ei

Life must Go on kub

-----------------
P.S. It very hard to type thai kub, no TH character shown on keyboard. My old dirty keyboard just died, then I brought a new keyboard.

Thai version keyboard cost around 2790 B?? So i choose Eng Version kub, just only 1790 B.

**Cost of Thai charactor is 1000 B hahaha, I can't stand kub. **

--------------------------------

Miss you na kub, BF (ei ei) and R'Uu, and every people on this lovely blog na kub.


FRYDERYK C.

Anonymous said...

มาจอง เป็น หนึ่งใน สิบก่อนครับ

กัน

Anonymous said...

ชีวิตมีแต่ต้องสู้ ล้มได้ แต่ต้องรุกขึ้นเป็น ถ้าล้มแล้วไม่รุก ก็เหมือนนอนตายไปแล้วครับ สู้ๆๆ นะครับ อาอูในวัยเด็ก ไม่ใช่สิ วัยรุ่นแล้วนะ
คิดถึง อาอู

กัน

PR said...

มาเอาใจช่วยอาอูอีกคน ...

ไม่ได้เข้ามาเป็นเดือน มาเข้าอีกที ...

เหงาหงอยเลย ...

ยังไงก็ขอบคุณอาอูด้วยนะครับ ที่ยังพิมพ์เรื่องราวต่อ ...

ผมจะเป็นกำลังใจเล็กให้อยู่นะครับ ...

...PR...

Anonymous said...

แฟน BF เนี่ยคือ ตัวย่อของ Boy Friend อ่ะเปล่า ถ้าใช่ก็ ปลื้มจนพูดอะไรไม่ออกแล้วอ่ะ เขิลลลลลลล วันนี้เราไปวัดทำบุญมา อนุโมทนาด้วยนะ เอาไว้นายว่างๆเดี๋ยวเขาพาไปทำบุญ จะได้เกิดมาเป็นแฟนกันอีกไง อิอิ
Federick

Anonymous said...

มารักอาอู ต่อแล้วครับ lovelove

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

)^_^(อรุณสวัสดิ์ครับ อยากจะแบ่งความทุกข์ของลุงมาบ้าง แต่ทำได้ภาวนาขอให้เป็นแค่นิยายอย่างที่ลุงบอก โรคมะเร็งนี่น่ากลัวสุดๆเลย เห้อไม่มีใครให้ลุงพูดคุย มันอึดอัดจังถ้าช่วงนี้มีน้องบอยอยู่คงดี ฟังเพลงแล้วเพราะดีครับความหมายโดนเกิน ช่วงนี้ดราม่าสุดๆเลยครับถ้าเรื่องแม่รู้ก่อนนี้ผมจะเชียรให้ลุงกลับไปเรียนที่บ้านแม่จะได้มีกำลังใจและลุงอาจได้เจอเพื่อนใหม่ดีดีก็ได้

Anonymous said...

อรุณสวัสดิ์หลานที่ ๑๔ ตื่นแต่เช้าเชียวนะ แสดงว่าเป็นเด็กขยัน เอ หรือจะรีบออกไปเที่ยวแต่เช้า แต่วันหยุดไปเที่ยวบ้างก็ดี

ขอบคุณสำหรับกำลังใจ นิยายครับ นิยาย แต่ถึงจะเป็นนิยายก็ตาม ความจริงอย่างหนึ่งก็คือชีวิตของทุกคนก็มีเรื่องให้ต้องฝ่าฟันกันทั้งนั้น

เรื่องแม่นี่จะบอกใครไม่ได้หรอก ต้องระวังมาก ญาติๆยังไม่ได้บอกเลย เนื่องจากความลับไ่ม่มีในโลก กลัวมันจะย้อนมาเข้าหูแม่ ก็คงรู้กันเฉพาะพ่อลูกกับหมอเท่านั้น

ไม่แน่ลุงอาจจะต้องกลับบ้านก็ได้ ใครที่ทายว่าอาสอบเข้ามหาลัยได้อาจจะผิด แล้วหลานว่าไงล่ะ อยากให้ลุงกลับบ้านใช่ไหม

อู

Anonymous said...

เพลงโดนมากเลย ฟังแล้วเหงาโคด

Fryderic C. said...

ได้เพื่อนดี ก็ดึครับ
ได้เพื่อนที่ไม่เหมาะสมกับเรา จะเอียนไปจนตาย



วันร้ายๆๆ ที่เพื่อนทำกับเรา มันไม่เคยที่จะลิมได้ลง

แปลกแต่จริงครับ ที่ว่า
เรื่องที่ไม่จำ กลับจำได้แม่นยำ เหมือนราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่วัน......

ป.ล. คิดถึงแฝดจัง

Anonymous said...

อ้าวสรุปว่าตอนนี้เราเป็นแฝดหรือเป็นแฟนกันเนี่ย งง แต่ก็คิดถึงเหมือนกันนะ เห็นพูดเรื่องเพื่อน มีความหลังอะไรฝังใจป่าวครับ
Federick

Choo said...

เพลงเพราะดีครับ เลยเอาเพลงร่วมสมัยปี 31 มาฝากอีกเพลงคือ "ให้มันแล้วไป" ของ อิทธิ พลางกูร ดังมากในยุคนั้น

http://www.youtube.com/watch?v=TbPUe2VSjEo

รวมถึงเพลง "ยินยอม" ของอัสนี-วสันต์

http://www.youtube.com/watch?v=cJ4e4U04nKw

เป็นเพลงดังอีกเพลง และน่าจะเข้าบรรยากาศของเรื่อง

นั่งเป็นกำลังใจให้อูตรงนี้แหละครับ

ส่วนคู่แฝดอภินิหารผมไปหาเพลง Love will keep us alive ของ Eagles มาฝากครับ

http://www.youtube.com/watch?v=jqTLlHkfSC4

Good week กันทุกคนครับ

ชู

Anonymous said...

ขอบคุณอาชูนะครับ แฝดครับอะไรที่รู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจในขณะนี้ ก็ขอให้ความรักช่วยรักษาเหมือนเพลงนะครับ
Federick

Anonymous said...

เม้นท์อะไรดีล่ะคะเนี่ย..
มาก้อสายกว่าใครเค้า T_T
แถมเรื่องเรื่องก้อเศร้าดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เอาเรื่องเพลงละกัน..อยากบอกว่า..
ตอนนี้ฟังเพลงจนอิ่มตื้อเลยค่ะ:)

คนลาดพร้าว

Frédéric François said...

เลวร้ายมากครับ ผมไม่เคยที่จะลืมเลย

เก็บไปฝันหลายรอบเลย ..



ป.ล. เป็นแฝดกันไงครับ ซึ่งเป็น แฟนกันด้วย

Anonymous said...

เผอิญว่าเราใช้ชื่อที่อ่านเหมือนกันไงครับ (แต่เขียนคนละแบบ) อาอูเลยเรียกว่าเป็นแฝดกัน ตอนนี้กำลังสานสัมพันธ์กันอยู่ครับ อิอิ
Federick
ป.ล.คิดถึงแฟน(แฝด)เหมือนกันนะ

Man in dark said...

อ่านเรื่องนี้ของคุณอูครั้งแรกเมื่อคืน เกือบตี 4 ที่น้ำตายังไหลไม่หยุด

จิตตกเลยครับ T^T

แต่ก็รู้สึกว่า...เรื่องร้ายๆจะผ่านไปได้เสมอ

สู้ๆครับ เป็นกำลังใจให้

ปล*คนลาดพร้าวแท้ๆ แต่เกิดไม่ทันรร.แถวปากทางลาดพร้าวเลยแฮะ - -*

boyaofza2 said...

หวัดดีครับ พี่อูบอยเข้ามาอ่านอยู่นะครับ
แต่ว่า user เดิมของผมอ่ะมันหายครับ พึ่งสมัครใหม่วันนี้
เอาเป็นว่าบอยแอบเข้ามาอ่านอยู่นะครับ

ทำไมชีวิตช่วงนี้มีแต่ปัญหาจังเลยอ่ะครับ
งัยก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ

ปล.บอยเด็กบ้านนอก

Fryderyk C. said...

รอตอน 70.....


อิอิ

Anonymous said...

ช่วงนี้ทำงานไม่ทันเลย คงต้องขอเวลาอีกสักสองสามวันสำหรับตอน 70 ครับ หวังว่าทุกคนคงสบายดีนะครับ

อู

Anonymous said...

ว่าจะมาทวง แต่เจ้าของกระทู้ออกตัวก่อน
ตั้งใจทำงานนนะคะ

Rose

PR_BLeaCH said...

รออาอู มาต่อ ...

ด้วยใจ คำนึงหา หา หา อา อา ...

Anonymous said...

ประกาศๆ

ณ ขณะนี้ หลานๆ และลุงๆ ทั้งหลายในกระทู้

จะทำการกระชับพื้นที่แล้ว

ขอให้อาอูยอมมอบตัว

และมาลงเรื่องเดี๋ยวนี้!!!!

หลานหนิง

ฺBomber Boy said...

ถึงไม่ได้เข้ามาเมนต์ในช่วงหลังๆ นี้ แต่หวังว่าพี่อูยังจำผมได้นะ

เอ่อ...คือ หายไปนานอ่ะครับเลยเข้ามาทวง

ทำงานหนักรักษาสุขภาพนะครับ เดี๋ยวผมไม่มีเรื่องให้อ่าน
(เป็นห่วงพี่อู หรือห่วงตัวเองวเนี่ย)

ฺBomber Boy

dodo said...

โดโด้ กลับมาแว้ว หลังจากวุ่นเรียนมาเกือบปี ช่วงนี้ว่างเลยแวะเข้ามาดู ตกใจ ตอนที่69ละ พอดีช่วงตอนทีอ่านล่าสุด ตอนที่ 20 อ่า เดียวย้อนกลับไปอ่านครับ

กลับมาแล้วนะครับ พี่ อู๋ ไม่รู้ว่ายังจำเด็กประเทศลาวคนนี้ได้ป่าว

Anonymous said...

เป็นกำลังใจให้อีกครั้งครับ

ติดตามตอนต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต

เอก

Anonymous said...

ต้องขอโทษด้วยครับ ช่วงนี้นอนไม่ค่อยพอ กลับถึงบ้านก็หลับไปเลย ยังเขียนไม่ไหว ช่วงนี้งานเข้าเยอะ ไม่ได้อู้ รอหน่อยนะครับ

จำโดโด้ได้ ยังคิดถึงโดโด้อยู่เหมือนกันว่าหายไปไหน ไปอยู่ไหนมาล่ะ ภาษาไทยดูเหมือนจะคล่องขึ้นมาก สำนวนภาษาเป็นคนไทยเลย

เด็กวางระเบิดก็หายไปนาน ดีใจที่เข้ามาทักครับ

ทักทายได้ไม่ถ้วนทั่วต้องโทษด้วย ตาจะปิดแล้วครับ

อู

Man In Dark said...

เป็นกำลังใจให้++นายอู++ครับผม

Anonymous said...

รอพี่อูเขียนตอน 70 อยู่นะคับ เข้ามาตกใจพี่อูหายไหนไม่เห็นเขียนมา