Thursday, May 27, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 65

บอยลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ตกลงที่จะคุยกับผม เราเดินย้อนกลับไปที่โรงอาหารของโรงเรียน เลือกมุมที่ลับตาคนที่สุด

“เดี๋ยวพื่ซื้อขนมมาให้นาย” ผมพูด

บอยส่ายหน้า

“ไม่ต้องฮะพี่อู เดี๋ยวบอยก็ไปแล้ว บอยจะรีบไป” ปกติบอยไม่เคยปฏิเสธเรื่องกินเลย บอยจะมีความสุขมากที่ได้ล้มทับผม คำตอบนี้เองที่ทำให้ผมได้คิดว่าบอยเปลี่ยนแปลงไปมาก... มากกว่าที่ผมรับรู้และเข้าใจได้เสียอีก

“งั้นก็กินน้ำหน่อยละกัน แค่กินน้ำหวานไม่เสียเวลาหรอก” ผมตัดบทจากนั้นรีบเดินไปซื้อน้ำหวานมา แล้วเราก็นั่งคุยกัน

“บอย มันเกิดอะไรกันขึ้น” ผมถามเข้าประเด็น ไม่อ้อมค้อม “ทำไมนายดู เอ้อ... เหินห่างเหลือเกิน... เหมือนกับว่านายรังเกียจพี่”

ไม่รู้ว่าผมพูดตรงเกินไปหรือเปล่า บอยถึงกับหน้าเปลี่ยนสีและนิ่งอึ้งไป

“เปล่านี่พี่อู” บอยอ้อมแอ้ม

“บอย... ถ้านี่จะเป็นการคุยกัน... ครั้งสุดท้ายของเรา” ผมพูดประโยคที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดออกไป “นายควรจะบอกพี่ตรงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ รู้ไหมว่าพี่เสียใจขนาดไหนที่นายทำกับพี่แบบนี้”

พูดจบผมเองก็ใจหายวูบ ความรู้สึกในส่วนลึกบอกผมว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะได้คุยกันจริงๆ

บอยก้มหน้านิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไร

“นายโดนล้อใช่ไหม” ผมรุกถามอีก “นายโดนล้อเรื่อง... เอ้อ... เรื่องที่นายสนิทกับพี่ใช่ไหม”

บอยยังก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ แต่อาการเช่นนี้ก็เท่ากับการยอมรับโดยดุษณี ผมรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ มันเป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด... บอยต้องได้รับความอับอายเหตุเพราะสนิทกับผม

“บอย นายพูดกับพี่หน่อยสิ” ผมพูดกับบอยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม บอยคงกำลังสับสนอยู่ในใจ ส่วนผมเองนั้นก็สับสน ความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามา ทั้งรู้สึกสงสารบอย ทั้งรู้สึกเจ็บปวดกับตนเอง และรู้สึกมืดมนกับอนาคตข้างหน้า…

“บอย พี่แคร์นายมากเลยนะ” ผมพูดต่อไปอีกเมื่อเห็นบอยยังไม่ยอมพูดอะไร “พี่รู้สึกว่าสนิทกับนายเป็นพิเศษ... สนิทกว่าเพื่อนๆของพี่เสียอีก และพี่ก็คิดว่านายคงคิดแบบเดียวกัน... ใช่ไหมบอย”

ผมพยายามเลือกใช้คำพูดด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด พร้อมกันนั้นความรู้สึกท้อแท้ก็เริ่มเข้ามาเกาะกุม ทำไมชีวิตแบบผมมันช่างลำบากเสียจริง แม้แต่ความรู้สึกในใจจะพูดออกมาตรงๆก็ไม่ได้ ต้องพยายามพูดอ้อมๆ

“พี่อู” ในที่สุดบอยก็เอ่ยปาก “บอยไม่ได้คิดอะไรกับพี่อูนะฮะ”

คำพูดของบอยทำให้ผมถึงกับอึ้งไป ผมคิดว่าในสภาวการณ์เช่นนี้บอยคงจะยอมบอกความในใจที่มีต่อผมเสียอีก

“บอย ที่ผ่านมานายสนิทกับพี่มาก แล้วพูดมาได้ยังไงว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่ พี่รู้ว่านายชอบพี่ แล้วทำไมยังไปคบกับ... เอ้อ... หรือว่าเพราะนายโดนล้อ” ผมโพล่งถามไปตรงๆ แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก

“บอยไม่ได้คิดอะไรกับพี่อูจริงๆ” บอยพูดอีก “เป็นผู้ชายด้วยกันแล้วจะ... ชอบกันแบบนั้นได้ยังไง... มันผิดนะพี่อู... บอยชอบส้มฮะ”

คำตอบของบอยทำให้ผมถึงกับหมดแรง บอยปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ผมสะกิดใจกับประโยคท้ายของบอย อยากจะถามมันไปว่ามันผิดตรงไหน แต่ก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว

“บอยต้องไปแล้วล่ะพี่อู” บอยมองซ้ายมองขวาแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

ผมยังอยากคุยกับบอยต่ออีกสักนิด เพราะรู้ดีว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่บอยจะมานั่งคุยกับผม... ด้วยความรู้สึกที่ยังมีเยื่อใยต่อกัน ต่อไปเมื่อเราพบหน้ากันเราคงพบกันด้วยความรู้สึกในแบบอื่น... แบบที่เหินห่างประดุจคนแปลกหน้าต่อกัน ผมอยากจะเหนี่ยวรั้งเวลาช่วงนี้เอาไว้ให้นานที่สุด... มันเหมือนกับความพยายามรักษาลมหายใจอึดสุดท้ายก่อนจะจมน้ำเอาไว้... แต่ขณะเดียวกันผมก็หมดแรงและท้อเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมาได้

และแล้ว... ในที่สุด ผมก็ยอมแพ้ ผมผ่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา และปล่อยให้ตนเองจมลง... ผมปล่อยให้หัวใจของผมจมลงในความพ่ายแพ้และความเจ็บปวด... ผมปล่อยให้บอยจากไป

“มันผิดตรงไหนหรือบอย” ผมพึมพำออกมา “มันผิดตรงไหน...”

- - -

การคุยกันในวันนั้นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับบอย รวมทั้งไม่เข้าใจว่าบอยคิดอะไรอยู่ คงมีที่กระจ่างขึ้นเพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือท่าทีของบอยที่มีต่อผม

คำพูดที่บอยพูดกับผมทำให้ผมคิดมาก หลังจากนั้นผมรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ท้อแท้กับชีวิตไปหมด บางครั้งก็อยากพยายามตื๊อบอยต่อไป แต่อีกใจหนึ่งก็บอกตนเองว่าผมเดินหน้าต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว อีกอย่าง หากผมพยายามตามตื๊อบอยต่อไปบอยก็อาจถูกล้อเลียนอีก สุดท้ายผมก็เลยอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร ความรู้สึกหดหู่กลับมาครอบงำชีวิตผมอีกครั้ง ผมเกลียดความรู้สึกนี้จริงๆ ไม่อยากอยู่กับมันเลย แต่ดูเหมือนว่ามันชอบที่จะอยู่กับผม

อันที่จริงที่ผมไม่ได้โทรไปหาบอยหรือว่าพยายามไปเจอบอยอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าผมเสียความมั่นใจในตัวเองไป คำพูดของบอยที่ว่ามันเป็นความผิดที่เราจะชอบกันมีอิทธิพลต่อความคิดของผมมาก มันทำให้ผมเริ่มทบทวนความคิดของตนเองเสียใหม่... หรือว่ามันจะผิดจริงๆ… หรือว่าตัวตนที่ผมเป็นอยู่นี้เป็นความผิดปกติที่สังคมไม่สามารถยอมรับได้? ความรู้สึกผิดทำให้ผมไม่กล้าติดต่อบอยอีกทั้งๆที่อีกใจหนึ่งก็ยังอยากคุยกับบอย

เมื่ออาการท้อแท้และคิดมากกลับมา ทำให้ผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง อ่านเท่าไรก็ไม่เข้าหัว มันเหมือนกับว่าผมกางหนังสือให้มันดูผมมากกว่าที่ผมจะดูมัน ในห้องเรียนก็นั่งเหม่อลอย มัวแต่คิดโน่นคิดนี่จนไม่มีสมาธิในการเรียน จนเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆสังเกตได้

“เอาไมเคิลแจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา เอาไมเคิลแจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา...” เสียงไอ้เชาวน์ครวญเพลงออกใหม่ของคาราบาวดังลั่นในช่วงเปลี่ยนคาบเรียนในวันหนึ่ง

“เฮ้ย อย่าเห่า หนวกหู” นนได้ทีเป็นต้องกัด

“หนวกหูอะไร มึงดูไอ้อูมันนั่งเฉย ตั้งใจฟังกูร้อง แสดงว่ากูร้องเพลงเพราะต่างหาก มึงอย่ามาอิจฉากูหน่อยเลย” เชาวน์คุยโตพร้อมเอากับผมมาอ้าง “เอาไมเคิลแจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา”

“มันนั่งเฉยเพราะมันยังไม่ได้เปิดสวิทช์ต่างหาก” นนตอบ พลางเอามือตบหลังผม “อะ เปิดสวิทช์ให้แล้วไอ้หุ่นยนต์อู”

“เฮ้ย มันเป็นหุ่นยนต์ไปตั้งแต่เมื่อไรวะ” เชาวน์หัวเราะ

“มึงก็ดูมันสิ ตั้งแต่เปิดเทอมมานั่งซึมเป็นสากกระเบือทั้งวัน สงสัยแบตเตอรี่คงจะอ่อน” ไอ้นนตอบ

- - -

“ฮัลโหล ผมขอสายบอยครับ” ผมพูดลงไปในโทรศัพท์ในคืนวันหนึ่ง หลังจากที่ทนกับความรู้สึกที่อ้างว้างและคิดถึงบอยไม่ไหว

“บอยหลับไปแล้วจ้ะหนู” เสียงผู้ที่รับสายตอบ

ผมหน้าชา รู้สึกอับอาย เมื่อถูกปฏิเสธทีไรผมจะหน้าชาทุกครั้ง บอยคงไม่อยากมีพี่ชายที่วิปริตผิดปกติแบบผมจึงไม่อยากคุยด้วย

มาจนถึงตอนนี้แล้วผมคงต้องยอมรับความจริงว่าอนาคตของผมและบอยมืดมนจนมองอะไรแทบไม่เห็นแล้ว แต่แม้จะรู้ว่าความจริงเป็นเช่นนั้นก็ยากที่ผมจะยอมรับได้

เมื่อผมกลับขึ้นไปที่ห้อง เพิ่งจะไขกุญแจและก้าวเข้าไปในห้อง อินเตอร์คอมประจำชั้นสี่ก็ส่งเสียงเรียก

“อู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์”

“คร้าบ ลงไปเดี๋ยวนี้” ผมตอบพลางรีบวิ่งลงไปด้วยความดีใจ คงเป็นบอยโทรมาแน่เลย ผมเริ่มคิดฟุ้งไปว่าบอยคงเริ่มเห็นใจอ่อนบ้างแล้วและอาจกำลังเปิดโอกาสให้ผมสานสัมพันธ์ต่อจึงโทรกลับมาหา

เมื่อวิ่งลงไปถึงข้างล่าง เห็นแป๋งนั่งหน้าหมองอยู่ที่โต๊ะ แป๋งดูซึมๆมานานเป็นเดือนแล้ว

“ฮัลโหล บอย” ผมรับสาย “โทรกลับมาเร็วจัง”

“อู นี่แม่เอง บอยเป็นใครกัน เพื่อนเหรอ” เสียงที่ตอบมาทำให้ผมแทบสะอึก แม่นั่นเอง

“เอ้อ หวัดดีแม่” ผมทักทายพลางอธิบายสั้นๆ “บอยเป็นเพื่อนอู เมื่อกี้โทรไปหามันแต่ยังไม่ได้คุยกัน เลยนึกว่าเป็นมันโทรกลับมา”

“อู แม่มีเรื่องจะบอก” แม่พูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “แม่จะผ่าตัดวันเสาร์นี้นะ”

“หา ทำไมปุบปับนักล่ะแม่” ผมใจหายวูบ ตอนปิดทเอมที่ผมกลับไปบ้านและรู้เรื่องเนื้องอกของแม่ เห็นว่าแม่ลังเล ผมยังคิดว่าคงอีกนานกว่าแม่จะยอมผ่าตัดเสียอีก นี่จู่ๆก็จะผ่าในอีกไม่กี่วันนี้เลย

“วันนี้แม่ไปหาหมอมาอีก หมอบอกทิ้งเอาไว้นานก็ยิ่งมีความเสี่ยง” แม่พูด น้ำเสียงของแม่อ่อย “หมอบอกว่าหากต้องการรักษาเรื่องผ่าคงเลี่ยงไม่พ้น ก็เลยคิดว่าไหนๆก็ไหนๆ ผ่าเร็วคงดีกว่าผ่าช้า หมอผ่าตัดคนที่ฝีมือดีมีคิวผ่าให้ได้วันเสาร์นี้ หากไม่นัดก็คงต้องรออีกหลายสัปดาห์ แม่ก็เลยตกลงผ่าเสาร์นี้ เดี๋ยวอูคุยกับป๊าหน่อยนะ ป๊ามีเรื่องจะคุยด้วย”

หลังจากนั้นแม่ก็ให้ผมคุยกับพ่อ พ่อได้สรุปให้ผมฟังว่าแม่จะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านสะพานควาย ซึ่งอาจต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ๓ ถึง ๗ วัน โดยเอ๊ดจะมาเยี่ยมแม่ได้เพียงสองสามวันหลังจากนั้นก็ต้องกลับไปเรียน ดังนั้นพ่อจึงสั่งให้ผมเตรียมตัวย้ายมานอนที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่ในเวลากลางคืนหลังจากที่แม่ผ่าตัดเสร็จจนกว่าจะกลับบ้านได้

“อูต้องรับผิดชอบดูแลแม่เป็นหลักนะ เอ๊ดต้องกลับไปเรียน ป๊าเองก็ต้องอยู่ดูแลกิจการด้วย ต้องไปๆมาๆ คงอยู่เฝ้าแม่ไม่ได้ตลอด” พ่อกำชับ

ฟังเพลง ทับหลัง



<พระนารายณ์ในเพลงหมายถึงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ หัวข้อที่หนึ่งที่พูดถึงกันมากในช่วงนั้นก็คือเรื่องทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ปราสาทพนมรุ้งซึ่งถูกโจรกรรมและลักลอบนำออกไปจากประเทศไทยมานานหลายสิบปีแล้วและถูกนำไปแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะนครชิคาโกของประเทศสหรัฐอเมริกา จนมีคนไทยไปพบเข้าและนำไปสู่การขอทับหลังดังกล่าวคืนกลับมาสู่สถานที่ดั้งเดิม แต่ทางสถาบันศิลปะไม่ยินยอม ประเด็นการขอคืนศิลปะวัตถุจึงบานปลายออกไปกลายเป็นกระแสชาตินิยมและการต่อต้านอเมริกา จนถึงขนาดห้ามฝรั่งอเมริกันเข้าไปเที่ยวชมปราสาทพนมรุ้งเพื่อประท้วง วงดนตรีคาราบาวก็ออกอัลบัม ทับหลัง อันเป็นอัลบัมชุดที่ ๙ ท่ามกลางกระแสทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ด้วยเช่นกัน และหลังจากถูกกระแสกดดันหลายๆด้าน สถาบันศิลปะนครชิคาโกก็ตัดสินใจยอมคืนทับหลังนารายบรรทมสินธุ์ให้แก่ไทยในที่สุด ซึ่งกำหนดการทำพิธีส่งมอบมีขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน พร้อมๆไปกับการวางตลาดอัลบัมใหม่ของวงคาราบาวในเวลาที่ใกล้เคียงกัน วงคาราบาวเป็นวงที่วัยรุ่นชื่นชอบกันมากในยุคนั้น และที่ขึ้นชื่อก็คือจัดคอนเสิร์ตทีไรเป็นต้องมีวัยรุ่นตีกันในงานแสดง>

19 comments:

nai said...

ที่ 1 ซักที

Anonymous said...

ที่2ก้อด้ายยย...!!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

น่าสงสารอูจัง ความรู้สึกเช่นนี้ผมเคยมีมาก่อนนะ นึกถึงแล้วเข้าใจความรู้สึกของอูว่าเป็นอย่างไร แต่พอมันผ่านไปความรู้สึกที่หวนคิดถึงวันเก่าๆ บางทีก็อยากที่จะย้อนเวลาไปหามันและแก้ไขกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นให้ดีกว่าเดิม
คนถูกปฏิเสธและหมดความหวังย่อมเสียใจเป็นธรรมดา แต่จะพบกับความสมหวังได้อีกเมื่อไรละอู
ments42

Anonymous said...

ที่ 4 ก้อยังดี
แหะแหะ วันนี้มาแปลก
มาโพสแต่เช้า
KTB

;boyp said...

ความสับสนย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอนสำหรับ บอย ในเรื่อง คนที่ปฏิเสธ ใช่ว่าจะไม่เสียใจ อาจจะเสียใจ ท้อใจ ท้อแท้เท่ากับคนที่ถูกปฏิเสธก็ได้นะ

แต่ความรักมันออกแบบไม่ได้ ให้กำลังใจทั้ง 2 คน ให้หาทางออกที่ดีที่สุด ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เราต่างก็รู้ดี เธอเองก็มีใคร
แหละฉันก็มีของฉัน
ฉันรู้ว่าผิด ถ้าคิดจะชอบกัน
แต่ยากเหลือเกินกับการจะห้ามใจ

เธออาจจะเหมือนไฟ ฉันเหมือนกับน้ำมัน
ทิ้งไว้ใกล้กันก็ติดไฟ
เผาผลาญทุกอย่าง เผาผลาญทั้งจิตใจ
ฉันคิดว่าเราอย่าใกล้กันเลย

ก่อนที่ใครสักคนจะคิดเลยเถิด
จะคิดให้มันมากกว่านี้ มันคงไม่ดีเท่าไหร่
ก่อนที่ใครสักคนจะเริ่มทำผิด
ฉันคิดว่าควรหยุด(จะ)ดีไหม
อย่าบ่อยเอาไว้ให้มันลุกลาม

เราต่างก็รักกัน ฉันนั้นต้องการเธอ
แหละรู้ว่าเธอต้องการฉัน
ฉันรู้ว่าผิด ที่คิดไปอย่างนั้น
และไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นเลย

ปล.ดูแลแม่ดีดีนะอู

PR said...

มาเป็นกำลังใจไห้ อาอู ด้วย...

ไม่มีอะไรจะอธิบาย (กำลังอิน อยู่กับเรื่องของอามากๆ )...

คิดถึงอาอู มากครับ ....

...หลานอาร์...

Anonymous said...

คิดถึงอาอูมากๆ เลยครับ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสอนชีวิตนะครับ
ผมเชื่อว่าเรื่องของอาอู จะช่วยให้คนหลายคน
ไม่หลงทางเวลามีปัญหาของชีวิต เพราะได้รับ
รุ็รับฟัง และคิดในขณะที่อ่าน

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อกหักอีกครั้ง ก็คงจะทำให้แกร่งขึ้นได้นะ อาอู

กัน

Anonymous said...

มาเขียนก่อน เดี๋ยวมาใหม่นะครับ
Federick

tangkwa said...

ได้ที่ 9 อิอิ
มาให้กำลังใจคุณอูค่ะ

Anonymous said...

พูดอะไรไม่ออก ได้แต่บอกว่า สู้ๆนะครับ อาอู
Federick

Anonymous said...

โฮๆๆๆๆ ฮือๆๆๆๆๆๆ

พี่อูอย่าเศร้ามากเรย

บอยคงถูกสังคมรุมเร้า

เครียด แระอีกหลายๆอย่าง

จนต้องปฏิเสธพี่ไปน่ะ

แต่พี่อูก้ต้องพยายามสร้างสรรค์

หาอะไรที่ร่าเริงทำเข้าไว้นะคับ

จะได้ไม่หดหู่ เศร้าหมอง

PS.1 ดูแลแม่ให้มากมาก เพราะครอบครัวเราไม่มีใครมาแทนได้นะคับ
2 คิดถุงนัยอ่ะ แต่ก้อยากให้ได้กับบอยนะ

ขอให้มีความสุข มีแต่สิ่งดีๆมาสู่ชีวิต แฟนคลับพี่อูทุกึคน และตัวพี่อูเองด้วยนะคับ

---(ทัคกี้)---

Anonymous said...

ช่วงนี่เรื่องเข้าเยอะจัง
แ่ต่เรื่องแม่สำคัญกว่าเรื่องรัก

หลังฝนตกฟ้าจะสดใส

ขอให้เป็นฟ้าหลังฝนไว

thom

นนท์ said...

เศร้ามากคับ สู้ๆนะคับอาอูT^T

Anonymous said...

)^_^(ที่15 อรุณสวัสดิ์ครับ ลุงอูเอาตอนแบบว่า... มาคั่นด่วนเล้ยย ตอนนี้จิดตกกันหมดแล้วอะครับ นี่แป๋งก็ไม่รู้เป็นไรอีกคนหนึ่ง สงสัยแป๋งจะกินแห้วเหมือนกัน ขอบคุนนะครับเด๋วนัดกับเพื่อนว่าจะไปทำบุญกันดีกว่า ไปไหมลุงวัดหัวลำโพงเขามีมูลนิธิรับบริจาคด้วยนะครับ

Choo said...

บทเรียนที่สองของอู ยังคงเต็มไปด้วยความหวังและความเหงา แต่ก็คงไม่เจ็บเท่าบทเรียนแรกนะครับ

และในบทเรียนเดียวกันอาจจะเป็นบทแรกของบอย ในการค้นหาตัวตน สถานะที่เหมาะสมในชีวิตต่อไป

เห็นใจทั้งสองฝ่าย เจ็บช้ำด้วยกันทั้งสองคน

ขอไว้อาลัยแด่ความรักที่ต้องขนานกันเพราะสังคมกำหนด

เป็นกำลังใจให้คุณแม่ของนายอูหายป่วยในที่สุดครับ

ชู

Choo said...

รู้สึกว่าช่วงเวลานั่นนอกจากเพลงทับหลัง ของคาราบาวจะดังมากแล้ว จะมีวงเฉลียงที่คุณนิติพงษ์ ห่อนาค เป็นสมาชิกจะลาออกจากวงในปีนั้น เพลงที่ดังมากตอนนั้นอีกเพลงคือ เพลงกล้วยไข่

เลยเอา "กล้วยไข่" ออกปี 2529 มาฝากอูแทนลูกสมหวัง

http://www.youtube.com/watch?v=4amPTh0hCTo

ชู

Anonymous said...

)^_^(

^
^
ชอบๆ ขอบพระคุณลุงชู ผมว่าเพลงนี้แอบทะลึ่งนะครับกล้วยอะไรจะมีกระดูกได้ไง เพลงมันคล้ายๆเพลงของพี่ปั๋งแนวๆนี่

Anonymous said...

จะกินกล้วยไข่ต่อไหวมั้ยคะอู?
หม่ำแห้วไปเยอะ..น่าจะจุกแอ๊กอยู่เลยนะนั่น!!
ช่วงนี้อูงานยุ่งเหรอคะ?

คนลาดพร้าว