Monday, May 17, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 63

“วันนี้นายไปเที่ยวกับใครน่ะ” ผมถามไม่อ้อมค้อม

“...”

“บอย พี่เห็นนายนะ นายไม่ได้ไปติวสักหน่อย”

“บอยไปกับส้มฮะ” บอยอ้อมแอ้ม

“ก็ไหนว่า...” คราวนี้ถึงทีผมอึ้งบ้าง ก็บอยเลิกติดต่อกับส้มไปแล้วนี่

“ส้มกลับมาคืนดีกับบอยแล้ว ไอ้รุ่นพี่คนนั้นแค่จีบส้มเล่นๆ...” บอยอธิบายไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“...” คราวนี้ถึงทีผมพูดไม่ออกบ้าง นึกไม่ถึงว่าเรื่องของส้มจะมีการพลิกล็อกได้อีก

“พี่อู” ได้ยินเสียงบอยเรียกผมเบาๆจากปลายสายด้านโน้น “คำถามที่พี่อูเคยถามบอย แล้วบอยคิดว่าบอยตอบไม่ดีขอตอบใหม่น่ะ...”

ผมหวนนึกถึงวันที่บอยกำลังเซ็งกับชีวิตและผมนั่งปลอบใจมันอยู่ในโรงอาหาร วันนั้นผมถามบอยว่าระหว่างคนที่บอยชอบแต่เป็นการชอบอยู่ข้างเดียว กับคนที่แอบชอบบอยและทำดีกับบอยอยู่เสมอ บอยจะเลือกใคร แล้วบอยตอบว่าขอเลือกคนที่บอยชอบ จากนั้นบอยก็ขอตอบใหม่แต่ยังไม่ทันได้ตอบ

“บอยอยากตอบใหม่ว่า...” บอยพูดต่อ “บอยอยากเลือกทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นแฟน... และเลือกอีกคนหนึ่งเป็นพี่... เอ้อ... เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของบอย บอยตอบแบบนี้เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าฮะ”

“พี่เป็นได้แค่นั้นเองหรือบอย...” ผมพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาราวกับกำลังรำพึงกับตนเอง

- - -

ดึกแล้ว

เสียงเปียโนในเพลง Variations on the Kanon by Johann Pachelbel จากชุด December ที่บอยให้ผมเป็นของขวัญชวนให้เหงาและเศร้าสร้อย ผมนั่งอยู่ในความมืดภายในห้องมานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ รู้สึกเหงา... เหงาอย่างสุดหัวใจ ถ้าหัวใจของผมเป็นอาหารของความเหงาป่านนี้คงโดนมันกัดกินไปจนแทบจะหมดอยู่แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกเหงาอย่างนี้มานานแล้วนับแต่ไอ้นัยจากไป...

ผมเคยคิดว่าบอยเป็นเด็กที่ใสซื่อ คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ความคิดของบอยนั้นอ่านง่ายเหมือนกับเปิดอ่านหนังสือ แต่มาในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าบอยเป็นคนที่ผมแทบไม่เข้าใจอะไรเลย ผมพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมบอยจึงคิดและทำแบบนี้แต่ก็คิดไม่ออก

บอย นายไปกินข้าวดูหนังกับพี่ทำไม
นายซื้อของขวัญให้พี่ทำไม
วันที่เราไปสวนลุมนายนอนหนุนไหล่พี่ทำไม
ตอนที่เราดูหนังกันนายซบหน้ากับหัวไหล่พี่ทำไม
ในวันที่พี่เหงานายเข้ามาในชีวิตของพี่ทำไม...
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของผมแต่มันล้วนไร้คำตอบ...

- - -

“ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมขอสายบอยครับ”

“บอยนอนไปแล้วจ้ะหนู”

“บอยยังไม่กลับมาเลย”

“บอยไม่อยู่บ้านจ้ะ”

หลังจากที่การสอบปลายภาคที่โรงเรียนเสร็จสิ้นลง ในสัปดาห์ถัดไปก็จะเป็นช่วงเวลาการสอบของ กศน. เทอมนี้ผมลงทะเบียนไป ๔ วิชา เนื้อหาที่ต้องสอบครอบคลุมตั้งแต่ ม.๔ ถึง ม.๖ รวมสามปี ซึ่งผมเตรียมตัวทันถึงเพียง ม.๖ เทอมหนึ่งหรือว่า ๕ ภาคเรียนเท่านั้น ส่วนเนื้อหาของ ม.๖ เทอมปลายยังไม่ได้อ่านเลย เดิมทีคิดเอาไว้ว่าหลังจากสอบที่โรงเรียนเสร็จแล้วมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยจะเอาวิชา ม.๖ เทอมปลายมาอ่านดูแบบได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น หรือไม่อย่างนั้นก็เอาเวลามาทวนเนื้อหาของ ๕ เทอมที่อ่านมาแล้ว

ที่ผมวางแผนไว้เช่นนี้ก็เพราะว่าในการสอบ กศน. นั้นมีทั้งคะแนนเก็บซึ่งเป็นคะแนนจากการพบกลุ่มและกิจกรรมอื่นๆ กับคะแนนสอบ อีกทั้งข้อสอบก็ไม่ยากนัก ซึ่งถ้าผมเตรียมตัวสอบมาดีพอ ความรู้เพียงแค่ ๕ ภาครวมกับคะแนนเก็บก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้สอบผ่านได้แล้ว ถึงไม่ดูเนื้อหาของ ม.๖ เทอมปลายเลยก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะแม้ว่าทำข้อสอบไม่ได้แต่หากกามั่วๆก็ยังมีโอกาสได้คะแนนอยู่ตามหลักของความน่าจะเป็น ดังนั้นก็จะเสียคะแนนไปเพียงส่วนเดียว แต่หากดูทันก็ดูเสียหน่อยถือเสียว่าเป็นของแถม นอกจากนี้ใบประกาศนียบัตรวิชาพิมพ์ดีดผมก็ได้มาแล้วด้วยความสามารถของตนเอง ไม่ต้องไปซื้อมาเหมือนไอ้เชาวน์

แต่หลังจากเหตุการณ์ที่ผมเห็นบอยโดยบังเอิญและได้คุยโทรศัพท์กับบอย หลังจากนั้นผมก็พยายามโทรไปหาบอยอีกหลายครั้งแต่ว่าไม่เคยได้คุยกับบอยเลย จนผมค่อนข้างแน่ใจว่าบอยพยายามเลี่ยงที่จะไม่รับสายของผม โรงเรียนก็ยังปิดเทอมอยู่ บ้านของบอยผมก็ไม่รู้จัก ดังนั้นผมจึงหมดทางที่จะคุยกับบอยได้

ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจทำให้ผมหมดกำลังใจที่จะอ่านหนังสือหรือว่าทำอะไรไปจนหมด คนเรามีการแสดงออกตอบสนองต่อความผิดหวังต่างๆกัน บางคนทำใจได้เร็ว บางคนทำใจได้ช้า บางคนเข้มแข็งสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่บางคนก็เสียหลักล้มลงไปเลย ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของคนคนนั้น สำหรับผมแล้วเป็นอย่างหลัง

โดยปกติชีวิตวัยรุ่นเป็นช่วงชีวิตที่อารมณ์ไม่คงตัวอยู่แล้ว ดีใจง่าย เสียใจง่าย รักง่าย หน่ายง่าย คาดหวังสูง ผิดหวังง่าย ฯลฯ เป็นลักษณะของวัยรุ่นโดยทั่วไป วัยรุ่นเป็นวัยที่ติดเพื่อน เพื่อนจะมีบทบาทและอิทธิพลสูงต่อชีวิตวัยรุ่น ส่วนวัยรุ่นบางคนก็จะเริ่มเรียนรู้ความรักระหว่างเพศในช่วงนี้ ทำให้เรียนรู้ทั้งรักระหว่างเพื่อนและรักระหว่างเพศไปด้วยกัน สำหรับผมนั้นชีวิตที่ผ่านมามีเพื่อนค่อนข้างน้อย อีกทั้งแทนที่จะพัฒนาความรักระหว่างเพศก็กลับกลายเป็นพัฒนาความรักของเพศเดียวกันไปเสียอีก ดังนั้นความคิดของผมจึงสับสนอยู่พอสมควร ประกอบกับประสบการณ์ในอดีตจึงทำให้ผมกลายเป็นคนที่อ่อนไหวต่อเรื่องของความรักเป็นอย่างมาก ผมพยายามหาคำตอบว่าชีวิตคืออะไร ความรักคืออะไรกันแน่ และชีวิตที่ผิดหวังจะก้าวต่อไปทางไหน แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร

ตลอดสัปดาห์ก่อนหน้าการสอบ กศน. ผมไม่ได้อ่านหนังสืออะไรเลย ที่จริงก็พยายามอ่านอยู่บ้างแต่ก็ไม่เข้าหัวเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดก็เลยเลิกอ่าน ใจหนึ่งคิดจะเลิกสอบเพราะอยากกลับบ้านไปหาพ่อ แม่ และเอ๊ดมาก เพราะว่าตอนนั้นสูญเสียความหมายในชีวิตไปอีกแล้วจึงไม่รู้ว่าจะสอบไปทำไม แต่อีกใจหนึ่งก็อดเสียดายความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดไม่ได้... ไม่ว่าความพยายามในการเรียน การสอบ และความพยายามที่จะได้ความรักจากใครสักคน ผมไม่อยากพ่ายแพ้ในลักษณะนี้ อีกประการก็คือหากผมกลับบ้านไปในตอนนี้ที่บ้านก็คงสังเกตออกว่าผมมีปัญหาอีก ไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ว่าผมกำลังมีปัญหาเลย

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะยังไม่กลับบ้าน และก็ไปสอบ กศน. แต่เป็นการสอบแบบขอไปที คือไม่ได้เตรียมตัวอะไรหลังจากนั้นอีกเลย กะว่าได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น และการสอบเป็นไปตามที่ได้รู้มาจริงๆ นั่นคือข้อสอบไม่ยากนัก แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่มั่นใจว่าจะสอบผ่านหรือไม่ แต่ถึงจะได้หรือตกก็คงไม่ต่างกันเพราะว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรต่อผมอีกต่อไปแล้ว

- - -

ช่วงเวลาปิดเทอมในตอนเป็นช่วงที่ผมเคว้งอย่างหนัก อยู่ในกรุงเทพฯก็ใช้ชีวิตแบบฆ่าเวลาไปวันๆ บางทีก็ไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดบ้าง แต่ไปแล้วก็ไม่ได้อ่านหนังสืออะไร ไปเดินห้างบ้าง บางทีก็ไปเดินเล่นที่สวนลุม ที่พอจะคลายเหงาและทำให้ชีวิตพอมีสีสันอยู่บ้างก็คือการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ได้แก่ หมู กรณ์ และสิทธิ์ ส่วนเรื่องการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์นั้นผมหยุดไปเลยเพราะพยายามแล้วแต่ว่าฝืนใจดูหนังสือสอบไม่ไหว

ผมคิดถึงบอยอยู่ตลอดเวลา พยายามโทรศัพท์หาบอยหลายครั้งแต่บอยไม่มีโอกาสได้คุยกับบอยเลย จนในที่สุดผมรู้สึกอายทางบ้านของบอยที่คอยรับโทรศัพท์แทนจึงไม่ได้โทรไปหาบอยอีก

ความหวังที่ความสัมพันธ์ระหว่างผมและบอยจะลงเอยกันได้ยิ่งนานก็ยิ่งเลือนราง เหมือนตะวันยามใกล้สิ้นแสง รอเวลาที่จะเข้าสู่ยามค่ำคืน แน่นอน ผมรู้ดีว่าในที่สุดก็จะถึงรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง แต่ผมไม่รู้ว่าวิกาลครั้งนี้จะยาวนานเพียงใด รวมทั้งไม่รู้ว่าจะผ่านเวลาอันมืดมิดไปจนกว่าจะถึงรุ่งเช้าได้อย่างไรอีกด้วย

ผมเคว้งหนักในกรุงเทพฯอยู่หลายวัน อยากกลับบ้านมากแต่ก็ไม่กล้ากลับ ผมกลัวที่จะต้องตอบคำถามของเอ๊ดว่าผมดูหนังสือไปได้ถึงไหนแล้ว ผมกลัวทางบ้านจะรู้ว่าในที่สุดครั้งนี้ผมก็คงล้มเหลวอีกเช่นเคย ความตั้งใจที่เคยบอกกับคนในบ้านในที่สุดแล้วก็กลายเป็นแค่คำคุยโตโอ้อวด พูดอะไรไป รับปากอะไรไป สุดท้ายก็ไม่เคยทำได้... ผมไม่รู้ว่าเมื่อกลับไปแล้วจะมองหน้าพ่อ แม่ และเอ๊ดได้อย่างไร

“อู รับโทรศัพท์” เสียงเรียกจากอินเตอร์คอมชั้น ๔ ดังขึ้นในคืนวันหนึ่ง มันเป็นเสียงของแป๋ง แต่น่าแปลกที่วันนี้แป๋งเรียกผมแตกต่างออกไปจากทุกครั้ง

“ลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมตะโกนตอบอินเตอร์คอม รู้สึกหัวใจแช่มชื่นขึ้นมาวูบหนึ่ง คนที่โทรมาอาจเป็นบอยก็ได้

เมื่อผมลงไปถึงข้างล่าง เห็นแป๋งนั่งอยู่ที่โต๊ะของพี่พร ผมไม่ได้เจอกับแป๋งมาพักใหญ่แล้ว เมื่อเห็นแป๋งในครั้งนี้ผมพบว่าแป๋งขรึมไปมาก สีหน้าของแป๋งไม่ยิ้มแย้มเหมือนเคย

“ฮัลโหล” ผมรับสายด้วยใจที่เต้นระทึก ขอให้เป็นบอยเถอะ

“อู ทำไมปิดเทอมแล้วไม่กลับบ้านเสียที” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากปลายสายด้านโน้น

“...”

“อู นี่แม่ถามได้ยินหรือเปล่า” เสียงแม่เรียกอีก วันนี้น้ำเสียงของแม่อ่อนโยน ไม่มีแววต่อว่าต่อขานเลยแม้แต่น้อย

ได้ยินแล้วแม่ แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะตอบยังไงดี

“อูอยู่ต่อเที่ยวกับเพื่อนหน่อยน่ะแม่” ผมตอบ ซึ่งมันก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเหมือนกัน “ช่วงนี้มีหนังน่าดูเข้าหลายเรื่อง”

“อยู่ต่อ?” แม่ทวนคำ “ต่อไปต่อมาพอดีเปิดเทอมไม่ต้องกลับบ้านกัน”

แม่หยุดไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ

“อูมาอยู่บ้านหน่อยนะ แม่คิดถึง”

“แม่... แม่มีอะไรหรือเปล่า” ผมชักเอะใจ น้ำเสียงและถ้อยคำที่แม่พูดน่าผิดสังเกต

“ก็...ไม่มีอะไรหรอก ปิดเทอมไม่เห็นอูกลับบ้านแม่ก็เลยถามดู” แม่ตอบด้วยน้ำเสียงที่กลับเป็นปกติจนผมจับเค้าอะไรไม่ได้อีก

หลังจากคุยกันในเรื่องทั่วไปกันอีกชั่วครู่สัญญาณเตือนใกล้ครบห้านาทีของเครื่องโทรศัพท์ก็ดังเตือนขึ้น

“ว่างๆก็กลับบ้านบ้างนะอู” แม่ทิ้งท้ายก่อนวางสายไป

ผมวางหูโทรศัพท์ลงอย่างงงๆ วันนี้น้ำเสียงและถ้อยทีการพูดของแม่ดูแปลกๆไปแต่ผมนึกสาเหตุอย่างไรก็นึกไม่ออก จะว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันอีกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าอย่างนั้นแม่จะพูดออกมาในเชิงบ่นมากกว่า

“มีอะไรหรือเปล่าอู” แป๋งทักทาย แป๋งคงได้ยินเสียงที่ผมคุยอยู่บ้าง

“แม่อยากให้กลับบ้านน่ะ” ผมตอบ

“เออ นั่นดิ ปิดเทอมแล้วทำไมนายไม่กลับบ้านล่ะ” แป๋งพลอยสงสัยไปด้วย

ผมมองดูแป๋ง สังเกตว่าไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ ก็เป็นเดือนอยู่เหมือนกัน แป๋งที่ปกติผอมอยู่แล้วยิ่งดูซูบลงไป เค้าหน้าเรียว แก้มตอบ และที่สำคัญคือแป๋งดูไม่ร่าเริงเหมือนเคย

“นายไม่สบายหรือเปล่าวะ ทำไมดูผอมลงไป จะเป็นไม้เสียบผีอยู่แล้ว” ผมเสเรื่อง

“ก็ไม่ได้เป็นไรหรอก” แป๋งตอบอย่างเนือยๆ

“ได้ยินว่าวุฒิย้ายออกไปแล้วเหรอ” ผมถามอีก

แป๋งพยักหน้าตอบแทนคำพูด

“แล้วยังติดต่อกันอยู่อีกไหม” ผมซัก

แป๋งส่ายหน้า

“นายเข้านอนได้แล้ว นอนไม่พอเดี๋ยวก็ไม่โตหรอก” แป๋งทำตลก

“เออๆ ไปแล้วๆ” ผมรับมุขของมัน รู้ว่าคงได้เวลายุติการสนทนาแล้ว

คืนนั้นผมนอนไม่หลับ ตีสองแล้วก็ยังขึ้นไปนั่งเล่นบนดาดฟ้า ท้องฟ้าในเดือนตุลาคมไร้ดาวเนื่องจากเมฆฝนที่ปกคลุมเหนือกรุงเทพฯ คงมีแต่แสงไฟจากถนนและตึกรามบางแห่ง สายลมแฝงกลิ่นไอฝนโชยมาปะทะหน้าของผมอย่างแผ่วเบา คืนฟ้าไร้ดาวนี้ช่างเงียบเหงาเสียจริงๆ

ผมนั่งอยู่บนดาดฟ้าเป็นเวลานาน ปล่อยหัวใจและความคิดให้ล่องลอยไป คิดถึงเรื่องบอย เรื่องการสอบ เรื่องที่บ้าน เรื่องเป้าหมายในชีวิต วนไปเวียนมา... สายลมพัดแรงขึ้น ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วจู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ความคิดของผมสับสนและแปรปรวนไม่ต่างจากท้องฟ้าในยามนี้เลย

ผมกลับลงมาที่ห้อง ฝนตกทำให้อากาศเย็นสบาย ผมผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะตื่นขึ้นมาก็สายแล้ว ฝนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เมื่อตื่นขึ้นมาผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและจัดเสื้อผ้าใส่เป้

ผมกำลังจะเดินทาง และจุดหมายปลายทางของผมก็คือ...

บ้าน!

20 comments:

Anonymous said...

ผมนั่งอยู่บนดาดฟ้าเป็นเวลานาน ปล่อยหัวใจและความคิดให้ล่องลอยไป คิดถึงเรื่องบอย เรื่องการสอบ เรื่องที่บ้าน เรื่องเป้าหมายในชีวิต วนไปเวียนมา... สายลมพัดแรงขึ้น ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วจู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ความคิดของผมสับสนและแปรปรวนไม่ต่างจากท้องฟ้าในยามนี้เลย


ลืมนัยซะแล้ว -_-

thom

Anonymous said...

ว้าวได้ที่สอง และอยากบอกอาอูว่า ต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้นะครับ ผมเองก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มาเหมือนกัน (แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงเท่าอาอูก็ตาม) สู้ๆนะครับ
ป.ล.ถึงแฝดน้อง วันแฝดพี่ไปฉีดวัคซีนสามเข็มสุดท้ายแล้ว เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ คาดว่าคงปวดน่าดู
Federick

Joe said...

กับการรอคอยที่ดูจะเลือนลาง แบกความหลัง แบกความทุกข์ไปวัน ๆ

เจ็บปวดลึก ๆ ในใจตั้งแต่วันนั้น ที่รู้ว่าเธอกลายเป็นอื่นไป

จากวันเป็นปีเฝ้ารอเธอคืนมา ปล่อยเวลาให้ทำร้ายทำลายใจ
แต่จากวันนี้จะไม่รอเธออีกต่อไป จะอยู่เพียงผู้เดียว

หัวใจ ว่างเปล่า ไม่มีเธอเหมือนเก่า ไม่มีเธออีกต่อไป

หัวใจว่างเปล่า เพราะรอจนเข้าใจ เธอคงไม่กลับมา (…คงไม่กลับมา)

บอกกับใจจะไม่จำ จะไม่ถามถึงอดีต สิ้นสุดเสียที
การรอคอย


....โจ...

PR said...

มาติดอันดับ ท๊อป ชาร์ต กะเขาบ้าง

หายไปหลายตอน พึ่งเข้ามา ยุ่ง ๆ ช่วงนี้ ...

ยังไงก็ มาเป็นกำลังใจให้อาอู ...(ยังไม่ได้อ่านหรอก ยังไงก็เป็นกำลังใจอาอู ให้ถึงที่สุด)

เดี๋ยวอ่านเสร็จจะมาเม้ล อีกรอบครับ ^^...

หลานอาร์

Anonymous said...

อ่านมานานแล้วแต่ไม่เคยเม้นเลย
เรื่องราวก้อเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ดูจากสภาพการสงสยจกินแห้ว
แต่ก้อลุ้นๆให้อาบอยชอบอาอูนะครับ

หลานเบนซ์

Choo said...

อีกมุมหนึ่งของเรื่อง
__________

“คำถามที่พี่อูเคยถามบอย แล้วบอยคิดว่าบอยตอบไม่ดีขอตอบใหม่น่ะ...” ผมพูดอย่างไม่มั่นใจนักว่าควรจะพูดหรือไม่

“บอยอยากตอบใหม่ว่า...” ผมพยายามพูดต่อ “บอยอยากเลือกทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นแฟน... และเลือกอีกคนหนึ่งเป็นพี่... เอ้อ... เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของบอย บอยตอบแบบนี้เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าฮะ” ผมรู้สึกโล่งเหมือนได้พูดในสิ่งที่คิดไว้อยู่นาน แต่อีกความรู้สึกหนึ่ง คำพูดนั้นมันกลับกรีดแทงหัวใจของตนเองอย่างเจ็บปวด

“........” ความเงียบปกคลุมบรรยากาศการสนทนาระหว่างผมกับพี่อู แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมานและอึดอัดใจเป็นที่สุด

“พี่เป็นได้แค่นั้นเองหรือบอย...” ผมได้ยินอย่างแผ่วเบา

“ ผมรักพี่อูนะครับ .............พี่ชาย ” ผมพยายามจะบอกพี่อู “ผมไม่ดีเอง ไม่คู่ควรกับพี่อูหรอกครับ” แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปากผม มีเพียงดวงตาที่เอ้อล้นด้วยน้ำตา เป็นน้ำตาของผู้พ่ายแพ้และสูญเสียที่เลือกเอง...........

- - -

Choo said...

ขอมานั่งแบ่งกินแห้ว(ลูกสมหวัง)เป็นเพื่อนอูในความเงียบ

มาเอาความเหงาเป็นเพื่อน

ไม่ขอปลอบใจ ไม่ขอพูดอะไร

ขอเพียงอูเข้มแข็ง แล้วก้าวต่อไป.....พบรักที่สมดุลในวันหน้า

Anonymous said...

มาต่อแถวรักอาอู

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

รีกเจ้าเอย
Rose

naja said...

ไม่อยากให้เรื่องของบอยมาเป็นอุปสรรคในการเอนทราซ์เลยครับ แล้วแม่ให้กับบ้านไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เอาใจช่วยนะครับ

Anonymous said...

เห้อออ น่าสงสารเด็กชายอู

นะครับอาชะอู

หลานหะหนิง

Anonymous said...

ปมจากเรื่องน้องบอยยังคลี่คลายไม่หมด มาผูกปมเรื่องคุณแม่อีกแล้ว มาต่อเร็วๆนะ

Frédéric Chopin said...

ผมทำใจเรื่องบอยได้แล้ว


ผมคิดถึงนัยมากกว่าครับ อา..


สวัสดี และ คิดถึงๆ ทุกๆ ท่านนะครับ
ช่วงนี้ อาอู ส่งต้นฉบับ ไวดีครับ สู้ๆ นะครับ เอาใจช่วยครับผม

เด็วนี้ มีอาผู้หญิง เข้ามาอ่านด้วย อิอิ


**********************************
ถึงแฝด .. ผมฉีดครบแล้วครับ เหลือ Toxoid อีกเข็ม 1 ประมาณ น่าจะอีก 2.5 เดือนครับ

ตอนฉีด Toxoid ปวดมากๆ เลย ตอนนี้ สามารถกัดหมากลับได้แล้ว รอเวลาที่จะไปล้างแค้นหมาตัวนั้น

อิอิ คิดถึงแฝดนะ ขอบคุณมากๆเลยนะครับแฝด ที่เป็นห่วง

จุ๊บๆ

**********************************

Anonymous said...

ความหวังยังมีอยู่เสมอๆ สู้ครับ

Anonymous said...

ถึงแฝดน้อง
จะบอกว่าแฝดพี่เข้าใจผิด ตอนแรกนึกว่าจะฉีด Toxoid ครบวันนี้ แต่ความจริงเข็มสุดท้ายคือประมาณเดือนพฤศจิกายน กลัวลืมจังเลย แฝดน้องอย่าลืมเตือนด้วยนะ เพราะดูท่าเราจะอยู่กับอาอูไปอีกนานเลย
ที่น่าแปลกก็คือ ฉีด Toxoid ผมปวดนึดเดียวแทบไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เห็นหลายคนปวดมากมายแทบตายเลยที่เดียว
ขอบคุณสำหรับจูบ แต่ตอนนี้อยากให้แฝดกอดมากกว่า เพราะช่วงนี้รู้สึกขาดความอบอุ่นยังไงไม่รู้

Federick

Anonymous said...

Anonymous said...
Anonymous said...
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารนัยและบอยจังครับ
อูได้แต่อาศัยคนอื่นให้ตัวเองเติบโตและมีทางให้เดินไป
ตอนแรกนึกว่าอูก้าวเดินแล้วนะ
แต่ปรากฏว่าก้าวไปหนึ่งถอยมาสอง
ทั้งๆที่รอบตัวอูมีแต่แบบอย่างที่น่าเอาเยี่ยงเป็นอย่างที่สุด
แปลกใจในความคิด...เริ่มรู้สึกว่าแบบอูนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา...และคิดแบบอูคงต้องเห็นโลงศพที่มีหลากหลายทั้งขนาดและสีสันของโลงศพคงได้เห็นมากมาย
แต่กัถิอได้ว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ที่ดีมากๆคนนึงเพราะผ่านมาในมุมความคิดหลายๆเรื่องแล้ว
หวังไว้ว่าอูคงจะเข้มแข็งได้นะครับ
สงสารบอและนัย...ที่เป็นตัวยึด
สงสารอูที่คิดถึงแต่ตัวเอง
รอดูกันนะครับว่าเมื่อไหร่กันนะที่อูจะเติบโตด้วยตนเองได้ซักที...
ขอบคุณผู้แต่นะครับ

""""""""""""""""""""""""
ที่โพสแบบนี้ไม่ได้เกลียดอูนะครับแต่อยากบอกว่าอูตอนที่ถูกลงโทษให้ทำคะแนนให้ได้ 2.5 นั้นเหมือนเป็นอูที่กำลังก้าวเดินไปได้แล้วโดยไม่มีเรื่องบอยมาเกี่ยวเป็นการตัดสินใจของอูเพื่อตัวเองและคนที่รักอูทั้งสิ้นถึงได้บอกว่าเริ่มก้าวเดินแล้วแต่พอกลับมาถึงความคิดอูตรงนี้กลายเป็นว่าอูเริ่มกลับมาติดลบโดยที่อูยึดบอยไว้เป็นทางที่จะทำให้อูมีความสุขมันเหมือนอูพยายามจะฝันโดยที่อูไม่ยอมตื่นน่ะครับคือถ้ามีบอยหรือนัยอูจะมีความสุขและพยายามในการเรียนโดยที่อูไม่ได้คิดจะเรียนเพื่อตัวเองและอูก็ทำร้ายคนที่รักอูไปด้วยผมถึงบอกว่าก้าวถอยหลังไปสองก้าว
ส่วนที่บอกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาคือผมเปรียบเทียบเหตุการณ์ต่างๆที่อูเล่าให้ฟังครับเพราะคนรอบตัวอูที่รักอูและอูก็เห็นไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือตี๋เพื่อนผู้ที่ไม่พร้อมในหลายๆเรื่องรวมไปถึงเวชหรืเชรษฐนะ(จำชื่อไม่ได้)ที่มีฐานะร่ำรวยจนทำให้อูได้เห็นนั้นมันเป็นสิ่งที่อูคิดได้แล้วและส่วนใหญ่คนที่คิดได้มักจะพยายามไม่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่ะครับก็เลยแปลกใจในมุมมองความคิดของอูที่มันหมุนวนกลับมาอีกครั้งดดยที่ทุกๆอย่างอูต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวน่ะครับเพราะคนที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาพอๆกับอูจะเข้มแข็งขึ้นและถ้าคิดได้จะไม่ยอมย้อนกลับไปหาความรู้สึกนั้นอีกครับ แต่เรื่องความรักมันว่ากันไม่ได้มันอ่อนไหว ถึงได้เปรียบโลงศพกับเหตุการณ์ต่างๆที่อูเจอมามีหลากหลายทั้งใหญ่และเล็กและเป็นเหตุการณ์ที่ดีสีขาวหรือสีอื่นๆซึ่งจะทำให้อูรู้สึกแค่นะตอนที่เหตุการณ์ผ่านมา ณ ขณะนั้นแค่นั้นเองครับ
แต่คนที่ผ่านทั้งร้ายและดีมักจะรู้สึกได้ด้วยตนเองน่ะครับ ผมถึงเอาใจช่วย เพระชีวิตมีแค่นี้ครับ ดิ้นรนไข่วคว้าไปจนแทบบ้า แต่สุดท้ายเราก็ต้องอยู่ด้วยตัวเราเองครับ ครอบครัวก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย อูมีครอบครัวที่พร้อมสำหรับอูแล้ว อยากให้หันกลับไปมองอย่ามองและทำร้ายตัวเอง
"คนที่ไม่รักตัวเอง ทำให้ตัวเองทุกข์ คงไม่สามารถรักคนอื่นได้ครับเพราะแม้แต่ตัวเองยังรักตัวเองไม่เป็นเลยครับ"คนเราเกิดมามีหน้าที่ทุกคน ค้นหามันให้เจอครับเพราะหน้าที่ของแต่ละคนไม่ได้อยู่ไกลเลย มันอยู่รอบๆตัวเองนี่แหล่ะครับ
อูครับเอาใจช่วยอูเสมอถึงได้บอกว่าสงสารทั้งอูนัยและบอยครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีทุกคน

ปล.ตอนนี้ยังไม่เม้นนะครับ

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ ตอนนี้ใกล้เป็นเจ้าของนาแห้วเต็มทีแล้ว บางคนก็สงสาร บางคนก็สมน้ำหน้า นิยายครับ นิยาย...

ชีวิตผมเป็นเหมือนไม้เถาครับ จะบอกว่าไม้เลื้อยเกรงจะน่าเกลียดไปหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าขี้เกียจมาก บอกว่าไม้เถาก็แล้วกัน ชีวิตต้องเกาะเกี่ยวอยู่กับคนอื่น บางช่วงก็หนักหน่อย คือเป็นปรสิตไปเลย สมัยเรียนเพื่อนๆจะเรียกคนที่กินแรงคนอื่นว่าปรสิต ก็คือกาฝากนั่นเอง ดังเช่นตอนเรียนมัธยม

ขอบคุณเวอร์ชันของพี่ชู ได้มุมมองต่างออกไป แต่ยังสงสัยว่าอาชะอูของหลานหนิงหนุ่มออฟฟิสจอมยุ่งนี่ใคร รู้จักแต่ชะอม ชะเอม ส่วนชะอูนี่ไม่รู้จัก ส่วนเรื่องฆาตกรนั้นเป็นธรรมดาอยู่เองที่ฆาตกรจะต้องไม่สารภาพ สารภาพก็ติดคุกสิ

ตอบต้อม ไม่ได้ลืมนัยหรอกครับ แต่ว่าชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าดีหรือร้าย บางเรื่องมันก็เลี่ยงไม่พ้นครับ บามผ่านหุบเขาเงามืดเงาดำก็ทอดทับเป็นธรรมดา

ดีใจที่หลานแฝดฉีดยาเกือบครบแล้ว แต่เรื่องกัดกะหมาล้างแค้นนี่คงไม่ต้องก็ได้มั้ง ดูจะดุเดือดไปหน่อย เดี๋ยวจะเจ็บตัวกลับมาอีก ตัวที่กัดนี่หมาจรจัดใช่ไหมหลาน ทุกเรื่องย่อมมีที่มาที่ไป หมาจรจัดชีวิตลำเค็ญอยู่แล้วครับ อดมื้อ กินมื้อ อากาศร้อนๆแค่หาน้ำกินก็ยังยาก เจ็บป่วยก็ไม่มีใครดูแลรักษาให้ หมาจรจัดที่กัดคนมักมามีสาเหตุมาจากเคยถูกคนทำร้ายมาก่อนเลยมีนิสัยระแวงคน ลองสังเกตหมาจรจัดในโรงอาหารดูสิ หมาพวกนี้จะมีนิสัยประจบคน เพราะว่าสภาพแวดล้อมมีส่วนช่วยกำหนดพฤติกรรมนี่เอง

คุยไปคุยมาทำไมวกมาเรื่องหมาเสียได้ก็ไม่รู้

หลานๆที่โรงเรียนยัีงไม่เปิดคงได้หยุดพักผ่อนกันอีกช่วงหนึ่ง แต่อย่านึกว่าได้หยุดฟรีๆ อีกหน่อยก็ต้องเรียนชดเชยให้ทัน หยุดนานก็ชดเชยกันหัวโต

อู

Choo said...

บทวิจารณ์ “นายอู” ตัวละครในเรื่องของคอมเมนต์ที่ 16 น่าสนใจดีครับ เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่หากนำมาไตร่ตรองประยุกต์ใช้ก็เป็นเรื่องดีไม่น้อย บางเรื่องเราสามารถเรียนรู้ทางอ้อมจากชีวิตจริงของผู้อื่น จากนิยาย หรือแม้แต่จากละคร เหมือนสุภาษิตที่มีคนกล่าวว่า

“ให้ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว” หากสิ่งที่นายอูวัยรุ่นคนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อนก้าวพลาดไว้ แล้ววัยรุ่นคนรุ่นใหม่ที่มีโอกาสได้อ่าน นำไปประยุกต์ในการใช้ชีวิตได้บ้าง โดยเฉพาะการดำเนินชีวิตในช่วงวัยรุ่นที่ดี ถูกต้อง เหมาะสมกว่านายอูในเรื่องนี้ ก็ถือว่าได้ว่านิยายเรื่องนี้พอเป็นมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน ซึ่งก็น่าจะเป็นจุดประสงค์หนึ่งของผู้เขียนเช่นกัน

เป็นกำลังใจให้อูผู้เขียน เขียนเรื่องดีๆ ให้พวกเราอ่านต่อไปครับ

ชู

Anonymous said...

พ่อแป๋ง(ของใครไม่รู้)เป็นอะไรไปล่ะพ่อ..
ท่าทางจะได้มานั่งปันแห้วจากอูไปหม่ำด้วยอีกคน
พูดถึงแห้วจริงๆแล้วทำอะไรก็อร่อย
แต่..ทำม๊ายใครช่างไปใส่ร้ายป้ายสีได้ลงคอ..
เวลาอกหักรักคุดผิดหวังถูกเปรียบว่า"กินแห้ว"
วานผู้รู้มาตอบหน่อยสิคะ..

นิยายของอูเปรียบเหมือนอาหารคาว
อ่านจบก็ตบด้วยของหวานคือคอมเม้นท์ต่อท้าย
สำหรับคอมเม้นท์ของตอนนี้เข้มข้นมาก..
ถูกใจวัยโจ๋(ระยะสุดท้าย)จริงๆค่ะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เห็นใจอู เพราะถึงยังไงก็แค่เด็กอายุ 17-18 ชีวิตก็มีหน่อมแน้ม โหยหา บ้าบอ ไปตามประสาวัยนี้ที่ทำอะไรแบบกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ มันเลยดูขาดๆเกินๆ จะว่าน่ารักและสมควรให้อภัยเพราะเป็นเด็กก็ไม่ใช่แล้ว จะว่าควรตำหนิเพราะโตแล้วยังไม่รู้จักคิดก็ไม่เชิง โดยเฉพาะเรื่องของความรักเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากไม่เจอกับตัวเองคงไม่มีใครเข้าใจ

ขอให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ด้วยดี ว่าแต่จะเข้ามหาลัยไหวเหรอเนี่ยแบบนี้