Saturday, May 22, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 64

ผมเดินทางกลับบ้านอย่างค่อนข้างกะทันหัน หลังจากที่คุยกับแม่เมื่อคืนแล้วทำให้รู้สึกแปลกๆ จู่ๆก็คิดถึงบ้านและคิดถึงแม่ขึ้นมา

ผมนั่งรถทัวร์มาลงในเมืองและหลังจากนั้นต่อรถโดยสารท้องถิ่น ระหว่างทางผมเหม่อมองทิวทัศน์ชนบทยามปลายฤดูฝนสองข้างทางตลอดเวลา ต้นนนทรีตามรายทางในยามนี้มีแต่ใบเขียวขจี ไร้ดอกเหลืองบานสะพรั่งเช่นในฤดูร้อน น่าแปลกที่ตอนอยู่ที่หอปกติก็ไม่ได้คิดถึงบ้านเท่าไรนัก บางครั้งยังรู้สึกว่าไม่อยากกลับบ้านด้วยซ้ำ แต่ยิ่งเดินทางเข้าใกล้บ้านเพียงใดความรู้สึกโหยหาถิ่นกำเนิดก็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น

หวนนึกถึงเมื่อก่อน เมื่อไรที่ต้องการกลับบ้าน พ่อจะเป็นคนขับรถมารับทุกครั้ง แต่พอตอนที่ผมอยู่ชั้น ม.๔ ผมก็เริ่มเดินทางไปและกลับบ้านเองเป็นครั้งแรก ตอนนั้นรู้สึกว่าตนเองเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กน้อยเหมือนเมื่อก่อนอีก และหลังจากนั้นมา ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน ผมมักรู้สึกว่าเส้นทางกลับบ้านของผมนั้นเปลี่ยนไป ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะภูมิประเทศและทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากความเจริญขยายเข้าสู่ชนบทที่ทำให้ผมรู้สึกเช่นนั้น หรือเป็นเพราะว่าผมเริ่มเติบโตขึ้นทำให้ความคิดและการมองโลกของผมเปลี่ยนแปลงไปกันแน่

หวนคิดถึงการกลับมาบ้านครั้งที่แล้ว หลังจากที่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายในชั้น ม.๔ ทำให้ผมได้คิดและพยายามตั้งใจเรียนหนังสือ...

คิดถึงเอ๊ดที่หวุดหวิดจะต้องฝืนใจสอบเอนทรานซ์ใหม่ตามคำขอร้องของพ่อเพียงเพื่อที่จะดูแลผมได้...

คิดถึงหนังสือชั้น ม.ปลายและหนังสือติวเอนทรานซ์กองโตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในหอพัก...

คิดถึงชีวิตที่ท้อแท้และเสียศูนย์ไปหลายปี... แต่ในที่สุดผมก็เอาชนะตนเองจนกลับมามุเรียนหนังสือได้อีกครั้งหนึ่ง

ถ้าผมยอมแพ้ในตอนนี้ ความพยายามทั้งหมดก็ต้องสูญเปล่า!

เมื่อผมไปถึงบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาหลังเที่ยงแล้ว ส่วนที่ทำการค้าก็มีคนทำงานอยู่ แต่ส่วนที่เป็นบ้านกลับเงียบสงัด

“พี่ครับ ป๊ากับแม่ไปไหนกันหมดเลย” ผมถามลูกน้องคนหนึ่งของพ่อที่อยู่หน้าร้าน

“เข้ากรุงเทพฯกันหมด น้องเอ๊ดก็ไปด้วย นี่อูจะมาไม่ได้บอกใครไว้ก่อนเหรอถึงได้ไม่รู้เรื่อง” ลูกน้องของพ่อตอบ

“ไม่ได้บอกไว้ครับ ผมนึกจะมาก็มาเลย” ผมตอบ

“พี่ยังนึกว่าไปเยี่ยมอูกันเสียอีก เพราะปิดเทอมนี้ไม่เห็นอูกลับบ้าน” ลูกน้องของพ่อซึ่งเป็นคนเก่าแก่ เห็นเอ๊ดกับผมมาตั้งแต่ยังเด็กพูดเสริมขึ้น

หลังจากนั้นผมโทรไปที่หอพัก เผื่อว่าพ่อกับแม่และเอ๊ดจะไปหาผมจริงๆ แต่พี่พรที่ดูแลหอพักรับสายและบอกว่าไม่มีใครแวะมาหาผม ผมจึงได้แต่รออยู่ที่บ้านคนเดียว รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้างเพราะว่าเมื่อคืนแม่คุยด้วยท่าทีแปลกๆ ซ้ำวันนี้ก็ยังเข้ากรุงเทพฯกันไปทั้งบ้านเสียอีก เมื่อคืนแม่น่าจะบอกผมว่าวันนี้จะเข้ากรุงเทพฯแต่กลับไม่ได้บอก

กว่าที่ทั้งสามคนจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเย็นแล้ว แต่ละคนสีหน้าดูไม่ดีนัก สงสัยว่าคงทะเลาะกันมาในรถ

“อู” แม่อุทานด้วยความดีใจเมื่อเห็นผม “มานานหรือยัง นึกว่าปิดเทอมนี้จะไม่มาเสียแล้ว”

“มานานแล้วละแม่ ตั้งแต่เที่ยงๆ แล้วป๊ากับแม่ไปไหนกันมาอะ” ผมอยากรู้

“อู วันนี้แม่ไปหาหมอมา” พ่อตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“หาหมอ” ผมใจหายวูบ รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล “แม่ไม่สบายเหรอ”

“ก็ก้อนที่คอนี่น่ะสิ... ที่แม่เคยเล่าให้ฟังน่ะ... มันโตขึ้นทุกวัน ก็เลยไปหาหมอ” แม่เล่า

“หมอนัดให้ไปดูเป็นระยะเพื่อสังเกตขนาดของก้อนเนื้อ วันนี้ก็ไปตามนัด” พ่อเสริมขึ้นมา

“แล้วหมอว่าไงบ้างแม่” ผมถามอย่างร้อนรน

แม่ถอนหายใจ “หมอบอกว่าน่าจะเป็นเนื้องอก”

“แล้วต้องรักษายังไง” ผมรีบถามต่อ รู้สึกใจหายวูบ

แม่อึ้งไป เอ๊ดเลยอธิบายต่อให้ “หมอแนะนำให้ผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกน่ะ”

“หา กินยาไม่ได้เหรอ” คำว่าผ่าตัดช่างดูน่ากลัวเหลือเกินในความคิดของผม ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยถูกผ่าตัดเลย รวมทั้งยังไม่คิดจะถูกผ่าตัดด้วย แม่ก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน

“แม่ก็ถามแบบนั้น หมอบอกว่ายาที่กินแล้วเนื้องอกยุบน่ะไม่มีหรอก ต้องผ่าตัดเอาออกอย่างเดียวเลย” เอ๊ดอธิบาย แม่ได้ยินแล้วถึงกับหน้าเสีย จนพ่อต้องสะกิดให้เอ๊ดหยุดพูด

“ไปๆๆ เข้าบ้านไปพักก่อน ขับรถมาเหนื่อยๆ มีอะไรเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง” พ่อตัดบท

จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกัน พ่อกับแม่หายเข้าไปหลังบ้าน ส่วนผมกับเอ๊ดขึ้นห้องนอน เมื่อไปถึงห้องนอนเอ๊ดจึงได้เล่าเพิ่มเติมให้ผมฟังว่าหมอติดตามขนาดของก้อนเนื้อมาหลายเดือน พบว่ามันโตขึ้น จึงคิดว่าน่าจะเป็นเนื้องอกและควรผ่าตัดเอาออก แต่แม่ยังลังเลเพราะกลัวการผ่าตัด จึงอยากรอเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงให้แน่ชัดอีกสักระยะหนึ่ง แต่พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่าแม่ประวิงเวลาเพราะว่ากลัวการผ่าตัด หากทิ้งไว้นานจะยิ่งเป็นผลเสีย ทั้งสองจึงถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดมาในรถตลอดทาง

“แล้วเนื้องอกนี่มัน...” ผมลังเลที่จะพูดออกมา “มันเนื้อดีหรือเนื้อร้าย ผ่าตัดแล้วจะหายขาดไหม”

“หมอบอกว่าหลังจากผ่าตัดแล้วก็จะเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ ถ้าเป็นเนื้องอกธรรมดาก็คงจบ แต่ถ้าเป็น เอ้อ มะเร็ง ก็คงยังไม่จบ” เอ๊ดพูด

“ไม่จบยังไง” ผมใจหายวาบเมื่อคิดในแง่ร้ายขึ้นมา

“ก็ยังไม่รู้ เรื่องนี้หมอยังไม่ได้คุยอะไรมาก คุยเรื่องการผ่าตัดมากกว่า” เอ๊ดตอบ

คุยกันได้ถึงตอนนี้แม่ก็เดินเข้ามาในห้อง พวกเรารีบหยุดคุย สีหน้าของแม่บ่งบอกแววไม่สบายใจซึ่งผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ คำว่าเนื้องอกกับผ่าตัดคงทำให้แม่กังวลใจไม่น้อยเลย

“แม่ แม่มีอะไรทำไมไม่เล่าให้อูฟังบ้าง” ผมอดต่อว่าแม่ไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าผมตกข่าวเรื่องสำคัญในบ้านไป “แล้วเมื่อวานแม่จะเข้ากรุงเทพฯทำไมไม่บอกอูสักคำ เผื่อว่าอูจะได้ติดรถกลับมาบ้านด้วย”

“ก็เมื่อวานแม่ได้ยินว่าอูยังไม่คิดกลับบ้านในช่วงนี้ แม่ก็เลยไม่ได้พูดอะไร” แม่อธิบาย “เห็นอูมัวยุ่งกับเรื่องดูหนังสือสอบ ไหนจะสอบเทียบ ไหนจะเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ แม่ก็ไม่อยากให้อูมีเรื่องกังวลใจ เลยไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง อยากให้อูมีสมาธิดูหนังสือให้เต็มที่”

ผมอึ้งกับคำตอบของแม่ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่สบายแต่แม่ก็ยังอดเป็นห่วงและคิดแทนผมไม่ได้ ดูท่าแม่คงห่วงผมยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก

“แม่รู้เรื่องนี้แล้วเหรอ” ผมพูดพลางหันไปมองเอ๊ด

“เอ๊ดบอกเองแหละ อยากให้แม่สบายใจว่าอูอยู่กรุงเทพฯคนเดียวได้และยังตั้งใจเรียนด้วย” เอ๊ดพูด “แต่ยังไม่ได้บอกป๋านะ”

ปิดเทอมในปีนั้นที่บ้านของเราเหมือนปกคลุมไปด้วยเมฆดำที่หนาทึบ ทุกคนมีแต่ความหนักใจ แม่เองดูซึมลงไปถนัด คงคิดหนักถึงเรื่องคำแนะนำของแพทย์ พ่อนั้นเห็นด้วยกับการผ่าตัด ส่วนเอ๊ดและผมเนื่องจากไม่ค่อยมีความรู้นักจึงไม่อาจให้ความเห็นอะไรได้

ผมกลับบ้านได้ไม่กี่วันแล้วก็กลับมายังกรุงเทพฯอีกเนื่องจากใกล้เปิดเทอมแล้ว การดูหนังสือเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ของผมในช่วงนี้ไม่คืบหน้าเอาเลย มีแต่เรื่องรบกวนจิตใจจนไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ การกลับบ้านในครั้งนี้ทำให้ผมยิ่งรู้สึกวุ่นวายใจหนักยิ่งขึ้น แม้ความสนใจของผมจะหันเหออกไปจากบอยได้ชั่วคราวทำให้คลายความทุกข์จากเรื่องของบอยได้บ้าง แต่มันไม่ใช่การคลายทุกข์เพราะเกิดความสบายใจ ตรงกันข้าม มันเป็นการคลายทุกข์เนื่องจากไปทุกข์ในอีกเรื่องหนึ่งแทน อาการป่วยของแม่ทำให้ผมกังวลใจไม่น้อย ได้แต่ปลอบใจตนเองว่าเรื่องคงจบลงแค่เป็นเนื้องอกธรรมดา

- - -

เดือนพฤศจิกายน

ในที่สุดภาคสองของปีการศึกษาก็เริ่มขึ้นหลังจากที่ปิดเทอมมาระยะหนึ่ง ผลการสอบของผมอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ได้เกรดสองปลายๆ แม้การเรียนจะเสียไปบ้างในช่วงปลายภาคแรกแต่คะแนนเก็บตลอดทั้งเทอมก็พอช่วยได้ เกรดที่ได้เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายของผมเสียด้วยซ้ำ นึกว่าจะแย่กว่านี้เสียอีก

เรื่องแรกที่ผมทำเมื่อไปถึงโรงเรียนในวันเปิดเรียนวันแรกก็คือ... ไปที่สหกรณ์

แม้ผมจะรู้ว่าช่วงหลังบอยไม่ค่อยได้ขึ้นมาทำงานที่สหกรณ์แล้ว แต่ผมก็อยากลองเสี่ยงมาดูเพราะหากเจอบอยที่นี่คงสะดวกในการพูดคุยมากกว่าไปหาบอยที่ห้องเรียน ปกติสหกรณ์จะเริ่มเปิดให้บริการเมื่อเปิดเทอมไปแล้วระยะหนึ่ง แต่ผมรู้ดีว่าจะต้องมีพวกขาประจำมานั่งสุมหัวกันอยู่

เมื่อผมไปถึงสหกรณ์ ประตูปิดอยู่ แต่ภายในมีเสียงคุยกันลอดออกมา ผมจึงเปิดประตูเข้าไป เห็นข้างในเป็นนักเรียนรุ่นน้องสามคนนั่งคุยกันอยู่ คนหนึ่งในนั้นคือไอ้ตัวแสบที่เคยจับบอยเอาเทปคาดปากและผมมีส่วนร่วมมือด้วยเมื่อตอนต้นเทอมที่แล้วนั่นเอง ในห้วงคำนึงผมเหมือนกับได้เห็นภาพบอยกำลังนอนดิ้นอยู่และถูกรุ่นพี่รุมแกล้งอยู่ในห้องสหกรณ์... เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน

“บอยมานี่บ้างหรือเปล่าน้อง” ผมถาม

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยขึ้นมาแล้วพี่” หนึ่งในสามคนตอบ

ผมปิดประตูกลับไปอย่างเก่า คำตอบของรุ่นน้องไม่ได้ผิดความคาดหมายของผมแต่อย่างใด ขณะกำลังยืนลังเลอยู่ที่หน้าห้องสหกรณ์ว่าจะหาทางคุยกับบอยอย่างไรดีนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงคนในห้องคุยดังลอดช่องระบายอากาศที่อยู่เหนือประตูออกมา

“ไอ้พี่นี่มันมาหาไอ้ตุ๊ดหน้าหม้ออีกแล้วโว้ย ฮ่ะฮ่ะ”

ผมรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว จากนั้นก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว คำพูดที่ลอยลมมานั้นเสียดแทงใจผมยิ่งนัก ผมพยายามยืนฟังต่อแต่หลังจากนั้นก็เป็นเสียงที่คุยกันอย่างแผ่วเบาจนผมจับความไม่ได้

เมื่อได้ยินไม่ถนัด ผมจึงเดินจากห้องสหกรณ์มา เดินไปเรื่อยๆตามทางระเบียงอันยาวเหยียดจนมาถึงบันได ผมนั่งแอบอยู่ที่ม้านั่งยาวที่ระเบียงใกล้ช่องบันไดทางลงจากตึก จากนั้นก็นั่งรอและสังเกตนักเรียนที่เดินลงบันไดไป...

ผมรออยู่นานพอสมควร จนใกล้ได้เวลาเคารพธงชาติ จึงเห็นเป้าหมายที่ผมต้องการ ผมเดินตามมันลงบันไดไป และเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ในจังหวะที่มันเดินอยู่คนเดียว ผมก็เดินเข้าไปประกบทันที

“เฮ้ย น้อง มาทางนี้หน่อย พี่ขอคุยด้วย” ผมพูดเสียงห้วนกับมัน มันที่ว่านี้ก็คือไอ้ตัวแสบ ม.๔ ที่เคยจับบอยเอาเทปคาดปากนั่นเอง

“อะไรเหรอพี่” ไอ้ตัวแสบทำหน้าเหรอหรา แต่ก็เดินตามผมไปโดยดี

เราเดินไปจนถึงมุมที่ค่อนข้างลับตาและห่างจากกลุ่มผู้คนพอสมควร ผมก็ถามมันทันที

“เอ็งเรียกไอ้บอยว่าอะไรวะ” ผมถาม

“ไอ้บอย เอ้อ...” มันทวนคำอย่างอึกอัก “ก็เรียกไอ้บอยน่ะสิพี่”

“พี่ได้ยินเอ็งเรียกอย่างอื่นด้วยนี่” ผมคาดคั้นมัน “พูดมา”

ไอ้ตัวแสบหน้าเจื่อน

“พี่อูได้ยินเหรอ ก็เรียกกันเล่นๆน่ะพี่ แหะแหะ”

“พวกเอ็งเรียกไอ้บอยว่าอะไร” ผมถามย้ำอีก

“เรียกว่า...” ไอ้ตัวแสบหลบสายตาผม “ไอ้ตุ๊ดหน้าหม้อครับ”

ผมรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ความโกรธพลุ่งขึ้นมาในอารมณ์

“ทำไมมึงเรียกมันยังงั้นวะ” ความโกรธทำให้ผมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกมันไป

“...”

“เฮ้ย กูถามมึงอยู่” ผมตะคอกมัน

“ก็...” ไอ้ตัวแสบอึกอัก ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “เดิมเราล้อมันเป็นไอ้ตุ๊ด แล้วมันก็ไปจีบผู้หญิง พวกเราก็เลยเปลี่ยนฉายาให้มันใหม่เป็น... เอ่อ... เป็นอย่างนั้นแหละพี่”

ไอ้ตัวแสบเดินหนีไปแล้ว เหลือแต่ผมที่ยืนงงอยู่ที่เดิม นักเรียนเดินผ่านขวักไขว่ไปมาเพื่อไปเข้าแถวเคารพธงชาติแต่ผมกลับรู้สึกเวิ้งว้างราวกับที่นี่เป็นโรงเรียนร้าง...

จู่ๆผมก็นึกถึงพี่เต้ขึ้นมา จากคำบอกเล่าของไอ้ตัวแสบทำให้ผมได้เค้าลางอะไรมาบางอย่างแล้ว เรื่องของบอยอาจเป็นกุญแจไขไปสู่คำตอบของปริศนาเรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของพี่เต้ในครั้งนั้นก็เป็นได้ หรือในทางกลับกัน เรื่องของพี่เต้ก็คงเป็นกุญแจไขปริศนาเรื่องการหลบกน้าของบอยได้เช่นเดียวกัน

- - -

คำบอกเล่าของไอ้รุ่นน้องตัวแสบรบกวนจิตใจผมอย่างมาก รู้สึกเสียใจที่บอยต้องมาโดนอะไรแบบนี้ ผมอยากจะคุยกับบอยเหลือเกินแต่ก็ไม่กล้าไปหาบอยที่ห้องเรียน ตลอดทั้งวันผมเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย คอยแต่เร่งเวลาเพื่อจะให้เลิกเรียนไวๆ

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ผมไปดักซุ่มแถวๆหน้าตึกที่บอยเรียน ผมรู้ว่าช่วงเปิดเทอมใหม่ๆคอร์สกวดวิชามักยังไม่เริ่มกัน ดังนั้นหากบอยไม่ไปไหนกับเพื่อนๆก็น่าจะกลับบ้านหรือไม่ก็ไปหา...

สักครู่ก็เห็นบอยเดินลงจากตึกมากับเพื่อนๆ ผมเดินตามไปเรื่อยๆ เพื่อนๆในกลุ่มของบอยทยอยกันแยกย้ายไป จนเมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน เพื่อนๆของบอยก็แยกย้ายกันไปจนหมด เหลือแต่บอยเดินอยู่คนเดียวที่ริมถนน แม้รอบข้างจะมีนักเรียนโรงเรียนเดียวกันเดินอยู่แต่ก็เป็นลักษณะของต่างคนต่างเดิน

“บอย” ผมเดินปราดเข้าไปทักบอย บอยสะดุ้งเล็กน้อย

“พี่อู” บอยอุทาน

“บอย ไปหาที่คุยกับพี่หน่อยเถอะ” ผมพูดกับบอยด้วยเสียงที่อ่อนโยน ผมไม่ได้นึกโกรธเคืองบอยเลยที่พยายามหลบเลี่ยงผมมาโดยตลอด ตรงกันข้าม กลับรู้สึกเห็นใจบอยด้วยซ้ำไป

“บอยจะรีบไปฮะพี่อู” บอยอึกอัก มองซ้ายมองขวา

กิริยาของบอยทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับถูกตบหน้าไปฉาดใหญ่ ทำไมนะ การที่เราคุยกันมันน่าอับอายนักหรือไง

“บอย พี่เพิ่งรู้ว่านายเจออะไรมา ขอพี่คุยกับนายสักครั้งเถอะ จะได้เข้าใจกัน และถ้านายอยากให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะคุยกัน... มันก็จะเป็นครั้งสุดท้าย” ผมหลุดปากออกไป “แล้วพี่จะไม่มากวนนายอีก”

20 comments:

naja said...

สงสัยบอยโดนเพื่อนรู้ว่าเป็นตุ๊ด เลยพยามฉีกออกไปมีแฟนผู้หญิง เพื่อลบข้อครหา

เฮ้อ! เป็นแพทเทิร์นเลยอ่ะ ที่ต้องควงหญิงบังหน้า แ่สุดท้ายแล้วก้อคงหนีตัวเองไม่พ้น

เอาใจช่วยพี่อูนะครับ ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะเรื่องบอย แล้วนี่แม่มาป่วยอีก สู้ๆ ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะครัย

Anonymous said...

ที่ 2 อ่ะ เดี๋ยวมาเม้นต์ต่อนะครับ ขอไปอ่านก่อน
Federick

Anonymous said...

ผมรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีที่ไม่ได้เจอการถูกล้อเลียน ทั้งที่จริงๆแล้วผมก็จุดที่ให้ล้อได้ตั้งหลายอย่าง ทุกคนต่างต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากด้วยกันทั้งนั้น สู้ๆนะครับ อาอู
ป.ล.คิดถึงแฝดน้อง ขอกอดหน่อยนะ อิอิอิ
Federick

Anonymous said...

อูมีเรื่องให้ลุ้นตลอดเลยนะเนี่ย..
เห็นใจอูและบอยจังเลยค่ะ
ป่านนี้ทุกอย่างคงชัดเจนแล้ว..
เอาใจช่วยเจ้าของนา(แห้ว?)นะคะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

มาติดตามอ่าน ครับ
ขอบคุณครับ

กัน

Anonymous said...

ตุ๊ดเศร้า...

แบงค์ครับ

Anonymous said...

มารักอาอูแล้วครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

สวัสดีคับ ทัค คับ
เพิ่งจะอ่านจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
เหนื่อยมาก แต่ก้สุข เศร้า เคล้า น้ำตา
ร้องไห้เป็นเผาเป็ดเผาห่านไปหมด

แต่ปีสามเนี่ย กดดันจัง อ่านแร้วเครียด
เห็นใจ คุนอูจังเรย
อย่าเหงามากนะคับ
เพราะรุสึกว่าชอบรุกคืบมากเกินไป
แร้วก้เริ่มแสดงมากอ่ะ
ถ้าเป็นทัคนะจะดุแลน้องบอยให้เนียนๆ
จนน้องบอยต้องสมยอมเองแน่เรย 5555


ติดตามผลงาน (หรือประวัติพี่อูก้ไม่รุนะ คริๆๆๆๆ)
มาตลอด จนเพ้อเป็นพักๆ

รู้สึกว่าน้องบอยจะชอบพี่อูนะ แต่อาจจะกลัวสังคมหรือเพื่อนล้อเลียนก้ได้ หรือไม่ก้แค่ต้องการพี่ชายที่มาดูแลเหมือนกับ นัย ก้เป้นได้


วันนี้ขอเม้นแค่นี้นะครับ แร้วไว้ค่อยมาต่อ

ปล.คิดถึง ชัช กับ นัย คนที่เคยรักคุนอูมากๆขนาดนั้นป่านนี้เป็นยังไงบ้างแร้วนะ

รอตอนต่อไปอยู่นะคับ ปกติ ออกกี่ตอนต่อเดือนอ่ะคับ จะได้ตามมาอ่านถูก แหะๆๆๆๆๆ

Anonymous said...

อยากได้mp3 ของ
a lover's concerto - kelly chen
my luv is like a red red rose - eddi reader

อยากได้สองเพลงนี้มากเลยครับพี่ อู หาโหลดไม่ได้สักที ฟังแล้วก้รู้สึก ประทับใจ ทำให้คิดถึงพี่อูกับคุน นัยมากๆ ทุกวันนี้ฟังผ่านยูทูป มันไม่สะดวกอ่าคับ อยากได้เป็น mp3 มาใส่ใน walk man

จาก ทัค คับผม

Anonymous said...

ชีวิตยังต้องดิ้นรนกันต่อไป สู้ครับ

tangkwa said...

มาที่ ๑๑ หนึ่งสองตัวก็ยังดี

สงสัยน้องบอยจะยังไม่รู้ใจตัวเอง ยังแคร์สังคมอยู่ น่าเห็นใจผู้หญิงนะ

ทักทายน้าอูคะ

Anonymous said...

)^_^(ที่ 12 ได้กลับบ้านแล้ว แต่ได้หยุดต่ออีก7วันเปิด31นู้น ผมได้อยู่ห้องไบยังไม่คิงเต็มตัวเอิ้กๆ แต่อาจจะคิงก็ได้มั้งไม่รู้ไม่เคยนี่ครับลุง555+ อ่านตอนนี้แล้วขอให้เป็นแค่นิยายนะครับ เรื่องแม่นี่ผมรู้สึกเศร้าใจแมากมายครับ มีการถามกันว่าถ้ามีคนป่วยที่คุณไม่ชอบมาให้รักษาคุณจะไม่ทำได้ไหม ม่าบอกว่าถ้าเราอยู่ในงานก็จะต้องทำ เพราะแพทย์มีจริยธรรม และหากอยู่นอกงานละก็จะรักษาเหมือนกันนะเพราะถ้าไม่ช่วยเราอาจไม่ผิด แต่เราจะมีความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเหมือนฆ่าเขาตายเลยทีเดียว เขาจะผิดอะไรก็ต้องขึ้นศาลไปตามนั้น แล้วผมถามว่าถ้าคนนั้นเป็นคนทำร้ายคนในครอบครัวเราแล้วจะทำยังไง แล้วเป็นลุงอูจะทำยังไงครับ หิวแล้วไปกินก่อนนะครับ

Фрыдэрык Шапэн said...

เนี้อเรื่องช่วงนี้ เข้มข้น น่าติดตามมากๆ เลยครับ
อยาก อ่านเรื่องของอาอูมากๆ เลยครับ

อยากหยุดเวลาไว้ ไม่อยากเปิดเทอมเลย T T

รออ่านตอนต่อไปนะครับ

อยากรู้จริงๆ เลยว่า ปริศนาของ ไอ้บอย จะเป็นอย่างไรครับ **สู้ๆนะครับ

ป.ล. แฝด มากอดกันเร็วๆๆ ฮิฮิ

Anonymous said...

ภาคสามนี่เผลอเดี๋ยวเดียวเขียน (พิมพ์) มาจะครบหนึ่งปีแล้ว ใกล้จบแล้วนะครับ เหลืออีกไม่มาก พี่ชูทายเอาไว้ว่าผมจะต้องกลับไปจบ ม.๖ ที่ต่างจังหวัด ส่วนพี่สาวลาดพร้าวที่ทายว่าผมต้องไปซื้อที่ดินลงหลักปักฐานอยู่ จ.เลย อีกไม่นานคงรู้ว่าทายถูกไหม

ทัคเขียนอีเมลอาหาหน่อยนะครับ แล้วจะส่ง mp3 ไปให้ทางอีเมล แต่ขอเวลาหน่อยนะครับ ปกติโพสต์ไม่แน่นอนครับ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นว่างมากหรือว่างน้อย

หลานที่ ๑๒ มีห้องคิง ห้องไบ แล้วมีห้องแต๋วไหม ปัญหาที่หลานถามมานั้นลุงคิดว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บุคคล และเวลาครับ คงไม่มีคำตอบอะไรที่แน่นอนตายตัว และใช้เป็นสูตรสำเร็จในทุกๆครั้ง

สมมติว่าถ้าไปเกิดเหตุการณ์ใน ร.พ. เอกชน แล้วเป็นโรคไม่ร้ายแรง ถามว่าคนไข้เองจะรู้สึกอย่างไร อยากรักษากับหมอคนนี้ไหม บางทีก็อาจกลัวถูกแกล้งก็ได้ ดังนั้นการเลี่ยงไปให้คนอื่นรักษาบางทีก็ใช้ได้ครับ เพื่อให้เกิดความสบายใจกับคนไข้เองด้วย หมอใน ร.พ.มีตั้งมากมาย

ถ้าเป็นกรณีเคสใหญ่ๆ เช่นผ่าตัดใหญ่ ก็ต้องมาคิดอีก อย่างผู้พิพากษาก็มีกฎกติกาที่จะรับคดีที่มีญาติเป็นคู่ความไม่ได้ เพราะเกรงข้อครหาและอีกฝ่ายจะกังวลเรื่องความเป็นธรรม เช่นกัน หากผ่าตัดใหญ่แล้วมีผลแทรกซ้อนตามมาหรือการรักษาไม่ได้ผลดีอย่างที่คิด อะไรจะเกิดขึ้น คนไข้จะคิดอย่างไร ส่วนถ้าเป็นเหตุฉุกเฉินเฉพาะหน้าก็อีกเรื่องหนึ่ง

อู

Anonymous said...

ใจหายแว๊บเลยค่ะเมื่อรู้ว่าใกล้จะจบภาค3แล้ว
ส่งแรงใจมาเชียร์ให้มีภาค4ต่อ..
เพราะชีวิตในช่วงมหา'ลัยส่วนใหญ่จะสดใสสนุกสนาน
อยากเห็นตัวเอกของเรื่องหัวเราะร่าเริงกะเค้ามั่ง
พี่เชื่อว่าฟ้าหลังฝนนั้นย่อมแจ่มใสเสมอค่ะ..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เห็นยูทูบอันนี้แล้ว คิดถึงอาอู...ไก่อู

กริ๊ดๆๆ พี่ไก่อู

http://www.youtube.com/watch?v=dTtegP-5Ik8&feature=player_embedded#!

แก้เครียดนะอาไก่อู

Anonymous said...

เพิ่งเข้ามาเจอเรื่องนี้ครับ อ่านกันจนตาแฉะ (เพราะอ่านมาหลายวันแล้วไม่ได้หยุด นอนได้นิดเดียวก็มาอ่านต่อ) ตาบวม (เพราะร้องไห้) เพิ่งไล่อ่านจนทัน ทั้งสนุกและเศร้ามากมาย เหมือนกับเขียนจากชีวิตจริงเลย

เข้ามาเป็นกำลังใจให้คับ อยากรู้จังว่าตอนจบเป็นอย่างไร

Anonymous said...

ผมก้เพิ่งอ่านทันไม่นานนี้เองเหมือนกัน
เข้ามาดูบ่อยมาก
อยากอ่านตอนต่อไป
5555
เมื่อไหร่พี่อูจะมาต่อเรื่อง
อิอิ
ปล.คิดถึงนัยจังหง่ะ แร้วพี่อูกับนัยจะได้มาบรรจบกันอีกมั้ยคับเนี่ย

ทัค

Anonymous said...

หุหุ นึกว่าอ่านแล้วจะผ่อนคลายที่ไหนได้ เศร้าหนักกว่าเดิม
ช่วงนี้เรียนหนัก งานยุ่งค๊าบพี่อู แต่ก็แอบอ่านตลอดน่ะคับ
สู้กันต่อไป ไม่ว่าจะจบแบบไหนก็ตาม
^^sky^^

Choo said...

เอาใจช่วยในทุกเรื่องนะครับ

ทั้งเรื่องเรียน เรื่องแม่ เรื่องบอย

ชู