Tuesday, May 11, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 62

การสอบในวันแรกเป็นไปอย่างเรียบร้อยแต่ไม่ราบรื่นนัก ที่ว่าเรียบร้อยคือผมคิดว่าพอทำได้ ยังไงก็คงไม่ถึงกับสอบตก ซึ่งเป้าหมายของนักเรียนที่ต้องการสอบเทียบนั้นก็คงต้องการเพียงแค่นี้ เหตุที่ยังทิ้งการสอบในชั้นเรียนไปเลยไม่ได้เพราะว่าต้องกันเหนียวเอาไว้บ้าง หากเกิดเหตุผิดพลาดไม่คาดหมายจนสอบเทียบไม่จบก็ยังพออาศัยจบ ม.ปลายจากโรงเรียนสามัญได้ จะเรียกว่าจับปลาสองมือก็คงไม่ผิดนัก พวกกลุ่มเรียนเก่งทำข้อสอบด้วยความสบายใจเพราะว่าการทำให้แค่พอผ่านนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักเรียนเหล่านี้ แต่สำหรับผมแล้วเนื่องจากพื้นฐานไม่ดีเท่าเพื่อนกลุ่มนี้ ดังนั้นการทำข้อสอบของผมแม้จะให้แค่พอผ่านก็ไม่ง่ายนัก

ส่วนที่ว่าไม่ราบรื่นก็เป็นเพราะว่าผมต้องทำข้อสอบทั้งๆที่ท้องหิวเนื่องจากกินอาหารเช้าไม่ทัน เวลาหิวนี่คิดอะไรไม่ออกจริงๆอย่างที่พี่ธิตว่า

ที่นั่งสอบของผมในครั้งนี้อยู่ในแนวที่นั่งสอบของเวชและพวก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยสบายใจนักเพราะว่าหากมีการลำเลียงฝิ่นกันขึ้นผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี หากไม่ช่วยพวกมันก็คงต้องมีเรื่องกันเหมือนเมื่อปีที่แล้วอีก แต่โชคดีที่ในการสอบครั้งนี้ไม่มีการส่งฝิ่นกันเลย

- - -

มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา
ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน
ออกเดินเดินเดินยํ่าสมัครงาน
สอบเท่าใดยังสอบไม่ผ่าน
มันหัวปานกลาง เขาเอาแต่หัวดีๆ
มีความรู้สู้เขาไม่ได้
เส้นเล็กเส้นใหญ่เส้นก๋วยจั๊บไม่มี
นามสกุลไม่สง่าราศี
เป็นลูกตามีเป็นแค่หลานยายมา

การสอบปลายภาคผ่านไปสองวัน จนมาถึงวันสอบวันสุดท้าย ในตอนเช้าของวันสอบวันสุดท้ายนั้นผมเดินขึ้นตึกมาพร้อมกับไอ้นน เราเจอกันที่หน้าประตูโรงเรียนจึงเดินมาด้วยกัน

เมื่อเราเดินมาถึงห้องสอบในตอนเช้าก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วออกมาจากในห้อง มันเป็นเพลงของวงคาราบาวจากชุดเมดอินไทยแลนด์อันโด่งดังที่ออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ อันเป็นยุควิกฤตเศรษฐกิจของไทย มีการลดค่าเงินบาท ธุรกิจล้มละลาย คนตกงานเป็นจำนวนมาก บัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยเตะฝุ่นกันจนฝุ่นคลุ้งไปหมด เงินทองหายาก และสินค้ามีราคาแพง ฯลฯ จึงทำให้เกิดกระแสนิยมสินค้าไทยขึ้นมา เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นในวัยที่กำลังเข้ามหาวิทยาลัยรวมทั้งถูกนำมาเปิดตามรายการวิทยุและร้องกันเล่นในช่วงฤดูกาลสอบเอนทรานซ์

นักร้องจำเป็นไม่ใช่ใครอื่น เชาวน์นั่นเอง มันเคาะโต๊ะแหกปากร้องเสียงดังท่ากลางเสียงรุมด่าของเพื่อนๆที่กำลังท่องหนังสือกันจนวินาทีสุดท้ายก่อนเข้าห้องสอบ

“ไอ้เฉามันจะร้องเพลงนี้ทำไมวะ มันน่ะตัวอยากได้ใบปริญญาเลย ไม่งั้นจะกวดวิชาสอบเทียบสอบเอนทรานซ์ให้เหนื่อยทำไม ไปทำนาเสียก็หมดเรื่อง” นนพูดพลางหัวเราะ

เมื่อถูกรุมด่าสักพักไอ้เฉาก็หายคะนองและเงียบเสียงลง ในขณะเดียวกันก็มีเด็กนักเรียนจากห้องอื่นเดินถือซองเอกสารสีน้ำตาลเอามายื่นให้มัน

“เฮ้ย ได้แล้ว” นักเรียนต่างห้องพูดแล้วก็รีบเดินจากไป

“เออๆ ขอบใจโว้ย” เชาวน์ร้องตะโกนไล่หลัง

“อะไรวะไอ้เฉา” นนถามด้วยความอยากรู้

เชาวน์แกะซองเอกสารออกและยื่นเอกสารที่อยู่ภายในให้นน ผมชะโงกหน้าดูด้วย เห็นในนั้นมีใบประกาศนียบัตรวิชาพิมพ์ดีดที่ระบุชื่อของมันอยู่ ปากก็ครวญเพลงไป

“อนาคตคงหมดความหมาย
ความหวังฝังใจกระดาษใบนี้

เอาแปะข้างฝา หาหลวงพ่อดีๆ
ธูปเทียนก็มีพร้อมดอกไม้บูชา”

“ไอ้บ้า” นนหัวเราะ “ทำไมใบประกาศของมึงถึงได้ไปอยู่กับไอ้คนนั้นวะ”

“ก็กูฝากมันหามาให้น่ะสิ” เชาวนตอบอย่างภูมิใจ

“อ้อ” นนอุทาน “มึงนี่แม่งชั่วจริงๆ แม้แต่ประกาศนียบัตรพิมพ์ดีดยังไปซื้อมา”

“แล้วมึงจะไปเรียนทำไมให้โง่วะ” ไอ้เชาวน์ย้อน “ใบขับขี่ยังซื้อได้ แค่ใบประกาศฯพิมพ์ดีดนี่เรื่องเล็ก”

ผมก็เพิ่งรู้ในวันนั้นเองว่าใบประกาศพิมพ์ดีดนั้นสามารถซื้อหากันได้ในยุคนั้น มีโรงเรียนพิมพ์ดีดบางแห่งอยากหาเงินแบบง่ายๆกับผู้เรียน กศน. จึงรับสมัครนักเรียนพิมพ์ดีดแต่ไม่ต้องมาฝึกพิมพ์และสอบจับความเร็วจริงๆ เพียงจ่ายเงินแล้วก็รับใบประกาศไป ซึ่งก็คือการขายใบประกาศฯนี่เอง ในยุคนั้นมีใบอะไรหลายอย่างให้ซื้อได้โดยไม่ต้องไปสอบจริงๆ รวมทั้งใบขับขี่ทั้งรถยนต์และใบขับขี่มอเตอร์ไซค์

“แล้วมึงจะไปสอบเอนทรานซ์ทำควายอะไร มึงก็ซื้อใบปริญญาเอาก็หมดเรื่อง” ไอ้นนย้อน

“เออ ถ้ามีปริญญาแพทย์ขายกูก็จะซื้อวะ แต่นี่ไม่มีนี่หว่า กูเลยต้องสอบ” เชาวน์ตอบพร้อมกับหัวเราะ

“ไอ้อู เสาร์นี้ไปดูหนังกัน ฉลองสอบเสร็จ” หมู เพื่อนในกลุ่มโต๊ะเรียนวิทยาศาสตร์ของผม เดินมาหาที่โต๊ะพลางเอ่ยปากชักชวน ในระยะหลังผมพยายามเข้ากลุ่มกับหมูและพวกในโต๊ะจนกลายเป็นขาดูหนังฟังเพลงไปกับพวกมันด้วย

“เอ้อ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยบอกละกัน เผื่อวันเสาร์ติดน่ะ เลยยังไม่กล้ารับปาก” ผมสงวนท่าที “แล้วจะโทรไปบอก”

“สงสัยไอ้อูจะนัดสาวโว้ย ฮ่ะฮ่ะ” เสียงนนแซว

กูก็นัดหนุ่มเหมือนมึงว่ะ ผมตอบอยู่ในใจ

- - -

“ฮัลโหล บอย นี่พี่นะ” ผมพูดลงไปในหูโทรศัพท์

หลังจากสอบวันสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย คืนนั้นผมก็โทรไปหาบอย ผมไม่ได้คุยกับบอยมาสักพักแล้ว ช่วงสอบไม่ค่อยกล้าโทรไปเพราะกลัวว่ามันจะรำคาญเอา

หลังจากทักทายกันเล็กน้อยแล้วผมก็เริ่มเข้าประเด็น

“บอย วันเสาร์นี้ไปดูหนังกัน” ผมชวนแกมขอร้อง

“วันเสาร์ เอ่อ... บอยมีนัดแล้วฮะพี่อู” เสียงบอยอึกอัก

“เราไม่ได้ไปกินข้าวดูหนังกันมานานแล้วนะ เดี๋ยวนายจะว่าพี่ไม่รู้จักหน้าที่อีก” ผมทำเป็นตลก แต่ที่จริงเริ่มรู้สึกกร่อยแล้ว

“คือบอยนัดติวกับเพื่อนน่ะพี่อู” บอยอึกอักอีก

“อะไรว้า” ผมบ่น “เพิ่งจะสอบเสร็จปิดเทอม ติวอะไรกันนักหนา อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะสอบเข้าเตรียมฯ”

“ก็บอยนัดเพื่อนๆไว้แล้วน่ะพี่อู” บอยไม่ยอมให้ต่อรอง

ทีนายเบี้ยวนัดพี่ยังทำได้ ทำไมกับคนอื่นนายรักษาคำพูดนักวะ ผมอดคิดน้อยใจไม่ได้

หลังจากที่ลงทุนอ้อนบอยอยู่สักพักแต่บอยไม่ยอมใจอ่อน ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ ไม่เป็นไร ความพ่ายแพ้กับผมเป็นของคู่กันอยู่แล้ว วันหลังค่อยตื๊อใหม่ แต่มาคิดอีกทีก็อดใจหายไม่ได้เพราะเวลาระหว่างเราสองคนดูเหมือนจะน้อยลงทุกทีแล้ว... ไม่แน่ว่าเทอมหน้าอาจเป็นเทอมสุดท้ายที่เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในสถานศึกษาแห่งนี้ร่วมกัน

- - -

วันเสาร์

หลังจากสอบปลายภาคเรียบร้อย หอพักก็ตกอยู่ในความเงียบเหงาอีกวาระหนึ่ง นักเรียนและนักศึกษาต่างก็ทยอยกันกลับบ้านต่างจังหวัดในช่วงปิดเทอม คงเหลือแต่คนที่อยู่ในวัยทำงาน สำหรับผมนั้นคิดว่าปิดเทอมครั้งนี้จะกลับบ้านเพียงสองสามวันเพื่อไปเยี่ยมพ่อ แม่ และเอ๊ด หลังจากนั้นก็จะกลับมากรุงเทพฯเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบต่อไป แต่ก่อนกลับผมคิดว่าจะไปดูหนังกับหมู สิทธิ์ และกรณ์สักเรื่องหนึ่ง

เรานัดเจอกันที่หน้าโรงหนังลิโด้ในตอนบ่ายของวันเสาร์ เพื่อนร่วมโต๊ะวิทยาศาสตร์มากันสี่คน ขาดเพียงไอ้จ่อยผู้ไม่สนใจดูหนังฟังเพลงและแม้แต่เรียนหนังสือ เอาดีแต่ด้านเล่นกีฬาเท่านั้น

วันนั้นเรานัดกันมาดูหนังในรอบบ่าย สำหรับอาหารมื้อเที่ยงนั้นหากมากับบอยผมจะพาบอยไปกินในสยามสแควร์ แต่มากับพวกเพื่อนกลุ่มนี้ก็ว่ากันไปอีกแบบ เรากินอาหารกันแบบประหยัดในโรงอาหารของคณะเภสัช จุฬาฯ ซึ่งปัจจุบันก็คือโรงอาหารที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคารศูนย์หนังสือนั่นเอง

“คนแน่นชิบเป๋งเลย” ผมบ่น บ่ายวันนั้นโรงอาหารคนแน่นมาก ปกติวัยรุ่นที่มาเรียนพิเศษหรือแม้แต่มาดูหนังที่สยามสแควร์หากต้องการประหยัดก็จะมากินอาหารที่โรงอาหารของคณะเภสัชศาสตร์หรือไม่ก็ที่คณะทันตแพทย์เพราะว่าอาหารราคาไม่แพง ร้านขายอาหารแต่ละร้านจึงมีคนยืนต่อคิวกันยาวเหยียด

“ไม่ต้องบ่นเลย ถูกกว่ากินในสยามสแควร์ตั้งเยอะ มันก็ต้องได้อย่างเสียอย่าง” หมูปลอบใจ

“มัวแต่ต่อคิวอยู่นี่แหละ เดี๋ยวดูหนังไม่ทันจะรู้สึก” กรณ์บ่นบ้าง

ผมไปยืนต่อคิวรอซื้ออาหารที่ร้านข้าวแกงร้านหนึ่ง ในใจไม่ค่อยสนุกกับการมาดูหนังในครั้งนี้เท่าไรนักเนื่องจากยังรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้มาดูกับบอย ขณะที่ยืนรอซื้ออาหารและนึกถึงบอยอยู่นั้นเอง ผมก็เหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตาของใครคนหนึ่งที่กำลังต่อคิวซื้ออาหารอยู่ในแถวที่อยู่ไกลออกไป

บอยนั่นเอง!

นึกถึงบอยก็ได้เจอบอยทันที ช่างบังเอิญ อะไรอย่างนี้ ขณะที่ผมจะเดินไปหาบอยนั่นเอง ผมก็สังเกตว่าบอยออกจากแถวเพื่อไปเข้าคิวซื้ออาหารในแถวอื่น และขณะที่บอยเดินเพื่อไปต่อแถวอื่นอยู่นั้นบอยได้คว้ามือเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วเดินไปด้วยกัน!

ความรู้สึกหลังจากที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่างเป็นความรู้สึกที่ผมบรรยายไม่ถูก มันตื้อ มึนงงไปหมด คิดอะไรไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก จากนั้นความรู้สึกแรกที่ตามมาหลังจากหายตื้อแล้วก็คือความรู้สึกถูกหลอกและความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกของผมบอกว่าบอยมาเที่ยวหรือว่ามาดูหนังกับเด็กสาวคนนี้ ไม่ใช่มาติว

“น้องครับ ช่วยขยับตามคิวไปด้วยครับ” พี่คนหนึ่งที่ยืนรอคิวต่อจากผมส่งเสียงเรียก ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์

ผมควรจะทำอย่างไรดีนะ จะเข้าไปต่อว่าบอยดีไหม จะได้ฉีกหน้ากันให้มันรู้ไปเลยว่ามันหลอกผมว่ามีนัดติวกับเพื่อนแต่ที่แท้ก็มีนัดมาดูหนังกับเด็กสาว ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเชื่ออยู่เสมอว่าบอยเป็นเด็กที่มีนิสัยดีและมีความซื่อสัตย์ ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมสงสัยในคำพูดของบอย แต่ในวันนี้... ความจริงก็ได้ปรากฏให้เห็นแล้วว่าบอยหลอกผม... ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นแค่รุ่นพี่โง่ๆคนหนึ่งเท่านั้น

ในที่สุดผมก็เดินออกจากแถวไป... เปล่า ผมไม่ได้เดินเข้าไปต่อว่าบอย แต่ว่าผมเดินหนีออกไปจากโรงอาหารเพื่อไม่ให้บอยเห็นผมต่างหาก ผมไม่กล้าเชิญหน้ากับบอย... ผมไม่กล้าเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย ก่อนที่จะออกไปจากโรงอาหารผมแวะไปบอกหมูและพวก

“คนแน่น กินไม่ไหวแล้วล่ะ เดี๋ยวกูไปรอที่ร้านหนังสือดวงกมลนะ กินกันเสร็จแล้วก็ไปหากูที่นั่นละกัน” ผมพูดจากนั้นก็รีบเดินหลบออกมาจากโรงอาหารในทันที

ภาพยนตร์ที่เราไปดูกันในวันนั้นเป็นภาพยนตร์แนวสนุกสนาน ตลกขบขัน แต่ผมดูไม่รู้เรื่องเลย ตลอดเวลาที่หนังฉายผมย้ำคิดแต่ภาพของบอยและเด็กสาวอยู่ตลอดเวลา อยากจะขับไล่ภาพนั้นให้พ้นไปจากจิตใจแต่ก็ทำไม่สำเร็จ

“เฮ้ย ไอ้อู มึงมาดูหนังผิดโรงหรือเปล่าวะ” กรณ์ถามผมหลังจากที่เราดูหนังจบและเดินออกมาจากโรงหนัง

“ทำไมเหรอ” ผมงงกับคำถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของมัน

“ก็นี่มันหนังตลก คนอื่นเค้าหัวเราะกันลั่นโรง แต่กูเห็นมึงนั่งทำหน้าเหมือนปวดขี้อยู่ตลอดเวลาเลย มึงเป็นอะไรหรือเปล่า ปวดขี้มากหรือไง” ไอ้กรณ์พูด มันนั่นติดกับผมตอนดูหนัง คงสังเกตเห็นความผิดปกติของผมได้

“ก็กูไม่ขำนี่หว่า” ผมไม่รู้จะตอบอะไรดีไปกว่านี้

“มึงมองหาใครอยู่เหรอวะ กูสังเกตมึงหลุกหลิกเหมือนมองหาใครตั้งแต่ออกมาจากโรงหนังแล้ว” หมูถามบ้าง “ไอ้อูมันแปลกๆโว้ยวันนี้”

ผมเริ่มระวังตัวเพราะรู้ตัวแล้วว่าวันนี้ออกอาการผิดปกติไปมาก ตอนที่ออกมาจากโรงหนังผมก็มองหาบอยเผื่อว่าจะเห็นมันบ้าง แต่ไม่นึกว่าเพื่อนๆจะสังเกตออก

- - -

“ฮัลโหล”

“บอย นี่พี่เอง” ผมพูด หลังจากที่แยกจากเพื่อนๆและกลับมาถึงหอพัก ผมทำอะไรไม่ถูกอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินว่าจะโทรคุยกับบอยให้รู้เรื่อง เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าทรมาน ผมรออยู่จนประมาณสามทุ่มจึงค่อยโทรไปหาบอยโดยใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้ประจำ

“พรุ่งนี้นายออกมาเจอพี่หน่อยสิ” ผมตรงเข้าประเด็น

“มีอะไรเหรอพี่อู ทำไมวันนี้เสียงเครียดจัง” บอยทักผมด้วยเสียงที่บ่งบอกอารมณ์อันแจ่มใส

“พี่อยากคุยกับนายหน่อยน่ะ ไม่ได้ชวนเที่ยวนะ แค่มีเรื่องอยากจะคุย” ผมตอบ

“พี่อูจะคุยอะไรเหรอ” บอยเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติในบรรยากาศการสนทนาได้ น้ำเสียงจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาบ้าง “ทำไมไม่คุยตอนนี้ล่ะ”

“คุยตอนนี้ไม่ค่อยสะดวก เอาไว้เจอกันแล้วค่อยคุยดีกว่า นะ ออกมาเจอกันหน่อย” ผมลงทุนอ้อนวอน

“เอ่อ... ช่วงนี้บอยไม่ว่างเลยอะพี่อู” บอยตะกุกตะกัก “มีอะไรคุยกันตอนนี้เลยไม่ได้เหรอฮะ”

“บอย ทำไมนายกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะ” คำตอบของบอยทำให้อารมณ์ของผมพลุ่งขึ้นมาทันที “เมื่อก่อนนายคอยต่อว่าพี่ว่าพี่ไม่ดูแลนาย พอพี่พยายามจะดูแลนาย นายก็เอาแต่หลบหน้าพี่”

“พี่อู... ก็... บอยไม่ว่างน่ะ”

“ถึงพี่ไม่ฉลาด แต่พี่ก็ไม่แย่ขนาดที่ดูไม่ออกว่านายคอยหลบหน้าพี่หรอกนะ” ผมพูดตรงๆ “พี่อยากคุยกับนายว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ก็... ไม่มีอะไรหรอกพี่อู” บอยอึกอัก “บอยไม่ได้หลบพี่อูเสียหน่อย”

“แล้ววันนี้ทำไมนายไม่ไปดูหนังกับพี่ล่ะ” ผมถามรุก

“ก็บอยมีติวอะ บอยบอกพี่อูแล้วนี่” บอยตอบ

“นายไปติวหรือว่ามีนัดเที่ยวกับใครกันแน่” ผมรุกเข้าไปอีก

“พี่อูรู้ได้ไง...” บอยหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

“บอย พรุ่งนี้ออกมาเจอกันหน่อยนะ พี่มีบางเรื่องที่อยากจะคุยกับนายให้รู้เรื่อง นะ พี่ขอร้องนายล่ะ” ผมพูด บอยอึ้งไปชั่วครู่

“บอยไม่ว่างจริงๆฮะพี่อู พี่อูบอกทางโทรศัพท์ก็แล้วกัน” บอยไม่ยอมรับนัดผม

ฟังเพลง มหาลัย จากชุดเมดอินไทยแลนด์



<จากอัลบั้มชุดชุดเมดอินไทยแลนด์อันโด่งดังที่ออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ อันเป็นยุควิกฤตเศรษฐกิจของไทย ปัญหาราคาน้ำมันพุ่งสูง ตามมาด้วยปัญหาเงินเฟ้อและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดทำให้มีการลดค่าเงินบาทลงร้อยละ ๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ผลจากการลดค่าเงินบาททำให้ธุมีรกิจล้มละลายโดยเฉพาะสถาบันการเงิน ส่งผลต่อประชาชนผู้ออมเงินในวงกว้าง และตามด้วยการลดค่าเงินบาทซ้ำอีกร้อยละ ๑๗.๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ในช่วงนั้นมีคนตกงานเป็นจำนวนมาก บัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยเตะฝุ่นกันจนฝุ่นคลุ้งไปหมด เงินทองหายากและสินค้ามีราคาแพง ฯลฯ ทำให้เกิดกระแสนิยมสินค้าไทยขึ้นมา คาราบาวจึงออกเพลงชุดนี้มา เพลงมหาลัยนี้เป็นเพลงหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในหมู่วัยรุ่นในวัยที่กำลังเข้ามหาวิทยาลัย รวมทั้งถูกนำมาเปิดตามรายการวิทยุและร้องกันในช่วงฤดูกาลสอบเอนทรานซ์เนื่องจากมีเนื้อหาที่สะท้อนปัญหาสังคมในยุคนั้นได้อย่างโดนใจ

เนื้อเพลง : มหาลัย

มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา
ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน
ออกเดินเดินเดินยํ่าสมัครงาน
สอบเท่าใดยังสอบไม่ผ่าน
มันหัวปานกลาง เขาเอาแต่หัวดีๆ
มีความรู้สู้เขาไม่ได้
เส้นเล็กเส้นใหญ่เส้นก๋วยจั๊บไม่มี
นามสกุลไม่สง่าราศี
เป็นลูกตามีเป็นแค่หลานยายมา
อนาคตคงหมดความหมาย
ความหวังฝังใจกระดาษใบนี้
เอาแปะข้างฝา หาหลวงพ่อดีๆ
ธูปเทียนก็มีพร้อมดอกไม้บูชา

มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา
ใครจะรู้อยู่ไปวันๆ
กลางคืนหลับฝัน กลางวันนั่งดูดยา
ธูปเทียนก็หมดดอกไม้แห้งคาตา
เก็บตําหรับตําราชั่งกิโลขาย
ให้แข่งกันเรียนแล้วแข่งกันรวย
บ้างไปได้สวย บ้างไปได้เสีย
ออกยํ่าเดินทางร่างกายอ่อนเพลีย
หัวใจละเหี่ยละโหยหางานทํา
ยํ่าจนเท้าเป็นตุ่มตาปลา
รองเท้าบาจายังหมดความทนทาน
ไม่เห็นเหมือนคนโบรํ่าโบราณ
จบแล้วได้งานเป็นเจ้าคนนายคน
ผลิตผลบนความใฝ่ฝัน
ความจริงเรานั่นหลงลืมกันไป
มัวแต่ปลูกฝังค่านิยมนิยาย
ปริญญางมงายมหาลัยงมเงา

มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา
มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา

39 comments:

Anonymous said...

ที่1 เย้!

คนลาดพร้าว

tangkwa said...

มาที่ ๑ เย้ มาให้กำลังใจคุณอูค่ะ

นนท์ said...

จะมาเอาที่1ซะหน่อย อดเลยเรา

nai said...

ที่ 1 ชิงกันแค่เสียววินาที

เป็นที่ 1 ของฝ่ายที่ไม่ใช่ผู้หญิงแล้วกัน

นัย

พิมพ์ช้ากลายเป็นที่ 2 แล้ว

Anonymous said...

ทำไมที่ 1 ซ้อนกันถึง 3 คน อิอิ

ช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว คิดถึงบรรยากาศช่วงปิดเทอมจังคับ
อยากรู้แล้วสิว่าอาอูจะบอกอาบอยว่าอะไร
หรือว่าจะสารภาพรักกับบอยให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

ไงก็รออ่านอยู่นะคับ


อาร์ม

Fryderyk C. said...

ไม่รักบอย แล้ว


คิดถึงนัย



สวัสดีครับอาอู และทุกๆ สบายดีป่าวครับ

ติดตามตลอดเลย ใกล้ถึง Climax แล้วสิ

ฮุๆ

Anonymous said...

มาต่อแถวสมัครชมรมคนรักอาอู

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ยิ่งอ่านยิ่งสงสารนัยและบอยจังครับ
อูได้แต่อาศัยคนอื่นให้ตัวเองเติบโตและมีทางให้เดินไป
ตอนแรกนึกว่าอูก้าวเดินแล้วนะ
แต่ปรากฏว่าก้าวไปหนึ่งถอยมาสอง
ทั้งๆที่รอบตัวอูมีแต่แบบอย่างที่น่าเอาเยี่ยงเป็นอย่างที่สุด
แปลกใจในความคิด...เริ่มรู้สึกว่าแบบอูนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา...และคิดแบบอูคงต้องเห็นโลงศพที่มีหลากหลายทั้งขนาดและสีสันของโลงศพคงได้เห็นมากมาย
แต่กัถิอได้ว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ที่ดีมากๆคนนึงเพราะผ่านมาในมุมความคิดหลายๆเรื่องแล้ว
หวังไว้ว่าอูคงจะเข้มแข็งได้นะครับ
สงสารบอและนัย...ที่เป็นตัวยึด
สงสารอูที่คิดถึงแต่ตัวเอง
รอดูกันนะครับว่าเมื่อไหร่กันนะที่อูจะเติบโตด้วยตนเองได้ซักที...
ขอบคุณผู้แต่นะครับ

Anonymous said...

มาติดตามครับผม
น่าสงสาร อาอูนะครับ
ความรักของวัยรุ่น ก็มีอุปสรรค มีความผิดหวัง
ความผิดหวัง อุปสรรค มาคิดให้ดี สำหรับวัยรุ่นวัยเรียน
น่าเป็นการทำให้ชีวิตเข้มแข็งขึ้น โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความอดทนเข้มแข็ง ก็เป็นได้นะครับ
เอาใจช่วย อาอูนะครับ

กัน

Anonymous said...

ตอนเด็กจะมองโลกในแบบที่่ขาดประสบการณ์
เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่่ ไม่ได้เข้าใจคนอื่น
ตอนผู้ใหญ่ผ่านประสบการณ์ก็จะเข้าใจ
ถึงความเป็นไปในชีวิตมากขึ้น
มองในมุมของคนอื่นไม่ใช่มองแต่ตัวเอง
ควบคุมอารมณ์ได้ และรู้จักปล่อยวาง

thom

โจ said...

,,,,,,,,,,
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารนัยและบอยจังครับ
อูได้แต่อาศัยคนอื่นให้ตัวเองเติบโตและมีทางให้เดินไป
ตอนแรกนึกว่าอูก้าวเดินแล้วนะ
แต่ปรากฏว่าก้าวไปหนึ่งถอยมาสอง
,,,,,,,,,,,,,


ไม่ค่อยเข้าใจความเห็นนี้น่ะครับ


พอดีตอนนี้ เกิดปัญหาคล้ายๆกับคุณอูเลย


คิดไม่ออก บอกไม่ถูกเหมือนกัน รู้แต่ว่าทรมานมาก


อยากรู้ว่า ในที่สุด คุณอู ผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาได้อย่างไร และจะต้องทำตัวอย่างไรดี

Anonymous said...

"""""
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารนัยและบอยจังครับ
อูได้แต่อาศัยคนอื่นให้ตัวเองเติบโตและมีทางให้เดินไป
ตอนแรกนึกว่าอูก้าวเดินแล้วนะ.....
""""""
ก็งงเหมือนกันกับความคิดนี้ ไม่รู้ว่าต้องการบอกอะไร
ขอบคุณคุณอูมากครับ ที่มาต่อให้ อย่างน่าติดตาม ตามเคย เป็นกำลังใจครับ
pee

Anonymous said...

อ่านแล้ว อยากให้ ตัดใจจากบอยสักทีค่ะ
ถึงจะทำยาก แต่มันไม่มีความสุขเลย
เง้อออ

หญิง

Anonymous said...

นั่นจิ ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนเม้นมาเฉลยหน่อยเร้ว

naja said...

เมื่อไหร่พี่อูจะมีความสุขกับเค้าซักทีนะ

คงต้องตัดใจเรื่องบอยแล้วหล่ะครับ สิ่งจำเป็นรอเราอยู่คือเรื่องเรียน

แต่ถ้าจะว่าก็ดีเหมือนกันนะ หวังว่าเรื่องของบอย มันจะเป็นแรงผลักดันให้พี่อู ตั้งใจอ่านหนังสือสอบติดมหาวิทยาลัย จะได้ไปจากโรงเรียนนี้

Anonymous said...

"""""
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารนัยและบอยจังครับ
อูได้แต่อาศัยคนอื่นให้ตัวเองเติบโตและมีทางให้เดินไป
ตอนแรกนึกว่าอูก้าวเดินแล้วนะ
แต่ปรากฏว่าก้าวไปหนึ่งถอยมาสอง
ทั้งๆที่รอบตัวอูมีแต่แบบอย่างที่น่าเอาเยี่ยงเป็นอย่างที่สุด
แปลกใจในความคิด...เริ่มรู้สึกว่าแบบอูนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา...และคิดแบบอูคงต้องเห็นโลงศพที่มีหลากหลายทั้งขนาดและสีสันของโลงศพคงได้เห็นมากมาย
"""""
ไม่ค่อยชอบสไตล์การโพสต์ แบบนี้เลย
ตรงเกินไป
pee

Anonymous said...

มีโดนเหน็บด้วย ไม่เป็นไรครับ ตั้งแต่ภาคสองก็มีคนไม่ชอบหน้าอูตั้งเยอะเพราะทำนัยเอาไว้มาก เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมาเท่านั้นเอง แต่คนที่รักอูอย่างเหนียวแน่นก็มี ก็คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อกระมัง อย่างที่โบราณว่า นิยายน่ะ นิยาย

สิ่งที่เขียนมาผมคล้ายจะเข้าใจแต่ก็คล้ายไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องการจะสื่ออะไรออกมา ถ้าช่วยสะท้อนมุมมองให้กระจ่างขึ้นอีกก็จะดีครับ จะได้เป็นประโยชน์กับผู้อ่านและหลานๆในการมองชีวิต แต่รักในวัยรุ่นก็แบบนี้แหละครับ รักก็รักมาก ผิดหวังก็ผิดหวังมาก ใครเคยผ่านความรักในช่วงมัธยมมาคงทราบดี

ผลแอดมิชชันออกแล้ว หลานๆที่สอบเป็นไงกันบ้างก็ไม่รู้ ส่วนอาไม่รู้จะสอบเทียบและเอนทรานซ์รอดหรือเปล่า

อู

Choo said...

อาการแบบนี้น่าห่วงครับ คงยากส์นะครับ ทั้งสอบเทียบทั้งเอ็นฯ ต้องเรียน ม.6 อีกปีเป็นแน่แท้

หาเพลงดังยุคนั้นมาประกอบฉากให้ครับ

เพลงหนึ่งมิตรชิดใกล้ ของอัสนี วสันต์ ชุดผักชีโรยหน้า ออกในปี 2530

http://www.youtube.com/watch?v=DXPuchsKlgI

เป็นกำลังใจ พร้อมสมน้ำหน้าไปพร้อมๆ กัน

ชู

Anonymous said...

พี่ชูนะพี่ชู แทนที่จะเห็นใจกัน เดี๋ยวนัยมาคงช่วยสมน้ำหน้าด้วยแหงๆ ต้อมกับ t1000 ก็ด้วย มาแนวสมน้ำหน้าเสมอ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเห็นใจกันบ้าง

ยังไงพี่ ments42 พี่สาวลาดพร้าว และหลาน arus หลานฝาแฝด พี นาจา ฯลฯ เข้าข้างผมบ้างนะ

อู

nai said...

ถูกสมน้าหน้ามากแล้ว เรามาเม้นต์ให้กำลังใจ อู ดีกว่าอย่างนี้แสดงว่ามีคนรักมากนะเนี้ย ข้อความถึงได้มีความเห็นหลากหลายขนาดนี้

มองว่า เป็นการมองต่างมุม ของคนต่างวัย อยู่คนละสถานะ ไม่มีใครผิดใครถูกหรอกครับ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน(ครอบครัวนายอู)มีความเห็นแตกต่างได้อยู่แล้ว สมัยนี้ ใช้คำว่า เห็นต่างแต่ไม่แตกแยก

ถ้าทุกคนมองแนวเดียวกันหมด ก็ขาดรสชาติ นิยายของอู (เขาว่าของเขาเป็นนิยาย) ก็ไม่สนุกกันพอดี

ว่าแต่เจ้าบอยเจ้าชูเหลือเกิน อกหักไม่ทันไร มีกิ๊กใหม่อีกแล้ว เพิ่งจะ ม.๓ เอง ช่างร้ายเหลือจริงๆ

ผมมองต่างกับพี่ชูนะ ผมว่า อู จะใช้วิกฤตนี้ เป็นพลังต่อสู้ แล้วสอบผ่านได้

อ่านตอนนี้นึกถึงเพลง แฟนเก็บอะ

นัย

Anonymous said...

ทำไมอาชูกับอาอูโพสต์ในเวลาใกล้ๆกันเลยอ่า

ช่างสังเกต อิอิ

Choo said...

อีกมุมหนึ่งของนิยาย
______

เช้าวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผมมักไม่ค่อยทำนัก ผมนึกถึงการคุยกับพี่อูคืนก่อน

……“บอยก็ต้องเลือกคนที่บอยชอบดิ” ผมตอบทันทีโดยไม่ได้คิด แล้วรู้สึกผิดที่พูดอย่างนั้นออกไป ทำไมผมไม่คิดให้ดีซะก่อน พี่อูคงเสียใจ.......ผมคิดและมีสีหน้าไม่ค่อยสูดีนัก พยายามจะตอบใหม่แต่ก็ไม่รู้จะตอบพี่อูอย่างไร จนพี่อูต้องตัดบทไปเรื่องอื่น........

……“ก็หมายถึงว่าพี่อูสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย” ผมตอบแบบเดิม “บอยเป็นห่วงพี่อูนะ... มีพี่ชายกะเค้าอยู่คนเดียว” เมื่อพูดไปแล้ว ผมกลับรู้สึกสับสน หัวใจของผมเต้นแรง ทำไมผมต้องพูดแบบนั้นกับพี่อูด้วย ผมนึกโทษตัวเองที่ทำให้อะไรมันดูเลวร้ายลงไปอีก ... หลังจากนั้นเราสองคนก็คุยกันอีกสักครู่และก็วางสาย……

ผมสับสน ไม่แน่ใจว่าผมโทรไปหาพี่อูทำไม ผมต้องการปรับความเข้าใจกับพี่อู หรือต้องการหยุดความสัมพันธ์ หยุดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน แต่ลึกๆ ผมกลับรู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยมันน่าจะเป็นความรู้สึกลึกๆ จริงๆ ของผมก็ได้

- - -

หลังจากที่โทรคุยกับพี่อูเมื่อวันก่อน มันทำให้ผมนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่อู และสิ่งที่ต้องคบคิดอย่างจริงจังกว่าผมควรทำตัวอย่างไรดี ใจหนึ่งก็รู้สึกแคร์พี่อู ไม่อยากทำให้พี่อูเสียใจ โกรธ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าผมก็เพียงคิดอยากมีพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อยากทำอะไรที่ทำให้พี่อูคิดมากหรือเข้าใจผิด แต่ก็ยังมีอีกความคิดหนึ่ง พี่อูคิดถูกแล้ว ลึกๆ ผมก็ชอบพี่อู ไม่ต่างกัน แต่ผมเองต่างหากที่เอาแน่ไม่ได้ ผมชอบผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ ผมไม่มั่นใจตัวเองว่าผมเป็นอะไร ต้องการอะไร วันเวลาผ่านไปผมเฝ้าถามเฝ้าบอกตัวเองว่า

“พี่อูครับ...ผมไม่อยากเป็นเกย์ แล้วผมควรทำอย่างไรดี” ผมพูดกับตัวเองอย่างเงียบๆ บ่อยๆ ตลอดเวลาหลายวันต่อมา ในขณะเวลาเดียวกันผมก็ยังคงโทรไปหาส้ม เพื่อปรับความเข้าใจเพื่อขอคืนดีอยู่ทุกคืน

“หากส้มยอมคืนดีกับผม ผมคงตัดสินใจอะไรง่ายขึ้นกว่านี้” ผมมักเหม่อลอยคิดอยู่คนเดียว พร้อมกับคำถาม “แล้วผมจะเอาพี่อูไปไว้ที่ไหน” ผมคิดพร้อมตำหนิตัวเองว่า ผมกำลังเห็นแก่ตัวอยู่หรือเปล่า

ผมทิ้งช่วงไม่ติดต่อกับพี่อูอยู่หลายวันแล้ว พี่อูก็เงียบๆ ไป ไม่รู้ว่าพี่อูคิดอย่างไร ส่วนผมก็ยังสองจิตสองใจ ผมคิดว่าผมคงต้องวางตัวบ้าง การไปเที่ยวกับพี่อูบ่อยๆ มันจะทำให้พี่อูเสียใจไม่รู้จบหรือเปล่า ผมกำลังทำร้ายพี่อูอยู่หรือเปล่า .... แต่ว่าการรอคอยว่าเมื่อไรพี่อูจะโทรมาแต่ละครั้งนั้นมันทรมานใจไม่น้อย แล้วทำไมผมถึงไม่โทรไปหาพี่อู ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันหรือลึกๆ ผมกลัวอะไร ผมต้องอดทนต่อความกระวนกระวายและความร้อนใจของผมเอง ใครที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาคงยากที่จะเข้าใจ แม้แต่ผมเองยังก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก

จนคืนหนึ่งพี่อูโทรมาหาผม ผมยังคงไม่รู้ว่าผมต้องการอะไร จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไรในอนาคต จนจิตใจฟุ้งซ่านเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง “หรือว่าผมกำลังอกหัก ผมกำลังอกหักจากส้มหรืออกหักจากพี่อูกันแน่”

Choo said...

ที่โรงอาหารบ่ายวันหนึ่งที่นัดพี่อูไว้ ผมนั่งรออยู่ซักพัก

“พี่อู” ผมทักโดยพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปรกติ แต่พี่อูก็คงดูออกว่าผมไม่สบายใจเท่าไร

“เป็นไงบ้างบอย” พี่อูทักทายตอบ สีหน้าพี่อูก็ดูหมองเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

“ก็เรื่อยๆฮะพี่อู” ผมตอบ

“ถ้าเรื่อยๆยังดูแย่ขนาดนี้ แล้วตอนแย่จริงๆจะขนาดไหน” พี่อูแซวแบบจืดๆ

วันนี้เริ่มแรกผมพยายามจะทำตัวปรกติให้ได้มากที่สุด แต่ผมกับรู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเรามีกำแพงอะไรซักอย่างขึ้นมาขวางกัน ผมไม่ค่อยกล้าพูดคุยกับพี่อูนัก ส่วนใหญ่จะนั่งดูดน้ำหวานเงียบๆ ด้วยท่าทีซึมเซามากกว่า ผมเล่าว่าผมพยายามไปงอนง้อขอคืนดีกับส้มแต่ไม่เป็นผล พี่อูก็ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ

หลังจากนั่งแช่อยู่ที่โรงอาหารได้สักพักหนึ่ง ผมก็ขอตัวกลับ ก่อนแยกจากกัน พี่อูหยิบซองซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้ผม

“อะไรอะ” ผมถาม มันเป็นซองพลาสติก ข้างในบรรจุดอกไม้ชนิดหนึ่งอยู่หนึ่งดอก รูปทรงของดอกไม้คล้ายๆรูปนก

“ก็ดอกไม้ไง” พี่อูบอก

“ดอกอะไรอะ” ผมถามแบบงงๆ หน้าตาคุ้นๆ แต่ไม่รู้ชื่อ”

“ดอกแคไง” พี่อูพูดอยู่ในลำคอแบบลังเลอะไรบางอย่าง

“อ้อ ใช่ บอยเคยกิน” ผมตอบ “ว่าแต่พี่อูให้ดอกแคบอยทำไม” ผมยังคงไม่เข้าใจว่าพี่อูต้องการบอกอะไรผม

“ดอกแค ก็...” พี่อูหยุดไปนิดหนึ่ง เหมือนลังเลอะไรอยู่ แล้วพี่อูก็อย่างกระท่อนกระแท่น

“พี่แคร์นายนะ”

ผมมองหน้าพี่อู ตัวช้าๆ มึนๆ ไม่รู้ว่าผมควรดีใจหรือเสียใจ วางตัวไม่ถูก

“ขอบคุณฮะพี่อู บอยกลับละนะ” ผมพูดเพียงสั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จากนั้นเราสองคนก็แยกจากกัน เมื่อคล้อยหลังพี่อู ผมพูดกับตัวเองว่า “ผมก็แคร์พี่อูนะครับ แต่ผมไม่อยากเป็นแบบนี้” อย่างเศร้าสร้อย

- - -

เดือนสิงหาคม

หลังจากผมอกหักจากส้ม ผมก็พยายามทำความเข้าใจต่อความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น หลายครั้งผมก็หลอกถามเพื่อนๆ ว่า เวลาไปไหนมาไหนเพื่อนๆ จะมองผู้ชายด้วยกันบ้างหรือไม่ ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า “ก็มองที่ดูเท่ย์ๆ จะได้เลียนแบบ โดยเฉพาะพี่มอปลาย” ผมก็คิดเหมือนเพื่อนๆ นิน่า ผมพยายามเข้าข้างตัวเองว่าผมคงไม่ได้เป็นเกย์ คงไม่รักชอบพี่อูหรอก แต่ทุกครั้งที่คิดแบบนี้ผมก็จะรู้สึกแย่ทุกครั้ง ลึกๆ คิดถึงพี่อูอยู่ตลอดเวลา ในช่วงนั้นผมยังคงไปเที่ยวกับพี่อูอยู่บ้างแต่ก็ไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน ผมไม่รู้ว่าผมทำอย่างนี้ทำไม มันยิ่งทำให้พี่อูเสียใจหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ดีกว่านี้ได้

ในช่วงเดียวกันผมยังคงไปเรียนพิเศษ ยังคงไปง้อส้มขอคืนดีอยู่เช่นเดิม ระยะหลังส้มก็ยอมพูดคุยกับผมมากขึ้นกว่าช่วงที่มีปัญหากันใหม่ๆ จะคืนดีก็ไม่ใช่ จะโกรธอยู่ก็ไม่เชิง ในขณะเดียวกันเพื่อนของส้มก็เข้ามามีบทบาทตรงกลางระหว่างผมกับส้มมากขึ้น และเรื่องนี้ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงระหว่างผมกับพี่อู และส้ม ในเวลาต่อมา

Choo said...

- - -

ต้นเดือนกันยายน วันนี้เป็นวันหยุด ผมมีนัดกับพี่อูที่สยามสแควร์ ช่วงหลังมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่อูเปลี่ยนแปลงไปมาก ดูไม่สนิทสนมเหมือนก่อน เหมือนระหว่างเรามีกำแพงบางๆ ขึ้นมาขวางกั้น ผมก็อธิบายไม่ถูกว่าผมเป็นคนก่อกำแพงนั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนไหน ช่วงหลังผมไม่ค่อยกล้ารับนัดพี่อูบ่อยๆ หรือง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมยังคงนึกถึงเมื่อปีก่อน ผมเฝ้าโทรหา ขอนัดพี่อูอยู่บ่อยครั้ง แต่เหมือนพี่อูมีความนัยใจ เดี๋ยวก็ดี แต่เดี๋ยวก็หายไป เหมือนพี่อูมีกำแพงอะไรซักอย่างที่ผมเข้าไม่ถึง ตอนนี้เหมือนกำแพงที่พี่อูมีอยู่ค่อยๆ จางลง แต่ผมกลับเป็นคนสร้างกำแพงนั้นขึ้นมาแทน ลึกๆ ผมยังคงไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าผมคิดอย่างไรกับพี่อู รู้แต่ว่าเวลาพี่อูหายไป ผมก็คิดถึงพี่อูอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อไรที่พี่อูเข้ามาหาเข้ามาใกล้ ทำไมผมกับวิ่งหนีความรู้สึกตัวเองอย่างนี้

“พี่อูครับ ผมก็ไม่รู้จะทำไง ผมขอโทษ ผมก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้” ผมมักเหมอลอยนึกถึงเรื่องนี้ สลับกับอีกประโยคหนึ่งที่ส้มพูดกับผม “ บอย เราเลิกกันเถอะ เธอมันหน้าเบื่อ” มันก้องอยู่ในหูผมตลอดเวลาเช่นกัน

ชีวิตในช่วงปลายเทอมหนึ่งของผมไม่ค่อยราบรื่นนัก ความกดดันจากการเรียนที่ต้องไปสอบเตรียมอุดมฯ ทำให้ผมรู้สึกเคร่งเครียดกับการเรียน และการเรียนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งผมต้องสลัดทั้งเรื่องพี่อู และส้มออกจากหัวไปบ้าง ผมเริ่มทำตัวเหินห่างจากพี่อูมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวผมเองก็ไม่รู้สึกตัว

ผมเองก็พยายามระวังตัว ไม่อยากทำอะไรให้พี่อูเข้าใจผิดในตัวผม ดังนั้นจึงพยายามระมัดระวังไม่โทรไปคุยหรือรับนัดพี่อูบ่อยจนเกินไป ลึกๆ มันเป็นความอึดอัดอยู่เหมือนกัน ความสัมพันธ์แบบนี้แม้จะทำให้ผมรู้สึกไม่ได้ทำร้ายพี่อู ไม่ได้ทำให้พี่อูเสียใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมอาจทำร้ายหรือทำให้พี่อูทรมานใจมากขึ้นกว่าเดิม มันเหมือนกับให้โอกาสไปเรื่อยๆ จะตายก็ไม่ตาย จะรอดก็ไม่รอด ความสัมพันธ์อึมครึ้มไม่กระจ่างชัดแบบนี้ นับวันเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผมต้องการหนีจากการเป็นเกย์ วันไปเรียนพิเศษ ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องจีบสาวคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ลึกๆ ผมก็ไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรกันแน่ ระยะหลังส้มเองก็ดูเหมือนจะคุยกับผมดีขึ้น ผมยังคงมีหวังที่จะคืนดีกับส้ม ในขณะที่เพื่อนของส้มก็มีท่าทีแปลกๆ เช่นกัน

บางวันผมอยากคุยกับพี่อูแต่ก็ไม่กล้าโทรไปหา หลายครั้งที่ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วก็วางสายทิ้งจนคนที่บ้านทักเป็นประจำ ลึกๆ ผมไม่อยากสองจิตสองใจอย่างนี้ มันทุกข์ทรมานใจไม่น้อยเช่นกัน เหมือนเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ คนไม่เป็นแบบนี้ไม่เข้าใจหรอกว่ามันทุกข์ทรมานใจเพียงใด แต่กับผมนั้นทุกวัน ทุกชั่วโมงยังเป็นเวลาแห่งความสับสน

Choo said...

หลังจากที่ผมทนพี่อูรบเร้าไม่ไหวหลังปัดนัดพี่อูไปสองสามครั้ง เลยยอมรับนัดพี่อูในช่วงเย็นวันหนึ่ง

“พี่อู” ผมเรียกขณะยืนอยู่ตรงหน้าพี่อูที่กำลังเหม่อลอยอยู่

“อ้าว มาได้ไงเนี่ย พี่ก็มองหานายอยู่แต่ไม่เห็นนายเดินมาเลย” พี่อูทักทายด้วยความแปลกใจกับการปรากกฎตัวของผม

“ก็พี่อูยืนใจลอยแล้วจะเห็นบอยได้ไง” ผมตอบ “พี่อูคิดอะไรอยู่”

“ก็... คิดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ คิดถึงแป้นพิมพ์ดีด เมื่อบ่ายไปหัดพิมพ์ดีดมา” พี่อูตอบเหมือนพยายามปกปิดอะไรผม

พี่อูมองหน้าผมอยู่นาน จนผมรู้สึกเขินๆ จึงพูดว่า

“พี่อูจ้องบอยทำไม ไม่เคยเห็นบอยเหรอ” ผมพูดพลางหัวเราะแก้เก้อ

“นายโตขึ้นมากเลยนะ” พี่อูพูด “พี่เพิ่งจะสังเกต”

“ม.๓ แล้วนะพี่อู” ผมหัวเราะอีกด้วยเสียงที่แตกพร่า ผมรู้สึกแปลกๆ กับเสียงหัวเราะที่เป็นไปของตัวเอง “ปีหน้าก็ปักตราโรงเรียนที่หน้าอกเสื้อได้แล้ว”

เราไปกินอาหารด้วยกันก่อนตามปกติ แต่ผมกับรู้สึกเกล็งๆ อย่างบอกไม่ถูก ผมวางตัวไม่ถูกเลย พูดน้อยลงจากปกติ ระหว่างกินก็เป็นบรรยากาศเงียบๆ ช่วงหลังๆ มักเป็นเช่นนี้เสมอๆ

“นายเป็นไรไปน่ะบอย” พี่อูถามระหว่างที่เรากินอาหารด้วยกันที่ร้านไฮไลท์

“ไม่ได้เป็นไรนี่” ผมพยายามปฏิเสธ

“ดูนายเงียบๆไปนะ วันนี้ไม่กวนเลย ปกตินายกวนโอ๊ยจะตาย” พี่อูพยายามปรับบรรยากาศ

“เหรอ ไม่รู้ดิ” ผมยังคงตอบแบบเกร็งๆ แปลกใจอยู่ว่าทำไมรู้สึกกลัวๆ พี่อูอย่างไรไม่รู้

เมื่อกินอาหารเสร็จ เราก็ไปดูหนังกัน เมื่อก่อนช่วงที่มีโฆษณาก่อนหนังฉาย ผมมักจะชวนพี่อูคุยพร้อมกับแกล้งพี่อูบ้าง ซบพี่อูบ้าง ผมรู้สึกอบอุ่นมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้ง แต่คราวนี้ทำไมผมไม่รู้สึกเป็นอย่างนั้น หรือแค่รู้สึกอยากซบพี่อูก็ไม่รู้สึกอยาก ผมได้แต่นั่งตัวตรง บางทีก็ขยับตัวไปมาบ้าง อะไรทำให้ผมรู้สึกกลัวๆ พี่อูขึ้นมาแบบนี้

ขณะที่หนังฉาย พี่อูดึงมือของผมมาจับไว้พร้อมทั้งสอดประสานนิ้วเข้าไปในร่องนิ้วของผม การประสานมือกับพี่อูเป็นเรื่องที่ผมชอบมาก ผมชอบให้พี่อูทำในตอนที่ไม่มีใครเห็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไมผมกลับไม่รู้สึกแบบตอนนั้นอีก แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

ผมประสานมือกับพี่อูอยู่ชั่วครู่แล้วก็ดึงมือกลับไปในความมืด ผมรู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิดๆ ลงไปอีกครั้ง ผมรับรู้ถึงความเหินห่างหรือกำแพงที่ผมได้สร้างขึ้นมา ที่นานวันเริ่มเป็นกำแพงที่ขวางกั้นผมกับพี่อูให้ห่างไกลออกไปทุกที แม้เราจะนั่งที่นั่งติดกัน แต่ในความรู้สึกของผมมันเหมือนกับเรานั่งอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน... แต่อีกความรู้สึกหนึ่ง ผมรู้สึกผิดต่อพี่อูอย่างมากที่ทำอะไรที่เหมือนรังเกียจพี่อูแบบนั้น มันเป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัยตัวเองเลย แต่ผมก็ทำไปแล้ว

เมื่อหนังฉายจบ เราออกมาจากโรง พี่อูพยายามชวนคุย

“บอยจะกลับแล้วนะพี่อู” จู่ๆ ผมก็พูดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก ความรู้สึกผิด และความรู้สึกที่ยากจะบอกว่าคืออะไร

“อ้าว ไม่ไปกินโดนัทก่อนเหรอ” พี่อูพูดอย่างเจื่อนๆ

“ไม่ละฮะ บอยกลับดีกว่า” ผมยืนกราน

“ได้ๆ” พี่อูยอมให้ผมกลับก่อนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “ช่วงปิดเทอมวันไหนเราไปนั่งเล่นที่สวนลุมกันอีกดีกว่า เล่นเรือ นอนใต้ต้นไม้ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

“ขอบอย... เอ่อ... คิดดูก่อนนะพี่อู” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก

หลังจากแยกทางกับพี่อู ผมเดินจากมาด้วยความรู้สึกใจหาย ผมทำอะไรลงไป ทำไมผมไม่สามารถทำอะไรๆ ให้เหมือนเดิมได้ “พี่อู...ผมขอโทษ ผมผิดเอง” มันดังก้องอยู่ในความคิดผมตลอดเวลาเดินทางกลับบ้าน ด้วยหัวใจที่รู้สึกท้อแท้และสับสนหนักยิ่งขึ้นไปอีก

ผมจะไม่ทำให้พี่อูเสียใจไม่รู้จบแบบนี้ “ผมขอโทษ...ขอโทษ...จริงๆ” ผมเหมือนตัดสินใจอะไรบ้างอย่าง พร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชายที่เอ้อล้นดวงตา ผมป้ายน้ำตาด้วยหลังมืออย่างเยือกเย็น ผมขอร้องไห้กับตัวเองแค่วันนี้ ผมขอแค่วันเดียว แล้วผมจะเข้มแข็งไม่อ่อนแออีก

Choo said...

- - -

ในที่สุดการสอบปลายภาคก็มาถึง ระยะหลังผมเริ่มมีความหวังเรื่องส้มมากขึ้น ส้มพูดคุยกับผมเหมือนเก่า เรานัดกันไปเรียน ดูหนังด้วยกันอีกครั้ง รวมถึงเพื่อนของส้มที่ดูมีใจให้ผมไม่น้อยเช่นกัน ตอนนั้นผมคิดเพียงว่าผมต้องอยู่ใกล้ผู้หญิงเข้าไว้มากๆ มีทางเดียวที่ผมจะลืมพี่อู มีทางเดียวที่ผมจะไม่กลายเป็นเกย์

- - -

ในช่วงเกือบสอบเสร็จคืนหนึ่ง “ฮัลโหล บอย นี่พี่นะ” เสียงพี่อูสดใส จากที่พี่อูหายหน้าหายตาไปสักระยะ ผมเองก็เริ่มลืมๆ พี่อูไปเช่นกัน จริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่พยายามจะลืมมากกว่า

หลังจากทักทายกันเล็กน้อยแล้วพี่อูก็ชวนผมไปดูหนัง

“บอย วันเสาร์นี้ไปดูหนังกัน” เสียงพี่อูจริงจัง

“วันเสาร์ เอ่อ... บอยมีนัดแล้วฮะพี่อู” ผมตอบอึกอัก

“เราไม่ได้ไปกินข้าวดูหนังกันมานานแล้วนะ เดี๋ยวนายจะว่าพี่ไม่รู้จักหน้าที่อีก” เหมือนว่าพี่อูพยายามทำเป็นปรกติ แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าพี่อูเริ่มไม่พอใจผมแล้ว

“คือบอยนัดติวกับเพื่อนน่ะพี่อู” ผมยังคงอึกอัก โยกโย้เช่นเดิม

“อะไรว้า” พี่อูบ่น “เพิ่งจะสอบเสร็จปิดเทอม ติวอะไรกันนักหนา อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะสอบเข้าเตรียมฯ”

“ก็บอยนัดเพื่อนๆไว้แล้วน่ะพี่อู” ผมพยายามปิดประเด็น
หลังจากวางสายผมคิดกับตัวเองอย่างแผ่วเบา “ขอโทษนะพี่อู ที่ผมต้องโกหก ผมนัดกับส้ม เพื่อนของส้มไว้แล้ว ผมขอโทษ จริงๆ นะพี่อู” ผมพยายามหาเหตุผลเข้าข้างการกระทำที่น่าละอายของตัวเองอีกครั้ง

- - -
นิยายครับนิยาย เหนือยเหมือนกันแฮะ

nai said...

เอาละครับ นิยายซ้อนนิยาย นี่ได้ผมเขียนอีกมุมของนิยาย ก็กลายเป็นนิยายซ้อนนิยายกำลังสองแน่ๆ เลย

ปล.พี่ชู อู ยิ่งมีคนกำลังสงสัยอยู่

นัย

Anonymous said...

)^_^(ที่28 ได้ปิดเทอมต่ออีก7วันแล้วครับ ตอนนี้มีนิยายให้อ่านทั้งของลุงอู และน้องบอยเลยอิ่มปลิ้น

พี said...

มาให้กำลัง..................อู....ครับ

ภาวะของ อู ก็ไม่ต่างอะไรกับผมเมื่อปีที่แล้วเลย เมื่อน้องคนที่เราชอบ(หรือรัก) ไม่สามารถคบกับเราได้ พยายามจะปลีกตัวจากเราไป ไปมีแฟนผู้หญิง แต่ด้วยความสัมพันธ์แบบพี่ๆน้องๆ เมื่อแต่ก่อน ทำให้ ต้องได้เจอกันบ่อยๆ (เพราะผมอยากเจอด้วยล่ะ)

มันทรมานน่าดูล่ะ แต่มันก็ผ่านมาแล้ว เดี๋ยวนี้ เวลาผมกลับมาบ้าน (ตอนนี้ทำงานต่างจังหวัด) น้องเขาก็มัก ชวนมากินเหล้า หรือ กินข้าวตามร้านพร้อมเพื่อนๆน้องเขา... บ้าง

จริงๆ ก็ดีใจนะ ที่น้องเขาไม่รังเกียจเรา ยังนับถือเราเป็นพี่ แต่ น้องเขา ชอบพาแฟนมากินด้วยนี่ซิ มีเคือง...

แต่ที่ยังรู้สึกอยู่มากเลย ก็คือ เสียดายน้องเขามากๆ เพราะสเป็คผมเลย หล่อๆ ขาว รูปร่างเพรียวๆ นิสัยก็ดี พูดเพราะ ไม่หลอกเอาตังค์หรือให้ซื้อของ ที่สำคัญ มีแฟนแล้ว กลัว แฟนมาก เป็นเงาตามตัวเลย

หวังว่าเรื่องของอูคงจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ ไม่ใช่แบบผมนะ

เอ......ตอนอ่านเนื่อเรื่อง เป็นเรื่องของอู ภาค 3 นี่นา

ทำไมมาอ่านคอมเมนต์ แล้วกลายเป็นเรื่องของน้องบอย ภาค 1 ไปได้

ขอบคุณ พี่ชูมากครับ สำนวนดีเชียว

++ P ++

Anonymous said...

ไม่ได้เม้นนานครับ หลานงานยุ่งน่ะครับ

ชีวิตหนุ่มออฟฟิศตัวน้อยๆวุ่นวายที่สุด

ช่วงนี้เรื่องราวดูเหมือนพายเรือในอ่าง แต่ที่แน่ๆ

อาอูได้กิน "ลูกสมหวัง" แน่ๆครับ

(คงทราบกันใช่มั้ยครับ ว่ามันเป็นชื่อของผลไม้ที่ถูกเปลี่ยนไปของอะไรอิอิ)

มายืนยัน ว่าฆาตรกรไม่มีทางยอมรับสารภาพ หากไม่มีหลักฐานมัดตัว ใช่มั้ยครับ อาชะอู

หลานหนิง

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วแบบ เฮ่อ สงสารอาอูจัง สู้ๆนะครับ
Federick
ป.ล.คิดถึงแฝดน้องจังเลยครับ อิอิ

Joe said...

จริงๆ แล้วที่ผมบอกไม่เข้าใจ คห ที่ 8 เรื่องที่คุณ คห 8 บอกว่า คุณอู เอานัยและบอยเป็นตัวยึด และอาศัยให้เจริญเติบโตต่อไป


ผมไม่ได้คิดว่า คุณ คห นั้นจะว่าคุณอูหรือจะไม่ชอบคุณอูหรอกครับ เพียงแต่ อาจเป็นอีกมุมมองนึงที่น่าสนใจ ซึ่งหากว่าได้ช่วยกันอธิบายกันให้เข้าใจ ก็ถือได้ว่า น่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้สถาณการณ์เดียวกันกับคุณอูได้มีความกระจ่างและสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานั้นๆมาได้

คนที่คิดไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ มันก็จะทรมาน เดินหน้าต่อไปก็เหมือนไม่มีทาง จะถอยหลังกลับก็หาทางออกไม่เจอซะแล้ว


ผมคนนึงล่ะ ที่กำลังเจอแบบเดียวกันอยู่ในตอนนี้ และไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ทรมานจริงๆ

คุณ คห 8 ครับ ลองช่วยอธิบายให้กระจ่างหน่อยได้มั้ยครับ เผื่อว่า ผมจะพบทางสว่างกับเค้าซะที

โจ

เฟดเดอริก โชแปง said...

คิดถึงแฟดเหมือนกันนะครับ

*0*

sam said...

เป็นกำลังใจให้อูด้วยคนครับ

Anonymous said...

เข้ามาชูแขนเชียร์เจ้าของกิจการนาแห้วท่ามกลางความสับสนของบ้านเมืองค่ะ..งานนี้ต้องตัดใจอย่างเดียวนะคะถึงจะมีทางรอด อย่าได้ช้าค่ะอู..

นิยายของชูนี่ตั้งใจจะล้อเลียนอูรึป่าวคะ? สำนวนพิมพ์เดียวกันเป๊ะ เป็นแฝดกันยิ่งกว่าคู่แฝดเฟเดอริคซะอีก
ชักสงสัยแล้วสิว่า ใครเป็นร่างแปลงของใครกันหนอ..
พี่เม้นท์42มาช่วยวิเคราะห์กันหน่อยสิคะ..

มุมมองต่างๆของ"ครอบครัวนายอู"ต่างน่าสนใจทั้งสิ้น
ยิ่งเห็นต่างยิ่งแตกยอด.. บทสรุปสุดท้ายหวังว่าจะมีทางออกที่เหมาะสมและสวยงาม อูได้พบรักที่สมดุลอย่างที่ชูอวยพรไว้นะคะ..สู้ๆค่ะอู..

คนลาดพร้าว

พี said...

มารออ่านตอนใหม่ครับ...แถมเพลงเข้ากับ สถานการณ์ของอู...ตอนนี้

แต่ก่อน ผมฟัง... น้ำตาคลอบ่อยๆ

h t t p://www.pleng.com/song.php?song_id=002125


ของขวัญวันเกิดปีนี้ อายุครบ 18 ปีของน้องเขา ผมทำนาฬิกาแขวนผนังให้ ที่มีรูปถ่ายจากด้านหลังเจ้าของวันเกิด โดยมีน้องเขายืนหันหน้าออกทะเลกอดคอกับเพื่อนสนิทอีก 3 คน

ฉากเป็นหาดทราย ทะเล และท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆดำปกคลุม โดยมีภาพพระจันทร์ยิ้มอยู่ที่มุมซ้าย...นาฬิกาอยู่ขวา

ในภาพมีข้อความอยู่ด้านล่าง

" เพื่อน...
มิตรภาพที่จะยืนอยู่เคียงข้างกัน...ตลอดไป "


นาฬิกา มีตัวเลขขึ้นเรียงจากบนสุด เป็น 1 ถัดมา 2 ไม่มี3,4,5,6,7,8,9,11 และ 12 แต่มี 20 ตรงตำแหน่ง เลข 8 แทน

ขอให้รักนี้ของ อู อย่าเหมือนกับของผมเลย...

+++ P +++

Anonymous said...

ไม่ชอบเรื่องเศร้าเพราะผมจะนิสัยเสียตรงจะอินเกิน แต่มันติดไปแล้วกว่าจะไล่อ่านจนทัน TT แต่อ่านแค่ 1 กะบ 3 2ขอข้ามไม่ไหวกลัวร้องไห้ คิดถึงนัยจังคับ

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วเจ็บปวดจังเลยพี่อู
ทนได้ไงเนี่ย สู้ๆต่อไปน่ะคับ
^^sky^^

Anonymous said...

Anonymous said...
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารนัยและบอยจังครับ
อูได้แต่อาศัยคนอื่นให้ตัวเองเติบโตและมีทางให้เดินไป
ตอนแรกนึกว่าอูก้าวเดินแล้วนะ
แต่ปรากฏว่าก้าวไปหนึ่งถอยมาสอง
ทั้งๆที่รอบตัวอูมีแต่แบบอย่างที่น่าเอาเยี่ยงเป็นอย่างที่สุด
แปลกใจในความคิด...เริ่มรู้สึกว่าแบบอูนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา...และคิดแบบอูคงต้องเห็นโลงศพที่มีหลากหลายทั้งขนาดและสีสันของโลงศพคงได้เห็นมากมาย
แต่กัถิอได้ว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ที่ดีมากๆคนนึงเพราะผ่านมาในมุมความคิดหลายๆเรื่องแล้ว
หวังไว้ว่าอูคงจะเข้มแข็งได้นะครับ
สงสารบอและนัย...ที่เป็นตัวยึด
สงสารอูที่คิดถึงแต่ตัวเอง
รอดูกันนะครับว่าเมื่อไหร่กันนะที่อูจะเติบโตด้วยตนเองได้ซักที...
ขอบคุณผู้แต่นะครับ

""""""""""""""""""""""""
ที่โพสแบบนี้ไม่ได้เกลียดอูนะครับแต่อยากบอกว่าอูตอนที่ถูกลงโทษให้ทำคะแนนให้ได้ 2.5 นั้นเหมือนเป็นอูที่กำลังก้าวเดินไปได้แล้วโดยไม่มีเรื่องบอยมาเกี่ยวเป็นการตัดสินใจของอูเพื่อตัวเองและคนที่รักอูทั้งสิ้นถึงได้บอกว่าเริ่มก้าวเดินแล้วแต่พอกลับมาถึงความคิดอูตรงนี้กลายเป็นว่าอูเริ่มกลับมาติดลบโดยที่อูยึดบอยไว้เป็นทางที่จะทำให้อูมีความสุขมันเหมือนอูพยายามจะฝันโดยที่อูไม่ยอมตื่นน่ะครับคือถ้ามีบอยหรือนัยอูจะมีความสุขและพยายามในการเรียนโดยที่อูไม่ได้คิดจะเรียนเพื่อตัวเองและอูก็ทำร้ายคนที่รักอูไปด้วยผมถึงบอกว่าก้าวถอยหลังไปสองก้าว
ส่วนที่บอกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาคือผมเปรียบเทียบเหตุการณ์ต่างๆที่อูเล่าให้ฟังครับเพราะคนรอบตัวอูที่รักอูและอูก็เห็นไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือตี๋เพื่อนผู้ที่ไม่พร้อมในหลายๆเรื่องรวมไปถึงเวชหรืเชรษฐนะ(จำชื่อไม่ได้)ที่มีฐานะร่ำรวยจนทำให้อูได้เห็นนั้นมันเป็นสิ่งที่อูคิดได้แล้วและส่วนใหญ่คนที่คิดได้มักจะพยายามไม่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่ะครับก็เลยแปลกใจในมุมมองความคิดของอูที่มันหมุนวนกลับมาอีกครั้งดดยที่ทุกๆอย่างอูต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวน่ะครับเพราะคนที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาพอๆกับอูจะเข้มแข็งขึ้นและถ้าคิดได้จะไม่ยอมย้อนกลับไปหาความรู้สึกนั้นอีกครับ แต่เรื่องความรักมันว่ากันไม่ได้มันอ่อนไหว ถึงได้เปรียบโลงศพกับเหตุการณ์ต่างๆที่อูเจอมามีหลากหลายทั้งใหญ่และเล็กและเป็นเหตุการณ์ที่ดีสีขาวหรือสีอื่นๆซึ่งจะทำให้อูรู้สึกแค่นะตอนที่เหตุการณ์ผ่านมา ณ ขณะนั้นแค่นั้นเองครับ
แต่คนที่ผ่านทั้งร้ายและดีมักจะรู้สึกได้ด้วยตนเองน่ะครับ ผมถึงเอาใจช่วย เพระชีวิตมีแค่นี้ครับ ดิ้นรนไข่วคว้าไปจนแทบบ้า แต่สุดท้ายเราก็ต้องอยู่ด้วยตัวเราเองครับ ครอบครัวก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย อูมีครอบครัวที่พร้อมสำหรับอูแล้ว อยากให้หันกลับไปมองอย่ามองและทำร้ายตัวเอง
"คนที่ไม่รักตัวเอง ทำให้ตัวเองทุกข์ คงไม่สามารถรักคนอื่นได้ครับเพราะแม้แต่ตัวเองยังรักตัวเองไม่เป็นเลยครับ"คนเราเกิดมามีหน้าที่ทุกคน ค้นหามันให้เจอครับเพราะหน้าที่ของแต่ละคนไม่ได้อยู่ไกลเลย มันอยู่รอบๆตัวเองนี่แหล่ะครับ
อูครับเอาใจช่วยอูเสมอถึงได้บอกว่าสงสารทั้งอูนัยและบอยครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีทุกคน