Monday, May 3, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 61

ต๊อก... แต๊ก... ต๊อก... แต๊ก...

เสียงก้านพิมพ์ดีดตีกับกระดาษบนแคร่พิมพ์ดังต๊อกแต๊กๆระงมไปทั้งห้อง พิมพ์ดีดเป็นวิชาหนึ่งที่ผมต้องใช้ในการสอบ กศน. ประจำเทอมนี้

ผมนั่งอยู่หน้าแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีด พยายามพิมพ์ตามต้นฉบับโดยไม่ต้องเหลือบไปดูแป้นพิมพ์ วิชาพิมพ์ดีดนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่ว่าง่ายก็เพราะว่าไม่มีอะไรซับซ้อน จำตำแหน่งของตัวอักษรบนแป้นได้ วางนิ้วถูกตำแหน่ง ก้าวนิ้วถูกตำแหน่ง ก็พิมพ์ได้แล้ว ที่ว่ายากก็เพราะการจะพิมพ์ดีดได้คล่องต้องอาศัยการฝึกฝน ไม่มีวิธีลัด ดังนั้นจึงเป็นวิชาที่กินเวลามากวิชาหนึ่ง บางคนก็เหมือนกับว่ามีพรสวรรค์ ฝึกเพียงไม่นานก็พิมพ์ได้คล่อง แต่สำหรับผมไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“ทำไมคำผิดมันเยอะยังงี้ละอู” ครูสอนพิมพ์ดีดพูดขึ้นหลังจากที่มาด้อมๆมองๆแอบดูผมฝึกพิมพ์ตามแบบฝึกหัดอยู่ที่ด้านหลังของผมมาพักหนึ่ง “ยิ่งพิมพ์ทำไมยิ่งแย่ลง”

“ครับ เดี๋ยวจะลองใหม่อีกเที่ยวครับ” ผมไม่รู้จะตอบอะไรที่ดีไปกว่านี้

เฮ้อ ไม่น่าลงพิมพ์ดีดเทอมนี้เลย รู้งี้ลงเทอมหน้าดีกว่า ผมบ่นกับตัวเองไปเรื่อยเปื่อย ที่จริงถึงเก็บเอาไว้ลงเทอมหน้าก็ไม่แน่ว่าสถานการณ์จะดีกว่านี้

ผมมาสมัครเรียนพิมพ์ดีดที่โรงเรียนพิมพ์ดีดในย่านลาดพร้าว ผมฝึกพิมพ์ดีดด้วยความเบื่อหน่าย ใจลอยไปถึงไหนก็ไม่รู้ ผมพยายามนึกว่าแป้นพิมพ์ดีดเป็นคีย์เปียโน เวลาพิมพ์จะได้รู้สึกรื่นรมย์ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ มันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี

เวลาสอบประจำภาคทั้งของโรงเรียนและของ กศน. ใกล้เข้ามาแล้ว ผมยังดูหนังสือไม่จบเลยสักวิชา จะว่าไปตั้งแต่วางแผนการดูหนังสือมาผมยังไม่เคยทำอะไรได้ตามแผนเลย ทุกอย่างพลาดเวลาไปหมด และแทนที่ผมจะเอาเวลามานั่งอ่านหนังสือแต่กลับต้องมานั่งทนฝึกพิมพ์ดีดเพื่อให้ได้ใบประกาศนียบัตร

ในยุคที่ผมเรียนอยู่ ม.ปลายนั้นน่าจะเป็นปลายของยุคเครื่องพิมพ์ดีดแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์แบบพีซีตั้งโต๊ะมีราคาถูกลง ทำให้การใช้งานแพร่หลายมากขึ้น การพิมพ์งานเอกสารด้วยเวิร์ดโพรเซสเซอร์จึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีวัยรุ่นยุคใหม่ก็แทบไม่มีใครเคยสัมผัสกับแป้นของเครื่องพิมพ์ดีด ส่วนใหญ่สัมผัสกับแป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์กันทั้งนั้น การเรียนพิมพ์สัมผัสก็เรียนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แทน อีกทั้งยังมีโปรแกรมสอนและฝึกการพิมพ์สัมผัสหรือที่เรียกว่า typing tutor ให้ใช้อีกด้วย ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นอีกมาก

พิมพ์ดีดที่ใช้กันในโรงเรียนสอนพิมพ์ดีดนั้นเป็นพิมพ์ดีดยุคเก่า ส่วนใหญ่เป็นพิมพ์ดีดแบบตั้งโต๊ะยี่ห้อโอลิมเปียหรือไม่ก็โอลิเวตตี้ ลักษณะของแคร่พิมพ์ดีดเป็นแบบแคร่ยาวที่สามารถพิมพ์งานในกระดาษแนวนอนได้ (ถ้าเป็นแคร่สั้นจะใส่กระดาษแนวนอนไม่ได้) เวลาพิมพ์ต้องอาศัยแรงกลคือแรงจากนิ้วของเรานั่นเองที่เคาะลงไปบนแป้นพิมพ์เพื่อทำให้ก้านพิมพ์ดีดตีลงไปบนแคร่พิมพ์

เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้านั้นปกติไม่มีใครเอามาให้นักเรียนฝึกพิมพ์เนื่องจากมีราคาแพงอีกทั้งน่าจะเปลืองค่าไฟอีกด้วย แต่ว่าที่โรงเรียนที่ผมเรียนนั้นมีพิมพ์ดีดไฟฟ้ายี่ห้อไอบีเอ็มอยู่ด้วย เอาไว้รับจ้างพิมพ์งานตามแต่จะมีลูกค้ามาจ้างพิมพ์ พิมพ์ดีดไฟฟ้าไอบีเอ็มนั้นมีการออกแบบระบบหัวพิมพ์ที่แปลกประหลาด หัวพิมพ์จะเป็นทรงกลม หน้าตาเหมือนลูกกอล์ฟ มีตัวอักษรเรียงรายอยู่รอบหัวพิมพ์ลูกกอล์ฟนั้น เมื่อกดแป้นพิมพ์แต่ละครั้ง หัวกอล์ฟก็จะหมุนและหันตัวอักษรที่ต้องการเข้าหาหน้ากระดาษ จากนั้นหัวกอล์ฟนั้นก็จะโขกโป๊กลงไปบนกระดาษ เมื่อพิมพ์เร็วๆหัวพิมพ์จะโขกกระดาษเป็นเสียงรัวดังสนั่นหวั่นไหวต่อเนื่องกัน ดูแล้วตลกดี ทำให้นึกถึงคนที่เอาหัวโขกฝาผนัง

ผมไม่ค่อยชอบเรียนพิมพ์ดีดเท่าไรนักเนื่องจากขี้เกียจฝึก อีกทั้งแป้นพิมพ์ดีดต้องใช้แรงนิ้วค่อนข้างมาก พิมพ์แล้วเมื่อยนิ้ว แต่ไม่ฝึกก็ไม่ได้ สมัยนั้นที่โรงเรียนสอนพิมพ์ดีดจะมีข้อบังคับไว้เลยว่าต้องมาฝึกพิมพ์กี่ชั่วโมง และต้องสอบจับความเร็วการพิมพ์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษด้วย เมื่อผ่านเกณฑ์จึงจะออกใบประกาศนียบัตรให้เพื่อไปใช้ยื่นกับทาง กศน.

วันนี้เป็นวันหยุด ผมมีนัดกับบอยในช่วงเย็นจึงมาฝึกพิมพ์ดีดเสียก่อน จากนั้นจึงจะเข้าไปพบบอยที่สยามสแควร์ ขณะที่พิมพ์ใจก็คิดถึงแต่บอย การพิมพ์จึงผิดๆถูกๆ เมื่อถูกครูผู้สอนทักและเอางานมาตรวจจึงได้รู้ว่าพิมพ์ผิดเละเทะไปหมด

ชีวิตในช่วงปลายเทอมหนึ่งของผมไม่ค่อยราบรื่นนัก ความกดดันจากการเรียนทำให้ผมรู้สึกเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนยามที่ผมดูหนังสือหามรุ่งหามค่ำผมจะปล่อยวางเรื่องบอยได้ บางทีหลายๆวันไม่ได้เจอกัน ไม่ได้คุยกันก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่มาในระยะหลังนี้ความโดดเดี่ยวทำให้ผมคิดถึงบอยอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับบอยในช่วงหลังดูเปลี่ยนไป แม้ว่าบอยจะผิดหวังจากเรื่องน้องส้มก็ตาม แต่แทนที่บอยจะกลับมาสนิทสนมกับผมเหมือนเดิมบอยกลับดูระวังตัว ไม่ค่อยรับนัดผมง่ายๆเหมือนเมื่อก่อน ผมต้องตื๊อหรือว่าถูกปฏิเสธหลายๆครั้งเสียก่อนบอยจึงจะรับนัดกับผมเสียครั้งหนึ่ง จนความมั่นใจที่ว่าบอยมีใจให้ผมนั้นคลอนแคลนไปมาก

ผมเองก็พยายามระวังตัว ไม่อยากทำอะไรให้บอยเบื่อหน่ายในตัวผม ดังนั้นจึงพยายามระมัดระวังไม่โทรไปคุยหรือว่านัดบอยบ่อยจนเกินไปเพื่อไม่ให้บอยรู้สึกอึดอัดใจ การพยายามรักษาความสัมพันธ์แบบเลี้ยงไข้นี้แม้จะทำให้ผมยังไม่ต้องเสียบอยไป แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ทรมานใจมาก มันเหมือนกับจะตายก็ไม่ตาย จะรอดก็ไม่รอด ความสัมพันธ์อึมครึมไม่กระจ่างชัด ต้องคอยพะวงอยู่ทุกวันว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นอย่างไร แต่จะไม่ทนก็ไม่ได้ บางวันอยากคุยกับบอยมากแต่ก็ไม่กล้าโทรไปหา ต้องอดใจรอให้ทิ้งช่วงหลายๆวันเสียก่อน ซึ่งเวลาแห่งการรอคอยนั้นก็คงเป็นที่เข้าใจกันดีว่ามันทุกข์ทรมานใจเพียงใด แต่กับผมนั้นทุกวัน ทุกชั่วโมง เป็นเวลาแห่งการรอคอยทั้งสิ้น

- - -

ผมไปถึงหน้าโรงหนังสกาล่าในเวลาก่อนห้าโมงเย็นเล็กน้อย การนัดครั้งนี้กว่าบอยจะยอมรับนัดได้ก็แสนยาก บอยปัดผมมาสองสามครั้งแล้วแต่ในที่สุดก็ทนผมตื๊อไม่ได้ การที่ได้มายากจึงทำให้ผมตั้งใจรอคอยให้ถึงวันนี้เป็นพิเศษ

“พี่อู” เสียงบอยเรียกผม บอยมาอยู่ตรงหน้าผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

“อ้าว มาได้ไงเนี่ย พี่ก็มองหานายอยู่แต่ไม่เห็นนายเดินมาเลย” ผมทักทายด้วยความแปลกใจกับการปรากกฎตัวของบอย

“ก็พี่อูยืนใจลอยแล้วจะเห็นบอยได้ไง” บอยตอบ “พี่อูคิดอะไรอยู่”

“ก็... คิดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ คิดถึงแป้นพิมพ์ดีด เมื่อบ่ายไปหัดพิมพ์ดีดมา” ผมมั่วไป ที่จริงกำลังใจลอยคิดถึงมันอยู่นั่นแหละ

ผมมองหน้าบอยอย่างเต็มตา น่าแปลกที่ผมเห็นบอยที่โรงเรียนอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของบอย บอยเปลี่ยนไปมากทีเดียว ไรหนวดเขียวเข้ม ใบหน้าแม้จะค่อนข้างเกลี้ยงเกลามีสิวน้อยแต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เสียงที่เคยสดใสก็กลายเป็นแตกพร่า บุคลิกที่กวนๆ ช่างพูด อารมณ์ดี ก็กลายเป็นแฝงความขรึมเอาไว้ บอยในตอนนี้แตกต่างจากบอยที่ผมเห็นครั้งแรกที่สหกรณ์ราวฟ้ากับดิน

“พี่อูจ้องบอยทำไม ไม่เคยเห็นบอยเหรอ” บอยพูดพลางหัวเราะ

“นายโตขึ้นมากเลยนะ” ผมพูดตามตรง “พี่เพิ่งจะสังเกต”

“ม.๓ แล้วนะพี่อู” บอยหัวเราะอีกด้วยเสียงที่แตกพร่า “ปีหน้าก็ปักตราโรงเรียนที่หน้าอกเสื้อได้แล้ว”

เราไปกินอาหารด้วยกันก่อนตามปกติ แต่บอยดูไม่ค่อยจะปกติ ระหว่างกินค่อนข้างเงียบขรึม

“นายเป็นไรไปน่ะบอย” ผมถามระหว่างที่เรากินอาหารด้วยกันที่ร้านไฮไลท์

“ไม่ได้เป็นไรนี่” บอยปฏิเสธ

“ดูนายเงียบๆไปนะ วันนี้ไม่กวนเลย ปกตินายกวนโอ๊ยจะตาย” ผมแหย่มัน

“เหรอ ไม่รู้ดิ” บอยตอบแล้วก็เงียบๆไป

เมื่อกินอาหารเสร็จ เราก็ไปดูหนังกัน ปกติช่วงที่มีโฆษณาก่อนหนังฉายเป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุดสำหรับผม เพราะบอยมักจะชวนคุยพร้อมกับแกล้งผมบ้าง ซบผมบ้าง เป็นอย่างนี้เสมอ แต่คราวนี้ บอยนั่งตัวตรง บางทีก็ขยับตัวไปมาบ้างเหมือนกับนั่งไม่สบาย

ขณะที่หนังฉาย ผมดึงมือของบอยมาจับไว้พร้อมทั้งสอดประสานนิ้วของผมเข้าไปในร่องนิ้วของบอย การประสานมือกับบอยเป็นเรื่องที่ผมชอบมาก ผมมักจะหาโอกาสแอบทำในตอนที่ไม่มีใครเห็นอย่างเช่นตอนอยู่ในโรงหนัง มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง มันเหมือนกับเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกถึงกันในรูปแบบหนึ่ง

บอยประสานมือกับผมอยู่ชั่วครู่แล้วก็ดึงมือกลับไป ในความมืด ผมรู้สึกว่าตนเองหน้าชาไปหมด ผมสามารถรับรู้ถึงความเหินห่าง แม้เราจะนั่งที่นั่งติดกัน แต่ในความรู้สึกของผมมันเหมือนกับเรานั่งอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน...

เมื่อหนังฉายจบ เราออกมาจากโรง ผมชวนบอยคุย พยายามทำเป็นว่าหนังสนุกทั้งๆที่จริงดูไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

“บอยจะกลับแล้วนะพี่อู” จู่ๆบอยก็พูดขึ้นมา

“อ้าว ไม่ไปกินโดนัทก่อนเหรอ” ผมพูด รู้สึกหน้าชาอีก คราวนี้แถมด้วยความรู้สึกใจหาย เคว้งๆอย่างไรก็ไม่รู้ ปกติหลังดูหนังบางทีบอยจะแวะกินขนมอีกรอบก่อนกลับบ้าน

“ไม่ละฮะ บอยกลับดีกว่า” บอยยืนกราน

“ได้ๆ” ผมโอนอ่อนผ่อนตาม “ช่วงปิดเทอมวันไหนเราไปนั่งเล่นที่สวนลุมกันอีกดีกว่า เล่นเรือ นอนใต้ต้นไม้ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

“ขอบอย... เอ่อ... คิดดูก่อนนะพี่อู” บอยตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก

หลังจากนั้นบอยก็กลับไป การนัดในวันนั้นทำให้ผมรู้สึกเซ็งมาก แทนที่จะรู้สึกสดชื่นและมีความหวัง ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกท้อแท้และหมดหวังหนักยิ่งขึ้นไปอีก

- - -

“เฮ้ย พวกมึงค่อยๆถามสิวะ แย่งกันถามแบบนี้จะให้กูตอบคำถามไหนก่อน” เสียงไอ้เฉาเอะอะในตอนเช้าวันหนึ่ง วันนั้นเมื่อไอ้เฉาและไอ้ทิดซึ่งอยู่ในโต๊ะวิทยาศาสตร์โต๊ะเดียวกันเดินเข้ามาในห้อง เพื่อนๆก็กรูกันเข้ามารุมล้อม ส่งเสียงไต่ถามกันเซ็งแซ่ว่าเป็นไงบ้าง ไปที่ไหน เสร็จกี่ที เสร็จกี่โมง ฯลฯ

“ไอ้ห่า มึงจะให้เสร็จกี่ทีกันล่ะ ถ้าเบิ้ลต้องจ่ายเพิ่มโว้ย”

“ไปที่วิสุทธิ์กษัตริย์ แม่ง ไปเดินหากับไอ้ทิดอยู่ตั้งนาน นึกว่าจะอดแดกซะแล้ว”

“ไอ้เหี้ยทิดแม่งล่มปากอ่าว ฮ่าๆๆ”

“เออ ได้ วันหลังกูจะไปแล้วจะบอกพวกมึงก่อน”

เสียงไอ้เฉาดังเอะอะ เชาวน์จะเป็นคนตอบคำถามของเพื่อนๆเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทิดไม่ค่อยพูดอะไร เอาแต่นั่งอมยิ้ม ส่วนจะเชื่อได้หรือเปล่านั้นก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เพราะลีลาการพูดที่ติดคุยโวทำให้คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด น่าจะจริงบ้างโม้บ้างผสมกันไป มีเพื่อนๆหลายคนที่ฟังแล้วสนใจอยากสร้างวีรกรรมเลียนแบบไอ้เฉาบ้าง

ผมรู้สึกสะดุดอยู่ในใจที่เห็นเพื่อนๆหลายคนอยากไปเที่ยวกันบ้าง มันทำให้ผมย้อนมาคิดถึงตนเอง สำหรับผมนั้นฟังแล้วก็คิดว่าน่าสนใจดี แต่ถ้าถามว่าอยากมีประสบการณ์แบบนั้นบ้างไหมก็ตอบยากอยู่เหมือนกัน ใจหนึ่งก็อยากลองแต่อีกใจหนึ่งก็เฉยๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

“ระวังเถอะมึง เดี๋ยวเอดส์แดกมึงจะไม่ได้สอบเอนทรานซ์” ไอ้กี้ปากเสีย

“เฮ่ย ปล่อยให้ไอ้พวกแดกถั่วดำเป็นก็แล้วกัน กูตีหม้อไม่เกี่ยวโว้ย” เชาวน์พูด ว่าแล้วก็หันไปมองทางจอมมารดำขาวที่นั่งฟังอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆกัน เพื่อนๆในยุคนั้นแม้จะเรียนสุขศึกษามา รวมทั้งได้รับความรู้จากสื่อต่างๆ ว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์แบบชายหญิง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อแบบฝังหัวว่าเอดส์เป็นโรคของเกย์ และนับเป็นโชคดีของเชาวน์และทิด รวมทั้งเพื่อนขาเที่ยวคนอื่นๆที่ไม่ได้จั่วเอกลับมา เพราะในปีนั้นเองอัตราการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในหญิงบริการก็พุ่งกระฉูด จากการสอบสวนทางระบาดวิทยาในภายหลังจึงทำให้ทราบว่าอัตราการติดเชื้อที่สูงขึ้นอย่างมากมายในปีนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากในปีก่อนหน้ามีการปล่อยนักโทษคดียาเสพติดออกจากเรือนจำมากเป็นพิเศษนั่นเอง

“ถั่วดำแล้วมึงมองมาทางนี้ทำไม” นนลอยหน้าลอยตาถาม พลางเอามือลูบไล้หน้าอกของแมนท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ ส่วนแมนก็ยื่นหน้าไปชิดนน ทำท่าเหมือนกับจะหอมแก้มแต่ยังไม่ได้สัมผัสกัน เพื่อนๆเฮกันลั่น

“เปล่าครับพี่” เชาวน์พูดพลางหัวเราะ “ไม่มีอะไรครับ”

ผมอดทึ่งในความสามารถของไอ้คู่นี้ไม่ได้ มันทำตัวเป็นคู่เกย์แบบทีเล่นทีจริงจนเพื่อนๆเห็นเป็นเรื่องตลกมากกว่าที่จะคิดว่าเป็นเรื่องจริงจัง แต่บางครั้งการที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องตลกก็ต้องแลกมาด้วยคำเสียดสีและเย้ยหยันจากเพื่อนๆ ซึ่งทั้งนนและแมนก็มักทำให้เรื่องเสียดสีกลายเป็นเรื่องขำขันไป แต่สำหรับผมนั้นยอมรับว่าไม่มีความสามารถแบบไอ้สองตัวนี้

คำพูดของเชาวน์แม้จะพูดกับนนแต่มันก็ทำให้ผมเจ็บปวด ผมไม่สามารถทนรับคำเสียดสีเย้ยหยันเช่นนั้นได้ เกย์คงเป็นเหมือนชนในวรรณะจัณฑาลที่ถูกเหยียดจนแทบไม่ใช่คนในสายตาของเพื่อนๆเหล่านี้ พร้อมกันนั้นมันทำให้ผมอดฉุกคิดถึงเรื่องของบอยไม่ได้ บอยเริ่มเติบใหญ่ มีเพื่อนและเรียนรู้โลกจากเพื่อนๆมากขึ้น หรือว่าบอยเริ่มรู้สึกรังเกียจผมขึ้นมา?

- - -

ในที่สุดการสอบปลายภาคก็มาถึง ผมดูหนังสือไม่ทันเลยสักวิชาเดียว ช่วงหลังที่มีปัญหาเรื่องบอยทำให้ผมเฉื่อยลงไปมาก กลางคืนชอบนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียวในความมืดจนไม่เป็นอันดูหนังสือ ทำให้เวลาดูหนังสือที่มีไม่เพียงพออยู่แล้วก็ยิ่งไม่พอเข้าไปใหญ่ ดูหนังสือไม่ทันก็เครียด พอเครียดก็ยิ่งดูหนังสือไม่รู้เรื่อง ในช่วงใกล้สอบผมทั้งนอนไม่หลับ ถึงนอนหลับก็ฝันร้าย อาการอาเจียนและท้องเสียก็กลับมาอีก ช่วงนี้เรียกได้ว่าครบเครื่องเลยทีเดียว

“เฮ้ย อู เป็นไงบ้าง ออกแต่เช้าเชียว” เสียงพี่ธิตชั้นดาดฟ้าทักทายผมเมื่อเราพบกันที่ชั้นล่างของหอพัก

“ครับพี่ วันนี้มีสอบ กลัวติดฝนแล้วไปสอบไม่ทันครับ” ผมตอบอย่างเนือยๆ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย รวมทั้งวันนี้มีเสียงฟ้าร้องครืนครันมาตั้งแต่เช้ามืด

“ทำไมอูหน้าซีดยังงี้ ไม่สบายหรือเปล่า” พี่ธิตมองหน้าผมแล้วทักขึ้นมา น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง

“สบายดีครับพี่ คงแค่นอนน้อยไปหน่อย” ผมมุสาเพราะไม่อยากต่อความยาว

“กินอาหารก่อนเข้าห้องสอบนะอู สอบตอนท้องว่างจะคิดอะไรไม่ค่อยออก พี่เคยมาแล้ว” พี่ธิตแนะนำเคล็ดลับให้

“ครับพี่ เดี๋ยวจะไปกินที่โรงเรียน” ผมรับคำ จากนั้นผมกับพี่ธิตก็เดินออกจากหอพักมาพร้อมๆกัน

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยขึ้นไปสังสรรค์เลยนะเรา” พี่ธิตชวนคุยอีก “สมาชิกร่อยหรอ วงกีตาร์เลยกร่อย”

“มัวแต่ดูหนังสือเตรียมสอบน่ะครับ” ผมแก้ตัว “ว่าแต่ผมหายไปคนเดียวคงไม่ถึงกับกร่อยมั้งพี่”

“ใครว่าเราหายไปคนเดียว หายไปตั้งหลายคน” พี่ธิตตอบ “วุฒิก็ย้ายออกไป แป๋งช่วงหลังก็ไม่ขึ้นมาเลย อูก็ไม่ขึ้นมา มีแต่น้องปั้นที่ยังซ่าอยู่”

“อ้าว วุฒิย้ายไปแล้วเหรอครับ” ผมงง “ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ไปสักเดือนแล้วมั้ง เห็นบอกว่าบ้านซ่อมเสร็จแล้วเลยย้ายกลับไป” พี่ธิตเล่า

ผมอดนึกถึงแป๋งไม่ได้ เพิ่งจะสังเกตว่าช่วงนี้ไม่ค่อยพบแป๋งที่ชั้นล่าง ไม่รู้จะเกี่ยวกับเรื่องวุฒิหรือเปล่า

“อูไปขึ้นรถที่ซอยโน้นเหรอ” เสียงพี่ธิตถามเมื่อเราเดินไปถึงปากซอย คนที่ค่อนข้างสนิทสนมกับผมในหอพักจะรู้กันดีกว่าผมไม่ขึ้นรถที่หน้าปากซอยหอพัก

“ครับพี่ ผมไปก่อนนะครับ” ผมลาพี่ธิต และแยกเดินไปคนเดียว

หลังจากที่ผมขึ้นรถได้ไม่นาน ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ทำให้รถติดเป็นเวลานาน ผมไปถึงโรงเรียนตอนเข้าแถวเคารพธรงชาติพอดีจึงไม่มีเวลาพอที่จะแวะกินอาหาร ดังนั้นผมจึงต้องเข้าสอบทั้งๆที่ท้องหิว...



<เครื่องพิมพ์ดีดแบบแคร่ยาวที่ใช้กันในโรงเรียนพิมพ์ดีดและตามหน่วยงานราชการในยุคนั้น ส่วนตามบริษัทห้างร้านเริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการเตรียมเอกสารกันแล้ว>

24 comments:

Fryderyk Chopin said...

โว้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ดีใจมากเลย คนแรกครับ สุดยอดมากเลย


ไม่เคยติด Top Five เลย ฮุๆ


อาอูครับ ใจเย็นๆ นะครับ
ท่าทางบอยจะไม่เล่นด้วยแฮะ รึว่า มันลึกซึ้งกว่านั้น!!!


คิดถึงอาอูนะครับ แฝด และพี่ๆน้องน้อง หลานๆอา ทุกคนนะครับผม

ผมมีเพลงให้อาอูด้วยครับ ฟังตอนฝนตกดูนะครับ

http://www.youtube.com/watch?v=K4da5zExuk8&feature=PlayList&p=5A9FE536372D740B&playnext_from=PL&playnext=1&index=1

สวัสดีครับ

tangkwa said...

มาที่ 2 เย้เย้

มาให้กำลังใจคุณอูค่ะ

Anonymous said...

มาตอกบัตรค่ะ
Rose

Choo said...

น่าเห็นใจถึงการรอคอย ที่นับวันยิ่งห่างไกลของนายอู
เข้าใจถึงความสับสน ที่ไม่รู้จะเลือกทางไหนของน้องบอย

อย่างที่เคยบอกไว้ รักนี้จะเจ็บซ้ำด้วยกันทั้งสองฝ่าย

เป็นกำลังใจให้นายอูเข้มแข็ง และพบกับความรักที่สมดุลในไม่ช้า
เป็นกำลังใจให้น้องบอย เข้าใจตัวเองได้โดยไว ก่อนที่จะทำร้ายคนที่รักมากไปกว่าเดิม

ชู
ปล. มั่วแหลกขนาดนี้ จะจั่วลมหรือเปล่าเนี้ย

พี said...

คิดถึง...อยากเจอเพื่อพบหน้า


กลัวคนครหาพาลำบากใจ


เดินเที่ยวเทียวดูหนังฟังพูดเพลินใจ


ก็กลัวใครว่าไว้จำให้เหินห่าง


คิดถึง...อยากโทรหาเวลาอ้างว้าง


กลัวรบกวนบ้างสร้างรำคาญใจให้


แต่กลัว...กลัวใจเขายิ่งกว่าอื่นใด

กลัวเขาไม่มีใจไม่คบกัน...

++ P ++

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้ว รู้สึกหดหู่จังค่ะ
มันเหมือนห่อเหี่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
><~

หญิง

Anonymous said...

อ่านแล้วก็ไม่รู้จะเขียนยังไงต่อ ได้แต่บอกว่า สู้ต่อไปละกันครับ
Federick
ป.ล.แฝดเป็นไงบ้าง ฉีดยาครบยัง ผมเหลืออีกสามเข็ม

Anonymous said...

คราวนี้บรรจงปอกแห้วยิ่งกว่าเดิมซะอีกค่ะ
อ่านแล้วเศร้าอ่า..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

มารักอาอู แล้วครับ lovelove

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เริ่มเศร้าอีกแล้ว อย่างนี้จะสอบเทียบได้ไหมเนียะ
ments42

Anonymous said...

ท่านประธานครับผมขอใช้สิทธิ์ ในการพาดพิง ผมไม่รู้เรื่องเลยว่ามีแหล่งต่างๆ ทั้งโคมเขียวโคมแดง เพราะไม่ชำนาญเท่าไร แต่ตอนเรียนอยู่ก็พอจะโฉบไปดูบ้างเท่านั้นเอง ไม่ร้อนตัวเท่าไรหนอกครับเพราะไม่ค่อยได้ใช้บริการเท่าไร
ขอชมเชยชู ที่เขียนความรู้สึกของบอยออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
อูระวังไว้นะ คู่แข่งคนต่อไปคือ ชู ที่จะเปิดบร๊อคและเขียนประสพการณ์ของตัวเอง
แต่ก็น่าจะดีนะ จะได้มีเรื่องราวหลากหลายของคนอื่นๆ มาให้อ่านกัน
ขอเอาใจช่วยอู ให้สมหวังบ้างได้ไหมนะ
ของกินที่บอกมา ทั้งอู และสาวลาดพร้าว ผมว่าน่าจะดีนะจะได้มีของอร่อยๆ กินกัน แต่กินมากๆ ก็จะทำให้อ้วนนะ เดี้ยวหุ่นเสีย
ments42

Anonymous said...

รายงานตัวครับ

กัน

Fryderyk C. said...

ถึง แฝด Federick

ฉีดหมาบ้า ครบแล้ว

เหลือ บาดทะยักเข็มสุดท้าย อีกหลายเดือนเลย

ขอให้แฝดหายไวๆ นะครับ

จุ๊บๆ 55+

Anonymous said...

)^_^(ที่14 อรุณสวัสดิ์ครับ ขอบคุณนะค้าบม.5แล้วเหลืออีก1เทอมจบมัธยมแล้วและลุงก็คงจะไม่เล่าต่อแล้วหวิวเลยนะเนี่ยดังนั้นผมต้องมาเม้นขอบคุณลุงทุกตอนเลย กาตูนเรือง 20th century boys ที่ทำเป็นหนังภาค3ออกมาแล้วตอนจบผมว่าทำได้ดีกว่าหนังสืออีกนะครับตอนโตเป็นผู้ใหญ่นี่เป็นคนเลวแต่พอมาดูตอนเด็กแล้วก็น่าสงสารโดนเพื่อนแกล้งบ่อยๆ

Anonymous said...

อ่าว จบ ม.5 ก็จะอวสานแล้วเหรอ

boy_aof_za said...

น้องบอยมาให้กำลังใจนะครับ ถึงยังไงชีวิตเราก็ต้องเดินต่อไปนะครับคุณอู

Anonymous said...

สงสัยคราวนี้ได้กินแห้วสมใจของพี่สาวลาดพร้าวละครับ นั่นสิ ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะสอบเอนทรานซ์ไม่ไหว

ขอบคุณพี่ชูที่แต่งเรื่องต่อให้ จะจั่วได้อะไรพี่ชูรอดูไปอีกหน่อยครับ

หลานฝาแฝดตระกูล F นี่ใครแฝดพี่ใครแฝดน้องนะ ชักสับสนเสียแล้ว หน้าตาเหมือนๆกันเสียด้วย แล้วก็ขอบคุณสำหรับเพลงด้วยครับ

อู

Choo said...

ดูจากสถานการณ์แล้ว อูคงต้องตีตั๋วเรียน ม.6 แน่นอน ถ้าอยู่ ม.5 หนังสือไม่ยอมอ่าน มัวแต่ปลูกแห้วอยู่แบบนี้ อย่าว่าแต่เอ็นฯ เลย สอบเทียบจะผ่านหรือเปล่าเถอะ

ขอบคุณพี่ ment,หลาน )^_^( ที่ 1 ที่ชมครับ ขอเลือกเป็นแฟนคลับอูต่อไปดีกว่าครับ ไม่บังอาจเป็นคู่แข่งครับ อีกทั้งอยากปล่อยเรื่องอดีตเป็นคลื่นกระทบฝั่งจะดีกว่า

คิดๆ ไป นึกถึง หลานทะเลของอาอู เห็นว่าสอบเข้าได้ตามที่หวัง หายไปนานเลย

ชู

Anonymous said...

สำหรับพี่มีนิมิตว่า..อูสอบเทียบผ่านค่ะ
ผ่านชนิดที่ว่าเจ้าตัวยังงงๆว่าเป็นไปได้ไง(ฟระ)?

เสียงคลื่นกระทบฝั่งเพราะนะคะชู..
อยากฟังเหมือนกัน..เล่าเท่าที่อยากจะเล่าก็ได้..
คนมีพรสวรรค์ทางด้านการเขียนหายากนะคะ
ทั้งอูและชูต่างก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่..สำหรับพี่นี่มันคือยาขมเสียจริงๆ
มีการบ้านเรียงความแต่งเรื่องทีไร..
ท้องไส้ปั่นป่วนทุกที(ใกล้กำหนดส่งแล้วหนอ ยังไม่ได้ทำหนอ ลอกใครดีหนอ อ่อ..มันลอกไม่ได้หนอ555)

คนลาดพร้าว

PR said...

มาเป็นกำลังใจให้อาอู คับ...

อาอู ไม่ได้ปลูกแห้ว หรอก คับ ...

แค่อาอู อยู่ใกล้ๆ หนู ( ชวด ) แค่นั้นเอง ...

แหะ ๆ ๆ ... สู้ ๆ ครับ ...

หลานอาร์

Anonymous said...

ถึงแฝด
ขอบคุณมากครับ รักเหมือนกันนะจุ๊บๆ ตอบคำถามอาอูด้วย สงสัยผมจะเป็นแฝดพี่แหละ
Federick

Anonymous said...

คิดถึงจังเลยครับ ติดตามมานาน แต่ไม่เคยเข้ามาในบอร์ดนี้เลย
pee

Anonymous said...

คิดถึงจังเลยคับพี่ ไม่ได้ตามอ่านเลยพักนี้ภาระกิจหนัก เหนื่อย กลัวอ่านเรื่องพี่แล้วเครียดอีก ห้าห้า เศร้าแทน
ไม่รู้ว่าจะเศร้า หรือสุขดีอ่ะ แต่อย่างไรก็แอบหวังน๊า
สู้ๆ คับพี่อู
^^sky^^

All about Rose said...

ตามหาเจ้าของ Blogg มา up ด่วนเลยจ้า