Sunday, April 25, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 60

“บอยก็ต้องเลือกคนที่บอยชอบดิ” บอยตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ผมใจแป้วทันที รู้สึกจุกในลำคอจนพูดอะไรไม่ออก

บอยมองหน้าผม ผมเห็นบอยหน้าเปลี่ยนสีไปนิดหนึ่ง จากนั้นชะงักคำพูดไป แล้วเปลี่ยนเป็นพูดตะกุกตะกัก

“ตอบใหม่ได้ป่าวพี่อู เมื่อกี้บอย... เอ่อ... ยังคิดไม่ค่อยดีเท่าไร”

“นายจะตอบใหม่ว่าอะไร” ผมถามเนือยๆ รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกกำลังหยุดนิ่ง ผมไม่สนใจแล้วว่าคำตอบหลังจะเป็นอย่างไรเพราะผมแน่ใจว่าคำตอบแรกของบอยนั้นมาจากใจจริง

บอยหน้านิ่วคิ้วขมวด คิดคำตอบอยู่นานก็ยังตอบไม่ออก ผมไม่อยากให้มันลำบากใจจึงตัดบทเสียเอง

“ไม่เป็นไรหรอกบอย ไม่ต้องตอบหรอก พี่ถามไปยังงั้นเอง”

“พี่อู...” บอยพูดเสียงแผ่วเบา “บอยตอบไม่ถูกจริงๆ...”

“นายตอบไม่ถูกหรือว่าเลือกไม่ถูกกันแน่” ผมอดพูดไม่ได้

“พี่อู...” บอยหน้าจ๋อย

“ช่างมันเถอะบอย กินขนมกันดีกว่า” ผมปิดประเด็น

- - -

เย็นวันนั้นผมนั่งรถเมล์สาย ๘ กลับหอพักอย่างซึมเซา ผมรู้สึกไม่ดีเลย มันเป็นความรู้สึกที่มีแต่ผู้พ่ายแพ้เท่านั้นที่จะสัมผัสและเข้าใจได้ ผมไม่ได้พ่ายแพ้ในเกมกีฬา แต่ครั้งนี้ผมพ่ายแพ้ในเกมชีวิต... ที่จริง... ถ้าจะพูดให้ถูกแล้วผมยังไม่เคยได้ชัยชนะเลยสักครั้งต่างหาก...

ผมเหม่อมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถเมล์ มันก็เป็นโลกใบเดิม... แต่ทว่าทำไมวันนี้สีของมันจึงได้หม่นทึมได้ขนาดนี้นะ...

ผมกลับถึงหอก็ขึ้นไปเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง รู้สึกอยากนอนเพียงอย่างเดียวไม่อยากทำอะไร อยากนอนให้หลับๆไป เมื่อตื่นขึ้นมาจะได้พบว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่ง... แต่ทว่าข่มตาอย่างไรก็หลับไม่ลง คำพูดของบอยที่หลุดปากออกมาก้องอยู่ในหูของผมอยู่ตลอดเวลา

บอยก็ต้องเลือกคนที่บอยชอบดิ…

“น้องอู ชั้น ๔ รับโทรศัพท์” เสียงจากอินเตอร์คอมดังขึ้น

ผมยังนอนเฉยอยู่บนเตียง ไม่อยากลุก ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น

เสียงจากอินเตอร์คอมเรียกผมอีกครั้ง จากนั้นก็เงียบไป ที่นี่ก็เป็นแบบนี้เอง ถ้าเรียกสองสามครั้งแล้วไม่ลงไปก็จะไม่ตามอีกเพราะคิดว่าไม่อยู่หรือว่าอยู่แต่อาจไม่สะดวกที่จะลงไปรับสายก็เป็นได้

เวลาผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ผมยังนอนลืมตานิ่งเฉยอยู่บนเตียง พี่พรผู้ดูแลหอพักก็เรียกผมทางอินเตอร์คอมอีก คราวนี้ผมลุกขึ้นจากเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย เดินออกไปนอกห้อง และตะโกนใส่อินเตอร์คอม

“ครับ ลงไปเดี๋ยวนี้ครับ” ผมพูด หลังจากนั้นก็ปิดห้องและเดินลงไปรับสายที่ชั้นล่าง คงเป็นแม่ที่โทรมา ถ้าผมไม่ลงไปรับสงสัยว่าแม่คงโทรไม่เลิกแน่

“ฮัลโหล” ผมพูดใส่หูโทรศัพท์

“โห พี่อูไปอยู่ไหนมาน่ะ บอยโทรมาตั้งหลายครั้ง” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากปลายสายด้านโน้น

ผมรู้สึกแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าผู้ที่โทรมาจะเป็นบอยไปได้ เสียงของบอยเป็นเสมือนน้ำทิพย์ชะโลมดวงใจที่อับเฉาของผมให้ฟื้นชื่นขึ้นได้อย่างประหลาด

“บอย ดีใจจังที่นายโทรมา” ผมพูด “พี่นอนอยู่น่ะ”

“พี่อูเป็นไรหรือเปล่าฮะ ทำไมนอนแต่หัวค่ำเลย” บอยถาม

“ก็... คงไม่สบายนิดหน่อยมั้ง” ผมตอบอ้อมแอ้ม ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไรดี “ว่าแต่นายทำไมโทรมาล่ะ”

“บอยโทรมาไม่ได้หรือไง” บอยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เปล่า... พี่แค่สงสัยว่านายมีเรื่องอะไรถึงได้โทรมา” ผมตอบ น้ำเสียงที่จริงจังของบอยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ

“เมื่อเย็นดูพี่อู เอ่อ... สีหน้าไม่ค่อยดีอะ บอยเลยอดเป็นห่วงไม่ได้” บอยพูด

“นี่นายห่วงพี่เหรอ” ผมรีบถาม

“พี่อูไม่เป็นไรนะ” บอยไม่ตอบคำถาม

มันหมายถึงเรื่องอะไรของมันนะ หมายถึงว่าผมไม่สบายแล้วไม่เป็นอะไรมาก หรือว่ามันถามถึงเรื่องเมื่อเย็นที่โรงอาหาร...

“นายหมายถึง...” ผมลากเสียง

“ก็หมายถึงว่าพี่อูสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย” บอยตอบแบบเดิม “บอยเป็นห่วงพี่อูนะ... มีพี่ชายกะเค้าอยู่คนเดียว”

หัวใจของผมแป้วลงอีกครั้ง พี่เป็นได้แค่พี่ชายของนายเท่านั้นเองหรือ... หลังจากนั้นเราสองคนก็คุยกันอีกสักครู่และก็วางสาย

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าบอยโทรมาด้วยวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ แต่อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่ดูออกก็คือบอยยังเป็นห่วงผมอยู่ และนี่เองที่ทำให้ผมเกิดมีความหวังขึ้นมารำไร

ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ผมพึมพำ

- - -

“ไง ไอ้ไก่อูคนดัง” เสียงดังขึ้นจากข้างหลังผมในตอนหลังเลิกเรียนของวันหนึ่ง ขณะที่ผมและเพื่อนๆกำลังเดินลงจากตึก

“ไอ้ลูกอ๊อด” ผมหันกลับไปพูด อ๊อดเพื่อนเก่านั่นเอง ตั้งแต่เรียนด้วยกันในตอนชั้น ม.๒ หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยได้อยู่ห้องเดียวกันอีก แต่เราก็มักเจอกันและทักกันเสมอเมื่ออยู่ในตึกเรียน กับตี๋ก็เช่นกัน “กูดังที่ไหนกัน”

“มึงไม่ต้องมาตีหน้าเซ่อ ตอนนี้มึงกลายเป็นคนดังไปแล้ว นักเรียนทั้งระดับ ม.๕ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักนายไก่อู กับ... กับ... เอ้อ อีกคนชื่อไรวะ” อ๊อดพูด แล้วก็หัวเราะ “ลืมชื่อเพื่อนมึงไปแล้ว”

“ชื่อเชาวน์” ผมต่อให้ ผมรู้ดีว่ามันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เรื่องราวของผมและเชาวน์ลือเลื่องไปทั้ง ม.๕ จริงๆ

“เออ นั่นแหละ ไอ้เชาวน์” อ๊อดตอบ “มึงนี่แม่งโคตรสร้างวีรกรรมเลย กูนึกไม่ถึงเลยจริงๆ แต่ก่อนเห็นมึงเด็กดีฉิบหาย”

เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ว่าตอนนี้คงไม่ใช่แล้วล่ะ ผมตอบอ๊อดในใจ อ๊อดคงยังจดจำอยู่กับภาพเด็กหัวอ่อนของผมเมื่อตอนชั้น ม.๒ แต่ตอนนี้ผมไม่หัวอ่อนแล้ว ผมเรียนรู้ที่จะต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา

“เฮ้ย เดี๋ยวกูขอไปส้วมก่อน แล้วค่อยยกย่องกูต่อวันหลังก็ได้” ผมตัดบทมันแล้วรีบปลีกตัวเดินจากไป เป้าหมายของผมคือโรงอาหาร

หลังจากที่บอยโทรมาหาผมเมื่อวันก่อน มันทำให้ผมเกิดความหวังขึ้นมารำไร แม้ว่าบอยตอนนี้จะยังไม่เลือกผม แต่อย่างน้อยบอยก็ยังสนิทสนมและมีความปรารถนาดีกับผมอยู่ ถ้าผมพยายามให้มากขึ้น ไม่แน่ว่าบอยอาจจะเปลี่ยนใจมากเลือกผมก็ได้ เกมที่ผมเคยคิดว่าพ่ายแพ้ไปแล้วกลับกลายเป็นว่าผมยังเล่นต่อได้และยังมีโอกาสชนะอยู่บ้าง ความคิดที่เปลี่ยนไปเพียงนิดเดียวของผมทำให้ผมเปลี่ยนจากสภาพที่ท้อแท้กลับมามีกำลังใจที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไปอีกครั้งหนึ่ง

ถ้าผมต้องการเอาชนะหัวใจของบอย ผมคงต้องใช้สมองบ้าง จะเอาแต่เดินหน้าอย่างทื่อๆคงไม่ได้แล้ว

คู่แข่งของผม... น้องส้มที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน... ได้เปรียบผมตรงที่บอยชอบเธอ ส่วนผมนั้นได้เปรียบตรงที่รู้จักกับบอยและสนิทสนมกันมานานกว่า อีกทั้งรู้ใจมันมากกว่า ผมจะต้องเอาข้อได้เปรียบของผมเหล่านี้มาเอาชนะใจบอยให้ได้

ผมทิ้งช่วงไม่ติดต่อกับบอยมาหลายวันแล้ว ผมคิดว่าผมคงต้องวางตัวบ้าง การเอาแต่โทรไปหาหรือไปหามันทุกวันมันเหมือนกับการคอยตามตื๊อ บอยอาจรู้สึกอึดอัดใจได้ นั่นจะยิ่งทำให้ผมเสียคะแนน ดังนั้นผมจึงพยายามอดใจไม่ติดต่อกับบอยถี่จนเกินไป มีการเว้นช่วงบ้างพองาม... แต่การรอคอยกว่าจะได้ติดต่อแต่ละครั้งนั้นมันทรมานใจไม่น้อย ผมต้องอดทนต่อความกระวนกระวายและความร้อนใจของผมเอง ใครที่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาคงยากที่จะเข้าใจ

จนเมื่อคืน ผมโทรหาบอย และก็ทำให้ผมรู้ว่าช่วงที่ผ่านมาบอยอาการไม่ค่อยดีเท่าไร บอยยังทำใจเรื่องส้มไม่ได้ จนจิตใจฟุ้งซ่าน เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง รวมความแล้วก็เป็นอาการอกหักแบบที่ผมเคยเป็นนั่นเอง ผมจึงบอกว่าถ้าอยากระบายก็คุยให้ผมฟังก็ได้ เราจึงนัดเจอกันที่โรงอาหารในวันนี้

ที่โรงอาหาร บอยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“พี่อู” บอยทักเมื่อเห็นหน้าผม สีหน้าของบอยหมองคล้ำ ไม่มีเค้าของความร่าเริงและอารมณ์ดีของเมื่อก่อนอยู่เลย

“เป็นไงบ้างบอย” ผมทัก

“ก็เรื่อยๆฮะพี่อู” บอยตอบ

“ถ้าเรื่อยๆยังดูแย่ขนาดนี้ แล้วตอนแย่จริงๆจะขนาดไหน” ผมแหย่บอย

วันนี้กลับกลายเป็นคนละคนกับบอยคนเดิม บอยพูดน้อย ส่วนใหญ่จะนั่งดูดน้ำหวานเงียบๆด้วยท่าทีซึมเซามากกว่า บอยเล่าว่าพยายามไปงอนง้อขอคืนดีกับส้มแต่ไม่เป็นผล ซ้ำยังโดนเด็กรุ่นพี่ที่ส้มกำลังคบอยู่ไล่ตะเพิดให้เสียหน้าอีก ผมเองก็พูดอะไรไม่ถูก จึงได้แต่นั่งเงียบๆเป็นเพื่อนบอย

นั่งแช่อยู่ที่โรงอาหารได้สักพักหนึ่ง บอยก็ขอตัวกลับ ก่อนแยกจากกัน ผมหยิบซองซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้บอย

“อะไรอะ” บอยถาม พลางดูของที่ผมมอบให้ มันเป็นซองพลาสติก ข้างในบรรจุดอกไม้ชนิดหนึ่งอยู่หนึ่งดอก รูปทรงของดอกไม้คล้ายๆรูปนก ผมเพิ่งเตรียมมาเมื่อเช้าก่อนมาโรงเรียนนี่เอง

“ก็ดอกไม้ไง” ผมตอบ

“ดอกอะไรอะ” บอยถามอีก หน้าตาคุ้นๆ แต่ไม่รู้ชื่อ”

“ดอกแคไง” ผมตอบ

“อ้อ ใช่ บอยเคยกิน” บอยตอบ “ว่าแต่พี่อูให้ดอกแคบอยทำไม”

“ดอกแค ก็...” ผมหยุดไปนิดหนึ่ง กำลังลังเลว่าจะปล่อยให้มันไปคิดเอาเองดีหรือไม่ แต่ก็กลัวมันคิดไม่ออก ในที่สุดจึงตัดสินใจบอกออกไป “พี่แคร์นายนะ”

หลังจากที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อคืน ผมอยากแสดงอะไรออกมาให้บอยรู้บ้างว่าผมรู้สึกอย่างไรกับมัน ครั้นจะให้ดอกกุหลาบก็ไม่กล้า แค่คิดก็สยองแล้ว ผู้ชายให้ดอกกุหลาบกัน... คงต้องฮือฮากันทั้งโรงเรียนเป็นแน่ ก็มาคิดได้มุขนี้ พยายามทำให้มันเป็นเรื่องขำๆ

บอยมองหน้าผม ดูเหมือนว่าบอยจะไม่ขำ สีหน้าของบอยราบเรียบจนผมเดาใจมันไม่ออก มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจที่คิดมุขนี้ขึ้นมา มันงี่เง่ามาก แต่ทำไงได้ ก็ทำไปแล้วนี่

“ขอบคุณฮะพี่อู บอยกลับละนะ” บอยพูดเพียงสั้นๆ จากนั้นเราสองคนก็แยกจากกัน

- - -

เดือนสิงหาคม

ตอนที่ผมได้รู้ความจริงจากปากของบอยเองว่าบอยกำลังคบกับเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ ชีวิตของผมก็ถึงกับเสียศูนย์ แต่มันก็เป็นไปเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่ผมคิดว่าผมยังพอมีโอกาสต่อสู้เพื่อเอาหัวใจของบอยมาครอบครอง ชีวิตของผมก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง

หลังจากที่บอยอกหักจากน้องส้ม ผมก็พยายามเข้าไปเป็นผู้ดามหัวใจให้บอย ในยามที่บอยเศร้าเสียใจและเคว้งคว้าง บอยจึงเปิดโอกาสให้ผมเบียดแทรกเข้ามาในชีวิตของบอยอีกครั้งหนึ่ง ผมมีโอกาสนัดเจอและไปเที่ยวกับบอยบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ตราบใดที่บอยยังเปิดโอกาสให้ผมก็แสดงว่าผมยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง

ทางด้านการเรียนของผมนั้นก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ การที่ยังไม่สิ้นหวังจากบอยช่วยผมได้มาก มันทำให้ผมยังมุมานะดูหนังสือเพื่อสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ต่อไปได้ แต่ผมรู้ตัวเองดีว่าเมื่อไรที่ผมสิ้นหวังจากบอย เมื่อนั้นชีวิตของผมคงถึงหายนะเป็นแน่

ผมพยายามใช้ชีวิตที่คาดว่าจะเป็นปีสุดท้ายในโรงเรียนแห่งนี้อย่างเต็มที่ตามที่เคยคิดเอาไว้ ผมพยายามไม่เก็บตัว ไปเที่ยวและดูหนังกับเพื่อนๆในโต๊ะวิทยาศาสตร์อันได้แก่ หมู สิทธิ์ และกรณ์ หลายครั้ง วันก่อนก็เพิ่งไปดูหนังที่สยามสแควร์มา ขากลับยังซื้อเพลงออกใหม่มาม้วนหนึ่ง ชื่อชุด เทวดาเดินดิน ของพี่แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ซึ่งเป็นนักร้องชายที่โด่งดังในยุคนั้น

การที่ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยทำให้ผมสนิทสนมกับเพื่อนในโต๊ะวิทยาศาสตร์มากขึ้น ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเรียนใหนห้องวิทยาศาสตร์ บ่อยครั้งที่เราก็ไม่สนใจการเรียนและเอาแต่คุยกัน ไม่ใช่เป็นแค่โต๊ะของเรา โต๊ะอื่นๆก็เป็นเช่นกัน โต๊ะไอ้เฉาและกลุ่มติวของมันที่อยู่ติดๆกันกับโต๊ะของกลุ่มผมนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง คุยกันเสียงดังเออะ ไอ้กลุ่มนี้ก็แปลก เกาะกลุ่มเหนียวแน่นตั้งแต่ ม.๔ แต่มาในระยะนี้ดูจะเที่ยวและเล่นกันมากยิ่งขึ้น ไม่จริงจังเคร่งเครียดเหมือนเมื่อก่อน บางทีก็ได้ยินมันนัดติวกันในตอนเย็นแล้วหลังจากนั้นยังชวนไปเที่ยวกันต่อ

“เฮ้ย ไปคืนนี้เลยเหรอ” เสียงไอ้เชาวน์จากโต๊ะที่อยู่ติดกันแว่วมา

จากนั้นก็ได้ยินอะไรแว่วๆว่าวิสุทธิ์กษัตริย์ จากนั้นก็กิ่งเพชร แล้วก็ศรีทอง ดูเหมือนกับพวกมันกำลังหาที่เที่ยวที่ไหนสักแห่งแต่ยังเลือกไม่ถูกหรือว่ายังไปไม่ถูก

“ไม่ไปโว้ย เดี๋ยวโรคแดกขึ้นมาตายห่ากันพอดี” เสียงไอ้กี้เอะอะ มันคงได้รับคำเชิญชวนแต่ปฏิเสธไป

ผมคิดในใจว่าทำไมมันไม่มาชวนกูบ้างวะ อยากรู้ว่ามันกำลังจะวางแผนไปไหนกัน แต่ก็แค่คิดเล่นๆเท่านั้น ไม่ได้น้อยใจอะไรเพราะว่าปกติพวกมันก็ไม่ได้ชวนผมไปไหนอยู่แล้วเนื่องจากไม่ได้อยู่ในกลุ่มของมัน

ได้ยินพวกมันนัดเที่ยวกันทำให้ผมอดคิดถึงบอยไม่ได้ อยากหาโอกาสไปกินอาหารและดูหนังที่สยามสแควร์กับบอยสักเรื่องหนึ่ง ช่วงหลังนี้บอยซึมไปมาก จากเดิมที่เป็นมันคอยกระเซ้าเย้าแหย่ผม ตอนนี้กลายเป็นว่าผมต้องคอยแหย่มันเพื่อให้มันอารมณ์ดีแทน

นึกถึงสยามสแควร์แล้วก็นึกถึงมาบุญครอง คิดถึงโรงเรียนดนตรีที่ผมเลิกเรียนไปแล้วตั้งแต่ต้นปีเพราะต้องการให้เวลากับการดูหนังสืออย่างเต็มที่ คิดถึงคนนั้นคนนี้ที่ร่วมใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในสยามสแควร์มาตั้งแต่ผมยังอยู่มัธยมต้น แล้วจู่ๆความคิดของผมก็ไปหยุดที่คนคนหนึ่ง... ครูช่วย

ผมไม่ได้โทรไปหาครูช่วยมาพักใหญ่แล้ว เดิมทีคิดว่าจะโทรไปคุยกับครูช่วยสักเดือนละครั้งหรือสองครั้ง อย่างน้อยจะได้ช่วยคลายเหงาแก่ครูช่วยได้บ้างเพราะดูครูจะรู้สึกเงียบเหงาตั้งแต่ไปอยู่ที่บ้านลูกชาย แต่ก็ทำได้เพียงช่วงแรกๆเท่านั้น ช่วงหลังก็ลืมบ้างอะไรบ้าง

พักเที่ยงวันนั้นผมจึงโทรไปหาครูช่วยทันทีโดยใช้ตู้โทรศัพท์ในโรงเรียน ผมชอบโทรหาครูช่วยในเวลากลางวันเพราะว่าครูจะเป็นคนรับสายเองเนื่องจากอยู่บ้านคนเดียว หากโทรเวลาค่ำมักเป็นลูกชายหรือลูกสะใภ้ของครูช่วยรับสาย

เสียงสัญญาณเรียกดังอยู่นานจนสายถูกตัดไปเอง ผมลองโทรใหม่อีกครั้ง ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม

สงสัยว่าครูช่วยคงออกไปข้างนอก ด้วยความที่อยากคุยกับครูช่วยผสมกับความรู้สึกที่ผิดไม่ได้โทรไปหาครูช่วยนานแล้ว ค่ำวันนั้นผมจึงพยายามโทรหาครูอีก

“ฮัลโหล” เป็นเสียงผู้ชายที่ไม่ใช่ครูช่วยรับสาย

“สวัสดีครับ ผมขอสายครูช่วยหน่อยครับ” ผมพูด

“เอ้อ... ไม่ทราบจากไหนครับ” เสียงทางโน้นถาม

“ผมอูครับ เป็นลูกศิษย์ของครูช่วยครับ” ผมแนะนำตัว

“อ๋อ” เสียงทางโน้นพูดราวกับรู้จักผม ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ

“ครูช่วยเสียไปแล้วนะ” เสียงลูกชายครูช่วยพูดต่อ น้ำเสียเคร่งขรึม

ผมใจหายวาบ เป็นไปได้อย่างไรกัน

“ครูช่วยเสียเมื่อไรครับ” ผมถาม

“เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง” ลูกชายครูช่วยตอบ “พ่อเป็นโรคหัวใจมานานแล้ว แต่ตอนที่พ่อจากไปนั้นพ่อไปอย่างสงบ นอนหลับแล้วก็ไป งานศพพ่อก็เพิ่งเสร็จไปเมื่อตอนปลายเดือนนี่เอง”

“...” ผมพูดอะไรไม่ออก

“ก่อนที่พ่อจะเสีย พ่อยังพูดถึงน้องอยู่เลย” เสียงทางโน้นพูดต่อ

“ครูช่วยพูดถึงผมว่าอะไรครับ” ผมถาม

“พ่อเปรยว่าหมู่นี้ไม่เห็นน้องโทรมาเลย” ลูกชายครูช่วยตอบ

หลังจากที่วางสาย ผมยังรู้สึกใจหายอยู่ ภาพของครูช่วยลอยเด่นอยู่ในความคิดคำนึง ต่อไปผมจะไม่ได้พบกับครูช่วยอีกแล้ว... ตลอดไป...

ถึงจะมีวาสนาต่อกันปานใด สุดท้ายก็ยังต้องพลัดพราก ผมอดนึกถึงคำของครูช่วยไม่ได้ หรือว่าในวันนั้นครูช่วยกำลังต้องการบอกใบ้อะไรบางอย่างแก่ผม

ผมรู้สึกผิดในใจอย่างรุนแรง ผมเคยรับปากกับครูช่วยและตั้งใจเอาไว้ว่าเราจะกินอาหารด้วยกันอีกสักมื้อหนึ่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำเสียทีเพราะผมเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่ง กินอาหารด้วยกันสักมื้อมันจะยากอะไร อยู่ในกรุงเทพฯด้วยกันแท้ๆ สยามสแควร์ก็ไปบ่อยๆ จะกินด้วยกันเมื่อไรก็ย่อมได้ แต่สุดท้าย... มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆที่เรื่องเล็กๆแค่นี้ผมก็ทำไม่สำเร็จ... และผมจะไม่มีวันทำให้สำเร็จได้ตลอดไป...

บทเรียนบทแรกๆในชีวิตที่เกี่ยวกับการพลัดพรากอันเป็นนิรันดรคือเรื่องของตาล แต่มันก็ความผูกพันที่เกิดขึ้นจากการรู้จักกันเพียงไม่นาน ปกติผมไม่เคยครุ่นคิดเรื่องความตายเท่าไรนัก เพราะว่าครอบครัวและเพื่อนๆ คนที่ผมรักยังมีชีวิตอยู่กันทุกคน ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการที่ต้องสูญเสียบุคคลที่เรารักและสนิทสนมด้วยเพราะความตายมาพลัดพรากนั้นเป็นอย่างไร ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อผมได้รับรู้ข่าวการจากไปของครูช่วยเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูก ทั้งรู้สึกผิด ทั้งโศกเศร้า และทั้งน่าหวาดกลัว... ผมกลัวการพลัดพราก... กลัวที่จะต้องมีชีวิตอยู่โดยปราศจากผู้เป็นที่รักอยู่เคียงใกล้

28 comments:

Anonymous said...

บอย โทรมาหาที่หอ เหมือนต้องการบอกว่าเป็นแค่พี่ชาย

สงสารอูจัง แห้วอีกแล้ว

เมื่อไหร่จะสมหวัง เสียที

สงสัยต้องให้หลานๆปลอบใจอีกแล้ว

thom

Unknown said...

ที่หนึ่งครับ ดีใจจัง

อูตอนนี้ เอาความจริงของชีวิตมาเขียน ได้พบกันดีใจ จากกันเสียใจ ได้พบกัน เพื่อจากกัน โอยๆๆ หนักจัง ช่วงนี้อูเศร้าจังนะคับ
รออ่านตอนต่อไป ว่าอูจะผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างไร ก็ผ่านมาได้หลายเหตุการณ์อยู่แล้ว ว่าแต่ว่า สามเล่มยี่สิบ แบ่งให้อ่านมังซิ ช่วยสิบบาท ฮาๆๆๆ

กัน

Unknown said...

นึกว่าเป็นที่หนึ่งเสียอีก แย่จัง ที่สองก็ยังดี

กัน

Anonymous said...

)^_^(ที่1+1+1+1 สวัสดีตอนเช้าครับ เห้อเศร้าครับเรื่องครูช่วย แต่ยังดีที่ตั้งใจเรียนอยู่ ดอกแคเป็นยังไงเด๋วจะไปหาดูในเน็ตซะหน่อย ผมยังไม่ลืมเรื่องของนนกับแมนนะครับมาเลาตอนพิเศษให้ฟังหน่อยสิครับอิอิ อย่าบอกนะว่าไม่รู้อย่างลุงเนี่ยต้องคอยแอบดูแหง5+++ ขอบคุณค้าบบบ

Anonymous said...

สวัสดีครับ มารัก และเป็นกำลังใจให้อาอูสู้ๆ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าอินกับเรื่องเป็นพิเศษ โดยเฉพาะที่อาอูพูดเรื่องการสูญเสียคนรักเนี่ย ผมเองก็พึ่งสูญเสียคุณย่าของผมไป ผมเองรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้ดูแลท่านเท่าไหร่ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับด้านหน้าที่การงานด้วย ตอนที่ท่านเสียผมก็ดันไม่สบายเลยไม่ได้ไปดูใจท่านเป็นครั้งสุดท้าย พออาอูเขียนถึงเรื่องคุณครูช่วย ผมเองก็สะท้อนใจมาก รู้สึกเหมือนน้ำตามันจะไหลเลย การมีความรักบางมันก็มาพร้อมกับการลาจาก ซึ่งเราไม่อาจหลีกเหลี่ยงได้เลย
Federick

All about Rose said...

หดหู่นะเราจะจัดการกับความหดหู่ยังไงดี

Rose

Anonymous said...

แอบเศร้าเงียบๆ

ครูช่วยก็เสีย

แถมน้องบอยยังแห้ว

น่าสงสารนะครับ ^ ^

หลานหนิง

Anonymous said...

มุขดอกแคพี่อูคิดได้ไงเนี่ย แบบว่าหลุดโลกมากมาย

Anonymous said...

อ่านแล้วคิดถึงครูคนหนึ่งที่สนิทมาก สอนพิเศษมาตั้งแต่ ป.1 - ม.3 มีครั้งหนึ่งครูชวนไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน แต่เราอิดออดเพราะขึ้เกียจไป ก็สัญญาส่งเดชกับครูว่าวันหลังจะไปเป็นเพื่อน หลังจากนั้นแม่โทรไปบอก (ตอนนั้นเรียนมหา'ลัย) ว่าครูเสียแล้ว คนรอบข้างบอกว่าครูเครียด ปวดหัว แต่ไม่รู้เหตุผลอะไรแน่ที่ครูเลือกจบชีวิตตัวเอง
คิดแล้วก็เสียใจเพราะถ้ารู้ว่าครูมีเรื่องกลุ้มใจมาก ก็คงติดต่อพูดคุยกับครูบ่อยกว่านั้น ครูอาจจะเห็นเราเป็นเด็กเลยไม่เล่าอะไรๆให้ฟัง ตอนนั้นร้องไห้เสียใจเป็นเดือนเลย

Anonymous said...

กำลังดูอูปอกแห้วจะส่งเข้าปากตัวเองอยู่แล้วเชียว
กลับต้องขำก๊ากกับมุขดอกแค..
ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะทั้งที่ผ่านมา2ใน3ของชีวิตแล้ว..คิดได้ไงคะเนี่ย?

ตอนพี่อยู่ม.ปลาย..เห็นเพื่อนๆผู้ชายเค้าเผากันเอง อย่างสนุกสนานหลังจากแอบไปเที่ยวแถวกิ่งเพชร..แถมยังมาเล่าให้เราฟัง(แบบไม่เต็มเรื่อง)อีกตะหาก ไอ้เราต้องทำหน้าแก่แดดเวลาที่เค้าเล่าทั้งที่รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง เฮ้อ!กรรมของตัวเอง..

เรื่องของครูช่วยก็เช่นกัน..เหมือนส่งตรงมาบีบหัวใจคนอ่านโดยเฉพาะ!!
เอาน่ะ..อย่างน้อยคืนนี้ยังมีข่าวดีที่กันเข้ารอบ2คนสุดท้ายของเดอะสตาร์..

คนลาดพร้าว

yo408 said...

ผมเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาเหมือนกันครับ รู้สึกแย่ไปหลายวัน แต่ของผมคงหนักกว่าของคุณอู

ตอนเรียนป.ตรี ผมได้รู้จักกับพี่คนหนึ่ง ตอนนี้ต้องว่าในฐานะมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน เลิกเรียนต้องรีบไปหานั่งรอในห้างใกล้ออฟฟิส พี่เค้าเลิกงานจะลงมาเลี้ยงข้าว ราคาไม่แพงหรอกครับ มื้อประมาณ100บาท บางทีผมก็ออกของผมเองมั่ง แต่มีความสุขมากครับที่ได้อยู่ใกล้ๆ กินเสร็จเดินเล่น รอจนห้างใกล้ปิด ก็จะเข้าไปจุ๊กกรู๊กันในห้องน้ำ ไม่ได้โม๊คหรือฮาร์ทคอร์นะครับ แค่จูบ คลึง เสียดสี และเค้าชักให้ผมจนน้ำแตก แต่พี่เค้าไม่ให้ยุ่งกะตรงนั้นของเค้าเลยนะครับ พอเสร็จสมก็ออกมาขึ้นรถเมล์กลับด้วยกัน ผมส่งพี่เค้าหน้าซอยบ้านแล้วก็กลับ เป็นงี้หลายเดือน จนสองปี(ผมเจอพี่เค้าครั้งแรกตอนม.5 แต่ตอนนั้นไม่ได้ขอเบอร์ และไม่ได้เจอกันอีก มาเจอตอนปี1เลยได้ขอเบอร์ รวมๆแล้วก็ประมาณ4ปีนับจากวันแรกที่เจอกัน วันแรกก็ไม่มีไรครับ ผมเข้าไปจีบได้นั่งคุยกันถูกคอ พี่เค้าพาไปเลี้ยงกาแฟร้อนกับขนมชิ้นนึง คุยกันไปจนถึงเวลาต้องแยกจากกัน พี่เค้าก็ไป พอมาเจอกันอีกพี่เค้าบอกว่าลืมให้นามบัตร ย้อนกลับมาก็ไม่เจอผม ผมก็บอกผมวิ่งตามไปที่ป้ายรถเมล์ที่พี่เค้าจะขึ้น คงสวนกันด้วยความมืด)พี่เค้าเริ่มมีอาการตาฟ้าฟาง ไปตรวจจนรู้ว่าเบาหวานขึ้นตา พี่เค้าพยายามยื้อเวลาไว้ แต่ก็ไม่ทัน พี่เค้าดื้อด้วยครับไม่ยอมเคร่งครัด จนถึงระยะสุดท้ายนั่นแหละถึงมาเคร่งครัด แต่ก็ไม่ทัน ทำให้พี่เค้าตาเสีย ประกอบกันบริษัทที่พี่เค้าได้เป็นผู้จัดการตั้งแต่ยังหนุ่มเกิดล้มละลาย ปิดตัวลงไป พี่เค้าเลยต้องกลับมาอาศัยญาติอยู่แถวกิ่งเพชร ผมเคยไปเยี่ยม1ครั้ง ด้วยความที่บ้านนั้นทำกิจการเสื้อผ้า และรับซักรีดด้วย ทำให้ตึกแถวนั้นเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก ญาติพี่เค้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพี่เค้าเป็นตัวภาระ และไม่ชอบในการที่ผมมาเยี่ยมอย่างเปิดเผย ทำให้ผมอึดอัดมาก พี่เค้าเลยเปลี่ยนให้เป็นโทรแทน พี่เค้ามีปัญหาเรื่องมือถือ เลยต้องปิดมาใช้เบอร์บ้าน ซึ่งก็อีกนั้นแหละ ต้องให้ที่บ้านเค้ามารับ แล้วเอาไปส่งให้ที่ดาดฟ้า

ซึ่งมันก็ทำให้ผมกดดันอีก เค้ารับสายแล้วตวาดใส่ผมด้วย ทำให้ยิ่งไม่กล้าโทร ไปหาครั้งสุดท้ายตอนที่ผมต้องเปลี่ยนม.เพราะที่บ้านส่งเสียไม่ไหว ให้ไปเรียนที่ถูกกว่า แล้วผมก็บอกพี่เค้าว่า เมื่อผมเรียนจบ จะรับพี่เค้ามาอยู่ด้วย ผมจะดูแลเอง ไม่ต้องให้พี่เค้าอยู่อย่างอดสูกับที่นี่ พี่เค้าร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจเลยอ่ะ พอผมออกมาเรียนปี1ใหม่ กิจกรรมมันเยอะ เพื่อนใหม่ก็ถูกใจผมมาก ทุกอย่างเป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ ทำให้ผมหลงแสงสี จนลืมพี่เค้ามาเนิ่นนานหลายปี (อาจเกือบ10ไม่อยากบอกเลยจะรู้ว่าแก่ อิอิ)

เมื่อ2-3ปีที่ผ่านมา รื้อทำความสะอาดบ้าน ค้นเจอสมุดจดเบอร์โทรศัพท์เก่าคร่ำคร่า เปิดออกดูแล้วใจหายวูบ ผมเจอนามบัตรพี่เค้าเก็บไว้อย่างดี พร้อมชื่อ นามสกุล ด้วยความคิดถึง เลยให้เพื่อนช่วยค้นฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ให้ เพราะนามบัตรมีแค่ที่อยู่และเบอร์ออฟฟิสที่เจ๊งไปแล้ว เพื่อนค้นแล้วโทรมาบอกว่าพี่เค้าเสียไปแล้ว ตามปีพ.ศ.ที่เพื่อนบอก พี่เค้าเสียช่วงที่ผมอยู่เทอม2ของปี1ที่ม.ใหม่ ช่วงนั้นผมกำลังหลงระเริง สนุกสนานกับเพื่อนใหม่ รวมทั้งเซ็กซ์บัดดี้คนใหม่ด้วย แต่ในเวลาเดียวกัน พี่เค้าต้องทรมาณกับโรค จนเสียไป ผมจำได้ว่า แม่เคยบอกว่าพี่เค้าโทรมาก่อนหน้านั้น2-3เดือน ผมบอกว่าจะโทรกลับไปแล้วก็ไม่ได้โทร ลืม หลังจากนั้นพี่เค้าก็ไม่ได้โทรมาอีกเลย ทำให้ผมลืมสนิท

วันนั้นที่รู้วันเสียพี่เค้า ผมได้แต่เสียใจมาก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดว่าผมผิดคำสัญญา จนเจ้าตัวเค้าก็ตายไปแล้ว พี่เค้าจะโกรธเราไหม แค้นเราไหม สาบแช่งเราไหมนะ ที่ทอดทิ้งพี่เค้าแบบนี้ ผมไปทำบุญ ฟังพระเทศน์ ขอคำชี้แนะกับเจ้าอาวาสที่ผมสนิทด้วย จนจิตใจผมก็ค่อยดีขึ้น

พอนึกถึงทีไรผมก็จะรู้สึกแปล๊บๆในหัวใจครับ กับการที่เราสัญญากับใครแล้วลืม จนอีกฝ่ายเสียชีวิตไป เพราะนั่นคือการที่เราผิดสัญญา แล้วเราไม่มีโอกาสบอกว่าขอโทษ หรือแก้ตัวแต่อย่างใด

boy_aof_za said...

หวัดดีครับคุณอู ผมมาอ่านต่อแล้วนะครับ
เมื่ออูเดินผ่านถ้ำที่มืดมามากแล้ว ก็เห็นแสงสว่างเล็กๆ อยู่ที่ปลายถ้ำ แต่อูก็มีกำลังใจเล็กๆ ที่ได้เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง จงเดินหน้าต่อไปครับ

น้องบอยเป็นกำลังใจให้นะครับ

เอ๋อ.. อีกเรื่องหนึ่ง คื่อเรื่องที่ให้ดอกแครกับบอยน่ะครับ คิดได้ไงก็ไม่รู้ ถ้าผมได้ดอกแครผมคงซึ้งมากๆเลยแหละครับ
อิอิ

ผมจะติดตามตอนต่อไป

boy_aof_za said...

ขอแสดงความเสียใจกับครูช่วยด้วยนะครับ

คนเราได้พบกันเพราะมีวาสนาต่อกัน ถ้าวาสนายังไม่สิ้น สักวันหนึ่งก็จะได้พบกันอีก คนเรานั้นมาพบกันเพียงเพื่อการพลัดพราก ถึงแม้จะมีวาสนาต่อกันเพียงใด สุดท้ายก็ยังต้องพรากจากกัน

คำของครูช่วย คมมากๆเลยครับ

Anonymous said...

นานๆ จะกลับมาอ่านสักครั้งครับ กลับมาคราวนี้ได้มาอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับบอย มันเหมือนชีวิตจริงของผมเลยครับ จากที่เค่ยท้อแท้ก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างครับ ลุกขุ้นมาสู้ดีกว่าจะจะมานั่งซึมเซามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ
ยังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ
กร ครับ

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วเจ็บปวดกับชีวิตอย่างไงไม่รู้
มาให้กำลังใจพี่อูค๊าบ สู้ๆ
^^sky^^

Anonymous said...

เจ้าของบล็อกหายไปไหนคะ?
วันนี้..เงียบมากถึงมากที่สุด..
สงสารบ้านเมืองจัง!!

คนลาดพร้าว

Fryderyk C. said...

ชอบมุขดอก Care จังเลยครับ

อิอิ

Anonymous said...

)^_^(ที่19 ลุงไนติงเกลไม่หวีผมอีกแล้วซิครับ เว็บของลุงนี่ถ้าเป็นกูเกิ้ลคงจะรวยเลยนะครับ แฟนคลับเยอะขนาดนี้ มาดูอย่างเว็บนี้สิครับ http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=122977 ช่วงนี้จิตตกนิดหน่อยไม่ชอบความคิดของเพื่อนบางคนใตรผิดใครถูกผมก็ไม่รู้จริงๆ แต่ผมไม่เชียรให้ฆ่าคนแน่นอน ม่ายพูดดีกว่าเด๋วลุงว่า อยากไปดูiron man2 จังเลย

Choo said...

อีกมุมหนึ่งของเรื่อง
.......................

หลังจากกินขนมอย่างเงียบๆ กับพี่อูที่โรงอาหารเสร็จ ระหว่างทางกลับบ้านผมยืนอย่างเหม่อลอยบนรถเมล์ คิดถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ นับตั้งแต่รู้จักกับพี่อูที่ชมรมฯ ไปเที่ยวลอยกระทง ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับพี่อู หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ๆ อยากคุยกับพี่อู อยากให้พี่อูเอาใจ ผมยังจำความสุขใจเมื่อพี่อูกุมมือผมอย่างห่วงใย ทะนุทนอมตอนไปเที่ยวดูฟลุในสนามม้านางเลิ้งได้อย่างชัดเจน.............................

หลายครั้งผมเฝ้าถามตัวเองว่ากำลังชอบพี่อูอยู่หรือเปล่า อย่างนี้หรือที่เรียกว่าความรัก แต่ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ เราผู้ชายเหมือนกันจะเป็นไปได้อย่างไร

“ปิดเทอมที่ผ่านมาผมเฝ้ารอโทรศัพท์จากพี่อูนะครับ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ผมไม่กล้าที่จะโทรหาพี่บ่อยๆ เพราะผมกลัว กลัวว่าถ้าหากพี่อูรู้ว่าผมชอบพี่อู กลัวว่าถ้าพี่อูรู้ว่าผมเป็นเกย์ พี่อูจะรังเกียดจะเกลียดน้องคนนี้

“หลังจากที่ไปดูหนังคราวก่อน พี่อูคงรู้ว่าผมคิดอย่างไร พี่อูคงรังเกียจผม พี่อูหายไปเลยนานสองนาน” ผมนึกพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นเบ้า........

ภาพเหตุการณ์วันเปิดเทอมที่ถูกพี่อูกับพี่ ม.๔ ที่ชมรมฯ แกล้ง เป็นวันที่ผมรอคอยว่าจะได้เจอพี่อู

“เพราะพี่อูนั้นแหละทำให้ผมไม่อยากเป็นแบบนี้ ไม่อยากรอโทรศัพท์จากพี่อย่างไม่มีความหวัง” ผมคิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ

“ผมจะไม่เป็นเกย์ให้พี่อูรังเกียจหรอกครับ”

หลังจากนั้นผมพยายามไม่คิดถึงพี่อู พยายามลืมพี่อู พยายามคิดให้พี่อูเป็นเพียงพี่ชายที่แสนดี ด้วยการไปหาที่เรียนพิเศษ ส้มก็เลยเข้ามาชีวิตผม แล้วผมก็หวังว่าส้มคงทำให้ผมลืมพี่อูได้..........................

“แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วครับพี่อูว่าพี่อูแคร์ผมแค่ไหน”

“ผมขอโทษครับพี่อู ผมก็ไม่อยากทำแบบนี้ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย” “ผมควรทำอย่างไรดี” ผมตื่นจากภวังค์ ลงจากรถเมล์แล้วเดินเข้าซอยกลับบ้านอย่างเงียบๆ

“พี่อูกลับมาทำไมตอนนี้ ตอนที่ผมอยากเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ผมอยากชอบผู้หญิงอะคับ ไม่อยากเป็นแบบนี้” ผมยังคงสับสนคิดกลับไปกลับมาอย่างหงอยเหงาในห้องนอน

“พี่อู ผมขอเวลาอีกซักหน่อยนะครับ ผมก็แคร์พี่อูนะครับ” ผมพูดกับตัวเองอย่างแผ่วเบา คิดแล้วผมก็เดินไปหยิบโทรศัพท์ โทรไปหาพี่อูดีกว่า

...............

“หวัดดีครับ อูหรือครับ ไม่ทราบจะให้บอกใครโทรมา” เสียงเด็กหนุ่มจากปลายสาย

“ บอยครับ รุ่นน้องพี่อู” ผมตอบไปแบบแกนๆ

“ บอย เด็กใหม่อู รอเดี๋ยวนะครับ ” เสียงจากปลายสายตอบกลับมาแบบกวนๆ

“ เด็กชายอู รับสาย” เสียงปลายสายยังคงลอดเข้ามาเป็นระยะ....................

“ เด็กชายอู คงไม่อยู่ห้อง คงไปอาบน้ำ ช่วยตัวเองอยู่” เสียงเด็กหนุ่มปลายสายยังคงพูดจากวนๆ เช่นเดิม

หลังจากวางสาย ผมรู้สึกกังวลใจเป็นห่วงพี่อูขึ้นมาอย่างประหลาด จึงโทรไปหาใหม่อีกรอบ

................................

“ฮัลโหล” เสียงพี่อูพูดแบบเนือยๆ

“โห พี่อูไปอยู่ไหนมาน่ะ บอยโทรมาตั้งหลายครั้ง” ผมพยายามพูดให้เป็นปกติเหมือนเมื่อก่อนให้มากที่สุด

หลังจากวางสายกับพี่อู ผมยังคงรู้สึกผิด และสับสน

“ผมควรทำอย่างไรดี”

“ผมรักพี่อูนะครับ แต่ผมกลัว...." ผมพูดกับตัวเองอย่างแผ่วเบา และหลับไปอย่างอ่อนเพลีย

...............

PR said...

มุมอาอู ก็น่าเศร้า...
มุมอาชู ก็น่าหดหู่...

อ้าคคคค...จะบ้าตาย...

เสียใจกับอาอูด้วยครับเรื่อง ครูช่วย นะครับ...
ยังไงก็อย่าคิดมากนะอาอู ผมเอาใจช่วยเสมอ
แม้ตัวจะห่างไกล..
แต่ใจยังห่วงหา...
คิดถึงทุกเวลา...
ตอนเจอหน้า อาอูขอสองร้อยนะ อิอิ...

คิดถึงเสมอครับ

หลานอาร์
(ปล. ช่วงนี้เข้าเน็ตไม่บ่อยเลยติดตามอาอูไม่ค่อยทัน มาช้าดีกว่าไม่มาเลยเนอะ อาครับ ^^)

Anonymous said...

ช่วงนี้เหนื่อยนิดหน่อยครับ อะไรๆมันวุ่นไปหมด เลยมีเวลาดูแลบล็อกน้อยลง บางทีโพสต์แล้วก็หายตัวไปเลยอย่างที่เห็น เดือนนี้คงโพสต์ได้แค่นี้ แต่หวังว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะราบรื่นขึ้นครับ

การที่เราละเลยสัญญาต่อคนที่เรารักหรือผูกพันด้วยนั้นคบเคยเกิดขึ้นกับทุกคนกระมังครับ บางคนก็เรื่องเล็กๆ บางคนก็เรื่องใหญ่ หลายๆคนมีความหลังที่ยากจะลืมได้กับเรื่องเหล่านี้ อ่านเรื่องของโยกับเรื่องภูกระดึงแล้วใจหายเหมือนกันครับ เรื่องของครูช่วยยังไม่จบ ยังมีต่ออีกหน่อย แต่ไม่ได้หมายถึงว่าครูช่วยยกมรดกให้ผมแบบในหนังทีวี

ปกติดอกแคเอามาจิ้มน้ำพริกกิน มีบางคนเขียนอีเมลมาบอกด้วยว่ามุขเห่ยมาก ครับ เห่ยก็เห่ย ก็เป็นมุขเชยๆแต่ว่าแกล้งทำเป็นทีเล่นทีจริงไงครับ ถ้าบอยมีปฏิกิริยาในทางลบก็จะได้ทำเนียนให้เป็นเรื่องตลกไป

พี่สาวลาดพร้าวคงรู้สึกศรีทองกระมังครับ พี่ชูน่ะรู้จักอยู่แล้วแต่แกล้งแอ๊บแบ๊วเป็นไม่รู้จัก วัยรุ่นสมัยนั้นรู้จักซื้อบริการตั้งแต่ ม.ปลายแล้ว พวกเด็กเรียนเก่งอย่างห้องผมนี่ตัวร้ายเลย เรื่องผู้หญิงยังร้ายกว่าไอ้เวชเสียอีก แต่ว่าสมัยนี้สังคมเปลี่ยนไป วัยรุ่นไม่ต้องซื้อบริการแต่กลายเป็นเรื่องของรักสนุกแต่ไม่ผูกพันแทน

ช่วงนี้ไม่ดูทีวีเลยครับ อ่านแต่หนังสือพิมพ์

มุมมองของพี่ชูใช่หรือเปล่าของอุบไว้ก่อนครับ

หลานคนที่โดนกักตัวให้กินข้าวไข่เจียวอยู่ในบ้านน่ะ ตอนนี้น้ำหนักเท่าไรแล้ว

อู

Choo said...

อุ๊ย….ศรีทง...ศรีทอง อะไร ไม่เข้าใจ

เรื่องราวมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งกว่า 25 ปีมาแล้ว มีแหล่งบันเทิง (ภาษาชาวบ้านสมัยนั้นเรียกว่า “ซ่อง” มั๊งครับ) ที่เหล่าเด็ก ม.ปลาย อาจรวมถึง ม.ต้น ที่แก่แดดหน่อยไว้ฝึกปรือวิทยายุทธครับ

สมัยนั้นใส่ชุดนักเรียนขาสั้นเข้าออกกันสบาย ที่อโคจรเหล่านี้มีอยู่หลายแหล่งที่มีชื่อเสียง แต่ที่จับตลาดวัยรุ่นสมัยนั้นจะมีหลักๆ อยู่ 4 แหล่ง อาจเป็นเพราะราคาที่ย่อมเยาว์ ประมาณ 150-300 บาทต่อรอบ รอบละ 1.5 ชั่วโมง และที่สำคัญยอมให้เด็กนักเรียนในเครื่องแบบเข้า จะมีเด็กจากโรงเรียนที่มีแข่งฟุตบอลจตุรมิตรนั่นแหละมากเป็นพิเศษ

จริงอย่างที่อูว่าไว้ เด็กเรียนจะเที่ยวด้านนี้เก่งและชำนาญกว่าเด็กเกเรด้วยซ้ำ สงสัยเรียนหนัก เครียด เลยหาที่ระบายมั๊ง

ตามไปดูว่ามีที่ไหนกันบ้าง

- แหล่งวิสุทธิกษัตริย์ ตรงตีนสะพานพระราม 8 ในปัจจุบัน มี รร.ที่เป็นตัวเลขมากมาย ขนาบซ้ายขวาหน้าหลังวัดวิสุทธิกษัตริย์ รวมถึงตามตึกอาคารพาณิชย์ในซอย มีโคมเขียวโคมแดงมากมาย

- แหล่งแยกแม้นศรี มีซอยสวนมะลิเป็นศูนย์กลาง รวมบริเวณไปถึงหลังคุกเก่า ที่มีซื่อเสียงคือ วังทอง

- แหล่งกิ่งเพชร อยู่ท้ายซอยกิ่งเพชร บรรจบกับ ท้ายซอยข้าง รร.เอเซีย ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ศรีทอง ทีอูกล่าวถึงนั่นเอง

- แหล่งสะพานควาย มีซอย 6 เป็นศูนย์กลาง แหล่งนี้ถือเป็นตลาดบนของวัยรุ่น เด็กจะใหม่กว่า อ้อ...จะว่าไปเด็กที่เที่ยวจะเด็กว่าเด็กขายบริการเสียอีกนะ

ที่เขียนมาทั้งหมด จำจากเพื่อนๆ เล่าให้ฟังนะครับ ผมไม่รู้เรื่อง จะว่าไปพี่เม้นต์น่าจะรู้ดีกว่า ส่วนแหล่งของ.....ใครดีหว่า.......แหล่งของอู คงเป็นแถวๆ ประดิพัทธ์ ใช่หรือเปล่าคร๊าบบบบ

อูนะอู เรื่องก็นานนม แล็วก็ไปด้วยกัน จะมาเผากันทำมายยยยย..

ชู

Anonymous said...

^
^
^

)^_^( คุณลุงชูแต่งเรื่องบอยได้อย่างเทพเลยชอบๆ มาเล่าบ้างสิครับมาเป็นเพื่อนลุงไนติงเกลซะดีดี

Anonymous said...

พี่กำลังงงๆกับที่อูบอกเรื่อง"รู้สึกศรีทอง"
คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก..
จนกระทั่ง'จารย์ชูเข้ามาเฉลยเลยถึงบางอ้อ..
แถมเก็บรายละเอียดได้ทุกเม็ดอีกตะหาก
สมกับที่ยกตำแหน่งกูรูของทุกทางให้เลยเชียว..

ว่าแต่แถวประดิพัทธ์แหล่งของใครไม่รู้
มีบะหมี่เกี๊ยวอร่อยมากเจ้านึง..
เป็นคนเมืองอยู่ติดถนนใหญ่ใกล้โรงแรม..
เจ้าถิ่นเคยกินกันรึเปล่าคะ?

คนลาดพร้าว

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ที่จริงจะบอกว่า "รู้จัก" ครับ แต่ว่าพิมพ์ผิดเป็น รู้สึก

ประดิพัทธ์อะไรกันครับ ไม่ชำนาญเลยครับ เพราะว่าไม่ใช่ทางผ่าน สาย ๘ ผ่านสะพานควาย

บะหมี่เกี๊ยวเจ้าไหนอะพี่ แถวนั้นโรงแรมเยอะพอๆกับยุง พี่หมายถึงโรงแรมไหน วกมาหาของกินด้านสะพานควายสิครับ ผมพอรู้จัก ร้านมอร์นโลเฮียงเบเกอรี่น่ะ เค้กและไอติมกะทิอร่อยมาก คุ้กกี้ก็อร่อย ใส่เนยเยอะมาก เห็นมาตั้งแต่ยังเด็ก เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่

เลยไปอีกหน่อย ตรงข้าม ร.พ. เปาโล มีร้านก๋วยเตี๋ยวสองคูหา เมื่อก่อนชอบดู เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงผอมๆ ทำก๋วยเตี๋ยวเอง เวลาทำก๋วยเตี๋ยวนี่จะคล่องแคล่วว่องไวมากยังกะลิง ท่าลวกก๋วยเตี๋ยวเหมือนหงอคงเต้นเลย แล้วก็เวลาหยิบลูกชิ้นไปลวกในกระชอน คว้า ๕ ที จะมีลูกชิ้นติดมือแค่ ๓ ที อีกสองทีจะหยิบพลาด เพราะว่าเต้นมากไปนั่นเอง สรุปแล้วทำก๋วยเตี๋ยวชามนึงเปลืองแรงมาก

ผมประเภทลิ้นจระเข้ เรื่องของอร่อยไม่ค่อยสันทัดนัก แค่พอรู้นิดๆหน่อยๆ

ขอบคุณพี่ชูที่จาระนัยมาอย่างละเอียด นี่ขนาดฟังเขาเล่ามานะเนี่ย ถ้าไปเองจะเจาะลึกได้ขนาดไหน อ้อ มีพาดพิงพี่ ments42 อีก เดี๋ยวคงมีร้อนตัว

พี่ชูลืมแนะนำแหล่งสำคัญอีกแหล่ง ก็ใต้สะพานพุทธใกล้ๆถิ่นพี่นั่นแหละ แต่พี่ชูอาจจะไม่นับเพราะว่าไม่มีสถานที่ของตนเอง เป็นแค่จุดนัดพบเท่านั้น

อู

Anonymous said...

อูคะ..ของอร่อยสะพานควายอีกอย่างคือ
เอแคลร์ร้านTasty Bakeryใกล้สนญ.ธ.ออมสิน
ส่วนร้านบะหมี่นี่ชื่ออะไรชัยๆนี่แหล่ะอยู่หน้า7/11ฝั่งเดียวกับแหล่งเที่ยวของชู(อุ๊ย!วิญญาณบ่างเข้าสิง)
พี่เผลอพิมพ์อะไรลงไปเนี่ย เดี๋ยวบล็อกของอูจะมีรายการอร่อยทั่วไทยมาแจมด้วยล่ะทีนี้..พอก่อนเนอะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เอ Thom นี่คนเดียวกันกับที่ผมรู้จักป่าวหว่า....