Monday, March 22, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 55

ทีแรกผมนึกว่าสายโทรศัพท์หลุด แต่เมื่อต่อโทรศัพท์ไปอีกคราวนี้กลายเป็นสัญญาณสายไม่ว่างแทน ผมลองโทรอยู่เป็นเวลานานสายก็ยังไม่ว่าง ในที่สุดผมจึงต้องเลิกโทร

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมรีบไปที่สหกรณ์แต่เช้าเพื่อคุยปรับความเข้าใจกับบอย แต่หลังจากที่รอจนเกือบได้เวลาเคารพธงชาติบอยก็ยังไม่มา

“สงสัยมันจะโกรธน่ะพี่ เลยไม่เข้ามา” น้อง ม.๔ คนที่เอาเทปคาดปากบอยพูดขึ้น

“มึงไม่ต้องสงสัยหรอกว่ะ แบบนี้มันโกรธอยู่แล้ว” น้อง ม.๔ อีกคนที่ร่วมก่อคดีด้วยกันพูด “แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่ ไอ้บอยมันกวนคนอื่นมามาก โดนซะมั่ง แล้วมันขี้เล่นด้วย เดี่ยวมันก็หายโกรธเองแหละ”

ได้ยินน้อง ม.๔ พูดปลอบใจทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง คิดว่าไอ้บอยคงโกรธไม่นาน วันนั้นผมไม่ได้ไปหาบอยที่สหกรณ์อีกเลย รวมทั้งไม่กล้าไปหาบอยที่ห้องเรียนด้วย ประสบการณ์เรื่องหึ่งของพี่เต้กับไอ้นัยเป็นบทเรียนสอนใจทำให้ผมระวังจนตัวแจ

ในบรรดาเพื่อนร่วมห้องนั้น ตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๒ ก็มีอ๊อดที่สนิทกันมาก แต่ว่าตั้งแต่ ม.๓ เป็นต้นมาก็ไม่มีใครที่ผมสนิทด้วยเป็นพิเศษอีก สำหรับตี๋นั้นแม้จะสนิทกันแต่ว่าหลังจากที่จบชั้น ม.๑ แล้วก็ไม่มีโอกาสได้เรียนร่วมห้องกันอีกเลย

สำหรับผมกับเพื่อนๆนั้นปกติถ้าทำอะไรผิดพลาดหรือว่ากระทบกระทั่งกันบ้างก็ขอโทษกัน เมื่อขอโทษแล้วก็แล้วกันไป ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่หนักหนาถึงขนาดที่ต้องไปตามง้อ อีกประการคงเป็นเพราะว่าไม่มีใครที่ผมแคร์เป็นพิเศษด้วยกระมัง ขอโทษเสร็จแล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจอีก คนที่ผมแคร์เป็นพิเศษและเอาใจใส่ในท่าทีและอารมณ์ของมันก็คงมีเพียงแต่ไอ้ชัชกับไอ้นัยเท่านั้น

จำได้ว่าไอ้ชัชนั้นเคยต้องตามง้อมัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องในสมัยเด็กหลายปีมาแล้ว ส่วนไอ้นัยนั้นแม้จะเป็นเด็กที่ช่างคิดและอ่อนไหวแต่ก็ไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อย ดังนั้นเรื่องที่มันงอนผมและทำให้ผมต้องคอยง้อจึงมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ดังนั้นจากภูมิหลังของผมจึงทำให้ผมง้อใครไม่ค่อยเก่งนัก บางทีก็ไม่เข้าใจเอาเสียด้วยว่าเรื่องแบบไหนที่ควรต้องตามไปง้อ

สำหรับกับบอยนั้น ในเมื่อตอนนี้มันคงยังโกรธผมอยู่ ผมจึงคิดว่าจะรอให้เวลาผ่านไปสักช่วงหนึ่งก่อนค่อยเข้าไปขอโทษมันน่าจะดีกว่า ตอนนี้มันกำลังโกรธผมอยู่ถึงเข้าไปขอโทษมันก็คงไม่อยากฟัง แม้ผมจะแคร์มันมากแต่ผมก็ต้องพยายามระวังไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของคนอื่นๆ อีกทั้งความรู้สึกสับสนที่มีต่อมันบางครั้งก็ยังวนเวียนกลับมาอีก จึงทำให้ผมเลือกที่จะถอยออกมาตั้งหลักสักพักหนึ่งก่อน

แต่ใครจะรู้ว่าสัปดาห์เดียวที่ผมถอยออกมาเพื่อรอให้บอยหายโกรธนั้นเองได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามมามากมายอย่างที่ผมคาดไม่ถึง!

- - -

ห้องเรียนชั้น ม.๕ ของผมนั้นเพื่อนๆอยู่รอบตัวผมจะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดิมในชั้น ม.๔ แต่ตำแหน่งที่นั่งอาจเปลี่ยนไปบ้าง บางคนนั่งห่างออกไปหน่อย บางคนก็นั่งใกล้เข้ามาอีกนิด แต่สำหรับในห้องเรียนวิทยาศาสตร์นั้นแตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง

โต๊ะเรียนวิทยาศาสตร์ในชั้น ม.๕ นั้นมีการจัดโต๊ะแตกต่างไปจากเดิม พวกนักเรียนจึงต้องจับกลุ่มและจับจองโต๊ะกันใหม่ และโชคร้ายที่ผมไม่สามารถจับกลุ่มร่วมโต๊ะกับเพื่อนกลุ่มเดิมได้ มันคงเป็นโชคร้ายของผมและโชคดีของเพื่อนๆกลุ่มนั้น ดังนั้นผมจึงต้องระเห็จไปขออาศัยกับกลุ่มที่ยังมีที่นั่งว่างอยู่ ซึ่งก็ไปได้อาศัยกับกลุ่มเพื่อนที่เน้นการเรียนแบบสบายๆ คือเรียนๆเล่นๆ ผลการเรียนจัดอยู่ในกลุ่มปานกลาง ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือเพื่อนในโต๊ะนี้ไม่มีใครเตรียมตัวสอบเทียบกันเลย จะว่าไม่ขยันก็ไม่ใช่ แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆพวกนี้รักที่จะเรียนมัธยมจนครบหกปีมากกว่า

ปีนี้ผมตั้งใจเรียนอย่างมากตั้งแต่ต้นเทอมเลยทีเดียว โดยถือคติเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งทำนองนั้น เวลาเรียนก็ไม่ค่อยใจลอยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ยังพอมีบ้างตามประสาเด็กฟุ้งซ่าน นอกจากนี้เรื่องหนึ่งที่ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองก็คือเรื่องการคบเพื่อนกับการใช้ชีวิต

แต่ไหนแต่ไรมาผมมีเพื่อนไม่ค่อยมากนักเนื่องจากผมมักอยู่แต่ในโลกของผมเอง แต่ทว่าปีนี้ผมพยายามปรับปรุงตัวเอง สาเหตุสำคัญก็คือ ประการแรก ไม่แน่ว่าปีนี้อาจเป็นปีสุดท้ายที่ผมจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนี้ ดังนั้นถ้าเผื่อว่ามันจะเป็นปีสุดท้ายจริงผมก็อยากใช้ชีวิตในปีนี้ให้เต็มที่หน่อย ผมอยากซึมซับบรรยากาศและความทรงจำเกี่ยวกับโรงเรียนและเพื่อนที่นี่ไปให้ได้มากที่สุด เพื่อว่ามันจะได้เป็นความทรงจำที่ดีไปจนตลอดชีวิตของผม ดังนั้นผมตั้งใจเอาไว้ว่าในปีนี้ผมจะไม่เอาแต่เรียนเพียงอย่างเดียวแต่จะพยายามเฮฮาไปกับเพื่อนฝูงด้วย

เหตุผลประการที่สองก็คือการมีเพื่อนทำให้สามารถพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ อย่างน้อยก็สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลข่าวสารกันได้ การไม่สุงสิงกับเพื่อนฝูงเลยทำให้ผมตกข่าวไปมาก อย่างเช่นผมในตอนนี้ที่ยังไม่รู้ว่าตนเองควรจะเลือกเรียนต่อสาขาไหนดี ถ้าเผื่อได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆมากขึ้นก็อาจช่วยให้ผมตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นก็เป็นได้

ทางด้านเวช เกรียง และกลุ่มของมันนั้นในปีนี้ก็ดูเรียบร้อยขึ้น อย่างน้อยก็ไม่มีท่าทีว่าจะมาหาเรื่องแกล้งผมอีก จึงทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ที่จริง ม.๕ ปีนี้น่าจะเป็นปีที่เริ่มต้นด้วยดีทุกอย่าง... ถ้าไม่มีเรื่องของบอยเข้ามา

- - -

คืนวันอาทิตย์

หลังจากที่เปิดเรียนมาได้หนึ่งสัปดาห์ และหลังจากที่ผมแกล้งบอยจนมันโกรธไม่ยอมพูดกับผม ในที่สุดผมก็เห็นว่าทิ้งช่วงให้บอยหายโกรธมาหลายวันแล้ว จึงลองโทรไปหามันที่บ้าน

“ฮัลโหล” เสียงวัยรุ่นอันคุ้นเคยรับสาย

“บอย นี่พี่นะ” ผมพูด

“...”

“เฮ้ยๆๆ นายอย่าเพิ่งวางสาย ฟังพี่พูดก่อน ขอร้องละ ฟังพี่ก่อน” ผมรีบละล่ำละลักเมื่อปลายสายทางโน้นเงียบไป

“เฮอะ ป่านนี้เนี่ยนะเพิ่งจะโทรมา” บอยโวยวาย

ผมงง อะไรกันนี่ พอผมโทรไปมันก็วางสาย ไปหาที่สหกรณ์ก็ไม่พบ คราวนี้พอได้คุยกันมันกลับต่อว่าผมว่าป่านนี้เพิ่งจะโทรมา แต่ถึงแม้ว่าผมจะงุนงงกับการต่อว่าของบอย แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มันไม่รีบวางสายไปเสียก่อน

“อ้าว ก็นายไม่รับสายพี่นี่ พี่จะคุยนายก็ไม่คุยด้วย นัดกันไว้นายก็ไม่ไป พี่ไปหาที่สหกรณ์ก็ไม่เจอนาย” ผมพยายามอธิบาย

“ความพยายามน่ะมีมั่งมั้ยพี่อู” บอยโวยอีก “บอยไปโรงเรียนทุกวัน ไม่ไปสหกรณ์แค่นี้พี่อูหาบอยไม่เจอเลยเหรอ”

“เอ้อ อ้า...” ผมอึกอัก คำพูดของบอยต่อว่าจนผมอึ้ง ที่จริงผมก็รู้ว่าถ้าไปหาบอยที่ห้องเรียนก็จะพบมัน แต่ผมไม่ไปเองเพราะนึกถึงเรื่องพี่เต้ขึ้นมา แต่ผมจะอธิบายเหตุผลนี้กับมันได้ยังไงกัน

“คือพี่เห็นว่านายโกรธพี่มาก ตอนนายโกรธคงไม่อยากคุยกับพี่เท่าไร ก็เลยรอให้นายหายโกรธก่อนน่ะ ก็เลยโทรมานี่ไง” ผมพยายามอธิบาย

“ไหนว่าจะดูแลบอยไง พอแกล้งบอยแล้วก็หายตัวไปเลย” บอยยังตัดพ้ออีก

“บอย พี่ขอโทษจริงๆ นายจะให้พี่ทำยังไงนายถึงจะหายโกรธ บอกพี่มาได้เลย พี่จะพยายามทำ” ผมพยายามอ้อน

“เฮอะ” ได้ยินบอยร้อง “ทำไมต้องให้บอยบอก พี่อูเป็นพี่ก็ต้องคิดหาทางเอาเองดิ”

“อ่าๆๆ ได้ๆๆ งั้นพี่จะพยายามคิดหาทาง” ผมเอาใจบอยเต็มที่ ขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกปวดหัวไปด้วย “งั้นพรุ่งนี้เราเจอกันที่โรงอาหารดีมั้ย ให้พี่เลี้ยงขอโทษนายสักมื้อ”

“หา” บอยโวยอีก “เลี้ยงขอโทษทั้งทีเลี้ยงที่โรงอาหารเนี่ยนะ”

“อะอะอะ ที่อื่นก็ได้” ผมรีบกลับลำทันทีเมื่อบอยแสดงน้ำเสียงไม่พอใจ “ไปกินที่สยามสแควร์ก็ได้ ไฮไลท์ แคนตั้น โคคา อัพทาวน์ ดาวน์ทาวน์ นายจะกินอะไรก็ได้ตามใจนาย”

“อือม์ ฮึฮึ” เหมือนจะได้ยินเสียงบอยหัวเราะเบาๆ “ยังงี้ค่อยยังชั่วหน่อย”

“ยังงั้นพรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วเจอกันที่โรงอาหารก่อนก็แล้วกัน แล้วไปสยามด้วยกัน ตกลงนะ” ผมรีบรวบรัดขอคำสัญญา

“ได้ฮะ” บอยรับปาก น้ำเสียงฟังดูแจ่มใสขึ้น

“นัดแล้วอย่าเบี้ยวล่ะ” ผมย้ำ

“นี่พี่อูว่าบอยไม่รักษาคำพูดเหรอ” บอยตีรวนขึ้นมาได้อีก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆว่าบอยก็มีนิสัยคุณหนูติดมาด้วย ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้คงต้องร้องเพลงแฟนเราเอาแต่ใจให้ฟัง

“เปล่าๆๆ” ผมรีบปฏิเสธ “คือ... เอ่อ พี่บอกกับตัวเองว่าอย่าเบี้ยวนัดบอยน่ะ” ผมพูดประโยคนี้ออกไปได้ไงนะ งี่เง่าจริงๆ แต่ก็ต้องทำเพื่อเอาใจบอย

หลังจากวางสาย ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เวลาบอยเคืองขึ้นมานี่รับมือไม่ง่ายเลย ผมต้องพยายามจนรู้สึกเหนื่อย นี่ถ้าเป็นเพื่อนผมคงเลิกคุยกับมันไปแล้ว จะไปไหนก็เชิญไปเลย แต่นี่เป็นบอย... เป็นคนพิเศษสำหรับผม ดังนั้นผมจึงต้องพยายามดูแลมันเป็นพิเศษหน่อย

- - -

เรื่องหนักใจของผมในช่วงนี้อยู่ที่ว่าผมจะตัดวิชาชีววิทยาออกไปดีหรือไม่ ถ้าตัดออกไปได้การดูหนังสือเตรียมสอบของผมคงง่ายขึ้น แต่ปัญหาก็คือการที่จะตัดสินใจว่าจะตัดวิชานี้ออกไปได้ก็หมายความว่าผมจะต้องตัดสินใจได้แล้วว่าผมจะเอนทรานซ์เข้าคณะวิศวฯโดยไม่เลือกคณะแพทย์หรือคณะอื่นๆที่ต้องใช้วิชาชีววิทยา และผมจะเปลี่ยนใจไม่ได้อีกเลย คิดอยู่นานก็ยังตัดสินใจไม่ได้เสียที

เมื่อคิดไม่ตกผมก็ต้องพยายามหาข้อมูลว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์นี่เรียนอะไรแล้วจบไปทำอะไรได้บ้าง ที่ผ่านมาผมก็เพียงได้ยินคำพูดที่พูดกันต่อๆมาเพียงแค่ว่าหากคะแนนดีก็ต้องเรียนต่อหมอหรือวิศวฯ ที่จริงก็ไม่รู้รายละเอียดนักหรอกว่าจบแล้วไปทำอะไรได้บ้าง รู้แต่ว่าแพทย์กับวิศวฯเป็นเสมือนกับว่าเป็นศักดิ์ศรีของคนที่เรียนเก่ง เรียนแล้วเท่ รายได้สูง และเป็นที่นับหน้าถือตาของเพื่อนๆและในสังคม

ในยุคที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายนั้น สารสนเทศเกี่ยวกับการศึกษาต่อยังมีไม่มากมายเหมือนในสมัยปัจจุบัน ในตอนนั้นแค่หาเอกสารที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อในคณะต่างๆอย่างละเอียดนั้นยังหาได้ยากเลย ส่วนใหญ่ก็มีแต่เพียงคำบรรยายสั้นๆและคะแนนสูงสุดต่ำสุดเอาไว้สำหรับเป็นแนวทางในการเลือกคณะวางอยู่ในห้องแนะแนว นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีทางโรงเรียนก็มักเชิญรุ่นพี่จากคณะต่างๆมาคุยกับน้องๆเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนในคณะต่างๆแต่ว่าก็ต้องรอถึงปลายปีโน่น ข้อมูลในเชิงลึกแบบจัดโอเพนเฮาส์แนะนำหลักสูตรพาทัวร์สถานที่เรียนจริงๆแบบในสมัยนี้ยังไม่มี

จากข้อมูลเท่าที่พอจะหาได้ ภาพการเรียนในคณะวิศวฯนั้นเป็นอย่างไรผมยังนึกไม่ออก แต่พอนึกภาพตอนทำงานออกว่าคงต้องทำงานเกี่ยวกับงานช่าง งานในโรงงาน หรืองานที่ต้องออกภาคสนาม คุมคน คุมเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่ภาพที่ถูกใจผมสักเท่าไรนัก จริงอยู่ แม้ในตอนนั้นจะมีสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์อันเป็นสาขาที่สภาพการทำงานแตกต่างออกไป รวมทั้งสาขาอื่นๆจบแล้วก็ใช่ว่าต้องทำงานคุมคนหรือว่าอยู่แต่ในโรงงานเสมอไป แต่เนื่องจากสารสนเทศที่ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นภาพของวิศวฯในสายตาของผมจึงอยู่เพียงแค่ภายในโรงงานอุตสาหกรรมกับงานภาคสนามเท่านั้น เมื่อภาพที่ออกมายังไม่ถูกใจผมนักจึงยิ่งทำให้ผมลังเล

- - -

ที่โรงอาหาร

หลังจากเลิกเรียนผมก็รีบมาที่โรงอาหารเพื่อมาพบบอย ตอนที่ผมไปถึงนั้นบอยยังไม่มา ผมจึงนั่งรอ ระหว่างที่รอก็คิดหนักใจเรื่องที่ผมปิดบังเรื่องการสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์กับบอยเอาไว้ ผมคิดจะบอกบอยหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่กล้าบอก ตอนนี้บอยยิ่งโกรธผมอยู่ด้วย ถ้าบอกออกไปในตอนนี้คงเป็นเรื่อง แต่ถ้าเอาไว้บอกทีหลังก็คงไม่ค่อยดีเท่าไรเช่นกัน ส่วนเรื่องการบอกความในใจของผมนั้นอาจต้องเลื่อนออกไปก่อนเพราะว่าสถานการณ์ระหว่างผมกับบอยตอนนี้ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร

ผมนั่งใจลอยอยู่ได้สักพักก็ปรากฏเงาร่างอันคุ้นเคยนั่งลงที่โต๊ะอาหารที่นั่งตรงข้ามกับผม บอยนั่นเอง ทุกครั้งบอยจะต้องทักทายผมอย่างร่าเริง แต่วันนี้บอยมาถึงก็นั่งลงอย่างเงียบๆ สีหน้าบึ้งตึง

“อ้าวบอย มาแล้วเหรอ” ผมทักทาย

“ฮึ ก็มาแล้วสิ ไม่มาแล้วพี่อูจะเห็นเหรอ ถามแปลกจริงๆเลย” บอยทำตัวเกรียน

“ใช่ๆๆ พี่พูดผิดเอง” ผมพยายามประจบบอยสุดชีวิต

ผมหยิบเอาถุงกระดาษสีน้ำตาลใบเล็กๆออกมาจากเป้แล้ววางลงตรงหน้าบอย

“อะไรอะ” บอยถาม

“นายแกะดูดิ” ผมไม่บอก

บอยแกะถุงออกดู แล้วล้วงหยิบของในถุงออกมา มันเป็นเทปกาวม้วนหนึ่งกับกรรไกรเล็กๆอันหนึ่ง บอยทำหน้าสงสัย

“ถ้านายยังไม่หายโกรธ พี่ให้นายเอาเทปนี่ปิดปากพี่แล้วกระชากออก” ผมพูด ตอนนั้นทำเรื่องงี่เง่าแบบนั้นไปได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน “นายจะได้หายโกรธพี่เสียที”

“พี่อูก็ปิดปากตัวเองแล้วกระชากออกเองดิ” บอยพูดห้วนๆ สีหน้ายังบึ้งตึงอยู่ “ไม่เห็นจะต้องให้บอยทำเลย”

“เอางั้นเหรอ” ผมเหลียวมองไปรอบๆ ในโรงอาหารตอนนั้นยังมีคนเยอะอยู่ ถ้าผมทำอะไรแบบนั้นคงดังไปทั้งโรงเรียนแน่นอน ที่จริงไม่ว่าบอยทำผมหรือว่าผมทำตัวเองก็คงดังได้โดยไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก “ถ้างั้นรอเย็นกว่านี้หน่อยละกัน ตอนนี้คนเยอะ”

“ตอนเย็นไม่เอา เอาตอนนี้แหละ” บอยไม่สนใจ

ผมคิดหนัก “ถ้างั้นไปหลังตึกละกัน ทำในโรงอาหารอายเค้า เอาเทปปิดปากตัวเองแล้วกระชากออก ใครเห็นคงคิดว่าพี่บ้า ม.๕ แล้วนะ อย่าให้พี่เสียหน้ามากนักเลย” ผมต่อรอง

บอยนิ่งคิดแล้วพยักหน้า “ก็ได้”

ผมลุกขึ้น หยิบอุปกรณ์ขึ้นมาเพื่อเตรียมไปทำร้ายตัวเองหลังตึก บอยจับมือผมไว้เป็นความหมายว่าไม่ต้องลุก แล้วหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่

“พอแล้วฮะ” บอยพูดพลางหัวเราะพลาง

“อ้าว” ผมงง

“บอยลองใจพี่อูน่ะ หายโกรธตั้งนานแล้ว แต่อยากรู้ว่าพี่อูจะเอาใจบอยยังไงเท่านั้นเอง” บอยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“แล้วพี่เป็นไง ใช้ได้ไหม” ผมถาม แต่ในใจแอบด่ามันว่าโธ่เอ๊ย ไอ้เปรต

“เฮอะ บอยรอจนหายโกรธไปแล้วกว่าพี่อูจะมาง้อน่ะ ใช้ได้ไหมล่ะ” บอยตอบ

- - -

ค่ำวันนั้นเราไปกินอาหารกันที่สยามสแควร์แล้วก็ดูหนังรอบค่ำด้วยกันเรื่องหนึ่ง ผมกลับบอยกลับมาคุยกันอย่างปกติ แหย่กันไปแหย่กันมาเหมือนเดิม หลังจากที่บอยได้กินอะไรอร่อยๆแล้วดูบอยอารมณ์ดี และแจ่มใส

กว่าหนังจะจบก็ประมาณสี่ทุ่ม หลังจากที่ดูหนังจบบอยอยากซื้อพวกขนมปังและพายกลับไปฝากที่บ้าน เราจึงเดินไปที่ร้านเบเกอรี่ด้วยกัน

ตอนนั้นร้านเบเกอรี่ใกล้ปิดแล้ว หลังจากที่บอยซื้อของเสร็จผมรู้สึกกระหายจึงสั่งน้ำหวานมานั่งดื่มกับบอย ระหว่างที่ดื่มน้ำหวานไปผมก็สังเกตว่าพนักงานที่หลังเคาน์เตอร์กำลังเตรียมปิดร้านโดยคีบขนมปังออกจากถาดและก้มๆเงยๆ จากนั้นผมก็เห็นพนักงานลากถุงสีดำๆไปหลังร้าน

ด้วยความสงสัยผมจึงเดินไปดูใกล้ๆ ภาพที่เห็นคือพนักงานกำลังคีบขนมปัง พาย และเค้กจากถาดใส่ลงในถุงขยะสีดำ

“พี่จะเอาขนมพวกนี้ไปไหนครับ” ผมถามพนักงานที่กำลังคีบของใส่ลงในถุง

“เอาไปทิ้งครับน้อง” พนักงานตอบ

“ทำไมต้องทิ้งละครับ ของยังดีๆอยู่เลย” ผมงงกับคำตอบที่ได้รับ

“เราขายของใหม่สด ไม่เก็บข้ามวันครับ” พนักงานตอบ “พวกนี้พอหมดวันก็ต้องทิ้ง เก็บไว้ขายต่อไม่ได้แล้ว”

“แล้วทำไมต้องทิ้งละพี่” ผมถามต่อ “ของยังดีอยู่เลย กินเองก็น่าจะได้”

“ของพวกนี้เดี๋ยวต้องเอาน้ำมันก๊าดราดอีก พนักงานก็กินไม่ได้ครับ ต้องทิ้งอย่างเดียว” พนักงานตอบ “มันเป็นกฏของบริษัท”

ภาพของเด็กใต้สะพานพุทธ ขอทานที่ริมทางเท้า พี่นักศึกษาที่เล่นดนตรีไทยเปิดหมวกไหลเข้ามาในห้วงคำนึงของผม คำตอบที่ได้ยินทำให้ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ คนอดอยากยังมีอีกตั้งมากมาย แต่ร้านขายของกินบางร้าน กลับทิ้งของแถมราดน้ำมันก๊าดซ้ำเพื่อไม่ให้ใครได้กิน ทำไมโลกถึงได้เป็นแบบนี้นะ



<มาดูภายในเล่มของนิตยสารเกย์กันต่อว่ามีอะไรบ้าง
รายได้ส่วนหนึ่งของนิตยสารเกย์ไม่ได้อยู่ที่ยอดจำหน่ายนิตยสาร แต่อยู่ที่การจำหน่ายภาพลับเฉพาะซึ่งเป็นภาพที่เปลือยหมดจดและไม่สามารถนำลงตีพิมพ์ได้ ภาพลับในยุคนั้นราคาชุดละ ๖๐ บาท มี ๕ ภาพ สั่งซื้อและส่งให้ทางไปรษณีย์ ไม่มีวางขายทั่วไป>


<ประสบการณ์เสียวเป็นคอลัมน์ที่ได้รับความชื่นชอบจากผู้อ่านมากจนต้องนำไปรวมเล่มและกลายเป็นนิตยสารประสบการณ์เสียวโดยเฉพาะ นับเป็นการแตกแขนงของนิตยสารเกย์อีกแนวหนึ่งในยุคนั้น>


<นอกจากภาพลับแล้วรายได้อีกส่วนหนึ่งของนิตยสารเกย์มาจากการผลิตและขายหนังสือเฉพาะกิจพวกอัลบั้มภาพเปลือย หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือหนังสือปกขาวแนวเกย์ก็น่าจะได้ อัลบั้มพวกนี้ไม่มีวางขาย ต้องสั่งซื้อทางไปรษณีย์>


<นอกจากอัลบั้มเฉพาะกิจและภาพลับแล้ว ยังมีของขายดีอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือวีดิโอเอ็กซ์แนวเกย์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีหนังเอ็กซ์เกย์ในยุคนั้นมีของชาติใดบ้าง แต่ที่แน่ๆคือจากค่ายหนังทางอเมริกา>

26 comments:

Choo said...

พักผ่อนบ้างนะคับ มาเวลานี้แล้วนอนเวลาไหนกันทะ

ขอบคุณท่ี่มาเขียนต่อให้

ชู

Anonymous said...

มารักอาอู ก่อนออกไปสอบวิชาสุดท้ายครับ

ป.ล. กำลังจะเปิดเทอม Summer...........

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

)^_^(อดที่1 อีกแล้วไม่มีวาสนาซะแล้วเรา ออกไปก่อนน่าลุงไนติงเกลเดี๋ยวมาใหม่ตอนเย็นค้าบบ

Anonymous said...

โอ้ว!อูโพสต์ตอนตี4 ส่วนชู'เมนท์ตอนตี4ครึ่ง
เชื่อแล้วว่าชูชอบปฏิบัติธรรมยามวิเวก ทึ่งจริงๆเลย
ขอตัวไปอ่านก่อนนะคะ..เดี๋ยวมาใหม่..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

มาเม้นต์ก่อน เดี๋ยวไปอ่านต่อ
Federick

Anonymous said...

ดีใจด้วยนะครับ ที่ง้ออาบอยสำเร็จ แต่แอบขำที่อาอูจะเอาเทปกาวปิดปากตัวเองแล้วดึงออกเพื่อที่บอยจะได้หายโกรธ นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่า อานุภาพแห่งความรัก
Federick

Anonymous said...

เจอเด็กน่ารักปนแสบอย่างบอยทำให้ชีวิตสีเทาๆของอู
มีรสชาดขึ้นมาเยอะเลยนะคะ ดีแล้วล่ะที่สีเทาถูกแต้มด้วยสีสดใส ดูเก๋ไก๋ดีไม่หยอก..

หน้าตาของนัยอูเคยบอกให้นึกถึงออยธนา
แล้วอย่างบอยนี่ล่ะ FCจะมโนภาพถึงใครดีเอ่ย..?

คนลาดพร้าว

PR said...

โว้วๆๆๆๆ.....ติด 1 ใน 10 เฮอะๆๆๆๆ....
ธุจ้าอาอู...สบายดีป่าวคับ....เฮอะๆ.....
ดูแลสุขภาพด้วยนะอาอู...เห็นหน้าอาซีดๆนะ
(ตามสัญชาติญาณของผู้หยั่งรู้...ว่าใปนั่นมั่วใด้อีก...ฮะๆๆๆ)ขอบคุงนะคับที่มาอัพเรื่อองต่อ....
รอแทบขาดจิต...

ธุจ้า ท่านอาชู...
ธุจ้า หลาน Arus ของอาอู...
ธุจ้า พี่คนลาดพร้าว...
ธุจ้า พี่Federick...
ธุจ้า พี่หนิง...

(เหนื่อย...-/\-...)

บะบายทุกท่านนะคับ...........
รักษาสุขภาพกานด้วยน๊า........

...........หลาน อาร์ ของ อาอู

Anonymous said...

มาแล้วครับ หยุด ไม่ได้มาคุยไปเสียนาน พอดีงานยุ่งและติดประชุมต่างจังหวัด
อูง้อบอย แสดงว่า ห่วงบอยมากๆ ก็งี้แหละ ชอบแล้วอะไรก็ยอม
ments42

Anonymous said...

10...

แบงค์ครับ

Fryderyk C. said...

อาอูครับ คิดถึงจังเลย กว่าจะมาเขียน
- -

ยินดีด้วยครับ ที่ง้อจนสำเร็จ
จะรอติดตามตอนต่อไปนะครับ

สวัสดีทุกๆ ท่านด้วยครับ

ป.ล. ช่วงนี้ใครโดนสุนัขกัด ไปฉีดยาด้วยนะครับ หน้าร้อนแล้ว อันตรายครับ**

Anonymous said...

ง้อสำเร็จแล้ว อิอิ น้องบอยนี่ก็เล่นตัวใช่ย้อยน่ะ
ปล. ถามพี่อูว่าสมัยนั่น เวลา 4 ทุ่มแล้ว ไม่ดึกเกินไปสำหรับเด็ก ม.ต้นหรือคับ อันนี้สงสัย
^^sky^^

Anonymous said...

ดีใจจังพี่อูยังจำได้ว่ามีเราอยู่
เข้ามาทุกวันแหละ มาอ่านนิยายมั่ง
มาอ่าน ment มั่ง แต่ว่าไม่ว่าง ment เท่านั้นเอง
อ่านแล้วอิ่มเอิบหัวใจจังตอนนี้
รจ

Anonymous said...

หมุ่นี้ลงหนังสือบ่อยจัง

รออ่านตอนต่อไป จะลงเอย หรือพลิกล๊อค


thom

naja said...

เรื่องทิ้งขนมอ่ะ ผมก้อเคยสงสัยว่าเค้าน่าจะเอาไปแจกพวกเด็กๆจรจัดดีกว่าจะเอามาทำลายแบบนี้ แต่พอโตขึ้น ก็เริ่มเข้าใจว่าบางครั้งภาพลักษณ์ย่อมมีค่ากว่ามนุษยธรรม

Anonymous said...

ช่วงนี้อาจจะโพสต์ไม่ค่อยแน่นอนสักระยะหนึ่งเพราะว่าเหนื่อยกับงานครับ บางทีคิดอะไรไม่ค่อยออก ก็ได้อาศัยเวลาตอนดึกๆซึ่งเป็นเวลาที่ผมชอบนี่แหละครับพิมพ์แล้วก็โพสต์ สำหรับตอน ๕๕ นี้เขียนเสร็จตอนตีสี่กว่าพอดี โพสต์เสร็จก็เตรียมตัวไปทำงาน ไม่ได้สวดมนต์หรอก

ขอบคุณพี่ ments42 เห็นหายไปนานสงสัยวอยู่เหมือนกันว่าพี่คไปต่างจังหวัด

ต้องขอขอบคุณคุณหญิง ที่เข้ามาทักทาย บล็อกนี้แม่หญิงชักจะอ่านกันเยอะ เขินเสียแล้วสิ ตอนหน้าผมจะลงภาพลับที่ขายในนิตยสารสมัยก่อนนะครับ แล้วก็ตามด้วยวีดิโอเกย์ในยุคนั้น ผู้บ่าวดูได้ แม่หญิงตัดสินใจกันเอาเอง ถ้าไม่อยากดูก็ปิดตาเอาไว้ก่อนเพราะว่าแจ้งล่วงหน้าแล้ว

ที่เอาเกร็ดเรื่องนิตยสารเกย์มาลงต่อเนื่องเพราะว่ายุคนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของนิตยสารเกย์ในเมืองไทย หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็เป็นยุคที่สังคมเปิดกว้างยอมรับเกย์มากขึ้น รังเกียจเกย์น้อยลง ผมว่าเป็นรอยต่อของยุคสมัยเลยก็ว่าได้ อีกอย่าง นิตยสารเก่าขนาดนั้นอีกหน่อยคงหาตัวอย่างอ่านกันไม่ได้ เลยเอามาโพสต์เอาไว้เป็นที่ระลึก

สี่ทุ่มสำหรับสยามยุคนั้นก็ไม่ดึกเกินไปหรอกครับ หนังรอบทุ่มก็เลิกสามทุ่มหรือสามทุ่มกว่า สี่ทุ่มถึงห้าทุ่มร้านรวงก็เริ่มทยอยปิด ถ้าอยู่ต่อก็ไม่มีอะไรอยู่ดี

เด็กวัยรุ่นยุคนั้นก็ใช้ชีวิตยามดึกกันแล้วครับ มัธยมเรียนกวดวิชาก็เลิกตอนค่ำๆ สามทุ่มก็ยังมีเดินแถวสยามอยู่บ้าง แต่ยุคนั้นกวดวิชาที่สยามไม่ค่อยมีครับ ยังไม่ถึงยุคกวดวิชาสยามเฟื่อง กวดวิชาจะไปอยู่รอบๆสยามเสียมากกว่า และถ้าไปเรียนกับ อ.สงวนที่เสาชิงช้าก็เลิกสามสี่ทุ่ม ส่วนบอยนั้นที่บ้านไม่ค่อยสนใจ กลับดึกได้ไม่เป็นไรครับ

หลานอาร์รู้ได้ไงว่าอาหน้าซีด พูดยังกับเห็นแน่ะ ปลายเดือนก็ซีดเป็นะรรมดาแหละ ยิ่งใกล้สิ้นเดือนจะซีดยิ่งกว่านี้

ตอบพี่สาวลาดพร้าว บอยนั้นผิวขาวกว่านัยหน่อย หน้าสั้นกว่าหน่อย นัยหน้าแบบไข่เรียวยาว บอยหน้าแบบไข่สั้น ตาสองชั้นมีเล่าเต๊งทั้งสองคน บอยก็น่ารัก กวนๆ ไม่ได้หล่ออะไรมากมายหรอกครับ เลยหาดารามาเทียบไม่ได้เพราะดาราหล่อๆกันทั้งนั้น แต่จะลองพยายามนึกดูครับ จะปรึกษานัยคนแถวๆนี้ด้วยว่าบอยหน้าเหมือนใคร นึกออกแล้วจะบอกพี่ครับ

เรื่องภาวะขาดแคลนอาหารของโลกเรานั้นเป็นมานานแล้วครับ ไม่ได้มีปัญหาเฉพาะในไทย แต่เป็นปัญหาระดับโลก ภาวะขาดแคลนอาหารนี้ในหลายๆพื้นที่ไม่ได้เกิดจากการผลิตอาหารไม่เพียงพอแต่เกิดจากความไม่ทั่วถึงในการกระจายอาหาร นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าครับ ทรัพยากรน้ำก็เช่นกัน

อู

Choo said...

พี่สาวลาดพร้าวครับ ทุกวันจันทร์ผมจะตื่นเช้าเป็นพิเศษครับ เมื่อก่อนก็ขึ้นมาสวดมนต์แหละครับ แต่เดี่ยวนี้ไม่ค่อยได้สวดฯ ไม่รู้ไปติดนิสัยนี้จะใครมาเหมือนกันครับ

หลานอาร์ ของอาอู เรียกอาว่าอาเฉยๆ จะดีกว่านะ เรียกถึงท่านอาเลย ดูไฮโซหรือหนังจีนอย่างไรชอบกลครับ ไม่อ้าวววว.

แล้ว หลาน Ar ของอาอู กับ หลาน Arus ของอาอู เป็นคนละคนใช่มะ เดี่ยวนี้มีชื่อคล้ายกันเยอะครับ
Federik กับ Fryderyk.C ก็อีกคู่หนึ่ง

อ่านตอนนี้แล้ว ไม่น่าเชื่ออูผู้เคร่งขรึมจะยอมทำอะไรแบบนี้เพื่อขอโทษน้องบอย แต่ยังไงก็ยังเชื่อว่าอูต้องหักมุมอีกนั่นแหละ

ต้องมีน้องบอยงอนรอบสองชัวร์

ชู

ปล.หนานหนุงหนิงยังกอดไม่ทั่วเลย กลับมากอดให้หมดทุกคนในบล๊อคนี้ซะดีๆ

Anonymous said...

)^_^(ที่18 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ว่านี่มันอาไรอีกครับ หมายความว่าไง ไม่ไปง้อ1สัปดาห์นี่มันจะส่งผลอะไร อยากรู้ หรือว่านี่มันจะทำให้ลุงไม่ได้พูดความในใจออกไปใช่ม่า โอ้ยๆหมายความว่าบอยจะไม่รู้ใจลุงต่อไปและคงมีกิ้กใหม่ไปซะงั้น หรือเปลี่ยนแปลงแบบดีๆก็คือ บอยทนไม่ไหวเลยบอกรักเองเลย หุหุ ขอเป็นอย่างหลังนี้น่า ช่วงนี้งานเยอะหรือครับแล้วยังอดนอนมาเล่าให้ฟังอีกหรือครับ ขอบคู้นนนนที่สุดเลย คราวหน้านี่มีหนังด้วยหรอจำกัดอายุป่าว แต่ผมขอแอบๆดูนะครับ

Anonymous said...

จริงด้วย..หลานหนิงยังไม่มารายงานตัวเลยนี่..
เค้าว่ากันว่าผู้สูงวัยมักจะนอนหัวค่ำตื่นแต่เช้านะชู
พี่เลยพยายามนอนดึกตื่นสายเพื่อชะลอวัยอยู่ อิ อิ..

แหมๆอูเค้ามีขู่เรื่องภาพประกอบตอนหน้าด้วยแฮะ
แม่หญิงอย่างเราควรจะกลัวมั้ยเนี่ยน้องรจ..
เอาน่ะ..กล้าโพสต์ก็กล้าดู..
อย่างมากก็คว้ายาดม ยาอม ยาหอมข้างๆ..โฮ่ๆๆๆ
หนักนักก็เช็คอินเข้าโรง'บาลไปเลย..555+

คนลาดพร้าว

หลานหนิง said...

อ่า ช่วงนี้ยุ่งๆเรื่องโปรเจคจบครับ

มัวแต่นอนใจเลยต้องมาเร่งกันในวินาทีสุดท้าย

อ่านตอนนี้แล้วแอบสะใจแทนน้องบอย อิอิ

ว่าแต่นายอูง้อน่ารักดีนะคับ (อยากได้มั่ง แบบนี้)

พี่สาวลาดพร้าวคิดถึงผมหรอ อิอิ สนใจเอาไปนอนกอดสักคืนมั้ยครับ

กอด พี่สาว?ลาดพร้าว

กอดด อาอู

กอดดด อาชู คุณพ่อขายาวที่ร้ากก

Anonymous said...

คุณอู...สุดยอดครับ

Anonymous said...

)^_^( ลุงร้อนไหมครับ สงสัยเดือนหน้านี่น้ำหมดตัวแห้งตายซะมั้งครับ สมัยลุงน่าจะต้องสอบความถนัดแพทย์ด้วยใช่ม่า วัชาเลขยาก และฟิสิกสเนี่ยต้องหาโจทย์มาทำเยอะๆนะครับยิ่งยากยิ่งดี แต่บางข้อก็เว่อเกิ้น เคมีนี่ไม่ปลื้มเท่าไรถ้ามีปรุงยาแบบแฮรรี่ถ้าจะดี ชีวะนี่ก็โอแต่หนักหัวเพราะต้องจำเยอะ สรุปว่าใกล้บ้าแล้วเรา คิดถึงน้องบอยแล้วจะเป็นยังไงต่อเนี่ยตอนหน้าต้องคืบหน้าหน่อยนะเช่น จุ๊ฟ จุ๊ฟ กิ้กๆไปล่ะ

Anonymous said...

ได้อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่า พี่อูของบอย จะแอบหน้าซีดหรือเปล่า กับการถูกแกล้งให้ดึงเทปกาวบ้าง ^^ โชคดีที่บอยหายงอนและโกรธแล้ว ไม่งั้น ...
ดีใจแทนที่บอยหายงอนแล้ว จะได้กลับมาคุยร่าเริงและสบายใจได้นะคะ การที่ทะเลาะกับใครหรือมีปัญหากับใครทีไร นี่ หัวใจและสมองทำงานหนักๆ จริงๆ ค่ะ ข่วงนี้ในเรื่องก็คงเคร่งเครียดกับการสอบเอนทรานซ์จริงๆ นะคะ มหาโหดเลยเชียว

ปล พี่อู ไม่ต้องเขินที่ผญ ทั้งหลายทั้งนาง มาอ่านหรอกค่ะ ดีใจและมีความสุขที่ได้อ่านค่ะ^^ ตอนหน้าก็จะติดตามแน่นอนค่ะ ไม่พลาดๆ

เคยคิดว่า การที่ผู้หญิงสมัยนี้หันมาด้านนี้มากขึ้น นั่นเป็นเพราะความชอบ ความอยากรู้อยากเห็นหรือแฟชั่นกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ออกไปไหนไมได้เลย อิอิ

หญิง

Choo said...

ประกาศอูผู้เขียนหายตัวออกจากบล๊อค

กลับบ้านด่วน นัยกะบอยให้อภัยหมดแล้ว

คิดถึงจัง ไปหัวฟูอยู่ที่ไหนครับ

รอ ร้อ รอ

ชู

Choo said...

ประกาศอูผู้เขียนหายตัวออกจากบล๊อค

กลับบ้านด่วน นัยกะบอยให้อภัยหมดแล้ว

คิดถึงจัง ไปหัวฟูอยู่ที่ไหนครับ

รอ ร้อ รอ

ชู

Anonymous said...

ผิดหวังมากกะว่าวันจันทร์เปิดมาจะได้อ่านตอนต่อ แต่ที่ไหนได้ยังไม่มีเลย ถ้าหายออกไปจริงๆ ตามที่ ชู บอก ทุกคนให้อภัยหมดแล้วรีบกลับมาเร็วๆ มีคนรออยู่มากมาย
ments42