Thursday, March 11, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 53

เดือนพฤษภาคม

ใกล้เปิดเทอมเข้ามาทุกทีแล้ว ตามแผนการที่วางเอาไว้ เมื่อช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนสิ้นสุดลง ผมจะต้องอ่านวิชาของชั้น ม.๕ จนจบทั้งหมด แต่การดูหนังสือของผมก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะทันตามแผนเลย

ช่วงนั้นเป็นอีกช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกสับสนมาก หลังจากที่ไปเที่ยวสวนลุมกับบอยเมื่อหลายวันก่อนทำให้ผมต้องกลับมาคิดทบทวนเรื่องบอย เดิมทีที่ผมเห็นบอยเป็นครั้งแรกในสหกรณ์ บอยเป็นเพียงเด็กกวนๆคนหนึ่ง แต่ต่อมาผมก็เริ่มรู้สึกว่าบอยก็น่ารักดี กาลเวลาผ่านไปจนเราสนิทสนมกันมากขึ้น ตอนนี้ผมรู้สึกว่าบอยเป็นเด็กที่มีเสน่ห์ ทำให้ผมรู้สึกดีเมื่ออยู่ใกล้ และคิดถึงเมื่ออยู่ห่าง ผมอยากดูแลและผูกพันเข้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของบอย ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกคล้ายกับที่ผมเคยรู้สึกผูกพันกับนัย และนับวันความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ตลอดเวลาที่ผมรู้จักกับบอยและพัฒนาความสัมพันธ์กันมา ผมเริ่มสังเกตมาได้นานพอสมควรแล้วว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อบอยนั้นเริ่มคล้ายคลึงกับความรู้สึกที่มีต่อนัย ผมเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าความสัมพันธ์ของผมและบอยคืบหน้าต่อไปเรื่อยๆแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ผมจะวางบอยไว้ในตำแหน่งอะไร แล้วผมจะวางนัยไว้ในตำแหน่งอะไร สักวันหนึ่ง... ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไร... เมื่อนัยกลับมา แล้วผมจะทำอย่างไร

ผมคิดเรื่องเหล่านี้จนไม่กล้าคิดต่อเพราะว่าคิดไม่ออก มันเป็นคำถามที่ผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ผมจึงพยายามหลอกตนเองว่าไม่ได้คิดอะไรมากกับบอย เพียงคุยด้วยแล้วสบายใจก็คบกันแบบเป็นพี่เป็นน้องกัน และนี่เองที่ทำให้การคบกันของผมคบกับบอยในลักษณะกล้าๆกลัวๆ ยามเหงาก็เข้าหา ยามสับสนและรู้สึกผิดก็ถอยห่างออกมา บางทีเมื่อรู้สึกผิดต่อนัยและคิดไม่ตกก็หยุดติดต่อกับบอยไปชั่วระยะหนึ่ง แต่พอทนเหงาไม่ไหวก็กลับไปติดต่อใหม่ โชคยังดีอยู่บ้างที่ในช่วงปิดเทอมนี้ผมเอาจริงเอาจังกับการดูหนังสือมาก สมาธิในการดูหนังสือช่วยให้ผมก้าวผ่านวันเวลาอันสับสนไปได้

แต่มาถึงตอนนี้ ผมแน่ใจแล้วว่าผมรู้สึกอย่างไรกับบอย ผมชอบบอยเข้าให้แล้วอย่างจริงๆจังๆ ผมไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าผมชอบบอยมาก รวมทั้งท่าทีที่บอยแสดงออกก็ดูเหมือนว่าจะมีใจให้ผมพอสมควร ถ้าบอยเป็นแบบเดียวกับที่ผมเป็น... และถ้าบอยชอบผม แล้วผมควรทำอย่างไร... ผมจะเอานัยไปไว้ที่ไหน... ในเมื่อผมยังหาคำตอบให้แก่ตนเองไม่ได้ หลังจากที่เราไปเที่ยวสวนลุมกัน ผมจึงหยุดติดต่อกับบอยอีก

- - -

เมื่อใกล้เปิดเทอม หอพักที่ผมพักอยู่ก็กลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากนักเรียนนักศึกษาที่กลับภูมิลำเนาไปในช่วงปิดเทอมได้กลับเข้ากรุงเทพฯมาอีก รวมทั้งตึกแถวที่อยู่ตรงข้ามหอพักของผมซึ่งมีการตกแต่งปรับปรุงใหม่ก็ปรับปรุงแล้วเสร็จ เสียงงานก่อสร้างที่เคยอึกทึกในช่วงกลางวันก็เงียบหายไป และกลายสภาพเป็นอพาร์ตเมนต์ให้เช่ารายเดือนเหมือนกับหอพักที่ผมเช่าอยู่นี้ เพียงแต่ว่าฝั่งตรงข้ามนั้นสภาพดีกว่าเนื่องจากผ่านการปรับปรุงมา

เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง ก่อนเปิดเทอม ผมกลับไปที่แผงหนังสือตลาดนัดสวนจตุจักรอีกครั้งหนึ่ง เพื่อซื้อสามเล่มยี่สิบมาอ่านอีก

“น้องๆ โป๊มั้ยน้อง” ชายหนุ่มคนหนึ่งแวะเวียนมาถามผม ผมส่ายหัว

มาคราวนี้ผมเริ่มรู้เคล็ดลับแล้วว่าต้องเดินเรื่อยเปื่อยสักสิบห้านาที รอจนคนขายหนังสือโป๊ทั้งหลายเลิกตื๊อผมจึงจะมีอิสระที่จะไปเดินเลือกหาสิ่งที่ผมต้องการได้ แต่สำหรับวันนี้ ขณะนี้ผมกำลังเดินและมีคนขายหนังสือปกขาวตามตื๊ออยู่นั้นเอง ผมก็ได้ความคิดใหม่ขึ้นมา

“มีอะไรมั่งละพี่” ผมถาม

“มีทุกอย่าง ไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง ของใหญ่ ภาพชัด บ๊ะๆทั้งนั้น” คนขายพยายามบรรยายสรรพคุณ

“เล่มละเท่าไรครับ” ผมถามอีก

“ร้อย สองร้อย สามร้อย ถ้าอย่างร้อยนึงนี่คุณภาพไม่ค่อยเท่าไร แต่อย่างสามร้อยนี่ชัดแจ๋วเลย” คนขายตอบอย่างคล่องแคล่ว “น้องซื้ออย่างสามร้อยดิ พี่คิดให้สองร้อยห้าสิบ นางแบบฝรั่งยังงี้เลย”

“สองร้อยคิดร้อยห้าสิบละกัน” ผมต่อรอง รู้ว่าของแบบนี้ต่อรองกันได้เนื่องจากเคยซื้อมาจากไอ้นักสืบจิมาแล้ว

“ไม่ได้หรอกน้อง” คนขายตอบ

“ครับ งั้นไม่เป็นไร” ผมตอบอย่างไม่ง้อแล้วเดินหนี ตอนนั้นก็ไม่ง้อจริงๆ ไม่ได้อยากดูอะไรมากมายนัก ถ้าแพงเกินไปก็ไม่เอาดีกว่า เงินสองสามร้อยซื้อมิถุนานีออนได้ตั้งสองสามโหล

“อะอะอะ งั้นก็ได้น้อง ลดให้น้องเป็นพิเศษ” คนขายยอมแพ้ “จ่ายค่าหนังสือมาก่อนน้อง เพราะพี่ต้องเดินไปเอาหนังสือไกล ช่วงนี้ตำรวจกวนมาก”

“เอ้อ... พี่เอาหนังสือมาก่อนดิ” ผมไม่ยอมให้เงินง่ายๆ ของยังไม่เห็นเรื่องอะไรจะให้เงินไปก่อน

“ก็บอกแล้วว่าเดินไปเอาไกล เกิดเอามาแล้วน้องหายตัวไปพี่ก็เสียเที่ยวแย่” คนขายตอบ ฟังเหตุผลแล้วก็แปร่งๆชอบกล เมื่อเห็นผมทำท่าลังเล คนขายจึงสำทับ “พี่ขายแถวนี้ประจำ จะหนีหน้าน้องไปได้ยังไง แผงพี่ก็อยู่ที่นี่”

ผมเห็นว่าก็พอมีเหตุผล ขายประจำอยู่แถวนี้โอกาสเบี้ยวคงน้อย จึงควักเงินให้ไปสองร้อยบาท เพราะไม่มีเงินแบบพอดี มีแต่แบงค์ร้อยสองใบ

“เดี๋ยวพี่เอาเงินทอนมาให้พร้อมกับหนังสือ น้องรอไม่เกินสิบนาที” ชายคนนั้นพูดว่าแล้วก็เดินจากไป

หลังจากนั้นก็ไม่มีคนขายหนังสือปกขาวมากวนใจผมอีก คราวนี้ผมเดินไปยังแผงขายหนังสือมิถุนามือสองเจ้าเดิม คราวนี้ผมมีประสบการณ์แล้ว ผมพุ่งเข้าไปที่แผงทันทีโดยไม่ต้องไปด้อมๆมองๆก่อน เมื่อไปถึงก็รีบหยิบหนังสือมา ๖ เล่ม ยื่นเงินสี่สิบบาทพอดีไม่ต้องทอนให้เสียเวลา แล้วก็รีบเดินออกมา ใช้เวลาซื้อเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เสร็จเรียบร้อย

หลังจากที่ซื้อนิตยสารเสร็จผมก็เดินวนเวียนอยู่แถวนั้นเพื่อรอหนังสือปกขาว แต่ปรากฏว่ารออยู่ประมาณสิบนาทีคนขายหนังสือก็ยังไม่โผล่มา รอจนครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็น จะถามใครก็อายเขา แต่ถึงไม่ต้องถามก็พอจะรู้ตัวแล้วว่าเสียท่าคนขายเสียแล้ว หนังสือก็ไม่ได้ แถมยังต้องสูญเงินไปถึงสองร้อยบาท นับว่าเป็นประสบการณ์ราคาแพงของผมทีเดียว

หลังจากที่กลับหอพัก ผมก็ขังตัวเองอยู่ในห้องและผ่อนคลายอารมณ์จากการอ่านหนังสือเรียนด้วยนิตยสารมือสองที่เพิ่งซื้อมา และในจินตนาการอันบรรเจิดหลังจากที่ได้อ่านหนังสือพวกนี้ ผมเริ่มใช้บอยเป็นตัวละครในจินตนาการของผมด้วย...

- - -

ในที่สุดก็ถึงวันเปิดเทอม ผมรู้สึกดีใจมากเนื่องจากจะได้ไปพบหน้าเพื่อนๆหลังจากที่อยู่คนเดียวมองแต่กำแพงห้องและกำแพงห้องสมุดมาตลอดปิดเทอม

ม.๕ แล้วนะเรา ผมคิดในใจ อดรู้สึกภูมิใจไม่ได้ ที่โรงเรียนนี้ ผมก้าวขึ้นมาจากชั้นน้องเล็กจนเกือบจะได้เป็นพี่ใหญ่อยู่แล้ว ๔ ปีที่โรงเรียนแห่งนี้ให้ความทรงจำแก่ผมมากมาย ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและร้าย และปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญในชีวิตของผมอีกปีหนึ่ง ผมอาจจะไม่ได้เป็นพี่ใหญ่ของที่นี่ก็ได้ และถ้าปีนี้จะต้องเป็นปีสุดท้ายที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนนี้ ผมก็ขอใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด

วันนี้ผมรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน ยังไม่ทันจะหกโมงเช้าออกจากหอพักแล้ว ผมเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ฝั่งตรงข้ามซอยภาวนาตามปกติ ชั้น ม.๕ ของผมนี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าก็ของ ม.๔ รองเท้าก็ของ ม.๔ ดูเหมือนว่าร่างกายของผมจะไม่ค่อยโตขึ้นแล้วจึงทำให้ใส่ของเก่าได้โดยไม่รู้สึกคับแต่อย่างใด

ที่ป้ายรถเมล์คลาคล่ำไปด้วยเด็กและวัยรุ่นในชุดนักเรียนของโรงเรียนต่างๆ เห็นนักเรียนแล้วทำให้อดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ ภาพวันเก่าๆที่เราต้องมาเจอกันที่ป้ายรถเมล์ป้ายนี้หวนกลับเข้ามาให้ห้วงคำนึงของผมอีกครั้ง และในชั่ววูบของความคิด ภาพของบอยก็หลุดเข้ามาด้วย...

คิดแล้วปวดหัว ไม่คิดดีกว่า ผมรีบสลัดความคิดออกจากหัวทันที ในเมื่อยังคิดอะไรไม่ออก ผมเลือกที่จะใช้วิธีซุกปัญหาเอาไว้ใต้พรมแล้วซื้อเวลาไปเรื่อยๆ

วันนี้ผมไปถึงโรงเรียนเช้าผิดปกติ เพียงเจ็ดโมงกว่าก็ถึงแล้ว ห้องเรียนในชั้น ม.๕ ของผมไม่ได้อยู่ที่ตึกเดิม แต่เป็นอีกตึกหนึ่งซึ่งเป็นตึกเรียนของชั้น ม.๕ และ ม.๖ แต่ว่าเลขห้องยังเป็นเลขห้องตัวเดิมอยู่เนื่องจากไม่มีการคละนักเรียนกันใหม่ ทุกคนยังได้อยู่ร่วมชั้นกันเช่นเดิมเหมือนเช่นตอน ม.๔ และนั่นแหละคือปัญหาของผม...

ปีที่แล้วผมมาถึงห้องสายจนต้องเลือกที่นั่งไม่ได้ ต้องไปนั่งติดกับไอ้กี้และเวชอย่างไม่มีทางเลือก แต่ในปีนี้ผมเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าจึงรีบมาโรงเรียนตั้งแต่เช้า

เมื่อไปถึงห้องเรียน ตอนนั้นยังมีเพื่อนไปถึงไม่มากนัก ผมรีบจับจองโต๊ะซึ่งผมคิดว่าดี มันเป็นนั่งมุมห้องข้างหลัง ด้านที่ติดกับทางเดินของตึก มุมนี้จะเป็นมุมที่ห่างจากเวชและพวกมากที่สุดเนื่องจากพวกเด็กเกมักชอบนั่งรวมกันอยู่ที่มุมห้องด้านหลังอีกฝั่งที่ไกลจากทางเดินอีกทั้งยังเป็นมุมที่ผมรู้สึกว่าสันโดษดีอีกด้วย

เมื่อจับจองที่นั่งได้สำเร็จและนั่งคุยกับเพื่อนๆสักพัก เพื่อนๆแต่ละคนก็มีเรื่องเล่าในช่วงปิดเทอมกันมากมาย ส่วนหนึ่งก็กลับบ้านต่างจังหวัด ส่วนหนึ่งก็หมกมุ่นกับการเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย การได้พบปะเพื่อนฝูงและพูดคุยทำให้ผมรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายขึ้นมาก การอยู่กับตัวเองนานๆตลอดปิดเทอมโดยไม่ได้พบปะใครทำให้ผมรู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา

หลังจากคุยกับเพื่อนๆสักพักผมก็ปลีกตัวออกมาจากห้อง เดินลงจากตึกและข้ามสนามหญ้าผืนใหญ่เพื่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง... สหกรณ์นั่นเอง

ช่วงก่อนเปิดเทอมผมไม่ได้ติดต่อกับบอยเสียหลายวันเนื่องจากช่วงนั้นผมรู้สึกสับสนมาก การดูหนังสือไม่ทันทำให้ผมรู้สึกตึงเครียด ประกอบกับช่วงนั้นเมื่อคิดถึงบอยทีไรภาพของนัยก็จะแทรกเข้ามาอยู่เสมอ ทำให้ผมละล้าละลัง ทำอะไรไม่ถูก จึงตั้งหน้าตั้งตาดูหนังสือและพยายามหยุดคิดเรื่องบอยไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ในตอนนี้ความรู้สึกคิดถึงบอยเป็นฝ่ายชนะ ผมพยายามหยุดคิดถึงมันแต่ก็หยุดไม่ได้

ผมก้าวเท้าขึ้นบันไดตึกซึ่งเป็นที่ตั้งของสหกรณ์ ผมรู้สึกลังเลอีกครั้งเพราะว่าการเดินมาหาบอยที่ห้องนี้ก็เท่ากับผมกำลังเดินเข้ามาหาอดีตของผมและไอ้นัยที่นี่เช่นกัน...

ท่ามกลางความรู้สึกสับสน ผมยังก้าวเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ...อย่างช้าๆ... จู่ๆผมก็คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา... พี่เต้...

คิดแล้วก็อดขำไม่ได้ เมื่อก่อนผมหมั่นไส้พี่เต้มากเพราะพี่เต้ชอบทำเนียนแวะมาหาไอ้นัยบ่อยๆ แต่แล้วผมเองในตอนนี้ล่ะ? พฤติการณ์ของผมในตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากพี่เต้เลย คิดแล้วก็อดคิดถึงไอ้นัยอีกไม่ได้ ถ้าพี่เต้ไม่ได้หายไปจากชีวิตของไอ้นัย ไม่แน่ว่าเรื่องราวของไอ้นัยอาจไม่เลวร้ายขนาดนี้ ในเมื่อมันมีพี่ชายที่แสนดีคอยดูแลมันก็คงรู้สึกอบอุ่นและไม่ไปทำอะไรแบบนั้น... ป่านนี้พี่เต้เรียนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ พี่เต้ครับ... ผมขอโทษที่เคยหมั่นไส้พี่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมยอมให้พี่จีบไอ้นัยต่อไปดีกว่า... ไอ้นัย ขอโทษมึงด้วย ความงี่เง่าของกูเองที่ทำให้มึงต้องกลายเป็นแบบนี้...

ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าสหกรณ์ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ วันนี้เป็นวันแรกของการเรียน ที่จริงสหกรณ์ยังไม่เปิดให้บริการ แต่จากแสงไฟที่ลอดออกมาทำให้ผมรู้ว่าจะต้องมีพวกสตาฟขาประจำมานั่งคุยกัน ไอ้บอยก็อาจจะอยู่ที่นี่ด้วย

ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมองและผลักประตูเข้าไป เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปก็เห็นสตาฟรุ่นน้องสองสามคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ เด็กพวกนี้อยู่ในชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมละออ บนอกเสื้อที่เมื่อปีที่แล้วปักแต่อักษรย่อของโรงเรียนในปีนี้ก็มีตราโรงเรียนปักเพิ่มเข้ามา

ไอ้น้องพวกนี้พอเห็นผมมันก็มองหน้ากันแล้วอมยิ้ม ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง

“ไอ้บอยยังไม่มาเลยพี่” นักเรียนคนหนึ่งที่ผมเห็นหน้าในสหกรณ์จนคุ้นเคยบอกกับผม มันเองก็คงเห็นผมจนคุ้นตาเช่นเดียวกัน

“เอ้อ...” ผมพูดอะไรไม่ออก ทำไมพอมันเห็นหน้าผมมันก็รู้เลยว่าผมมาทำอะไร ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพี่เต้ตอนที่มาสหกรณ์ก็ในวันนี้นี่เอง

ผมถอยออกมาจากห้อง ปิดประตูตามเดิม จากนั้นแวะไปที่ห้องธุรการเพื่อดูจดหมาย ผมรื้อกองจดหมายที่เขรอะไปด้วยฝุ่นแต่ก็ไม่พบอะไร จากนั้นก็ไปนั่งรออยู่ที่ห้องสมุด วันนี้ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆก็คิดถึงไอ้บอยมาก อยากเห็นหน้ามัน รวมทั้งรู้สึกผิดด้วยที่เงียบหายไปไม่ดูแลมันเสียหลายวัน ยังไงเดี๋ยวต้องขอหน้าด้านกลับไปดูที่สหกรณ์อีกสักครั้ง ถึงอย่างไรไปหามันที่สหกรณ์ก็กระอักกระอ่วนใจน้อยกว่าไปหามันที่ห้องเรียน

เกือบแปดโมง ผมกลับไปที่สหกรณ์อีกครั้ง คราวนี้ผมได้ยินเสียงกุกกักดังลอดออกมาจากในห้องแต่เดาไม่ออกว่าเป็นเสียงอะไร

เมื่อผมเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบภาพที่ผมนึกไม่ถึง นักเรียนสามคนกำลังจับนักเรียนคนหนึ่งกดให้นอนอยู่บนโต๊ะ คนที่ถูกจับกดก็พยายามดิ้น ปล้ำกันเสียงดังกุกกัก

“อ้าว เล่นอะไรกันน่ะ” ผมทัก ดูเหมือนว่าพวกนี้กำลังเล่นกันอยู่ ไม่เหมือนกับทะเลาะกัน

“อ้าว พี่มาพอดีเลย” สตาฟ ม.๔ ที่ผมเห็นในห้องเมื่อเช้าซึ่งขณะนี้กำลังจับเหยื่อกดกับโต๊ะหันมาเห็นผมและทักทาย “ไอ้นี่มันพูดมากเหลือเกิน จะเอาเทปปิดปากมันน่ะพี่ พี่มาช่วยหน่อยเร็ว”

“พี่อูช่วยด้วย” เสียงเหยื่อที่นอนดิ้นอยู่บนโต๊ะร้องขึ้น บอยนั่นเอง

เพียงแค่นี้ผมก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ในวันเปิดเทอมวันแรกนี้ไอ้บอยคงมีเรื่องคุยมากมายตามประสาเด็กอารมณ์ดี และก็คงทำให้รุ่นพี่หมั่นไส้จึงพยายามแกล้งมัน

ผมลังเลนิดหนึ่ง มีเสียงเรียกให้ผมช่วยจากทั้งสองฝ่าย แล้วผมควรจะช่วยใครดี ถ้าผมช่วยไอ้บอยก็อาจเป็นที่ผิดสังเกตและออกหน้าออกตาเกินไป...

ด้วยอารมณ์คะนองเพียงชั่ววูบและเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง ผมจึงเดินเข้าไปร่วมวงกับพวกน้อง ม.๔ โดยช่วยจับบอยเอาไว้ไม่ให้มันดิ้น จากนั้น ม.๔ คนหนึ่งก็เอาเทปกาวอย่างหนาแผ่นใหญ่ที่ใช้ปิดสันหนังสือเวลาเข้าเล่มหนังสือมาคาดที่ปากของบอย

เมื่อปิดปากบอยเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็ปล่อยตัวบอยแล้วหัวเราะกันสนุกสนาน ผมเองก็พลอยหัวเราะสนุกไปด้วย

“นี่แน่ะ กวนนักไอ้บอย” รุ่นพี่หัวเราะ “ต้องเจอแบบนี้ถึงจะหายซ่า”

บอยลุกขึ้นนั่งบนโต๊ะ พยายามแกะเทปกาวออกจากปาก ดูเหมือนว่ามันจะเหนียวมาก บอยแกะออกจากปากได้เพียงเล็กน้อยก็ต้องหยุด เห็นมันลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วก็เอามือกระชากเทปออกจากปากอย่างรวดเร็วเสียงดังแคว่ก

ปากและแก้มของบอยส่วนที่ถูกเทปคาดเอาไว้แดงช้ำไปหมด ริ่มฝีปากเจ่อออกมาเพราะแรงกระชาก ดูบอยจะเจ็บมากและไม่สนุกไปด้วย เทปนั้นคงจะติดแน่นจนเกินไป น้ำตาของบอยไหลพรูออกมา ผมรู้สึกตกใจมาก หัวใจราวกับหล่นลงมากองอยู่ที่ตาตุ่ม

“เฮ้ย บอย เจ็บมากไหม” ผมถาม ในสถานการณ์เช่นนั้นนึกคำถามอะไรที่ดีกว่านั้นไม่ออกจริงๆ

บอยนิ่งไปชั่วครู่ น้ำตายังพรูออกมาไม่หยุด แล้วในที่สุดก็ร้องตะโกนออกมา “ไอ้พี่บ้า”

ว่าแล้วบอยก็กระโดดลงจากโต๊ะและวิ่งออกไปจากห้องท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน

“ฉิบหายแล้ว” ผมหันมาดุพวก ม.๔ “พวกเอ็งแกล้งน้องจนร้องไห้เลย”

“พี่ก็ด้วยแหละ” ไอ้คนหนึ่งอ้อมแอ้มย้อนผม น้ำเสียงของมันก็แสดงความตกใจเช่นกัน

ผมรีบออกมาจากห้องและวิ่งตามบอยไปทันที เห็นหลังบอยไวๆกำลังวิ่งไปตามระเบียงอันยาวเหยียดของตึก…


<ผมรีบออกมาจากห้องและวิ่งตามบอยไปทันที เห็นหลังบอยไวๆกำลังวิ่งไปตามระเบียงอันยาวเหยียดของตึก…>


<หลังจากที่นิตยสารแนวเฉพาะกลุ่มเกย์ชื่อมิถุนาวางตลาดในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ และขายดี ต่อมาจึงมีนิตยสารเกย์ตามออกมามากมายหลายหัวอันเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจที่เมื่อทำอะไรแล้วรุ่งก็มักมีผู้เอาอย่าง โดยนิตยสารนีออนออกตามมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ที่เห็นในภาพเป็นหน้าปกของฉบับปฐมฤกษ์ ราคา ๓๐ บาท>


<ต่อมาก็มีนิตยสารเพทาย ที่เห็นซ้ายมือในภาพเป็นฉบับปฐมฤกษ์ ออกปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ราคา ๓๐ บาท ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนิตยสารมรกต สังเกตว่านิตยสารมิถุนาและนีออนจะเน้นหน้าปกเป็นนายแบบวาบหวิวเน้นกลุ่มผู้อ่านอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนนิตยสารมรกตจะเน้นนายแบบทั่วไป ไม่มีการสื่อให้เห็นกลุ่มผู้อ่านอย่างชัดเจน ลองดูว่านายแบบในภาพปกด้านขวาเป็นใคร>


<หลังจากนั้นก็มีนิตยสารเกย์ตามออกมามากมาย อาทิ มิดเวย์ Him, My Way, The Guy ฯลฯ รวมทั้งมีนิตยสารเฉพาะกิจ รวมภาพ และนิตยสารแนวเรื่องเล่าประสบการณ์เสียวโดยเฉพาะ เช่น นิตยสารห้องห้าเหลี่ยม ว่ากันว่านิตยสารเกย์ในยุคนั้นเฟื่องมากพอๆกับโรคเอดส์เลยทีเดียว>

23 comments:

Anonymous said...

โชคดีจัง คนแรกคับผม

กัน

Anonymous said...

มีลุ้นเรื่องบอยอีกล่ะ
ตอนต่อไป ขอไวๆหน่อยนะครับ
อยากรู้ว่าจะง้อกันไง

thom

Choo said...

ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเสมอครับ
จะเปลี่ยนไปแค่ตัวละคร
เราเป็นตัวเอกบ้าง ตัวรองบ้าง ตัวเสริมบ้าง ตัวร้ายบ้าง
แล้วก็ ถูกบ้าง ผิดบ้าง ผิดๆ ถูกๆ บ้าง สลับบทกันไป

เห็นไหม รุ่นพี่เต้ เป็นคนดีทุกคน อูไม่รู้ไม่เข้าใจเองแหละ

เก็บนัยใส่หีบแห่งความทรงจำได้แล้วครับอู ไม่งั้นอาจจะต้องเสียบอยไปอีกคน ยังไม่สาย เชื่อซิ...คร๊าบ

ชู

Anonymous said...

มารักอาอูครับ

หลาน Arus ของอาอู

PR said...

มาไม่ทันคนแรกทุกทีสิน่า...โดนเสียบตลอด...เหอะๆ...
ยังใงก็หวาดดีอาอู ด้วยนะค้าบ และ ขอบคุงค้าบ ที่ช่วยเชียร์ เฮอะๆ...
คิดถึงอามากมาย...แต่ก็นะมาโพสต์ไว้ก่อน...แล้วค่อยมาอ่านทีหลัง...หุหุ...เก็บใว้...
ว่าแตอาอูเปงงัยบ้างคับ...อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย...เดี๋ยว...หนาว...เดี๋ยว...ร้อน...เดี๋ยว...ฝนตก...เอากะมันสิ....
หวัดดีทุกๆท่านนะคับที่คอยติดตามเรื่องราวของอาอู...อย่างหมากฝรั่ง(เหนียว...ติดแน่น...)...
อยากถามบ้างจัง...ว่าทุกคนติดตามเรื่องของอาอู...มานานหรือยังคับ...ผมจะครบเดือนละ...
....ยังใงก็มาโพสต์แค่นี้ก่อง...เดี๋ยวอ่านเสร็จจามาโพสต์ใหม่จ้า...
...............เอ้อ.................
ยางไม่จบ...ขอเปนหลานอาอูด้วยคน...(คนที่เท่าไรแล้วมะรู้)...นะคับ....
.....
......หลาน อาร์ ของอาอู คับ..............

Anonymous said...

ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องทำให้ความสัมพันธ์ไม่กล้าหน้า
ตอนแรกนึกว่าเรื่องอานัย
กลับกลายเป็นเรื่องจับกดเสียนี่

ตอนนั้นเชียร์กับให้ไล่อาเต้ ตอนนี้กลับมาซ้ำรอยอาเต้
ตอนนั้นทำให้อาอูโดนแกล้งในห้องน้ำ
ตอนนี้ทำให้อาบอยโดยจัดกดในสหกรณ์

จำได้ว่า "อานัยไม่อยู่" นี่น่าจะตรงกัน
"อาบอยไม่อยู่" เหมือนกันนะ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

7 เลขนำโชค

แบงค์ครับ

Anonymous said...

วันนี้พี่มาสาย..เพราะมัวลุ้นอยู่กับหลายๆเรื่อง..
อ่านตอนนี้รู้สึกได้เลยค่ะว่าอูกำลังสับสนขนาดหนัก
แถมอารมณ์อยากกลบเกลื่อน ชวนให้เป็นเรื่องซะอีก
เอาใจช่วยให้ผ่านพ้นด้วยดีนะคะ..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

)^_^(ที่9 รังแกน้องบอยมีงอลลลซะแล้วคราวนี้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่มีเรื่องกัน ไม่ปกป้องบอยไม่รู้จักหน้าที่อีกแล้ว หุหุ อยากอ่าต่อไวๆอะครับ

Anonymous said...

ผมว่าพี่อูไม่ได้ตั้งใจแกล้งบอยหรอก รีบไปง้อเร็ว ๆนะครับ

ไก่

Anonymous said...

นายอูใจร้าย แกล้งน้องบอยลงคอ

ขอให้เป็นโสดจนแก่เลย ชริ

หลานหนิง

Anonymous said...

สาธุ ใครแช่งขอให้ดาบนั้นคืนสนอง

Fryderyk C. said...

ทำไมทำหับอาบอยอย่างนี้หละครับ


T T


รอลุ้นตอนต่อไปฮิๆ

Fryderyk C. said...

ทำกับ**

แก้คำผิด

Anonymous said...

)^_^(ฮือๆ โดนขังอยู่บ้านอย่าให้หลุดไปได้นะเออ เห้อวันนี้อยู่กินข้าวผัดหมูกรอบไข่เจียวกับลุงอูก็ได้ โอมจงมาเร็วๆอยากรู้แล้วว่าน้องบอยวิ่งไปไหน ไปห้องพยาบาล ผมว่าไปหาผู้อำนวยการแหงลุงตายแน่หุหุ ลุงครับตึกในรูปมีอายุ99ปีแล้วนะลุง

Anonymous said...

รู้สึกว่าพี่ชูชื่นชมรุ่นพี่เต้เหลือเกิน ระวังเข้าข่ายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงนะพี่ เดี๋ยว อย. จะมาจับ

หลานหนิงมาถึงก็แช่งเอาๆ หมู้นี้ชอบมีคนแช่งอาอยู่เรื่อย ไม่รู้ไปก่อกรรมอะไรเอาไว้ สงสัยก่อกรรมเอาไว้กับน้องบอยแน่เลย เอาใจช่วยออกหน้าออกตาเลยนะหนิง

พี่สาวลาดพร้าวหายยุ่งหรือยัง เอานีออนไปอ่านก่อนนะครับ ของเขาดี

หลานที่เท่าไรเนี่ย โดนขังเหรอ ดีแล้วล่ะ จะได้ไม่ซนมาก กินเยอะระวังอ้วนกว่าเดิมนะ เดี่ยวจะว่าลุงไม่เตือน

รูปประกอบน่ะอาก็หาเอาจากในอนเตอร์เน็ตนี่เอง ถ้าหลานไม่บอกลุงก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าตึกนี้เก่าถึง ๙๙ ปีแล้ว โรงเรียนของอาไม่ได้เก่าแก่ขนาดนั้นหรอก แค่เก่าพอกับห้างไนติงเกลและออนล็อกหยุ่นเท่านั้นเอง

หลานอาร์หายเหงาหรือยัง ไปคุยกับหนิงเขาสิ หนิงจะได้ไม่ว่างมาประชดอา

หลาน arus สอบเสร็จยัง ถูกสั่งปิดโรงเรียนแล้วจะสอบได้ไหมนี่

อู

Anonymous said...

วิ่งตามหัวใจตัวเองไปได้แล้วคับพี่อู
ดูดิ ทำเค้าเสียใจอีกแล้ว
มาเป็นกำลังใจให้พี่อูค๊าบ

ปล. รูปใครอ่ะคับ ดูไม่ออก หรือว่าผมยังแก่ไม่พอ อิอิ
^^sky^^

Anonymous said...

รีบไปง้อเลยครับ แล้วคราวนี้ก็จับกดจริงๆจังๆซะทีนะ อิอิ
Federick

Anonymous said...

)^_^(ที่19 ผมไม่อ้วนเลยเพราะผมกินปกตินะ ลุงก็รุ้ว่าแถวนั้นมันมีร้านอาหารมากมายโดยเฉพาะที่ดิโอลผมว่ากินไม่ซ้ำร้านทุกวันยังได้ ออนหยุ่นผมเคยกินขนงปังทอดไข่ด้วยลุงเคยป่าวครับ ตอนเช้าก็มีพวกไส้กรอกไข่ดาวด้วยนะเคยคิดกับเพื่อนว่าจะไปนั่งกินด้วยแต่กลัวมาเข้าแถวไม่ทัน ส่วนใหญ่จะไปเดินตอนเย็นถ้าไปทางวังบูรพานี่ยิ่งปลิ้น แตผมก็ไม่ได้ไปบ่อยหรอกครับ ไนติงเกลโอลิมปิคนี่ตึกมันขลังมากเลยนะครับเหมาะกับลุงเลยรุ่นเดียวกันเหยอ 555+ น่าจะมากกว่า100ปีเน้อ ผมล้อเล่นนะครับ โอมตอน54จงมา

Anonymous said...

้องเลื่อนสอบวิชาหนึ่งครับ
ดังนั้นก็เหลือสอบวันที่ 15 และ 22 Mar

หลาน Arus ของอาอู

PR said...

ดีคับ...อาอู...งุงิ...คงจาสบายดีน้าค้าบบบบบบบ...เหนอาอูบอกให้คุยกะหนิง...
หนิงเขาประชดไรอาอูใว้อะ....อยากรู้แต่ก้ออยากเห็น...เหอะๆ....ยังใงก้อรักษาสุขภาพใจและกายด้วยน้าค้าบ...อ้อ...สวัสดีทุกท่านที่สถิต ณ ที่นี้ด้วยนะค้าบ....
..................อาร์...คับผม.......
...................................
.............แด่ อาอู..............

Anonymous said...

เงียบ...ชู่ชู่...ลุงไนติงเกล)^_^(

Anonymous said...

ปิดเทอมแล้วซ่าเชียวนะ ขอให้โดนกักตัวอยู่ในบ้านสิบวัน กินแต่ข้าวไข่เจียว ให้หายซ่า