Saturday, March 6, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 52

“อ้า... เอ้อ...” ผมอึกอัก กำลังคิดว่าจะแก้ตัวว่ายังไงให้น่าฟังหน่อย “คือว่าหมู่นี้พี่ยุ่งๆน่ะ”

“เฮอะ” ไอ้บอยร้องอีก “อยู่แค่ ม.๔ พูดเป็นนักธุรกิจร้อยล้านอีกแล้ว ยุ่งจนโทรมาหาบอยก็ไม่ได้เลยหรือไง พี่อูไม่ดูแลบอยเลยนะ”

ผมรู้ว่าบอยไม่ได้เคืองอะไรผมอย่างจริงจังเพราะฟังออกว่ามันแกล้งโวยวาย แต่คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกผิด ช่วงนี้ผมห่างเหินกับมันไปบ้างจริงๆเนื่องจากพอผมดูหนังสือไม่ทันผมจะกังวลมาก นี่ก็ใกล้เปิดเทอมเข้ามาทุกทีแล้ว พร้อมๆกันนั้นคำถามที่เคยค้างคาใจอยู่ก็วนเวียนกลับมาให้คิดอีก นี่บอยมันคิดยังไงกับผมกันแน่นะถึงต้องการให้ผมดูแลมัน

ผมยังไม่แน่ใจว่าควรบอกมันเรื่องสอบเทียบดีหรือไม่ ผมคิดเรื่องนี้มานานแล้วแต่ยังคิดไม่ตกเสียที

“เอ้อ พี่ขอโทษ งั้นเราหาวันไปดูหนังกัน” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิด

“ไม่อะ บอยอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่ พี่อูมาช่วยบอยซื้อหน่อยดิ” เมื่อผมพยายามเอาใจมัน เสียงของบอยแจ่มใสขึ้นทันที

“ได้ๆๆ งั้นไปเมื่อไรดีล่ะ” ว่าแล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ถ้าไม่ดูหนัง งั้นพอซื้อเสื้อผ้าเสร็จ ตอนเย็นพี่จะพานายไปเที่ยวที่แห่งนึง น่าไปมากเลย”

“ที่ไหนอะ” เสียงของบอยแสดงความตื่นเต้น “ของกินเยอะไหม”

“ไอ้เปรต นึกถึงแต่เรื่องกินฟรี” ผมหัวเราะ “พี่ยังไม่บอกดีกว่า เอาไว้ให้นายแปลกใจเล่น”

บอยหัวเราะบ้าง “ถ้าเป็นความคิดพี่อูสงสัยว่าต้องเป็นที่บ๊องๆแน่เลย”

หลังจากนั้นเราก็นัดไปซื้อเสื้อผ้ากันในวันรุ่งขึ้น ผมรู้สึกอบอุ่นใจที่บอยชวนผมไปเลือกซื้อเสื้อผ้าให้ เพราะว่าแม้แต่ผมเองก็ไม่เคยชวนเอ๊ดให้ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าให้เลย พร้อมกันนั้นยิ่งรู้สึกผิดที่ละเลยมันไปในช่วงนี้

“เฮ้ อู เด็กที่ไหนวะ” แป๋งอมยิ้มพร้อมกับถามผมหลังจากที่ผมวางสาย

“เด็กที่ไหนล่ะ เพื่อนน่ะ” ผมมั่วไป เห็นสีหน้าอมยิ้มของแป๋งแล้วทำให้ผมระวังตัว ถ้าตอบผิดสงสัยงานนี้มีหึ่งทั่วหอพักแน่

“เพื่อน? แล้วทำไมมันเรียกนายว่าพี่อูล่ะ” แป๋งทวนคำอย่างสงสัย จากนั้นลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ “เดี๋ยวนี้เลี้ยงเด็กแล้วเหรอ เด็กผู้ชายเสียด้วย”

เอาแล้วไหมล่ะ ผมลืมนึกถึงเรื่องคำเรียกไป ถูกไอ้แป๋งจับผิดได้เสียแล้ว เห็นแป๋งอมยิ้มแล้วยักคิ้ว ผมรู้ว่ามันพยายามเอาคืนผมจากที่วันก่อนผมไปแหย่มันเรื่องวุฒิ

“เอ้อ มันเป็นญาติด้วยแหละ แต่เรียนชั้นเดียวกัน มันเลยเรียกพี่” ผมมั่วแบบสุดๆไม่ต้องคิดถึงเรื่องความสมจริงแต่อย่างใด จากนั้นก็รีบเดินหนีกลับขึ้นไปบนห้องทันที

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมไปดูหนังสือที่ห้องสมุดปทุมวันตั้งแต่เช้า จากนั้นก็มาพบบอยในตอนเที่ยง หลังจากที่พาบอยไปกินอาหารเที่ยงแล้วก็เป็นเพื่อนเดินกับบอยเพื่อซื้อเสื้อผ้า บอยต้องการซื้อกางเกงยีนกับเสื้อยืดใหม่ สมัยนั้นยังเป็นยุคที่นิยมกางเกงยีนกัน แตกต่างจากสมัยนี้ที่วัยรุ่นหันมานิยมกางเกงขาสั้นกันมากขึ้น

หลังจากที่รู้จักและคบกับบอยมาได้นานพอสมควร ยิ่งนานผมก็ยิ่งรู้สึกว่าบอยเป็นเด็กที่ชอบให้คนดูแลเป็นอย่างมาก เวลาไปไหนด้วยกันบอยมักให้ผมสั่งอาหารให้ สั่งน้ำให้ รวมทั้งการซื้อเสื้อผ้าในครั้งนี้ก็เช่นกัน

“พี่อูเลือกเสื้อยืดให้บอยสักสองตัวดิ กางเกงสองตัวด้วย” บอยทำเสียงขี้เกียจ

“อะไรกันวะ นายใส่เองก็เลือกเองดิ” ผมตอบ “เดี๋ยวเลือกให้แล้วไม่ถูกใจจะมาบ่นอีก พี่เดินไปเป็นเพื่อนนาย”

“เฮอะ” บอยร้อง “พี่อูไม่รู้จักหน้าที่อีกแล้ว เป็นพี่บอยก็ต้องดูแลบอยดิ เลือกให้บอยหน่อย นะนะ”

“ทำไมมันถึงได้อ้อนยังงี้วะ” ผมบ่น “อยู่ที่บ้านไม่มีใครดูแลนายหรือไง”

“ก็อยู่ที่บ้านบอยเป็นพี่ มีแต่ดูแลน้อง ไม่เห็นมีใครดูแลบอยเลย” บอยตอบ บอยตอบประโยคนี้โดยแฝงแววตัดพ้ออยู่ในน้ำเสียง แม้จะอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้แต่ผมสามารถรับรู้ได้ ผมรู้สึกเห็นใจบอยขึ้นมา

ผมเอามือล้วงกระเป๋า ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเงินที่พกมาจะพอหรือไม่ ตอนนั้นยังเป็นยุคเริ่มต้นของตู้เอทีเอ็ม ยังไม่เฟื่องและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเหมือนในทุกวันนี้ เด็กนักเรียนยังไม่ค่อยมีบัตรเอทีเอ็มใช้กัน

ปกติถ้าไปไหนด้วยกันผมมักต้องเป็นคนเลี้ยงบอยเสมอ ตั้งแต่แรกๆที่รู้จักกันและไปกินอาหารด้วยกันที่โรงอาหารในโรงเรียนผมก็เป็นคนเลี้ยงบอยเสมอ เดิมทีเคยคิดเหมือนกันว่าบอยเป็นเด็กตลกบริโภคจะหลอกรุ่นพี่กินฟรี แต่หลังจากที่รู้จักกันมาได้ระยะหนึ่งผมก็เลิกระแวงในเรื่องนี้ ที่มันให้ผมเลี้ยงเพราะว่าบอยชอบให้คนดูแลนั่นเอง บางครั้งมันก็จะซื้อของให้ผมเป็นการตอบแทน ของแต่ละอย่างที่มันซื้อให้ล้วนแต่ดีๆและมีราคาแพงทั้งนั้น อย่างเช่นของขวัญปีใหม่ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าบอยไม่มีนิสัยเอาเปรียบเลย

สำหรับวันนี้ผมก็เตรียมเอาไว้แล้วว่าอาจจะต้องออกค่าเสื้อผ้าให้มัน จึงเตรียมเงินมาพันกว่าบาท แต่ก็คิดว่ามันจะซื้อเพียงชุดเดียว กางเกงยีนตัวหนึ่งถ้าดีหน่อยก็เกือบพัน หรือดีขึ้นไปอีกก็พันกว่าสองพันบาท ที่นิยมกันกันในช่วงนั้นน่าจะเป็นลีวายส์ 501 0000 แล้วต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็น 501 xx ส่วนเสื้อยืดก็ไม่น่าเกินห้าร้อย แต่ถ้าซื้อสองชุดแล้วเอาของดีด้วยเงินคงไม่พอ

อันที่จริงนิสัยของผมเป็นนิสัยที่ไม่ควรทำ เพราะว่ายังทำงานหาเงินเองไม่ได้ แต่เอาเงินมาใช้ซื้อโน่นซื้อนี่ให้คนอื่น เหมือนคนฟุ่มเฟือยยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมก็แก้ตัวให้แก่ตนเองว่านี่เป็นเงินเก็บของผม ถ้าผมใช้จ่ายเยอะผมก็ต้องไปตัดลดในส่วนอื่นลงเอาเอง ไม่ได้ขอเพิ่มเป็นพิเศษจากพ่อแม่

ผมพาบอยเดินเข้าๆออกๆแผงเสื้อผ้าในย่านสยามสแควร์หลายร้าน แต่บอยก็ยังไม่ถูกใจกับเสื้อยืดสักที ส่วนใจผมยังหนาวๆร้อนๆอยู่ เกรงว่าบอยอยากได้ลีวายส์ 501 ขึ้นมา

“นี่แก่ไปอะพี่อู ใส่แล้วยังกะอยู่มหาลัย” บอยส่ายหัวกับเสื้อยืดที่ผมเลือกให้

“อะไรวะ” ผมบ่น “ไอ้โน่นก็ติ ไอ้นี่ก็ติ ให้เลือกเองก็ไม่เอา โอ๊ย จะบ้า”

บอยหัวเราะ “ก็ดูพี่อูเลือกแต่ละตัวดิ มันวัยรุ่นใส่กันเสียที่ไหนล่ะ”

“งั้นเลือกเองละกัน” ผมชักท้อ เลือกอะไรให้ก็ไม่ถูกใจ ทำไมมันถึงได้เลือกเสื้อผ้ายากนักนะ

บอยส่ายหัวอีก “ม่ายอะ พี่อูนั่นแหละเลือกให้บอย ต้องดูแลบอยดิ”

ผมจนใจ ไม่รู้จะทำยังไง จึงต้องเลือกให้มันต่อไป เลือกกันอยู่หลายร้านตั้งแต่สยามสแควร์จนมาถึงมาบุญครอง บอยก็มาถูกใจเสื้อยืดลดราคาที่ผมหยิบให้ตัวหนึ่ง

“ตัวนี้บอยชอบ” บอยยิ้มแฉ่ง แล้วสั่งผม “ทาบไหล่ให้หน่อยพี่อู”

ผมจัดแจงเอาเสื้อเบอร์เอ็มมาทาบไหล่บอย ดูแขน ดูความยาวของลำตัว ถ้าชอบของที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เสื้อผ้าลดราคาที่นี่ราคาถูกกว่าในสยามสแควร์เสียอีก บอยน่าจะใส่เบอร์เอ็มได้ ขณะที่ทาบเสื้อให้บอยอยู่นั้นเอง ผมรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา การได้ดูแลใครคนหนึ่งที่เราปรารถนาดีเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นลึกซึ้ง บอยชอบให้ผมดูแลมัน แล้วผมเองล่ะ ก็ชอบดูแลมันเหมือนกันไม่ใช่หรือ ในชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่าบอยช่างเหมือนกับใครอีกคนหนึ่งเสียเหลือเกิน...

“เอาตัวนี้แหละฮะ” บอยสรุป

เป็นอันว่าในที่สุดบอยก็ได้เสื้อยืดไปแล้วตัวหนึ่ง ผมจัดการชำระเงินให้แก่พนักงาน สองร้อยกว่าบาท

“นี่พี่น้องกันเหรอคะ” พนักงานสาวถามแบบชวนคุย ผมระวังตัวเกร็งขึ้นมาทันที

“เอ้อ ทำไมเหรอครับพี่” ผมถามกลับ ไม่ยอมตอบคำถาม

“ก็เห็นหน้าไม่ค่อยคล้ายกัน” พนักงานสาวตอบ ว่าแล้วก็รับเงินไปเพื่อนำไปส่งที่แคชเชียร์

หลังจากนั้นผมก็เดินซื้อเสื้อผ้ากับบอยอีกเป็นเวลานานพอสมควร จนเวลาบ่ายแก่ๆจึงจะได้ครบตามที่บอยต้องการ ดีที่บอยไม่ใช่เด็กเห่อสินค้ามีแบรนด์ ดังนั้นเสื้อผ้าที่เลือกซื้อจึงมีราคาไม่แพงนัก บอยแกล้งเดินมือเปล่าไม่ยอมช่วยหิ้วของทั้งๆที่เป็นของของมันเองทั้งนั้น ปล่อยให้ผมหิ้วถุงพะรุงพะรังเดินตามมัน

“นี่บอย” ผมเรียกมัน “นายคิดจะถือของบ้างมั้ยเนี่ย”

“ไม่คิดฮะ พี่อูหิ้วน่ะดีแล้ว” บอยสั่นหัว หัวเราะเสียงใสอย่างอารมณ์ดี “ว่าแต่จะพาบอยไปเที่ยวไหนล่ะ”

ถ้าเป็นคนอื่นคงเตะไปแล้ว แต่นี่เป็นไอ้บอย ผมกลับไม่รู้สึกเคืองเลย กลับยิ่งรู้สึกว่ามันน่ารัก

“ช่วยหิ้วแล้วถึงจะบอก” ผมต่อรอง แกล้งไม่บอกให้มันอยากรู้บ้าง

“ไม่อะ บอยไม่อยากรู้ พี่อูพาไปละกัน ถึงแล้วบอยก็รู้เองนั่นแหละ” บอยรู้ทัน สงสัยว่ามันคงจะฉลาดกว่าผม ผมแพ้ทางมันตลอดเลย

ด้วยข้าวของที่พะรุงพะรัง ผมจึงเลือกที่จะนั่งแท็กซี่แทนการขึ้นรถเมล์ ตอนที่ผมจบ ม.๔ ยุคนั้นก็ยังไม่มีแท็กซี่มิเตอร์ ต้องใช้ต่อรองราคากัน แต่จากสยามสแควร์ไปสวนลุมก็ไม่แพงเพราะว่าไม่ไกลกันมากนัก

“ไปสวนลุมเหรอพี่อู” บอยถามเมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่จะปิดไอ้บอยเอาไว้ก่อนจึงไม่สำเร็จเพราะว่ามันได้ยินผมคุยกับคนขับรถ

บอยบอกว่าตอนเด็กๆที่บ้านน่าจะเคยพามาเดินเที่ยวแต่เมื่อโตแล้วบอยไม่เคยมาอีกเลย ดังนั้นบอยจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสวนลุม เมื่อผมพาบอยเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ บอยจึงรู้สึกแปลกใหม่

บรรยากาศยามเย็นภายในสวนลุมสงบและร่มรื่น ตามสนามหญ้าและที่ริมบึงน้ำมีหนุ่มสาวนั่งกันอยู่เป็นคู่ๆอยู่หลายคู่ ผมจึงเลือกทำเลริมบึงที่มีคนไม่มากและนั่งกับบอยบ้าง ในใจรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่บ้างเหมือนกันแต่ว่าถุงที่หิ้วอยู่ทำให้ผมรู้สึกเมื่อยและอยากพักบ้าง

“บรรยากาศดีจัง” บอยพูดหลังจากที่นั่งบนหญ้าและถอดรองเท้าสกอลล์ออก เหยียดขาบนพื้นหญ้าอย่างสบายอารมณ์

“เมื่อยโว้ย” ผมบ่น ว่าแล้วผมก็แกล้งเอาถุงเสื้อผ้าของบอยมาทำต่างหมอนแล้วก็เอนกายลงนอนบนพื้นหญ้า “นอนดีกว่า”

ขณะที่ผมนอนหนุนถุงอยู่นั้นเอง สายตาของผมมองเห็นกิ่งของต้นก้ามปูที่แผ่ออกมาใกล้ชายน้ำ ใบไม้สีเขียวตัดกับท้องฟ้าสีคราม เบื้องหน้าของผมเป็นบึงน้ำ ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนกับเคลิ้มไปชั่วครู่... ราวกับว่าผมกำลังนอนอยู่ริมบึงที่บ้านเกิดของผม และร่างของคนที่นั่งด้วยกันกับผมนั้นเป็นคนที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก... คนที่ผมรอคอยการกลับมาอยู่ทุกวัน...

พลั่ก!

ผมรู้สึกว่าถุงที่ผมหนุนอยู่ถูกกระตุกออกไป หัวของผมหล่นไปกระทบพื้นหญ้า พลางได้ยินเสียง

“โธ่โอ๊ย ใจลอยอีกแล้วพี่อู”

“อะไรกันวะ ดึงถุงออกไปทำไม” ผมชันกายลุกขึ้นมาในท่านั่งแล้วบ่น “ถือของให้นายตั้งหลายชั่วโมง เมื่อยจะตาย เอาถุงคืนมาเลย”

“ไม่ให้ มีไรมั้ย” บอยทำหน้าทะเล้น

เมื่อบอยไม่ให้ ผมจึงลงมือแย่งคืนจากมัน บอยโยนถุงออกไปให้พ้นจากระยะมือของผม ผมขยับตัวเพื่อจะคืบไปหยิบถุงมาแต่บอยยึดตัวผมเอาไว้ แย่งกันไปแย่งกันมาจนกลายเป็นการปล้ำเพื่อชิงถุงกัน

ในจังหวะที่ผมกอดรัดบอย ร่างของเราแนบกัน ผมยังจำความรู้สึกเมื่อครั้งแรกที่ผมได้กอดบอยได้ ตอนนั้นเราวิ่งสวนกันที่บันไดตึกในโรงเรียนแล้วผมเอาแขนรั้งตัวมันไว้ มันช่างเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและงดงาม ผมเริ่มรู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่พอนึกขึ้นได้ว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ไหนผมก็ต้องผละตัวออกจากบอย

“ไม่เล่นแล้ว อายคนอื่นเค้า” ผมพูด พลางนั่งลงข้างๆบอย เลิกพยายามแย่งถุงจากมันแล้ว

“ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลย เราเล่นของเราไม่ได้เดือดร้อนใคร” บอยพูด ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าไม่แคร์สื่อ

หลังจากที่นั่งพักกันได้สักครู่ บอยก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในบึงน้ำ

“หูย มีเรือด้วย พี่อู ไปเล่นเรือกัน” บอยร้องอย่างตื่นเต้น ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว จึงเริ่มมีผู้เช่าเรือพายและเรือจักรยานมาเล่นในบึง ดูมันช่างเป็นเด็กอารมณ์ดีเสียจริงๆ

หลังจากนั้นเราจึงเช่าเรือจักรยานมาและนั่งถีบเรือไปด้วยกัน แสงแดดยามเย็นส่องเฉียงๆทำให้น้ำในบึงเกิดเป็นระลอกเลื่อมพราย บรรยากาศที่ริมบึงน้ำตอนเย็นนั้นงดงามอยู่แล้ว แต่บรรยากาศยามลอยเรืออยู่ในบึงกลับงดงามยิ่งกว่า

เราสองคนถีบเรือจักรยานด้วยกัน แล่นเรือกันไปก็แกล้งกันไป เรือจักรยานเป็นเรือที่นั่งคู่ มีแป้นถีบคล้ายจักรยานอยู่ที่เท้า ปกติจะถีบคนเดียวหรือสองคนก็ได้ หากถีบคนเดียวก็หนักแรงหน่อย แต่หากถีบสองคนก็ต้องถีบให้จังหวะขาเข้ากัน เหมือนชีวิตที่ต้องเดินทางร่วมกันเป็นคู่ จะต้องรู้จักประสานจังหวะชีวิตให้เข้ากัน...

เราเดินเล่นในสวนลุมอยู่จนค่ำ จากนั้นก็กลับมาที่สยามสแควร์อีกเนื่องจากบอยรู้สึกหิว ตอนนั้นโรบินสันสีลมมีแล้วแต่ว่าเซ็นทรัลสีลมคอมเพล็กซ์ยังไม่มี เราทั้งสองคนไม่ค่อยรู้จักย่านสีลมจึงคิดว่ากลับมาที่สยามสแควร์ดีกว่า กินแล้วเดินทางกลับบ้านก็สะดวกด้วย เมื่อกินอาหารเสร็จ ผมกับบอยก็แยกกันเพื่อกลับบ้าน ก่อนกลับบอยเอาเงินค่าเสื้อผ้าคืนให้ผมและบอกว่าที่เมื่อกลางวันไม่ออกเงินเองก็แค่อยากแกล้งผมเล่นเท่านั้น ระหว่างทางกลับบ้าน ผมคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายตลอดเวลา

หลายครั้งที่บอยทำให้ผมคิดถึงไอ้นัย... เห็นบอยแล้วอดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ แต่ก็หลายๆครั้งเช่นกันที่ผมรู้สึกว่าบอยก็คือบอย...

เมื่อกลับถึงห้อง หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็นั่งประจำที่โต๊ะภายในห้องและพยายามอ่านหนังสือ แต่การไปเที่ยวกับบอยตลอดทั้งวันที่ผ่านมาทำให้อารมณ์การดูหนังสือของผมยังไม่เข้าที่นัก สวนลุม ถุงเสื้อผ้า เรือจักรยาน... ผมวนเวียนคิดถึงแต่ไอ้บอยและเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับมัน หรือว่า... หรือว่า... ผมชอบบอยเข้าให้แล้ว...

เมื่อนึกถึงตอนที่ผมเล่นปล้ำเพื่อแย่งถุงเสื้อผ้ากับมัน ผมรู้สึกใจเต้นและร้อนวูบวาบอยู่ภายใน เมื่อก่อนผมเห็นบอยเป็นรุ่นน้องที่น่ารักและนิสัยดี ความกวนของมันทำให้ผมคลายเหงาลงไปได้จึงรู้สึกว่าชอบคุยกับมัน แต่ทว่าตอนนี้เมื่อผมคิดถึงบอยมันกลับทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ภายใน... จนผมอดไม่ได้ที่จะหยิบหนังสือนีออนออกมาจากที่ซ่อน...


<สวนลุมพินีในอดีต ภาพนี้ถ่ายในยุคที่ผมเรียนชั้นมัธยม สวนลุมมีลักษณะเป็นสวนสาธารณะใหญ่ที่ใจกลางเป็นเกาะและมีบึงน้ำใหญ่ล้อมรอบ ในบึงมีเรือบริการให้เช่า ทั้งเรือภายและเรือจักรยาน ตรงที่เห็นเป็นน้ำพุคือส่วนหนึ่งของบึงน้ำใหญ่ที่ล้อมรอบเกาะ>


<สวนลุมพินีในปัจจุบัน โปรดสังเกตลูกศรชี้ในทั้งสองภาพ ตึกที่ลูกศรชี้ในทั้งสองภาพคือตึกเดียวกัน จะสังเกตได้ว่าภูมิทัศน์โดยรอบของสวนลุมในปัจจุบันมีตึกใหม่ๆผุดขึ้นมาจำนวนมาก>


<ในสมัยก่อนโน้น ตรงเกาะลอยนี้มีภัตตาคารชื่อกินรีนาวา เป็นทั้งห้องอาหารและมีเวทีลีลาศ มีชื่อเสียงมากเนื่องจากภัตตาคารนี้ทำเป็นรูปเรือใหญ่และที่หัวเรือแกะสลักเป็นรูปกินรีเปลือยท่อนบนโชว์หน้าอกใหญ่อย่างท้าสายตาโดยไม่แคร์สื่อ กินรีที่นี่โชว์หน้าอกอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะถูกไฟไหม้วอดไปทั้งภัตตาคารและกินรี สำหรับภัตตาคารกินรีนาวานี้ผมไม่ทัน และไฟไหม้ปีไหนยังหาข้อมูลไม่ได้ แต่ว่าน่าจะเป็นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๒๐>


<เราสองคนถีบเรือจักรยานด้วยกัน แล่นเรือกันไปก็แกล้งกันไป เรือจักรยานเป็นเรือที่นั่งคู่ มีแป้นถีบคล้ายจักรยานอยู่ที่เท้า ปกติจะถีบคนเดียวหรือสองคนก็ได้ หากถีบคนเดียวก็หนักแรงหน่อย แต่หากถีบสองคนก็ต้องถีบให้จังหวะขาเข้ากัน เหมือนชีวิตที่ต้องเดินทางร่วมกันเป็นคู่ จะต้องรู้จักประสานจังหวะชีวิตให้เข้ากัน...>

23 comments:

Anonymous said...

สวัสดีครับ มารักอาอูคนแรกครับ

ไปอ่านหนังสือสอบต่อนะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ตอกบัตรก่อนนะคะ..
จะได้อ่านแบบละเมียดละไม..
ไม่ว่ากันเนอะ!!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

มารายงานตัวนะครับ พีอู

ไก่

Anonymous said...

เย้ๆๆ เบอร์ 4

แบงค์ครับ

Anonymous said...

เพราะบอยออกจะซุกซน น่ารัก ร่าเริงแจ่มใสไม่แคร์สื่อ
ขนาดนี้ แถมอูก็แพ้ทางบอยได้ตลอดทั้งที่เป็นพี่ถึง2ปี
งานนี้มีเฮแหงๆเลย...

คนลาดพร้าว

naja said...

เมื่อไหร่พี่อู กะน้องบอยจะตกลง โอเคกันซัทีน๊าาา

Fryderyk C. said...

ไม่เคยทัน ที่ 1 เลยนะนี่ ติดตามอยู่ตลอดเลยนะครับ ช่วงนี้สอบเสร็จ ปิดเทอมแล้ว จะแวะเข้ามาหาอาอู บ่อยๆ นะครับผม


^ ^

Anonymous said...

หูย เมื่อไหร่จะสำเร็จโทษบอยซะที
ปูเสื่อรออยู่หน้าจอนานแล้ว

thom

Anonymous said...

)^_^(ที่๙ สวัสดีตอนเช้าครับ ทีแรกนึกว่าลุงจะพาไปพาหุรัดแล้วก็จะพาน้องบอยไปดูหนังที่โรงนั่นซะอีก แหะๆ แต่เป็นงี้ก็ดีเพราะลุงยังไม่รู้ว่าบอยคิดยังไงลุงคงต้องหาวิธีที่จะรู้ความในใจของบอยให้ได้ ทำไงดีตอนนี้มันปิดเทอมแสดงว่าเลยวาเลนไทน์มาแล้วให้กุหลาบก็ไม่ได้และผมก็ไม่คิดว่าลุงจะให้หรอกเพราะลุงไม่รู้จักหน้าที่ หุหไปกินก่อนครับ ขอบคุณครับลุง

Anonymous said...

ตั้งตารออาอู สำเร็จโทษอาบอย คริๆๆ
Federick

Anonymous said...

รู้ใจตัวเองแล้วใช่ไหม อิอิ

แอบมาลุ้นรักใหม่ของพี่อูต่อไป
คนเราต้องก้าวต่อไปคับ ไม่ใช่ย้ำอยู่กะที่
^^sky^^

Anonymous said...

ติดตามอ่านอยู่นะครับ สงสัย นัยไม่กลับมาแล้วใช่ไหมครับ มีแต่น้องบอย

กัน

Anonymous said...

มารักอาอู ด้วยคนละกัน

วันนี้ไปสอบโปรเจคมาแล้ว

ใกล้จะได้ออกไปทำงานวิจัยแล้ว หุหุ

Choo said...

"น้องบอย ก็คือ น้องบอย

นัย ก็คือ นัย แทนกันไม่ได้"

ท่องไว้นะนายอู

เอาใจช่วยครับ เชื่อว่าอูทำได้อยู่แล้ว

ชู

Anonymous said...

ผมก็เพิ่งมาติดตามเรื่องของ อาอูเมื่อไม่นานนี้แหละ...
ตอนแรกก็อ่านไปงั้นๆ...เพราะม่ายมีใรอ่าน...
อ่านไปอ่านมามันชักเหมือนเพื่อนรักผมตนหนึ่ง...
ผมไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างใร...มันคล้ายกับผมตอนเด็ก...
ผมอยู่ร.ร.ประจำที่ชะอำ...ตั้งแต่ประถม...
พอมัธยม...ผมก้อเรียนในตัวเมืองเพชร...
ผมก้อสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งเหมือนกัน...สนิทคล้าย.
อาอูกะนัย...แต่ผมไม่เกินเลยนะ...แต่มีบ้างตามประสาเด็ก...แต่ผมจะมีความสุขเวลาอยู่กับมัน...
แต่พอ ผมจบ ม.3 เราก้อแยกกัน...มันกลับต่างจังหวัด...ผมก็ใปเรียน ปวช. ...
จนพอผม...มาเจอเรื่องของอา...ผมคิดไปคิดมาเหมือนผมจาเปนแบบที่อาเล่า...มารู้ตอนหลังว่าเรารู้สึกอย่างใร...
ยังใงก็ตามขอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของอาละกัน...
ยังใงก็ขอทิ้ง E-Mail:darknessbred@hotmail.com...ใว้ละกันนะคับ...
.............เรียกผมว่า...อาร์...ถึงอาอู...

PR said...

ใครเหงา...ก้อคุยกะผม...ใด้นะคับ...

.....อาร์....คับ..................
.............ติดตามอยู่นะคับ...อาอู...

nai said...

นัยกับบอยก็มีส่วนคล้ายกันค่อนข้างมาก
๑.เป็นคนที่อูดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มใจ เต็มที่
๒.เป็นคนที่ไม่แคร์สื่อ ความจริงนัยก็ไม่แคร์สื่อแต่นิสัยไม่แสดงออกเหมือนบอยเท่านั้นเอง
๓.เป็นคนที่เอาอูจนอยู่หมัด

อู คิดจะรักจะชอบน้องก็ต้องกล้าๆน้อย ที่กล้าซื้อมิถุนา ยังกล้าเลยเรื่องแค่นี้เอง

เดาว่าบอยเป็นพี่คนโต ที่อยากมีพี่ชาย อู เป็นน้องคนเล็กที่อยากมีน้องชาย ทุกอย่างก็เลยลงตัว

อะไรอะไรที่ทำแล้วไม่เดือดร้อนใคร ก็ อย่าได้แคร์

วboyย

Anonymous said...

)^_^( http://www.youtube.com/watch?v=aOw_WNbXPz0 ลุงดูยังครับ ช่วงนี้ไม่หวีผมอีกแล้วซิครับ

มองก์ said...

เข้ามาบอกว่าชอบเรื่องนี้มากและตามอ่านอยู่ตลอดครับ

Anonymous said...

)^_^( ไม่เคยช้าขนาดนี้ 4 วันแล้วเป็นห่วง โอมจงมา

Anonymous said...

ขอโทษด้วยครับ ช่วงนี้วุ่นๆหลายเรื่อง โพสต์เสร็จก็เลยหายไปเสียหลายวัน

ตอบหลานที่เท่าไรละเนี่ย มาหลายรอบ นับลำดับไม่ถูก ก็ขอบคุณหลานที่เป็นห่วงลุง แต่ดูเหมือนหลานจะห่วงน้อยบอยมากกว่ากระมัง พาหุรัดยังไม่พาไปหรอก กลัวน้องบอยไม่ชอบ

บอยเป็นลูกคนกลางครับ ไม่ใช่คนโต บ้านคนจีนพ่อแม่จะเอาใจใส่ลูกชายคนโตเพราะต้องการให้เป็นหลักของครอบครัวในรุ่นต่อไป

ตอนที่บอยเป็นน้องเล็กเป็นช่วงเวลาไม่กี่ปี เพราะหลังจากนั้นบอยก็มีน้องอีกคน คนโตก็ถูกเลี้ยงแบบลูกคนโต แล้วพ่อแม่ก็คาดหวังให้คนกลางช่วยดูแลน้องเล็กเพราะว่าน้องยังเด็กอยู่ บอยเลยโตมาแบบไม่มีใครเอาใจ เลยมีนิสัยต้องการคนดูแลสูง ชอบให้มีคนดูแลแต่ไม่มีนิสัยเอาแต่ใจ ดีที่บอยนิสัยร่าเริง ไม่อย่างนั้นคงเก็บกดเอาการเหมือนกัน

สมัยนั้นยังไม่มีธรรมเนียมวาเลนไทน์แบบยุคนี้ วันวาเลนไทน์ในตอนนั้นยังไม่มีความหมายอะไรมากนักครับ แต่กุหลาบที่ปากคลองตลาดก็พอขายได้อยู่เหมือนกัน

ที่จริงยังมีเรื่องคาใจสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ความสัมพันธ์กับบอยคืบหน้าไปต่อไม่ได้ ตอนหน้าจะบอกครับ

ใครเหงาแวะไปคุยกับอาร์บ้างนะครับ ช่วยเชียร์

อู

boy_aof_za said...

หวัดดีครับ ทุกทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้ บอยชอบเรื่องนี้มากเลยคับช่วงนี้ไม่ค่อยได้มาอ่่าน สอบอ่ะคับ ยังไงก็คิดถึงนะครับคุณลุงอู อิอิ แอ๊บเรียกด้วยเลย เห็นเขาเรียกกันอ่ะคับ คิดถึงนัยจังเลยอ่ะคับ เมื่อใหร่จะได้เจอกันน้า.....

boy_aof_za said...

ไม่อยากเป็นคนแรกขอเป็นคนสุดท้ายได้อ่ะป่าวครับ อิอิ