Monday, March 1, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 51

ในระยะนี้ผมเริ่มรู้สึกตัวว่ามีความเครียดและความกังวลมากขึ้นอันเนื่องมาจากการดูหนังสือไม่ทันตามแผนที่วางเอาไว้ เมื่อกังวลมากก็ยิ่งทำให้ไม่มีสมาธิในการดูหนังสือ ดูไปได้หน่อยก็ฟุ้งซ่านหรืออ่านไม่เข้าหัวเสียแล้ว ในเมื่อยิ่งดูหนังสือไม่รู้เรื่องก็ยิ่งทำให้ผมกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ ประกอบกับการไปนั่งดูหนังสือที่ห้องสมุดเดิมๆทุกวันทำให้ผมรู้สึกจำเจ ต่อมาผมจึงคิดจะลองเปลี่ยนที่อ่านหนังสือดูบ้าง เผื่อว่าการเปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้น

การไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดประชาชนเป็นประจำทำให้ผมได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นว่าห้องสมุดประชาชนของ กทม. นั้นไม่ได้มีเพียงที่ปทุมวันเพียงแห่งเดียว แต่ยังมีที่อื่นๆอีกหลายแห่ง เช่น ที่วัดอนงคาราม ย่านฝั่งธนฯ ที่สวนลุมพินี ที่ซอยพระนาง ใกล้อนุสาวรีย์ชัยฯ ที่บางกะปิ ฯลฯ นอกจากนี้ชีวิตที่เวียนว่ายอยู่ในสยามสแควร์เป็นประจำทำให้ผมพบว่าในสยามสแควร์นั้นยังมีห้องสมุดอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ ห้องสมุดบริติชเคาน์ซิล ห้องสมุดนี้เดิมทีตั้งอยู่ในอาคารด้านหลังโรงหนังลิโด้ ด้านล่างเป็นห้องสมุด ด้านบนเป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ที่นี่ผมเดินผ่านอยู่บ่อยๆแต่เข้าใจผิดว่าห้องสมุดนี้ให้บริการเฉพาะผู้ที่มาเรียนภาษาอังกฤษ จึงไม่เคยเข้าไป ต่อมาจึงมารู้ภายหลังว่าให้บริการประชาชนทั่วไปด้วย ห้องสมุดและโรงเรียนสอนภาษาบริติชเคาน์ซิลนี้ต่อมาย้ายที่ไปอยู่อาคารเดียวกับศูนย์หนังสือจุฬาฯ สยามสแควร์ และตั้งอยู่ที่นั่นมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ดูหนังสือ ผมจึงตัดสินใจลองไปที่ห้องสมุดประชาชนในสวนลุมพินี ที่จริงห้องสมุดตรงซอยพระนาง ถนนราชวิถีอยู่ใกล้หอพักและเดินทางสะดวกกว่า แต่เนื่องจากห้องสมุดที่สวนลุมพินีตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ ผมจึงคิดว่าบรรยากาศน่าจะดีกว่า จึงเลือกไปที่นี่

แม้ว่าผมจะอยู่ในกรุงเทพฯมาตั้งแต่เด็กแต่ในชีวิตไม่ค่อยได้ไปไหน มักวนเวียนอยู่กับสถานที่เดิมๆ อันได้แก่ ที่พัก โรงเรียน และสยามสแควร์ ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้จักสถานที่ต่างๆมากนัก สวนลุมนี่แม้ว่าอยู่ไม่ไกลจากสยามสแควร์นักแต่ผมก็ยังไม่เคยไปมาก่อน

เมื่อผมไปถึงสวนลุมพินีก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว แดดร้อนเปรี้ยง แม้จะเป็นสวนสาธารณะแต่ท่ามกลางเปลวแดดที่ร้อนระอุทำให้บรรยากาศไม่น่ารื่นรมย์เอาเสียเลย ตัวห้องสมุดตั้งอยู่ใจกลางสวนสาธารณะ ต้องเดินจากป้ายรถเมล์เข้าไปไกลเอาการ กว่าจะเดินฝ่าแดดไปถึงห้องสมุดก็เล่นเอาผิวแทบไหม้

ห้องสมุดแห่งนี้เป็นอาคารชั้นเดียว ทาสีขาว ตัวอาคารดูเก่าแก่ ภายในตึกไม่ติดเครื่องปรับอากาศ เรียงรายไปด้วยตู้หนังสือ สภาพของหนังสือค่อนข้างเก่าไม่แตกต่างจากที่ปทุมวันนัก โดยเฉพาะพวกหนังสือนิยายนี่เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพคร่ำคร่าเพราะว่ามีผู้อ่านกันมาก

บรรยากาศที่นี่โดยรวมแล้วถือว่าดีกว่าที่ปทุมวันมาก เพราะว่าที่ปทุมวันนั้นเป็นห้องสมุดตึกแถว มองไปทางไหนก็มีแต่กำแพง ส่วนห้องสมุดที่นี่เมื่อมองออกไปด้านนอกอาคารจะเห็นภาพต้นไม้เขียวขจีและบึงน้ำใหญ่ แต่ถ้าพูดถึงความสะดวกแล้วถือว่าน้อยกว่าที่ปทุมวันเพราะว่าเมื่อเข้ามาในห้องสมุดแล้วเหมือนถูกปล่อยเกาะ หากจะกินอาหารเที่ยงต้องเดินฝ่าเปลวแดดออกไปซื้อข้างนอกสวนซึ่งไกลพอดู ดังนั้นผมจึงตัดปัญหาด้วยการอดอาหารทนหิวเอา

การได้นั่งอ่านหนังสือในบรรยากาศใหม่ ตอนแรกก็รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิดี แต่พออ่านไปๆก็เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก ภาพหน้าปกของนิตยสารเกย์ที่ผมเห็นที่ปากซอยภาวนาลอยอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา มันเป็นความปรารถนาที่พลุ่งพล่านไม่อาจระงับยับยั้งได้
- - -

ผมออกจากห้องสมุดในราวบ่ายสี่โมง วันนี้ผมเลิกอ่านเร็วนิดหน่อย ไม่รอจนห้องสมุดปิด ทั้งนี้เนื่องจากผมคิดจะไปที่อื่นต่อ

บรรยากาศภายในสวนสาธารณะในยามแดดร่มลมตกแตกต่างจากที่ผมเห็นเมื่อตอนใกล้เที่ยงลิบลับ สวนลุมที่ผมเห็นในตอนนี้กลายเป็นสวนสาธารณะที่มีบรรยากาศร่มรื่น ในบึงน้ำใหญ่ตรงข้ามห้องสมุดเริ่มมีเรือจักรยานและเรือพายลอยอยู่หลายลำ ดูแล้วน่าสนุก ทำให้อยากพายเรือเล่นบ้าง

ผมขึ้นรถเมล์สาย ๗๗ ที่ถนนฝั่งโรงพยาบาลจุฬาฯ ผมยังไม่ได้กลับหอพัก สถานที่ที่ผมคิดจะไปก็คือแผงหนังสือสวนจตุจักร... คิดว่าจะไปดูหนังสือกวดวิชาเผื่อว่ามีหนังสือกวดวิชาออกใหม่ที่น่าสนใจ แต่ถ้าพูดอย่างไม่หลอกตัวเอง วัตถุประสงค์สำคัญที่ผมไปแผงหนังสือสวนจตุจักรก็เพราะ...สามเล่มยี่สิบ

ราวห้าโมงกว่าผมก็ถึงแผงหนังสือสวนจตุจักร เดินดูหนังสือกวดวิชาตามซุ้มหนังสือต่างๆเสียหน่อย เมื่อไม่เห็นมีอะไรใหม่ๆที่น่าซื้อเพิ่มเติม ผมจึงเดินข้ามถนนกำแพงเพชรมายังฝั่งตรงข้าม ในยุคนั้นหนังสือเก่าจะมีขายสองฝั่ง คือฝั่งที่เป็นซุ้มหนังสือ กับฝั่งตรงข้าม

ที่ฝั่งตรงข้ามกับซุ้มหนังสือนั้นมีลักษณะเป็นโครงหลังคาหรือว่าเป็นศาลาขนาดใหญ่ เป็นทั้งท่ารถเมล์ มีอาหารขาย รวมทั้งขายหนังสือและนิตยสารเก่า โดยมีทั้งแผงค้าเป็นบล็อกเล็กๆกับแผงแบบแบกะดิน แต่ปัจจุบันสภาพริมถนนกำแพงเพชรฝั่งตรงข้ามซุ้มหนังสือเปลี่ยนไปมากแล้ว

เมื่อผมข้ามถนนมาถึงฝั่งแผงหนังสือมือสอง เพียงเหลือบมองนิตยสารไฟกลางคืนฉบับเก่าๆที่วางอยู่บนแผงเพียงหน่อยได้ ผมก็ได้ยินคำทักทายที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหลัง

“โป๊มั้ยน้อง” เมื่อผมหันไปมอง เจ้าของเสียงเป็นหนุ่มใหญ่ในวัยราวสามสิบ

ผมส่ายหัวจากนั้นรีบเดินหนีเพราะว่าผมไม่ได้มาเพื่อซื้อหนังสือโป๊พวกนั้น

“มีทุกชาติเลยนะน้อง ไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น หนังสือหรือวีดิโอก็มี” ชายหนุ่มคนนั้นตามมาบรรยายสรรพคุณต่อ

“ไม่เอาครับ” ผมตอบแล้วรีบเดินหนีอีก

“ขายไม่แพงนะน้อง ลองดูก่อนก็ได้ ไม่ชอบไม่ต้องเอาไป” ชายคนนั้นยังไม่ลดละ สงสัยว่าใบหน้าของผมอาจส่อแววอะไรบางอย่างก็ได้ ชายคนนั้นจึงพยายามตื๊อผมอย่างเอาเป็นเอาตาย

ถ้าผมยังสลัดนายคนนี้ไม่หลุดสงสัยว่าคงไม่มีโอกาสซื้อนิตยสารที่ผมต้องการเป็นแน่ ผมรีบเดินออกมายืนที่ริมถนนใหญ่นายคนนั้นจึงหยุดตาม จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปในบริเวณแผงหนังสือมือสองใหม่โดยอ้อมไปเข้าจากอีกด้านหนึ่ง

“โป๊มั้ยน้อง” คำพูดอันคุ้นเคยดังขึ้นอีก แต่คราวนี้เจ้าของเสียงเป็นชายอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนเดิม

ผมส่ายหัวแล้วรีบเดินหนี ชายคนนั้นก็เดินตามตื๊ออีก พอเดินไปไกลจนถึงอีกด้านหนึ่งของโซนนี้ คิดว่าสามารถสลัดหลุดจากคนขายได้แล้ว ผมก็ต้องพบกับชายอีกคนที่ถามด้วยคำถามเช่นเดิมอีก

ผมถอนหายใจยอมแพ้ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนขายหนังสือโป๊ประกบตัวแจ ถ้าแบบนี้คงไม่มีโอกาสซื้อของที่ต้องการแล้ว

เมื่อถอดใจเสียแล้ว ผมจึงเดินดูหนังสือต่อไปเรื่อยๆโดยคิดว่าจะแกล้งคนขายให้เดินตามผมเสียเวลาเล่น อยากตามดีนัก ตามให้ตลอดก็แล้วกัน

คนขายหนังสือโป๊เดินตามผมไปเรื่อยๆ พอตามได้สักพักเห็นว่าผมไม่ซื้อแน่แล้วจึงผละออกไป จากนั้นคนใหม่ก็เข้ามาประกบแทน เย็นวันนั้นมีคนขายหนังสือโป๊มาประกบผมนับได้ถึงห้าหกคนเลยทีเดียว!

ผมทนเดินอยู่ในนั้นประมาณ ๑๕-๒๐ นาที คนขายหนังสือโป๊ก็จำหน้าผมได้จนครบถ้วน เมื่อเห็นว่าผมไม่ซื้อแน่แล้วก็เลิกสนใจผมและพากันไปตื๊อคนอื่นต่อไป ทีแรกนึกว่าจะแกล้งพวกคนขาย แต่ทำไปทำมากลับมีโอกาสปลอดจนได้

คราวนี้ผมสามารถเดินได้ตามสบาย ผมเดินดูไปเรื่อยๆ เห็นแผงแบกะดินวางแผงวางหนังสือพวกมิถุนา นีออน มรกต โชว์อยู่รวมกับหนังสือโป๊ทั่วไป

ผมใจเต้นตึ้กตั้กราวกับกลองของวงดุริยางค์เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการ ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้วแต่ก็ยังคนเดินดูหนังสืออยู่เรื่อยๆ อีกทั้งแผงแบกะดินเป็นแผงที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกลว่ามีหนังสืออะไรวางอยู่บ้าง ถ้าผมซื้อพวกมิถุนาต้องมีคนเห็นแน่นอน

ผมหมายตาแผงขายมิถุนาที่คนขายเป็นผู้ชายและอยู่ในย่านที่คนเดินน้อยที่สุดแผงหนึ่ง เดินโฉบไปโฉบมาอยู่หลายรอบเพื่อรอให้แผงนั้นปลอดคน รอจนไม่มีใครยืนอยู่ที่หน้าแผงนั้นแล้วผมก็ตัดสินใจทำหน้าด้านเดินปรี่เข้าไปทันที

ผมหยิบหนังสือพวกนีออน มิถุนา มรกต หยิบมา ๖ เล่มแบบไม่ต้องเลือก เมื่อหยิบได้แล้วก็ยื่นให้คนขายทันที

“เท่าไรครับ” ผมถาม

คนขายมองหน้าผมแล้วยิ้ม “น้องเพิ่งเคยซื้อเหรอ”

ไม่รู้ว่าคนขายถามด้วยวัตถุประสงค์อะไร ผมจึงได้แต่ตอบแบบอ้อมแอ้ม

“ครับ”

“น้องเดินวนไปวนมาแบบนี้มันมีพิรุธนะ ทีหลังอย่าทำแบบนี้ ยิ่งไม่อยากให้ใครรู้คนก็ยิ่งรู้” คนขายพูดยิ้มๆ ส่วนผมนั้นอายจนอยากจะรีบหนีไปไกลๆ

“พี่มีถุงกระดาษไหม” ผมถามเมื่อเห็นคนขายหยิบหนังสือที่ผมเลือกเอาไว้ใส่ลงในถุงก๊อบแก๊บบางๆ

คนขายอมยิ้มอีก แล้วก้มลงไปหยิบถุงกระดาษทึบแสงมาจากใต้แผง

“สี่สิบบาทน้อง” คนขายบอกราคา

ผมรีบจ่ายเงินให้คนขายจากนั้นก็รีบเดินหนีจากมาอย่างรวดเร็ว เป็นอันว่าภารกิจซื้อหนังสือเกย์ของผมในวันนี้สำเร็จลงในที่สุดแม้ว่าจะไม่ราบรื่นนักก็ตาม

ผมเอาหนังสือทั้งหมดใส่ลงในเป้ จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์สาย ๑๔๕ กลับหอพัก ระหว่างที่เดินทางกลับยังไม่รู้สึกอะไรนัก แต่ว่าเมื่อกลับเข้ามาในหอพักผมรู้สึกตื่นเต้นมาก กลัวว่าจะมีใครมาเห็นเข้าและรู้ว่าผมมีรสนิยมอย่างไร

ในที่สุดผมก็กลับถึงห้องพักโดยสวัสดิภาพ ไม่มีใครรู้ว่าผมซื้ออะไรมายกเว้นคนขาย ผมรีบล็อกประตูห้อง จากนั้นหยิบเอาของวิเศษที่อยู่ในเป้ของผมออกมาดูทันที

นิตยสารหกเล่มที่ผมซื้อมานั้นเป็นนิตยสารขนาดพ็อกเก็ตบุ๊ก มีทั้งมิถุนาจูเนียร์ นีออน และมรกต ปนกัน สภาพค่อนข้างเก่า ผมรีบคว้าเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดดูภายในเล่มทันที

หน้าแรกๆของนิตยสารที่อยู่ในมือของผมเป็นชุดภาพสีของนายแบบที่เปลือยกายไม่ใส่เสื้อผ้า เปิดเผยให้เห็นเรือนกายและส่วนสัดอย่างชัดเจนยกเว้นจุดสำคัญเท่านั้นที่ถูกปกปิดเอาไว้โดยมุมกล้องหรือไม่ก็โดยมือของนายแบบเองนั่นแหละที่กุมเอาไว้

เพียงแค่รูปชายหนุ่มเปลือยก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นทางเพศได้มากแล้วแม้ว่าจะไม่ได้เห็นส่วนสัดที่สำคัญที่สุดก็ตาม ผมรู้สึกใจเต้นระทึก น้ำลายเหนียวไปหมด เป้ากางเกงคับแน่น

หลังจากผ่านพ้นหน้าภาพสีไปก็เป็นพวกบทความเกี่ยวกับชีวิตเกย์ ชีวิตคู่ของเกย์ จากนั้นก็เป็นเรื่องสั้นแนวประสบการณ์ประะสบกามหรือว่าเรื่องเซ็กซ์นั่นเอง

เรื่องเซ็กซ์ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารจะไม่ค่อยเหมือนกับที่เราอ่านกันในอินเตอร์เน็ตเว็บบอร์ดที่เราอยากเขียนอะไรก็เขียน จะเขียนให้หยาบคายหรือโจ่งแจ้งอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับในนิตยสารสารแล้วภาษาส่วนใหญ่จะเป็นภาษาดอกไม้ ผู้ที่เคยอ่านคงทราบดี เช่นบอกว่า ‘สอดแทรกแก่นกายเข้าไปในถ้ำโพรง’ คือต้องเป็นภาษาสวยๆ ไม่เขียนให้อุจาดหรือใช้ภาษาหยาบคาย

ในยุคนั้นเรื่องเสียวระหว่างชายกับชายไม่ใช่จะมีให้อ่านกันเกร่อหรือว่าหาอ่านกันได้ง่ายๆแบบในสมัยนี้ เรื่องเสียวแนวนี้จะหาอ่านได้ก็แต่ในนิตยสารเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ดังนั้นเมื่อผมได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้จึงรู้สึกทั้งรู้สึกแปลกใหม่และปลุกเร้าความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรง

ในที่สุดผมทนอ่านอย่างเดียวไม่ไหวอีกต่อไป ผมถอดกางเกงและกางเกงในออก มือหนึ่งกางหนังสืออ่านส่วนอีกมือหนึ่งกำท่อนเนื้อของตนเองและรูดขึ้นลง

อ่านเรื่องเสียวยังไม่ทันจะจบเรื่อง ผมก็รู้สึกหน่วงที่ท้องน้อยจนสุดจะกลั้นอีกต่อไป ผมรีบโยนหนังสือไว้บนเตียงจากนั้นรีบหยิบกระดาษทิชชู่มาขยุ้มหนึ่งมารอเอาไว้ที่ปลายท่อนเนื้อที่แข็งเกร็งจนปวดของผมส่วนอีกมือหนึ่งก็สาวไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด

ผมกลั้นลมหายใจ ความรู้สึกพลุ่งพล่านรวมตัวกันอยู่ที่ท้องน้อยและแตกระเบิดออกมาในที่สุด ลาวาสีขาวขุ่นทะลักทลายออกมาเป็นจำนวนมากท่วมเต็มทิชชู่จนล้นและหยดลงไปกับพื้น กลิ่นคาวคลุ้งเต็มห้อง

ผมถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย รู้สึกสุขสมและเต็มอิ่ม...

“เด็กชายอูรับโทรศัพท์” เสียงจากอินเตอร์คอมประจำชั้นสี่ดังลั่น เสียงของแป๋งนั่นเอง

ผมรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย ใครกันนะ ช่างขัดจังหวะเสียจริง กำลังไม่สะดวกอยู่ก็โทรมาพอดี

ผมรีบเช็ดทำความสะอาดบริเวณท้องน้อย จากนั้นใส่กางเกง ส่วนทิชชู่เปื้อนกลิ่นคาวนั้นผมเอาใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่งค่อยทิ้งถังขยะ เพื่อป้องกันกลิ่นคาวแพร่กระจาย จากนั้นก็รีบลงไปรับโทรศัพท์ที่ชั้นล่าง ที่นั่น ผมพบแป๋งกำลังนั่งเฝ้าร้านอยู่

“ฮัลโหล” ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นและกล่าวทักทาย

“พี่อูเหรอ” เสียงวัยรุ่นดังออกมาจากกระบอกโทรศัพท์ บอยนั่นเอง

“พี่เองบอย” ผมพูดเบาๆ พลางเปลี่ยนท่ายืนเป็นหันหลังให้แป๋ง “บอกแล้วไงว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าโทรมา ที่หอมันรับไม่ค่อยสะดวก” ผมตำหนิมัน ผมเคยให้เบอร์โทรศัพท์ที่หอพักแก่บอยเอาไว้ แต่กำชับว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าโทรมาเพราะต้องวิ่งลงมารับไกลมาก แต่นั่นเป็นเพยีงข้ออ้าง เรื่องของเรื่องก็คือผมกลัวไอ้แป๋งมันจะรู้ความลับของผมมากกว่า

“พี่อูไปอยู่ไหนมาอะ หายตัวไปเป็นอาทิตย์ ไม่ยอมโทรหาบอยเลย” บอยโวยวาย สุ้มเสียงบ่งบอกความไม่พอใจเต็มที่


<นิตยสารมิถุนา กล่าวได้ว่าเป็นนิตยสารเกย์ฉบับแรกของไทย วางตลาดเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่จริงก่อนหน้านั้นก็มีนิตยสารสำหรับเกย์วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดบ้างเหมือนกันแต่ไม่ได้วางตำแหน่งทางการตลาดอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสำหรับเกย์ อย่างเช่น นิตยสารเชิงชาย ซึ่งออกประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔ หรือ ๒๕๒๕ ภายในเล่มของนิตยสารเชิงชายมีทั้งภาพเปลือยของชายและหญิง แต่เกย์ก็ซื้ออ่าน นอกจากนี้นิตยสาร Hello ที่ถ่ายภาพนายแบบชายได้สวยงามและมีรสนิยมก็มีเกย์นิยมซื้ออ่าน>



<นิตยสารมิถุนาวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นนิตยสารเกย์ เดิมผลิตเป็นนิตยสารในขนาดใหญ่เช่นเดียวกับแพรว ดิฉัน แต่ต่อมาทำเป็นฉบับพ็อกเก็ตบุ๊กและใช้ชื่อว่ามิถุนาจูเนียร์ มิถุนาจูเนียร์นี้เริ่มวางตลาดประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๖ หรือ ๒๕๒๗ ต่อมาในที่สุดเล่มใหญ่ได้หยุดออกไป เหลือแต่เพียงเล่มเล็กที่ยังวางตลาด

ที่เห็นภาพบนเป็นมิถุนาฉบับใหญ่ ฉบับที่ ๓ ส่วนภาพล่างเป็นมิถุนาจูเนียร์ฉบับปฐมฤกษ์>


<นิตยสารเกย์ของไทยไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่ฝรั่งก็ทำกันมาก่อนหน้าแล้ว นิตยสารเกย์ที่เก่าแก่ของสหรัฐอเมริกาทำกันมาตั้งแต่ในยุค 1970s อาทิ Playguy, Blueboy ที่เห็นในภาพเป็นนิตยสาร Inches ซึ่งเป็นนิตยสารในยุคเดียวกับมิถุนา>

22 comments:

Anonymous said...

เย้ ดีใจจัง ตอนนี้ ผมขอเป็นคนแรกนะครับ
คล้าย ๆกับผมตอนเป็นเด็กเลยครับ แต่ผมให้เพื่อนไปซื้อให้แล้วตัวเองรออยู่ข้างนอก เวลาเอาหนังสือหรือรูปไปอ่านที่บ้านจะกลัวมากซุกเต็มทื่ กลัวคนรู้ แต่พอมาตอนนี้รู้สีกตลกดีครับ
ผมยังติดตามอยู่เรื่อย ๆ นะครับ พี่อู

ไก่

Anonymous said...

..ขอตอกบัตรก่อนอ่านค่ะ..

ตนลาดพร้าว

Fryderyk C. said...

บอยมาแล้ว คิดถึงจังครับ
อิอิ

Anonymous said...

..อ่านจบแล้วเม้นท์ไม่ถูกเลยค่ะอู..
ตอนพี่หาซื้อหนังสือแถวสนามหลวง
ก็ไม่ยักมีใครทำหน้าแหลมๆถาม"โป๊มั้ยหนู"ซะด้วย555..ยังคิดอยู่ว่าถ้ามี..จะทำหน้าไงดีหนอ?

เม้าท์เรื่องหนังสือแล้วกัน ไม่ทราบว่าอูรู้จักนิตยสาร
"ลลนา"หรือเปล่า เป็นหนังสือขวัญใจวัยทีนอย่างพี่ในยุคนั้น ตอนคุณสุวรรณี สุคนธาถูกฆาตกรรม พี่งี้เอ๋อและเสียศูนย์ไปพักใหญ่ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีนิตยสารอะไรมาแทนที่ในใจได้อีกเลย..

อูทิ้งติ่งไว้ท้ายเรื่องตามสไตล์อีกแล้ว..อิ อิ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ติดตามอยู่ทุกวันครับ

Choo said...

นายอู..นายกล้ามากๆ ซื้อหนังสือเกย์เองตั้งแต่ ม.4 เลยหรือ เจ๋งว่ะ (ขออนุญาตเขียนหยาบนิดหน่อยครับ)

ผมกว่าจะกล้าซื้อเอง ขนาดโป๊ธรรมดาๆ ก็ตอนเรียนมหาลัยแล้ว

รู้แล้วที่อูเขียนเรื่องนี้ สามารถใช้ภาษาได้สละสลวย ที่แท้เรียนรู้เอามาจากหนังสือพวกนี้เอง ถึงว่าสำนวนคุ้นๆ เสียดายอย่าง ที่อูเล่ามาก็ละเอียดดีหรอกนะ แต่ถ้าบอกขนาด..ของอูมาด้วย ก็จะดีมากเลยครับ 555

แล้วตกลงขอแบ่งดูบ้าง ช่วยออกตังค์สิบบาท โอเคหรือเปล่า ซื้อมาตั้ง 6 เล่ม แบ่งซัก 2 นะครับ ส่วนอีก 2 ก็แบ่งให้นัยละกัน เห็นขอดูฟรีอยู่ร่ำๆ

ชู

nai said...

โถ พี่ชู ขอเล่มเดียวก็พอแล้ว ขอที 2 เล่มแล้วจะเหลือให้ผมดูหรอครับ เอาไปเล่มเดียวก็พอแล้ว

ว่าแต่เล่มที่ อู กำลังดูอยู่ เลอะเทอะหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งรีบรีบลงไปรับโทรศัพท์น้องบอยด้วย

ปล.พี่ชู อยากรู้ว่าแก่นกายของอูเท่าไร กระซิบถามผมก็ได้นะ

;boyp

Anonymous said...

ขอบคุณมากนะครับที่นำเรื่องดีดีมาให้พวกเรา

Anonymous said...

ตอนนี้แสดงเดี่ยว
ชอบแบบคู่มากกว่า จะได้อ่านเมื่อไหร่หนอ
อุอุอุ

thom

Anonymous said...

พลาด orz
มันแต่ไป refresh ตอนที่ 50 ตั้ง 10 กว่าชั่วโมง
กระทำแบบพลาดทำให้รักอาอูเฉี่ยวๆ ไปก็เลยมารักสาย

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ถ้าอาอูเล่นเกมก็ลแงเล่นเกมนี้สิครับ
http://armorgames.com/play/3527/gemcraft-chapter-0

สนุกนะ = =" ว่าแต่ผมไม่เคยซื้อเลยอ่ะทั้งชีวิต
มากสุดก็ใช้ Ares ดึงมาดู ไม่ก็หาอ่านตาม Internet

หลาน Arus รักเกือบเฉี่ยวของอาอู

Anonymous said...

มิถุนา... 555 เคยซื้อเหมือนกันครับ
เข้าใจอารมณ์นั้นได้ดีมากๆ
กลัว อาย เขิน ตื่นเต้น เร้าใจ

แบงค์ครับ

Anonymous said...

)^_^(ที่13 ลุงอูกะว่าจะเข้าเรียนที่ไหน คณะอะไรครับลุงเขียนหนังสือเก่งสงสัยจะเรียนอักษรใช่ม่า น้องบอยคงจะหิวแย่แล้วไมรู้จักหน้าที่อีกแล้ว แต่ก็ดีถ้าเจอกันทุกวันลุงก็จะไม่รู้ว่าบอยคิดอย่างไร หุหุ อยากอ่านต่อไวๆอะครับ หนังสือพวกนี้ยังมีอยู่ไหมครับคงไม่มีแล้วมั้งตอนนี้ในเน็ตมีรูปมากๆๆคงจะขายไม่ออก ผมเดาว่าลุงจะต้องกลับไปซื้ออีกแหงหุหุ

Anonymous said...

พี่พร้าวน่ะไม่มีใครมาถามก็ดีแล้ว เกิดว่ามีคนถามว่าโป๊มั้ยครับ พี่คงต้องสงสัยอีกว่าทำไมคนขายถึงได้กล้าถามพี่

ลลนารู้จักครับ แพรวสุด ก็รู้จักในช่วงนั้นเอง แต่แค่รู้จัก ไม่ได้อ่านข้างใน แค่พลิกๆดู เด็กชอบอ่าน อสท มากกว่าครับ อ่านแล้วอยากไปเที่ยว

พี่ชูกับนัยมีมิถุนา กรกฎา สิงหา เก็บไว้ที่บ้านเป็นตั้งๆ ไม่ต้องมาทำไก๋ขออ่านเลย ตอนที่ผมซื้อน่ะย่าง ม.๕ แล้วครับ ไม่ใช่ ม.๔ ไม่เด็กแล้ว วีรกรรมยังไม่ใช่แค่นั้น ต่อไปยังริซื้อปกขาวอีกด้วย แต่ซื้อหนังสือปกขาวนี่ไม่ค่อยตื่นเต้นนะครับ ตอนซื้อมิถุนาตื่นเต้นมาก กลัวใครมาเห็นเข้า แล้วตอนที่ซ่อนอยู่ในห้องก็ต้องซ่อนอย่างดีเพราะว่าหลังๆคนชอบมาเข้าห้องผม กลัวเจอจังเลย

หลาน arus สุภาษิตฝรั่งบอกว่า better late than never มารักช้ายังดีกว่าไม่มารัก อารอได้

หลานที่เท่าไรเนี่ย นับแล้วตาลาย ลุงจะเข้าคณะอะไรดีล่ะ ไม่หมอก็วิศวะล่ะ สมัยนั้นนิยมกันแบบนั้น

อู

Anonymous said...

)^_^( นั่นไงว่าแล้วต้องไปซื้อมาดูอีก

Anonymous said...

)^_^(ลุงต้องดูหนังเรื่องนี้ให้ได้นะครับ ช่องทรูเอเซียวันที่4-5นี้ ผมชอบเพลงนี้มากครับมันขึ้นๆลงๆนะเหมือนเศร้าแล้วก็มีความหวังแล้วก็สงบแล้วก็ตาย ไม่รู้ละสรุปว่าชอบ http://www.youtube.com/watch?v=bINSmhssRRs
เกือบลืมบอกชื่อ tokyo sonata

Anonymous said...

มาวันจันทร์เกือบมาบอกรักอาอูไม่ทันซะแล้ว
Federick

Choo said...

โห.. นายอูใจร้ายจัง ขอแบ่งดูบ้างก็ไม่ให้

อย่างนี้..ขอให้โดนผู้ใหญ่จับได้..โอมเพี้ยง

ชู

Anonymous said...

ลุงๆเค้าเล่นไรกันเนี่ยย

หึหึ

หลานหนิงรายงานตัวแค่นี้ครับ

อีกไม่กี่วันจาสอบโปรเจคละ

มาขอพรจาก น้าๆอาๆ ครับ

-/\-

Anonymous said...

โปรดทราบ คิดถึงมาก

Anonymous said...

จะเกิดศึกระหว่างคุณอูกับบอยรึเปล่าเนีย

ไม่นะ อย่าเพิ่งงอลกันเลยยยยยยย

อยากให้จีบกันนานๆๆๆ

~*Cate Blanchett FC*~

Anonymous said...

ยังไม่มาต่ออีกหรือคับ คุณอู มัวแต่อ่านหนังสือ 3เล่ม20 อยู่มังคับ ห้าห้าห้าห้า