Sunday, February 7, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 47

หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ พวกนักเรียนนักศึกษาก็ทยอยเดินทางกลับ หอพักเงียบราวกับเป็นหอร้าง ผมคิดถึงบ้านมาก แต่ด้วยทิษฐิอีกเช่นเคยที่ทำให้ผมไม่ยอมกลับไป

หลังจากที่แม่โทรมาเรียกให้ผมกลับบ้านหลายครั้งด้วยความเป็นห่วง จนครั้งหลังๆแทบจะอ้อนวอน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจกลับบ้านโดยให้เหตุผลกับตนเองว่าผมอยากจะกลับไปเพื่อเอาหนังสือเรียน ม.๕ และ ม.๖ ของเอ๊ดมาเพราะว่าหนังสือเหล่านี้ใช้กับการเรียน กศน. ได้ แต่ที่จริงผมก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่ผมอ้างกับตนเอง ผมกลับบ้านเพราะผมคิดถึงบ้านมากต่างหาก

เดือนมีนาคม อากาศเริ่มร้อนแล้ว ผมนั่งรถทัวร์กลับบ้านเพราะต้องการความสบาย เมื่อลงรถที่ตัวเมืองแล้วจากนั้นต้องต่อรถเข้าอำเภออีกต่อหนึ่ง

ผมนั่งชมทิวทัศน์สองข้างทาง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป ปีการศึกษาชั้น ม.๔ นี้เป็นปีที่ผมเดินทางกลับบ้านบ่อยที่สุด มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในระหว่างปี การกลับบ้านแต่ละครั้งก็กลับด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

ในตอนต้น ผมถูกพ่อพากลับบ้านเพื่อไปเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน การกลับบ้านในครั้งนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ท้อแท้ สิ้นหวัง แต่หลังจากนั้นผมก็แอบหนีเข้ากรุงเทพฯเพื่อหาหอพัก ผมเดินทางไปและกลับกรุงเทพฯคนเดียวเป็นครั้งแรก การเดินทางกลับบ้านในช่วงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดิ้นรน แต่ก็เป็นเพียงแค่ความพยายามเอาตัวรอดในสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น ยังไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิต

หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ในที่สุด ผมก็ได้เดินทางกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง การกลับบ้านในครั้งนี้ผมกลับมาด้วยความหวังและกำลังใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า พร้อมกับเป้าหมายในชีวิตที่จะมุ่งสู่ประตูมหาวิทยาลัย

เมื่อใกล้ถึงบ้าน ถนนในชนบทเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ต้นนนทรีสองข้างทางออกดอกเหลืองอร่าม ยิ่งใกล้ถึงบ้านเท่าใด ความรู้สึกคิดถึงบ้านก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น

ผมเหม่อมองต้นนนทรีเหลืองสวยที่ผ่านสายตาไปต้นแล้วต้นเล่า พร้อมกับปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป จู่ๆก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างจับใจ ในปีก่อนๆผมกลับบ้านพร้อมกับพ่อ บางทีก็แม่ด้วย แต่ตอนนี้ผมต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว ในด้านหนึ่งของความรู้สึก การเดินทางกลับบ้านคนเดียวหมายถึงความเป็นผู้ใหญ่และสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว แต่ในอีกด้านหนึ่งผมกลับรู้สึกอ้างว้างและเดียวดาย ปรารถนาอยากมีเพื่อนสนิทที่รู้ใจร่วมทางมาด้วย ผมเริ่มสงสัยว่าบนเส้นทางชีวิตนั้นต้องอ้างว้างเช่นนี้เสมอไปหรือเปล่า จะมีใครสักคนที่ร่วมเดินเคียงคู่ไปกับเราจนตลอดชีวิตได้หรือไม่

- - -

เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน บุคคลแรกที่ผมพบเป็นบุคคลที่ผมอยากหลบหน้ามากที่สุด... พ่อนั่นเอง

“ป๊า” ผมทักพ่อ สายตามองต่ำเหมือนหาเศษตังค์ที่พื้น ไม่กล้าสบตาพ่อ

“ฮื่อ” พ่อทักทายเพียงสั้นๆ

ผมรีบเดินหลบเข้าไปในบ้านทันที จากนั้นก็ไปทักทายแม่ เมื่อแม่เห็นหน้าผมก็บ่นผมเสียจนหูชา เรื่องที่บ่นมากที่สุดก็คือเรื่องที่ผมไม่ค่อยรับโทรศัพท์ของแม่นั่นเอง อีกทั้งโทรกลับก็ไม่โทร ทำให้แม่เป็นห่วงมาก กับอีกเรื่องก็คือเรื่องที่ทำตัวมึนตึงกับพ่อ

ตอนที่ผมกลับมาบ้านนั้นเอ๊ดยังไม่กลับมา ผมตั้งใจว่าจะอยู่ที่บ้านไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะกลับมาที่หอเพื่ออ่านหนังสือต่อ ขณะที่อยู่ในบ้านผมก็ทำตัวเป็นนินจาผุบๆโผล่ๆ วันๆเอาแต่หลบหน้าพ่อ สาเหตุที่หลบหน้านั้นแม้แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ส่วนหนึ่งคงมาจากความน้อยใจและอยากเรียกร้องความสนใจจากพ่อ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับเป็นความรู้สึกไม่กล้าสู้หน้าพ่อ เหมือนกับว่าผมทำอะไรผิดเอาไว้ ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรจึงได้มีความรู้สึกเช่นนั้น แต่รวมความแล้วผมพยายามหลบพ่ออยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้าน

ผมไปค้นลังที่เก็บหนังสือเรียนชั้น ม.ปลายของเอ๊ด ค้นได้หนังสือเรียนชั้น ม.๕ และ ม.๖ มาหลายเล่มทีเดียว หนังสือเรียนที่เอ๊ดใช้แล้วนั้นนั้นดีกว่าหนังสือเรียนที่ซื้อใหม่เสียอีก เพราะว่าในหนังสือของเอ๊ดมีการเน้นข้อความสำคัญอีกทั้งเขียนโน้ตกำกับเอาไว้ในหนังสือด้วย ซึ่งช่วยในการเตรียมสอบ กศน. ของผมได้มาก ผมจึงคัดเลือกหนังสือที่ต้องการไว้หลายเล่มเพื่อที่จะเอากลับกรุงเทพฯด้วย

หลังจากที่กลับมาบ้านได้สองสามวัน ผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย ผมกับพ่อมึนตึงกันตลอด ผมพยายามเก็บตัวอยู่แต่ในห้องจะได้ไม่ต้องเจอพ่อ ซึ่งที่จริงก็ไม่ยากเท่าไรเพราะว่าผมมีหนังสือที่ต้องอ่านอีกมาก สามารถนั่งดูได้ทั้งวัน ส่วนตอนกลางคืนเมื่อดึกมากๆ หลังจากที่ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ผมก็จะแอบย่องลงมาดูทีวีบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลาย แต่ดูได้ไม่นานก็ปิดสถานีเพราะว่าในยุคนั้นเป็นยุคที่ต้องประหยัดไฟฟ้า ทำให้สถานีโทรทัศน์ทั้งหลายปิดสถานีกันในราวๆเที่ยงคืน และจำได้ว่าในยุคนั้นมีการปิดสถานีโทรทัศน์ตอนหัวค่ำด้วย กล่าวคือ ช่วงค่ำหกโมงครึ่งถึงสองทุ่มของทุกวันจะไม่มีการออกอากาศ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า หลังจากนั้นต่อมาอีกสองสามปีสถานการณ์จึงคลายตัวลง สถานีโทรทัศน์จึงสามารถออกอากาศในช่วงหัวค่ำได้ รวมทั้งต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็นออกอากาศตลอด ๒๔ ชั่วโมง

“อู มากินข้าวได้แล้ว” เสียงแม่ตะโกนเรียกมาจากชั้นล่างในตอนหัวค่ำในขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน

“แม่กินไปก่อน อูยังไม่หิว” ผมตะโกนตอบแม่

ที่จริงก็หิวแล้ว แต่ว่าถ้าลงไปตอนนี้ก็ต้องกินอาหารเย็นพร้อมหน้ากับพ่อ ผมเลยเฉไฉบอกไปว่าไม่หิว

“อู มากินเถอะน่า กินแล้วจะได้เก็บจานล้างจานทีเดียว ไม่วุ่นวาย” เสียงแม่ตะโกนขึ้นมาอีก ตั้งแต่กลับมาผมยังไม่ได้กินอาหารพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูกเลย ทุกมื้อผมต้องอู้ไปกินทีหลัง ทำให้แม่ต้องวุ่นวายคอยเก็บอาหารเอาไว้ให้ แม่บ่นเรื่องนี้หลายหนแล้วแต่ผมก็ทำเป็นหูทวนลม

“มันไม่กินก็ไม่กินสิ จะไปอ้อนวอนมันทำไม เก็บไปเลย หมั่นไส้นัก” ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรก็ได้ยินเสียงพ่อเอะอะแทรกขึ้นมา

หลังจากนั้นบ้านก็อึงไปด้วยเสียงเอะอะของพ่อกับแม่ ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องของผมนั่นเอง แม่ไม่พอใจพ่อที่เอะอะโวยวายในเรื่องเล็กน้อย ส่วนพ่อก็ไม่พอใจแม่ที่โอ๋ผมจนเกินไป เถียงกันไปเถียงกันมาลั่นบ้าน

ผมซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน ทำอะไรไม่ถูก ปกติแม่กับพ่อแม้จะมีปากเสียงกันบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก รวมทั้งไม่รุนแรงขนาดนี้ อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลยก็คือทั้งคู่ทะเลาะกันเพราะเรื่องของผม

เอาไงดีล่ะ จะลงไปกินข้าวตอนนี้ก็ทำตัวไม่ถูกเอาเลยจริงๆ จะลงไปห้ามปรามก็ไม่กล้า พ่อกำลังอารมณ์เสีย ผมลงไปอาจบานปลายเสียมากกว่า ในเมื่อคิดอะไรไม่ออก ผมจึงนั่งฟังเสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกันอยู่ในห้องนอนด้วยกลัวและไม่สบายใจ

ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มาตื่นเอาอีกทีเมื่อรู้สึกว่ามีใครมาเขย่าตัว

“อู ไปกินข้าวก่อนไป” เสียงแม่เรียก

ผมลืมตาขึ้นมา เห็นแม่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ไม่รู้ทั้งคู่หยุดทะเลาะกันตอนไหน

“กี่โมงแล้วแม่” ผมถามอย่างงัวเงีย

“สี่ทุ่มแล้ว” แม่ตอบ “ลงไปกินข้าวไป พ่อขึ้นนอนไปแล้ว”

เมื่อได้ยินว่าพ่อนอนไปแล้ว ผมจึงลงไปชั้นล่างพร้อมกับแม่ เมื่อลงไปถึงโต๊ะอาหาร ผมเห็นสำรับอาหารยังวางอยู่เต็มโต๊ะ

“นี่แม่ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ” ผมถาม

“ยังไม่มีใครกินข้าวเลย แม่ก็กินไม่ลง กลุ้มใจ อูกินเถอะ” แม่ตอบพลางถอนหายใจ ดูรูปการณ์แล้วสงสัยว่าพ่อก็คงยังไม่ได้กินอาหารเหมือนกัน

“อูไม่หิวเลยแม่” ผมตอบ รู้สึกเซ็งสุดๆ นี่ผมกลายเป็นชนวนให้พ่อกับแม่ต้องทะเลาะกัน ไม่น่าเลย คิดแล้วก็กินไม่ลงเหมือนกัน

“ยังไงก็ต้องกิน กำลังวัยรุ่น ไม่ควรอดอาหาร จะเสียสุขภาพ” แม่ไม่ยอม

เพื่อตัดปัญหา ผมจึงกินอาหารเย็นลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็รวบช้อนส้อม

“เดี๋ยวอูเก็บโต๊ะและล้างจานให้เองแม่” ผมพูด พลางลงมือเก็บจานบนโต๊ะ

“อู พรุ่งนี้เอ๊ดก็มาแล้ว อย่าบอกเรื่องนี้กับเอ๊ดนะ เข้าใจไหม” แม่กำชับผม จากนั้นก็ปลีกตัวไป

ขณะที่ล้างจาน ผมหวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในใจรู้สึกโกรธพ่อมาก ระยะหลังผมกับพ่อไม่ค่อยลงรอยกันนัก แม้ผมน้อยใจแต่ก็พยายามไม่คิดถึงมัน แต่มาในวันนี้ ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าพ่อเกลียดผม!

ผมอดคิดถึงเอ๊ดขึ้นมาไม่ได้ เอ๊ดเป็นเด็กที่เรียบร้อย ประพฤติตัวดี หัวอ่อน เป็นที่ชื่นชมของผู้ใหญ่ แม้แต่ตอนอยู่ที่บ้านคุณลุงคุณป้า ทั้งสองคนก็ดูโปรดปรานเอ๊ดมากกว่าผมอย่างเห็นได้ชัด ผมมันทั้งดื้อและรั้น ผู้ใหญ่จะไม่ค่อยปลื้มนัก แต่ก็ไม่นึกว่าพ่อจะเกลียดผมได้ลงคอ แต่เหตุการณ์หลายๆอย่างที่ผ่านมาทำให้ผมคิดไปเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย

ดึกแล้ว...

ทุกคนในบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว ยามดึกในชนบทนั้นเงียบสงบจริงๆ แต่ในใจของผมกลับไม่สงบเลยแม้แต่น้อย ความคิดของผมปั่นป่วนราวกับคลื่นใหญ่ในทะเล

ผมคิดว่าพรุ่งนี้ผมจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ เมื่อพ่อเกลียดผม ผมก็จะไม่อยู่ให้เกะกะสายตาพ่ออีก และต่อไปจะพยายามพึ่งตัวเองให้มากที่สุด จะได้ไม่ต้องใช้เงินจากทางบ้าน ผมคำนวณดูอย่างคร่าวๆ สำหรับตอน ม.๕ นี้ ลำพังเพียงเงินเก็บของผมคงไม่พอจ่ายค่าหอกับค่ากินอยู่ตลอดทั้งปีเป็นแน่ จะทำงานหลังเลิกเรียนก็กลัวว่าจะมีเวลาดูหนังสือไม่พอ ดังนั้นถึงอย่างไรปีนี้ก็คงต้องพึ่งทางบ้านบ้าง แต่จะพยายามให้น้อยที่สุด ส่วนเมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วจะพยายามหางานพิเศษทำหลังเลิกเรียน จะได้ไม่ต้องขอเงินพ่ออีกต่อไป

- - -

วันรุ่งขึ้น เอ๊ดมาถึงบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนนั้นผมเพิ่งตื่น แม้รู้ว่าเอ๊ดมาแต่ก็ไม่ได้ลงไปรับเพราะเกรงจะเจอพ่อ หลังจากที่เอ๊ดเข้าบ้านได้ไม่นาน เอ๊ดเดินเข้ามาในห้องนอน ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอพี่ชาย

“เป็นไงบ้างอู อยู่หอสนุกไหม” เอ๊ดทักทาย

“ก็ดี เอ๊ดก็อยู่หอเหมือนกันนี่ เป็นไงบ้างล่ะ” ผมถามกลับ

“อากาศหนาวจะตาย ไม่อยากอาบน้ำเลย” เอ๊ดตอบพลางหัวเราะ “บางวันต้องแอบซักแห้ง”

ซักแห้งหมายถึงไม่ได้อาบน้ำ มันก็น่าอยู่หรอก ขนาดอากาศในกรุงเทพฯยังหนาวแทบแย่ ทางภาคเหนือยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หลังจากทักทายกันได้สักครู่ เอ๊ดก็ขอตัวไปกินอาหารก่อนเพราะว่าหิว พร้อมกับชวนผมลงไปกินด้วยกัน แต่ผมก็เฉไฉว่ายังไม่หิว ตั้งใจว่าสายๆค่อยลงไปกิจะได้ไม่ต้องเจอพ่อ แม้ว่าเอ๊ดจะดูดีใจที่ได้กลับมาบ้าน แต่ผมรู้สึกว่าเอ๊ดมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เอ๊ดดูซึมไปบ้างซึ่งผมเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น

- - -

การกลับมาบ้านของเอ๊ดทำให้ความตั้งใจที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันนั้นของผมเปลี่ยนไป ผมคิดว่าจะกลับกรุงเทพฯในวันถัดไปแทน จะได้มีเวลาอยู่กับพี่ชายสักวัน นานๆเจอกันทีทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจากมาเร็วนัก แต่ว่าอยู่นานไปผมก็อึดอัดใจ

หลังจากที่ผมใช้วิชานินจาลงไปกินอาหารในตอนสายๆ หลังจากนั้นก็อาบน้ำ เมื่อผมก็กลับเข้าไปในห้องนอนอีกก็พบว่าเอ๊ดกำลังรื้อค้นลังใส่หนังสืออยู่

“นี่อูทำอะไรเนี่ย เอาหนังสือเรียนของเอ๊ดมากองบนโต๊ะทำไม” เอ๊ดถามผมด้วยความสงสัย

“ก็เอามาอ่านๆเล่นน่ะ อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ” ผมพยายามตอบแบบเลี่ยงๆ ไม่ต้องการบอกเรื่องการสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ในปีหน้าแก่ใครแม้กระทั่งเอ๊ด เพราะโอกาสสำเร็จดูเลือนราง บอกไปก็เกรงจะเสียหน้าเปล่าๆ

“อูเนี่ยนะ เอาหนังสือเรียนมาอ่านเล่นๆ” เอ๊ดหัวเราะ ทำเสียงเหมือนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก “แล้วหนังสือติวเอนทรานซ์ของเอ๊ดหายไปไหนหมดเลย”

เอ๊ดถามหาหนังสือติวต่างๆ มันจะมีได้ยังไงก็ในเมื่อผมยกให้ตี๋ไปหมดแล้ว

“อูเอาไปกรุงเทพฯด้วยน่ะ” ผมตอบอ้อมแอ้ม “เอาไปดูๆ”

“อูเอาไป” เอ๊ดร้องเสียงดัง คราวนี้น้ำคำแฝงแววไม่พอใจ “โธ่เอ๊ย จะเอาไปทำไมกัน อ่านก็ไม่อ่านแล้วยังจะเอาไปอีก”

“ก็ไม่มีใครใช้แล้วนี่ เอ๊ดจะโวยวายทำไม” ผมเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้าง กลับมาคราวนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ดูครอบครัวไม่มีความสงบสุขเลย นี่ผมก็ร่ำๆจะต้องทะเลาะกับเอ๊ดขึ้นมา

“ก็เอ๊ดนี่แหละจะใช้” เอ๊ดพูด น้ำเสียงบ่งบอกความหงุดหงิด เอ๊ดนี่ก็แปลก จู่ๆก็อารมณ์เสียขึ้นมาทั้งๆที่ปกติเป็นคนใจเย็นมาก

“จะเอาไปสอนพิเศษเหรอ” ผมฉุกใจคิด

“เมื่อไรจะเอามาให้เอ๊ดได้ล่ะ” เอ๊ดไม่ตอบแต่ถามต่อ

“เอ้อ…” ผมอึกอัก ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว หนังสือให้ไอ้ตี๋ไปแล้ว จะไปเอาคืนมาได้ยังไง สงสัยคงต้องซื้อเล่มใหม่มาใช้คืนให้เอ๊ด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาเหตุผลอะไรมาแก้ตัว “ยังไม่รู้ว่าจะคืนเอ๊ดได้เมื่อไรเลย”

“โอ๊ย เอ๊ดจะรีบใช้ อูจะบอกไม่รู้ได้ไง” เอ๊ดโวยด้วยความไม่พอใจ

“เออ ได้ ได้ งั้นพรุ่งนี้อูกลับกรุงเทพฯไปเอามาให้ พอใจหรือยัง” ผมเสียงดังใส่เอ๊ดบ้าง เมื่อวานเกิดศึกคู่ใหญ่ วันนี้เกิดศึกคู่เล็ก บ้านแทบจะไม่เป็นบ้านไปแล้ว

หลังจากเหตุการณ์ตอนเช้า วันนั้นทั้งวันผมแทบไม่ได้คุยกับใครอีกเลย เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง แม้ว่าเอ๊ดจะอยู่ในห้องด้วยแต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจและไม่ยอมคุยด้วยเพราะยังรู้สึกเคืองอยู่ แต่ก็น่าแปลกใจที่หลังจากที่ทะเลาะกันในตอนเช้า หลังจากนั้นเอ๊ดก็ดูซึมไปถนัดตา

- - -

ยามดึกของคืนวันนั้น ผมจัดเตรียมเป้เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น หนังสือของเอ๊ดที่เตรียมว่าจะเอากลับไปด้วยก็เปลี่ยนใจไม่เอาไปแล้ว เพราะคิดว่าเอ๊ดอาจใช้สอนพิเศษด้วย ไปหาซื้อเอาใหม่ก็ได้

ดึกป่านนี้แล้วเอ๊ดยังไม่ขึ้นมานอนอีก สงสัยดูทีวีอยู่ ผมหายโกรธเอ๊ดแล้วจึงคิดจะลงไปดูทีวีด้วย

ผมเดินออกจากห้องนอน เมื่อเดินไปถึงบันได ผมก็ได้ยินเสียงเอ๊ดเหมือนกับกำลังคุยกับใครอยู่ ทีแรกนึกว่าคุยกับแม่ แต่ฟังไปฟังมาน่าจะกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ น่าแปลกที่ดึกป่านนี้แล้วเอ๊ดยังมาคุยโทรศัพท์อีก

ผมเดินลงบันไดไปด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา อยากรู้เหมือนกันว่าเอ๊ดคุยกับใครดึกๆดื่นๆเช่นนี้ เมื่อลงไปถึงชั้นล่าง ผมก็ได้ยินเสียงเอ๊ดคุยกันชัดเจนขึ้น

เอ๊ดคงกำลังคุยกับเพื่อนอยู่ ไม่มีเนื้อหาสาระอะไร เป็นเพียงการคุยเรื่อยเปื่อย แต่สังเกตว่าเอ๊ดคุยด้วยเสียงที่นุ่มนวล ไม่มึงมาพาโวยเหมือนพูดกับเพื่อนๆโดยทั่วไป

“ช่วงนี้ก็เตรียมเอนทรานซ์น่ะ” ได้ยินเสียงเอ๊ดพูดขึ้นมาตอนหนึ่ง ผมหูผึ่งทันที ที่แท้เอ๊ดไม่ได้ต้องการหนังสือเพื่อที่จะสอนพิเศษ แต่เอ๊ดจะสอบเอนทรานซ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ผมรู้สึกแปลกใจมาก เพราะเท่าที่ฟังเอ๊ดคุยมาตลอดทั้งปี เอ๊ดพอใจกับที่เรียนแห่งนี้มาก ไม่มีวี่แววว่าต้องการสอบเอนทรานซ์ใหม่เลย

“ถ้าสอบติดก็คงไม่ได้กลับไปเรียนอีกแล้ว คงเรียนที่กรุงเทพฯแหละ” ได้ยินเสียงเอ๊ดพูดอีก น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย

“ก็ไม่ได้อยากเอนใหม่หรอก แต่พ่อเราขอร้องว่ะ” เอ๊ดพูด จากนั้นหยุดไปชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ “พ่อเราเป็นห่วงน้องชาย มันเป็นเด็กมีปัญหาน่ะ มีปัญหามาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนนี้เรียนอยู่ ม.๔ ที่กรุงเทพฯคนเดียว ไม่มีใครดูแล เราก็ไม่รู้จะทำไง ก็ห่วงมันเหมือนกัน”


<เมื่อใกล้ถึงบ้าน ถนนในชนบทเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ต้นนนทรีสองข้างทางออกดอกเหลืองอร่าม ยิ่งใกล้ถึงบ้านเท่าใด ความรู้สึกคิดถึงบ้านก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น ผมเหม่อมองต้นนนทรีเหลืองสวยที่ผ่านสายตาไปต้นแล้วต้นเล่า พร้อมกับปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป จู่ๆก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างจับใจ>

22 comments:

Anonymous said...

ดีใจรักอาอูทันเวลา คุคุคุ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เอ่อ ถ้าลุงเอ๊ดสอบใหม่เพราะอาอูนี่น่าเครียดเหมือนกัน
นะเนี่ย เขาชอบที่เชียงใหม่ แถมดูท่าจะมีแฟนอีกต่าง
หากนี่สิ ว่าแต่แฟนจะเป็นผู้ชายหรือเปล่า(ฮา)

แล้วลุงเอ็ดเรียนคณะอะไรเหรอครับ?

ช้อนส้อม นะครับไม่ใช่ ช้อนซ่อม

ว่าแต่ตกลง Trip พัทยา+แสมสารของเราว่ายังไง
ครับตกลงอาอูสนใจไหม?

เผื่อจะได้ไปดูเรือจมด้วยกันไง

หลาน Arus ของอาอู

naja said...

พี่เอ๊ดนี่เป็นคนดีจัง ยอดเสียสละเลยอ่ะ

Anonymous said...

)^_^(ที่๔ เอาละสิลุงจะแก้ปัญหายังไงเมื่อรู้ว่าคุณพ่อรักอาจจะมากกว่าพี่อีกถึงขนาดให้พี่เสียเวลาไปตั้ง1ปีลุงต้องเข้าไปขอโทษป๋าซะนะครับ ถ้าจะให้ดีชวนป๋าไปที่หอสิครับเขาจะได้สบายใจว่าลุงอยู่ได้เน้อ พี่ลุงน่าจะเรียนวิดยาใช่ป่าวจำไม่ได้ว่าลุงบอก ถ้าเป็นหมอป๋าคงไม่ให้ ไปอ่านหนังสือ(กาตูน)ดีก่าหุหุ จุดธูปขอยังไงก็ผ่านเนอะลุง

Anonymous said...

เป็นไงหล่ะ ไก่อู รู้หรือหรือเค้าเป็นห่วงน่ะ

tl000

Anonymous said...

^
^
^
*หรือยังว่า* พิมพ์ผิด

Anonymous said...

อ่านถึงตอนน้องเอ๊ดค้นหาหนังสือเก่าๆ
คิดว่าต้องเอนท์ใหม่เพื่อตัวเองแน่ๆเลย
อาจจะเกรดเฉลี่ยปี1เริ่มมีปัญหา...
ส่วนเรื่องคิดถึงบ้านหรือปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ไม่ได้นั้นตัดทิ้งไปได้เพราะถูกฝึกให้แกร่งมาตั้งแต่เด็กๆ...
ที่ไหนได้..กลับต้องทำเพื่อพ่อ..เพื่อน้อง..
ซึ้งใจจริงๆเลยค่ะงานนี้..ให้คะแนนเต็มสิบ!!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เป็นผมก็เครียดน่ะครับ แต่เชื่อว่าตอนนี้จะผ่านไปได้ด้วยดีครับ
Federick

All about Rose said...

อยากบอกว่ามาอ่านตั้งแต่ตอนเก้าโมงเช้าแล้ว
แต่รีบออกไปข้างนอก

ความรักระหว่างพี่น้องนี่มันยิ่งใหญ่จริง
เราก็มีนะพี่ชายที่แสนดี

Anonymous said...

เย้ มาทันหนึ่งในสิบ

นี่ผมก็ใกล้สอบปลายภาคแล้ว หนังสือยังไม่ได้อ่าน
งานยังเคลียไม่หมด

ปวดหัวจะแย่

หุหุ มาบ่นให้ฟังครับผม

ไงก็ยังติดตามอยู่เหมือนเดิมครับผม

อาร์ม

Choo said...

ในที่สุดอูก็คงเข้าใจป๊าบ้างแล้วนะครับ พ่อแม่ล้วนรักลูก เพียงแค่แสดงออกต่างๆ กันไปเท่านั้นเอง ลูกๆ วัยรุ่นก็มักตีความผิดๆ เสมอๆ โดยเฉพาะปัญหาช่องว่างระหว่างพ่อกับลูกชาย

พ่อมักอยากให้ลูกชาย เข้มแข็ง อดทน รับผิดชอบ และเสียสละ แต่โดยส่วนใหญ่สอนไม่เป็น วางตัวไม่ถูก ไม่พูดคุยให้เข้าใจ มัวแต่เก๊กไปเก็กมาอยู่ วัยรุ่นก็ไม่เข้าใจคิดไปอีกอย่าง ก็เลยเป็นปัญูหาโลกแตกที่แก้ไม่ตกในทุกยุคทุกสมัย

จริงเลยความรักระหว่างพี่น้องจะลึกซึ้งได้ด้วยความเอื้ออาทรและความเสียสละ เฮียเอ๊ดก็มีลักษณะเช่นนี้ แล้วตลอดมาไหงอูทิ้งๆ ขวางๆ พี่คนนี้ซะได้ เป็นเอ๊กก็คงน้อยใจอูไม่น้อยเลย

หากอูคิดจะหนีอีก คงต้องไปสอบเตรียมทหารแล้วละครับ เพราะรับคนจบ ม.4 พอดี 555+

ตอนนี้อูมาแปลก ไม่กั๊กตอนจบ ก็เป็นกำลังใจให้นายอูเดินหน้าทำสิ่งที่ถูกต้องครับ

เห็นมะ คนรุ่นนี้ไม่ว่าจะ พี่เอ๊ด พี่เต้ แล้วก็พี่.. ดีๆ ทุกคน

ชู

Anonymous said...

จบตอนได้กินใจมากๆ
จำไว้.....ไม่มีใครรักเราเท่ากับพ่อ แม่หรอกนะ
โดยเฉพาะ พ่อ ในสมัยก่อน ที่ต้องวางตัวเข้มแข็งให้สมกับเป็นผู้นำครอบครัว
ก็เลยพูดเพราะๆกับลูกไม่ค่อยเป็น และดูเหมือนเก๊ก แต่เบื้องหลังจะคอยแอบช่วย แอบถามด้วยความห่วงใย
ไม่เชื่อลองถามครอบครัวอื่นดู ก้ได้นะอู

nai said...

..........................

เช้าวันต่อมา

ป๊า อูขอโทษ ป๊าไม่ต้องเป็นห่วงอู อูไม่มีปัญหาอะไรหรอก อู ตั้งใจเรียน ไม่เชื่อ ลองดูผลการเรียนเทอมนี้ดูก็ได้”

แม่ อู รับปากแม่ว่า จะรับโทรศัพท์ และโทรกลับแม่ จะได้ทำให้แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ

แอ๊ด นายไม่ต้องเอ็นทรานซ์ใหม่หรอก อู ดูแลตัวเองได้ ขอบคุณมากที่ห่วงเรา สัญญาว่าจะดูแลตัวเอง

20 ปีผ่านไป นายอู ก็มานั่งเขียนนิยาย เรื่อง ผิดตรงไหนก็แค่ผู้ชายรักกัน (เรื่องของนัย เฮ้ย เรื่องของอู) ให้เราเราท่านท่านได้อ่าน จนถึงปัจจุบัน

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร รออู ตัวจริงเขียนต่อตอนที่ 48 แล้วกันครับ

นัย

Fryderyk C. said...

พี่ชายใจดีมากๆเลย

ที่แท้ พ่อก็แอบเป็นห่วง


ยิ้ม ^^

Anonymous said...

ต้องขออภัยด้วยครับ ลืมเข้ามาตอบคอมเมนต์ หลายวันแล้วนะนี่ ช่วงนี้หัวฟูนิดหน่อยคัรบ

หลานๆคงสอบกัน เอาไว้สอบเสร็จก็แวะมาเล่นในนี้บ้าง บล็อกจะได้ไม่เหงา

อู

Anonymous said...

..ช่วงนี้ออกอาการหัวฟู+หูตูบ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่..
ยังไงก้อให้รักษาสุขภาพเพื่อฉลอง2ตรุษที่จะมาถึง(ตรุษจืนกะตรุษใจ)..สู้.สู้..นะคะ..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เข้ามาอ่านรอบสองแล้ว...
รอบแรกอ่านแล้วไม่ได้คอมเมนต์อะไร เพราะรู้สึก อึ้ง ทึ่งและเสียวนิดๆกับสิ่งที่เอ็ดบอกเพื่อน ( ดูจากการสนทนาและคำพูดยังมี " ว่ะ ") หรือมากกว่านั้นคงต้องให้อาอูเฉลยตอนหลัง เพราะรู้สึกว่ามันแทงใจซะจนพูดไรไม่ออก
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีน้องชาย พ่อกับแม่จะหวังในตัวเราอย่างมากให้เป็นผู้ดูแลน้องต่อไปในอนาคตถ้าท่านไม่อยู่แล้ว อนาคตนี่คือดูแลตลอดไปจนกว่าจะตายไปข้างนึง
ตอนเด็กๆตีกันบ่อยครับ แย่งของเล่นกัน สุดท้ายก็เป็นผมที่ต้องพ่ายแพ้เพราะความเป็นพี่ โดนแม่ตีอยู่เรื่อย

แต่ไม่เป็นไรครับ ถึงแม้จะตี จะต่อย จะชก จะด่ากันยังไงก็ตาม แต่ผมก็รักมันนะ และมันก็รักผมมากซะด้วยฮ่าๆ
รอตอนที่ 48 ครับ

Anonymous said...

ชอบมากๆครับ เขียนได้ดีด้วยครับ รออ่านตอนต่อไปครับ

กันครับ

Anonymous said...

ลืมไป วันนี้เป็นวันตรุษจีน สุขสันต์วันตรุษจีน

กันครับ

Anonymous said...

)^_^(หัวบวมจะแตกอยู่แล้วครับลุง เหลืออีกวันเดียวเอง แต่ลุงหัวฟูไม่ได้หวีผมหรอครับ วันนี้ที่บ้านลุงคงมีขนมไหว้กินกันละสิขอให้รำรวย มีแรงเหมือนเสือนะครับ เหมือนม้าดีก่าหุหุ ไปอ่านการ์ตุนต่อละนะ

Anonymous said...

สวัสดีนะครับ มาใหม่นะครับ
เพิ่งเริ่มอ่านจนถึงตอนนี้ มาได้เกือบอาทิตย์
ติดงอมแงมมากมาย อ่านตั้งแต่หัวค่ำถึงตีห้า
จนเกือบลืมอ่านหนังสือสอบแล้ว ฮ่าๆๆๆ

มาให้กำลังใจอาอูนะครับ(เรียกแบบนี้ละกัน)
เป็นเรื่องในอดีต(อ่านแล้วไม่คิดว่าเป็นนิยายเลย)
ที่เศร้าแบบอ่านแล้วรู้สึกหลากอารมณ์มากๆ
ภาคแรก ชอบช่วงที่อาอูกับอาชัช
หอมแก้มกันตอนนอน กับ ช่วงทะเลาะกันมากกก
โดยเฉพาะ ตอนอาอูตะคอกอาชัชร้องไห้
อินแบบไม่ไหวแล้ววววววววววววววววววว
อ่านแล้วหยุดอ่านไม่ได้เลยครับ
(แต่เฉยๆกับอานัยนะช่วงนั้น ไม่รู้ทำไม ฮ่าๆๆๆ)

แต่ภาคสองที่หดหู่มากกกกกกก อ่านแล้วจุกหน้าอก
ช่วงที่พี่เต้ออกมาทีไร ใจหล่นไปตาตุ่มทุกที เกลียดช่วงพี่เต้สุดๆเลย(อินจัด)
ยิ่งตอนท้ายของภาคนี้ ประทับใจช่วงอาอูแต่งเพลงให้อานัยสุดๆๆๆๆ แบบถ้าอานัยรู้คงดีมากกกกกกกก
แต่ก็ไม่รู้ ยิ่งปัจฉิมบทเลยหมดกำลังใจอ่านเลย
เพราะ รู้ว่าอาอูไม่สมหวังนี่ กะจะอ่านจบแบบเงียบๆไป

แต่พอเปลี่ยนใจมาอ่านภาคสามในวันถัดมา
ช่วงจดหมายของอานัยนี สุดๆแล้ว แต่กลับเห็นใจอาอูมากกว่า คงเพราะ อินว่าเราคืออาอู เลยเจ็บปวดแทนอาอูมากกว่านะครับ ลุ้นให้ได้รับจดหมายมากถึงจะรู้แล้วว่าไม่ได้ก็เถอะ
เลยอยากให้อาอูสมหวังกับอาบอยนะครับ อาบอยเป็นคนที่มาสมานแผลในใจได้ดีทีเดียว ถ้าไม่มีอาบอยผมคงไม่ได้อ่านต่อจนถึงตอนนี้อะครับ เพราะ หดหู่เหลือเกินนนนนนน สงสารอาอูไม่ไหวแล้วววววววว
พอมีอาบอยเลยรู้สึกโลกสดใสสว่างขึ้นแทนอาอูเลยละ


ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ อาอู สุโค่ยยยยยยยยยย

~*Cate Blanchett FC*~

ปล.อ่านฉากดราม่าอินจัด จนเฉยๆกับเลิฟซีนไปเลย เหอๆ

boy_aof_za said...

คิดถึงจังเลยครับทุกคน ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนาน จะอ่านตั้งนานครับ ยังไงก็จะอ่านให้จบทุกๆตอนนะครับ