Saturday, September 26, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 22

ที่ท่ารถในตอนเช้าคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ต้องการเดินทางเข้าเมืองรวมทั้งเดินทางไปยังจังหวัดอื่นๆ แม้ผมไม่เคยเดินทางคนเดียวมาก่อน แต่ผมก็พอรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

ที่นั่นจะมีรถ บขส. สีส้มๆ ที่มุ่งเข้ากรุงเทพฯมาจอดรับส่งผู้โดยสาร แต่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ไม่แน่ใจว่าวันหนึ่งมากี่เที่ยวแต่พอรู้ว่าถ้ามาช่วงเช้าจะมีรถแน่ หรือไม่อย่างนั้นก็ขึ้นรถโดยสารระหว่างอำเภอเข้าไปที่สถานีขนส่งในตัวเมือง ที่นั่นจะมีรถเข้ากรุงเทพฯมากกว่า

ผมไม่อยากเสียเวลาเข้าไปในเมือง จึงเลือกมารอรถที่นี่แต่เช้า รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง รถ บขส. ที่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯก็มาถึง คนในรถแน่นขนัด ทั้งคนและสิ่งของ แออัดยัดเยียดไปหมด

ไม่มีที่นั่ง ยืนก็ได้วะ ผมคิดในใจ ไม่อยากรอคันต่อไปเพราะไม่รู้ว่าเมื่อรจะมา รวมทั้งไม่รู้ว่ามาแล้วจะได้นั่งหรือไม่ ในเมื่อไม่มีอะไรแน่นอน ผมไปคันนี้ก่อนดีกว่า

รถ บขส. สีส้ม ไม่ติดแอร์ เปิดหน้าต่างรับลมโกรก แต่อากาศที่เข้ามาดูเหมือนจะไม่ช่วยบรรเทาความร้อนอบอ้าวภายในรถเท่าไร เพราะในรถค่อนข้างแออัด

ประสบการณ์การเดินทางเข้ากรุงเทพฯเองเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เองที่ว่ารถหวานเย็นนั้นเป็นอย่างไร รถ บขส. ขับเร็ว แต่ทว่าจอดบ่อยมาก เดี๋ยวก็จอด เดี่ยวก็จอด เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็ผมรู้สึกว่ายืนจนเมื่อยแล้ว ที่คิดเอาไว้ว่าพอมีคนลงแล้วจะได้นั่งบ้างกลับคิดผิด เพราะวันนั้นหาที่นั่งว่างไม่ได้เลยจนเกือบตลอดทาง มาได้นั่งเอาแถวๆรังสิตซึ่งแทบไม่ช่วยอะไร

เหตุที่ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯในวันนี้ก็เพราะผมคิดจะมาหาหอพัก ตอนนี้แม่มีแนวโน้มสนับสนุนให้ผมกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯอีก แต่คงยังติดปัญหาเรื่องที่พัก ถ้าจะไปพักบ้านคุณลุงก็คงยากแล้ว แต่ถึงจะเป็นไปได้ผมเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ผมนึกถึงคำพูดของตี๋เรื่องหอพักขึ้นมา นี่ถ้าผมสามารถหาหอพักได้ ผมก็อาจต่อรองกับพ่อเพื่อกลับเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯอีกครั้งได้

นี่ถ้ามีไอ้นัยอยู่ด้วยก็คงดี คิดแล้วผมก็รู้สึกปวดแปลบในใจขึ้นมา บ่อยครั้งที่ผมคิดถึงไอ้นัย แต่ทุกครั้งที่ผมคิดถึงไอ้นัยผมจะรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป ดังนั้นเมื่อไอ้นัยวูบเข้ามาในความคิด ผมก็พยายามจะหยุดคิดและสลัดมันออกไป

สถานีขนส่งสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือหรือที่เรียกว่าหมอชิตในตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่เดียวกับในปัจจุบัน ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นหมอชิตใหม่ เดิมทีสถานีขนส่งหมอชิตอยู่ตรงข้ามสวนจตุจักร ตรงที่ปัจจุบันเป็นที่จอดรถและอู่เก็บรถของรถไฟฟ้าบีทีเอสนั่นเอง

ผมลงจากรถที่สถานีหมอชิตด้วยอาการเหงื่อไหลไคลย้อย ตอนนั้นเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าเข้าไปแล้ว รถสีส้มหวานเย็นช้ากว่าที่ผมคาดเอาไว้มาก

ผมคิดเอาเองว่าหอพักควรอยู่ใกล้สถานศึกษา ดังนั้นเป้าหมายแรกที่ผมจะมาลองหาหอพักดูก็คือย่านปากทางลาดพร้าวนั่นเอง เพราะในละแวกนั้นมีโรงเรียนอยู่ถึงสามแห่ง น่าจะต้องมีหอพักอยู่บ้าง

ที่จริงแล้วผมรู้จักย่านปากทางลาดพร้าวดี เพราะตอนอยู่ประถมเดินอกมาซื้อของบ่อยๆ ผมจำได้ว่าไม่เคยเห็นหอพักที่ไหนเลยสักแห่ง แต่ในเมื่อนี่เป็นความหวังใยเดียวของผม ผมคงต้องลองพยายามหาดู

ผมนั่งรถมล์จากหมอชิตมาลงที่ปากทางลาดพร้าว จากนั้นก็ตั้งต้นตั้งแต่ลาดพร้าวซอย ๑ เดินดูไปเรื่อย เริ่มแรกก็ไปถามร้านค้าแถวปากซอยก่อน

“หอพักนักเรียนเหรอ เอ... ในซอยนี้ไม่มีมั้ง” เถ้าแก่ร้านขายของชำปากซอยลาดพร้าว ๑ พูด “แต่ลองเข้าไปดูก็ได้ เผื่อจะมี”

ผมเดินหาทั้งฝั่งซอยคี่และฝั่งซอยคู่ อย่างซอย ๑ กับ ซอย ๓ ที่ลึกมาก ผมก็เดินเข้าไปจนลึก เผื่อว่าจะมีหอพักหลบๆอยู่ในส่วนลึกของซอย ปากก็ถามคนในซอยไปด้วย แต่ก็ไม่มีหอพักเลยสักแห่ง

“แถวนี้ไม่มีหรอก ไปหาแถวหน้ารามสิน้อง แถวนั้นหอพักนักศึกษาเพียบเลย” พี่คนหนึ่งที่ผมถามระหว่างเดินอยู่ในซอยให้คำแนะนำ

หน้ารามที่พี่คนนั้นพูดถึงก็คือหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงนั่นเอง ที่จริงตอนนั้นราม ๒ หรือรามวิทยาเขตปัจฉิมสวัสดิ์ที่บางนาก็เปิดสอนแล้ว เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ แต่คำว่าหน้ารามก็ยังหมายถึงตรงหัวหมากอยู่นั่นเอง

ขอบโลกของผมอยู่เพียงแค่ซอยบ้านไอ้นัยเท่านั้นเอง ไกลกว่านั้นผมก็ไม่รู้จักแล้ว บังเอิญพี่คนนั้นเรียนรามอยู่ จึงแนะนำผมเกี่ยวกับการเดินทางและที่พัก บอกว่าให้ขึ้นรถเมล์สาย ๙๒ แล้วก็นั่งไปเรื่อยๆ เมื่อถึงแล้วกระเป๋าก็จะตะโกนบอกเอง หรือถ้ากระเป๋าไม่บอกก็เห็นได้เอง เพราะหน้ามหาวิทยาลัยจะมีนักศึกษาเดินไปมาเยอะมาก ส่วนหอพักนั้นก็ให้หาเอาจากฝั่งตรงข้ามหาวิทยาลัย ดูตั้งแต่ซอยรามคำแหง ๕๓, ๕๑, ๔๙ ฯลฯ ย้อนขึ้นไปเรื่อยๆ

ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว การหาหอพักกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ผมไม่อยากกลับบ้านแบบคว้าน้ำเหลวจึงตัดสินใจลองไปดูแถวๆหน้าราม เผื่อว่าจะพอได้ความอะไรขึ้นมาบ้าง

เมื่อรถเมล์ผ่านซอยลาดพร้าว ๑๐๑ ไป สถานที่ต่อจากนั้นผมก็ไม่รู้จักเลย แต่จำได้ว่าย่านบางกะปิตอนนั้นยังไม่หนาแน่นเท่าปัจจุบัน โดยเฉพาะตรงแยกบางกะปิ พื้นที่แถวนั้นยังดูโล่งๆเพราะว่ายังไม่มีเดอะมอลล์บางกะปิ ถ้าจำไม่ผิดตรงนั้นน่าจะเป็นทุ่งหญ้าอยู่ กว่าจะมีเดอะมอลล์บางกะปิก็ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และหลังจากนั้นอีกหลายปีต่อมาจึงตามมาด้วยโลตัส ส่วนบ้านสวนสงบที่อยู่ข้างเดอะมอลล์บางกะปินั้นมีมานานแล้ว ผมยังจำได้เพราะว่ามีต้นไม้หนาแน่น ดูสงบ ร่มเย็น สมชื่อจริงๆ

ย่านหน้ารามคำแหงในตอนนั้นก็จอแจวุ่นวาย เต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ ทางเท้าก็แทบไม่มีที่เดินเพราะมีแต่แผงสินค้าวางเต็มไปหมด ผู้คนแถวนั้นดูจะเดินกันอย่างใจเย็น เดินไปก็ชมสินค้าตามทางเท้าไป ต่างจากผมที่ต้องเร่งรีบ

หลังจากถามคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็หาซอยราม ๕๓ จนพบ หลังจากนั้นก็เริ่มเดินสำรวจหอพักในย่านนั้นทันที หอพักที่เห็นขึ้นป้ายส่วนใหญ่เป็นหอพักหญิง ไม่เห็นมีหอพักชาย แต่ก็เห็นนักศึกษาทั้งหญิงและชายเดินเข้าเดินออกตามตึกแถวต่างๆซึ่งดูหน้าตาก็คล้ายๆจะเป็นหอพัก แต่ไม่ได้ขึ้นป้ายเอาไว้ว่าเป็นหอพัก แต่ขึ้นป้ายเอาไว้ว่า ‘มีห้องว่าง’

“พี่ครับ แถวนี้ไม่มีหอพักชายเลยเหรอ” ผมถามพี่นักศึกษาคนหนึ่งที่เดินอยู่แถวหน้าปากซอยราม ๔๙

“น้องจะหาหอพักชายไปทำไม เป็นผู้ชายก็เช่าห้องที่ไหนอยู่ไปก็ได้ ไม่เห็นจะต้องไปอยู่หอพักเลย หอพักชายหายากน้อง” พี่นักศึกษาคนนั้นตอบ

ผมงงกับคำตอบ เพราะไม่เข้าใจว่าหอพักกับห้องเช่าต่างกันอย่างไร พี่คนนั้นก็ตอบไม่ได้ความชัดเจนนัก เมื่อถามไม่ได้ความผมจึงลองไปสอบถามตามตึกแถวที่ขึ้นป้ายเอาไว้ว่า ‘มีห้องว่าง’ ดู

หลังจากสอบถามห้องว่างให้เช่าอยู่หลายที่ ในที่สุดผมก็ถึงบางอ้อ ได้ความกระจ่างว่าหอพักกับห้องเช่านั้นไม่เหมือนกัน

หอพักนั้นมีกฎหมายควบคุมหลายฉบับ การเปิดหอพักไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเปิดแล้วก็ต้องมีกฎระเบียบสำหรับผู้เข้าพักมากมาย ต้องแบ่งเพศ เข้าออกต้องเป็นเวลา ฯลฯ ส่วนห้องเช่านั้นก็คือห้องว่างที่แบ่งให้เช่า ใครจะเข้ามาอยู่ก็ได้ ไม่มีกฎระเบียบอะไรมากมาย พอพักที่นิยมเปิดกันจะเป็นหอพักหญิง เพราะผู้ปกครองจะรู้สึกเบาใจมากกว่าแทนที่จะส่งลูกสาวให้มาพักตามห้องเช่าทั่วไปเนื่องจากเกรงว่าจะไปมั่วสุมกัน ส่วนหอพักชายไม่มีใครอยากเปิดเพราะมีเรื่องกินเหล้าตีกัน ทุบทำลายข้าวของบ่อย ดูแลความสงบเรียบร้อยได้ยาก ดังนั้นนักศึกษาชายส่วนใหญ่จึงอยู่แบบห้องเช่าทั่วไป ส่วนนักศึกษาหญิงส่วนหนึ่งที่ผู้ปกครองเข้มงวดหน่อยก็อยู่หอพักหญิง อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ตามห้องเช่าทั่วไป

ผมเดินดูย่านหน้ารามได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับ เพราะตอนนั้นก็บ่ายมากแล้ว แต่ก็ได้ความรู้ที่สำคัญมาเรื่องหนึ่งก็คือผมคิดผิดมาตลอดที่พยายามหา ‘หอพัก’ ที่จริงผมควรหาห้องเช่ามากกว่า ปัญหาอยู่ที่เรื่องการใช้คำศัพท์นี่เอง

กว่าที่ผมจะกลับมาถึงสถานีขนส่งหมอชิตอีกครั้งก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกเมื่อยล้ามาก เพราะว่ายืนและเดินมาเกือบตลอดทั้งวัน แทบไม่ได้นั่งเลย ผมเมื่อยจนผมคิดว่าผมคงยืนในรถส้มหวานเย็นอีกสามสี่ชั่วโมงไม่ไหวแน่

ผมตัดสินใจเปลี่ยนไปนั่งรถทัวร์หรือว่ารถปรับอากาศกลับบ้านดูบ้าง ค่าตั๋วรถทัวร์แพงกว่ารถส้มพอดู แต่ก็สบายเพราะว่าได้นั่ง แม้จะต้องไปลงที่ขนส่งเมืองแล้วต่อรถมาที่อำเภออีกทีก็ตาม

ปรากฏว่าผมตัดสินใจไม่ผิด เพราะว่ารถปรับอากาศนั่งสบาย ทำให้ผมนั่งหลับมาตลอดทาง อีกทั้งรถทัวร์ไม่จอดตามรายทาง ทำให้ประหยัดเวลาไปได้มาก

ผมกลับมาถึงบ้านในเวลาประมาณสามทุ่ม ด้วยอาการอ่อนล้า

“อู ไปไหนมาทั้งวันเลย ทำไมกลับดึกแบบนี้ แม่เป็นห่วงรู้ไหม” แม่ดาหน้าเข้ามาทันทีเมื่อเห็นผม สีหน้าของแม่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“ก็อูไปหาเพื่อนไง” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“หาเพื่อนที่ไหน ทำไมกลับผิดเวลาแล้วไม่โทรศัพท์มาบอก โอ๊ย ลูกคนนี้จะทำให้แม่ห่วงไปถึงไหน” แม่บ่น

หลังจากผ่านด่านแม่ไปก็ต้องไปเจอด่านพ่ออีก พ่อบ่นใส่ผมอีกหนึ่งกระบุง ผมสังเกตว่าตั้งแต่กลับบ้านมาช่วงปิดเทอมนี้ ตอนหัวค่ำพ่อมักจะหน้าแดงๆ เหมือนกับไปตากแดดมากทั้งวัน แต่ก็น่าแปลกที่บางวันพ่อก็หน้าแดงทั้งๆที่ไม่ได้ออกไปไหน

ผมรีบกินอาหารเย็นที่วางไว้บนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว ความหิวมีน้อยกว่าความเมื่อยล้า เมื่อกินอาหารเสร็จผมก็รีบขึ้นไปอาบน้ำและเข้านอนทันที

ก่อนจะนอนได้ผมต้องผ่านด่านเอ๊ดอีกหนึ่งด่าน ตอนนั้นเอ๊ดนั่งฟังเพลงอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอนแล้ว

“หายไปไหนมาทั้งวัน แม่บ่นจะแย่” เอ๊ดพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ

“ไปหาเพื่อน” ผมตอบ

“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ตั้งแต่กลับมาอูไม่เคยออกไปไหนเลย แล้วจู่ๆก็หายตัวออกไปหาเพื่อนทั้งวัน” เอ๊ดซักต่อพลางเพ่งสายตามองผม “นี่คิดก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า”

“อุ้ย เปล่า” ผมรีบตอบ รู้สึกเสียวๆ ดูเหมือนว่าเอ๊ดจะรู้ทันผม ที่จริงก็อยากเล่าเรื่องให้เอ๊ดฟัง เผื่อว่าเอ๊ดจะได้ช่วยพูดสนับสนุนให้ผม แต่ตอนนี้ผมยังหาที่พักในกรุงเทพฯไม่ได้เลย พูดไปก็เลื่อนลอย เอาไว้อีกสองสามวันค่อยพูดดีกว่า

“อูง่วงมากเลย ขอนอนก่อนนะ” ผมรีบตัดบทก่อนที่เอ๊ดจะพูดอะไรต่อ ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง แถมเอาหมอนปิดหน้าปิดหัวเสียอีกด้วย

- - -

วันต่อมา ผมตื่นสายเพราะเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทาง แผนการที่วางไว้ว่าจะเข้ากรุงเทพฯอีกครั้งก็ต้องเลื่อนไป จนวันถัดมา ผมก็แต่งตัวและออกจากบ้านแต่เช้าตรู่อีก

“แม่ อูไปบ้านเพื่อนอีกนะ คราวนี้กลับดึกหน่อย” ผมบอกแม่จากนั้นก็รีบเดินอ้าวออกจากบ้านไปโดยไม่เปิดโอกาสให้แม่ถามอะไร

ครั้งนี้ผมมีประสบการณ์มากขึ้น จึงเลือกเดินทางเข้ากรุงเทพฯโดยรถทัวร์ เมื่อมาถึงหมอชิต ผมก็นั่งรถต่อมาที่ปากทางลาดพร้าวทันที

คราวนี้ผมไม่ได้หาหอพักแล้ว แต่พยายามมองดูป้ายห้องว่างให้เช่าต่างๆ ที่ซอยลาดพร้าว ๑ และ ๓ และซอยคู่ฝรั่งตรงข้ามนั้นผมเดินจนหมดแล้วตั้งแต่เมื่อวาน คิดว่าไม่เห็นป้ายห้องว่างให้เช่าเลย มาวันนี้ผมจึงเดินไล่ต่อไปทีละซอย

ผมเดินหาไปเรื่อยตั้งแต่ซอย ๕, ๗, ๙, ๑๑ และฝั่งซอยคู่ที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่คราวนี้ปรับวิธีการบ้าง คือใช้การถามแถวๆหน้าปากซอยให้มากขึ้น และถ้าซอยไหนที่ลึกมากๆ เดินเข้าไปราว ๑๐ นาทีแล้วยังไม่พบผมก็จะกลับออกมาก เพราะว่าถ้าลึกเกินไปเวลามาอยู่จริงๆก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

ที่จริงย่านหน้ารามคำแหงมีห้องว่างมากมาย แต่ผมคิดดูแล้วเห็นว่ามันไกลมาก การเดินทางไปกลับจากโรงเรียนอาจจะไม่ไหว ผมเลยมาเดินหาแถวย่านลาดพร้าวที่ผมคุ้นเคยแทน แต่สาเหตุสำคัญที่สุดที่ผมเลือกหาห้องเช่าในย่านลาดพร้าวก่อนเป็นอันดับแรกเพราะผมต้องการพักใกล้ๆกับที่พักเดิมของผมให้มากที่สุดนั่นเอง

เดินหาอยู่หลายชั่วโมง จนมาจนถึงซอยลาดพร้าว ๒๖ มีอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง แต่คิดค่าห้องแพงมาก เดือนละสามพันกว่าบาท ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ มีเครื่องปรับอากาศให้ ซึ่งผมคิดว่าคงเกินกำลังที่จะอยู่ได้

เดินมาอีกจนถึงซอย ๒๓ หรือซอยวิทยาลัยครูจันทรเกษม (ชื่อในตอนนั้น ปัจจุบันคือสถาบันราชภัฎจันทรเกษม) ผมก็พบห้องว่างให้เช่าห้องหนึ่ง เป็นตึกแถวที่อยู่หน้าตลาด เดินเข้ามาจากถนนใหญ่เพียง ๒๐-๓๐ เมตร เจ้าของแบ่งซอยเป็นห้องให้เช่า

เมื่อผมเข้าไปดูห้อง พบว่าเป็นห้องขนาดเท่าแมวดิ้นตาย มีตู้เสื้อผ้าแบบพลาสติกหนึ่งใบ โต๊ะทำงานหนึ่งตัว และเตียงเดี่ยวหนึ่งหลัง พร้อมกับที่ว่างในห้องอีกประมาณครึ่งตารางเมตร ถ้าวางถังขยะอีกใบก็คงเต็มพอดี ไม่มีที่เดิน หน้าต่างก็ไม่มี มีเพียงช่องลมเหนือประตู

เพียงผมเดินเข้ามาในห้องก็รู้สึกอบอ้าวขึ้นมาทันที

“เหลือห้องเดียวเองนะน้อง เนี่ย มีคนมาจองเอาไว้ แต่ไม่ได้วางเงินมัดจำ” เจ้าของซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนพยายามโน้มน้าว “ถ้าน้องวางมัดจำก่อนพี่ก็ให้สิทธิ์น้องก่อน แถวนี้มีแต่ที่นี่แหละ น้องไม่ต้องไปดูที่อื่นหรอก”

ในตอนนั้นห้องว่างให้เช่าในย่านลาดพร้าวยังมีไม่มากเหมือนกันยุคนี้ ถ้าเป็นตอนนี้ละก็เดินไปไม่ไกลก็หาได้แล้ว เมื่อห้องเช่ามีน้อย ผมจึงต้องคิดหนัก ไม่เอาก็กลัวหลุดมือ จะเอาก็กลัวอยู่ไม่ไหว เพราะทั้งแคบ ทั้งร้อนอบอ้าว ค่าเช่าประมาณพันสอง รวมน้ำไฟเสร็จ ใช้ห้องน้ำรวม

ซอยลาดพร้าว ๒๓ เป็นซอยที่ลึกมาก เดินเข้าไปได้อีกหลายกิโลเมตรเลยทีเดียว แต่ผมเดินเข้าไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อไม่พบห้องเช่าอื่นอีกก็กลับออกมา

ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปหน่อยเป็นซอย ๓๐ ในซอยมีบ้านแบ่งเป็นห้องให้เช่าเหมือนกัน แต่ว่าเต็ม จึงไม่ได้เข้าไปดู แต่การพบว่ามีอพาร์ตเมนต์และห้องให้เช่าหลายแห่งทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของห้องเช่าในยุคนั้นก็คือถ้ามีห้องว่างจึงจะขึ้นป้าย ‘มีห้องว่าง’ หน้าตึกหรือว่าหน้าบ้าน แต่ถ้าผู้เช่าพักอยู่เต็มจะปลดป้ายลง ผู้ที่ไม่ได้อยู่แถวนั้นก็จะไม่รู้ว่าที่นี่มีห้องให้เช่า ตลอดสองวันที่ผ่านมาผมอาจจะเดินผ่านพวกห้องให้เช่านี้มาหลายแห่งแล้วก็ได้ เพียงแต่ว่าไม่มีห้องว่างอยู่ผมจึงไม่เห็นป้าย

จากนั้นผมก็เดินไปยังซอยลาดพร้าว ๓๔ ในตอตนั้นระหว่างซอย ๓๐ กับ ๓๔ เป็นเพียงที่รกร้างว่างเปล่า แต่เมื่อไม่นานมานี้เองก็กลับกลายเป็นโครงการคอนโดมิเนียม เดอะรูม

ผมเดินข้ามถนนไปยังซอย ๒๕ ในตอนนั้นระหว่างซอย ๒๓ กับ ๒๕ เป็นเพียงทุ่งหญ้ารกร้างสุดลูกหูลูกตาเช่นกัน แต่ในปัจจุบันคือโครงการบ้านกลางกรุง

ในซอย ๒๕ นี่เองที่ผมพบตึกแถวทำเป็นห้องให้เช่าอยู่แห่งหนึ่ง ตึกแถวนี้กินเนื้อที่สามคูหา มีสี่ชั้นกับดาดฟ้า สองคูหากั้นเป็นห้องให้เช่า ส่วนอีกหนึ่งคูหาเจ้าของเอาไว้อยู่เอง แถมถัดจากห้องเช่าแห่งนี้เดินเข้าไปในซอยอีกเพียงเล็กน้อยก็จะมีบ้านที่แบ่งห้องให้เช่าอีกด้วย ซึ่งบ้านแบ่งให้เช่านี้ผมมารู้เอาทีหลังเนื่องจากในตอนแรกไม่ได้ขึ้นป้ายเอาไว้

“น้องจะเช่าห้องเหรอ” แม่บ้านที่คอยดูแลความเรียบร้อยในตึกและจัดการกิจการงานจิปาถะถามผม

“ครับ” ผมตอบ

“มาคนเดียวเหรอ” แม่บ้านถามอีก ทำสีหน้าสงสัย

“ครับ” ผมตอบสั้นที่สุด

“ทำไมไม่มีผู้ใหญ่มาด้วยล่ะ” แม่บ้านถามอีก

“ผู้ใหญ่ไปดูซอยอื่นอยู่ครับ เด็กเลยมาดูทางนี้ก่อน” ผมตอบ ชักเริ่มกรุ่นๆอยู่ในใจ จะซักอะไรกันนักหนา ผมคิดในใจ

จากนั้นแม่บ้านก็พาผมไปดูห้องว่าง ห้องที่ผมดูอยู่ชั้นสี่ เป็นห้องที่อยู่ด้านหน้า ติดถนนซอย จึงมีหน้าต่างถึงสามบาน ถ้าเป็นห้องอื่นๆจะมีหน้าต่างเพียงสองบานตรงทางเดิน เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องก็มีตามมาตรฐานขั้นต่ำ คือ ตู้ โต๊ะ และเตียง ที่ผมชอบมากคือโต๊ะทำงาน เพราะเป็นโต๊ะที่หันหน้าเข้าหาหน้าต่าง สามารถมองเห็นทิวทัศน์นอกตึกได้ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ไม่มีเรียกเก็บน้ำไฟต่างหาก อีกห้องน้ำรวม สภาพห้องน้ำรวมก็ดูดี ใช้ได้ ห้องนี้เป็นห้องที่ถูกใจผมมาก



<รถ บขส. สีส้ม ไม่ติดแอร์ เปิดหน้าต่างรับลมโกรก แต่อากาศที่เข้ามาดูเหมือนจะไม่ช่วยบรรเทาความร้อนอบอ้าวภายในรถเท่าไร เพราะในรถค่อนข้างแออัด ประสบการณ์การเดินทางเข้ากรุงเทพฯเองเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เองที่ว่ารถหวานเย็นนั้นเป็นอย่างไร รถ บขส. ขับเร็ว แต่ทว่าจอดบ่อยมาก เดี๋ยวก็จอด เดี่ยวก็จอด เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็ผมรู้สึกว่ายืนจนเมื่อยแล้ว>

Saturday, September 19, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 21

หลังจากที่ผมตัดสินใจได้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง ความรู้สึกโล่งใจนั้นไม่ได้เกิดจากว่าเราตัดสินใจอย่างไรลงไป แต่เกิดขึ้นเนื่องจากการที่เราตัดสินใจลงไปเสียที ทำให้ความอึมครึมหมดไป

ในช่วงการสอบนั้น อาการท้องเสียและอาเจียนได้กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ได้ซาลงไปพักหนึ่ง แต่ครั้งนี้อาการไม่มากนัก มาหนักเอาวันสอบวันสุดท้าย

การสอบวันสุดท้ายเป็นไปอย่างทุลักทุเลเพราะอาการปวดท้องอยากถ่ายและอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน แม้ไม่รุนแรงจนถึงกับต้องนอนซม แต่ก็กดดันจนผมไม่มีสมาธิทำข้อสอบ โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้นี่มันทำให้ไม่อยากทำอะไรเลย ผมพยายามกัดฟันทำข้อสอบ ทำบ้าง มั่วบ้าง จนในที่สุดก็ทำข้อสอบจนหมดทุกวิชา

หลังจากที่ทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ก่อนลุกจากที่นั่ง ผมกวาดตามองไปรอบๆห้อง หลังจากวันนี้ไป ผมคงไม่มีโอกาสได้เรียนในห้องเรียนนี้อีก ผมอดหวนนึกถึงวันเวลาเก่าๆไม่ได้ โดยเฉพาะวันที่มีไอ้นัย นับแต่นี้ไปผมต้องละทิ้งอดีตที่นี่เพื่อไปเริ่มอนาคต ณ ที่แห่งใหม่...

ผมเดินไปหาตี๋ที่ห้อง เห็นตี๋ยังทำข้อสอบไม่เสร็จ ผมจึงนั่งรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง สายตาของผมเหม่อมองออกไปนอกตึก ผมพยายามเก็บความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่เอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“อู” เสียงคนเรียกพร้อมรู้สึกว่ามีมือตบที่ไหล่ของผมเบาๆ ตี๋นั่นเอง

“กูมาลามึงน่ะ” ผมบอก

“มีใครรู้บ้างล่ะ” ตี๋ถาม

ผมส่ายหัว “ไม่ได้บอกใคร มีแต่มึงที่รู้”

“นี่มึงไม่คิดจะลาเพื่อนๆบ้างเลยเหรอ” ตี๋ถาม

“อย่าดีกว่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง” ผมปฏิเสธ “หายตัวไปเงียบๆดีกว่า”

ผมคุยกับตี๋สักครู่ จากนั้นก็ขอตัวจากมา รู้สึกเหมือนกับมีน้ำตาคลอเบ้าแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ไม่ค่อยรู้สึกอยากร้องไห้เท่าไร มันเนือยๆ เฉื่อยๆ เบื่อๆ อย่างไรก็ไม่รู้ ความรู้สึกมันสับสนจนบอกไม่ถูก

วันสุดท้ายในโรงเรียนของผมแทบไม่มีอะไรพิเศษ ผมเพียงแค่ลาตี๋คนเดียวเท่านั้น แม้แต่ไอ้บอยผมก็ไม่ได้ไปหา

ในคืนนั้นผมรู้สึกนอนไม่หลับ เพราะมัวแต่คิดโน่นคิดนี่ ใจหนึ่งก็รู้สึกยินดีที่จะจากบ้านนี้ไป เพราะในระยะหลังผมรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน ทุกวันผมไม่อยากกลับบ้าน แต่ก็จำใจต้องกลับ มันเป็นความทรมานทางจิตใจที่ยากจะอธิบายออกมาได้ แต่ครั้นพอถึงเวลาที่จะจากไปจริงๆ ผมกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์บ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย คิดถึงวันเก่าๆ คิดถึงอดีตอันงดงามในช่วงที่ไอ้นัยยังอยู่... ท้ายที่สุดผมกลับรู้สึกว่าที่จริงบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร...

ผมนอนครุ่นคิดจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เดิมทีคิดว่าคงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนด้วยซ้ำเพราะความคิดมันวิ่งไปมาอยู่ในหัวยากที่จะสงบลงได้ แต่คงเป็นเพราะความอ่อนเพลียจากการอาเจียนและถ่ายท้องตลอดวันที่ผ่านมาที่ทำให้ผมหลับไปได้ในที่สุด

- - -

หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ ผมมีเวลาเก็บข้าวของที่บ้านคุณลุงคุณป้าสองวันก่อนที่พ่อจะมารับ

ผมไปซื้อกล่องกระดาษใบใหญ่ๆมาจากร้านขายของชำที่ปากซอยหลายใบ จากนั้นก็บรรจุเสื้อผ้าและข้าวของต่างๆลงในกล่อง เดิมทีผมคิดว่าของของผมมีไม่มากนัก แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับบรรจุจนเต็มกล่องกระดาษไปหลายใบ ที่จริงข้าวของบางส่วนเป็นสิ่งของของเอ๊ดที่ไม่ได้เอาไปเชียงใหม่ด้วยและพ่อก็ไม่ได้มาเอากลับไปเก็บที่บ้านเสียที มาคราวนี้ผมจึงต้องเก็บของทั้งหมดทั้งของผมและของเอ๊ด ยังดีที่เอาหนังสือส่วนหนึ่งไปให้ตี๋แล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องมีมากกว่านี้

ผมปลดโปสเตอร์เล็กๆรูปสาวน้อยมหัศจรรย์ของเอ๊ดลงจากข้างโต๊ะทำงาน โปสเตอร์ใบนี้เป็นของชิ้นสุดท้ายในห้อง หลังจากนั้น ทั้งห้องก็เกลี้ยงเกลาเรียบร้อยเหมือนกับไม่มีใครเคยอยู่มาก่อน...

น่าแปลกที่สองวันสุดท้ายที่บ้านคุณลุง ผมกลับไม่รู้สึกว่าเกร็งหรืออึดอัดกับการอยู่แต่ในบ้านแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์เสียด้วยซ้ำ ในยามกลางคืนอันเงียบสงบ ผมนั่งอยู่ในความมืดภายในห้อง หวนนึกทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา ผมกลับรู้สึกว่าที่จริงบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ผมมีโอกาสดีกว่าเด็กอีกหลายๆคนที่ไม่มีบ้านอยู่ และต้องยึดเอาพื้นคอนกรีตเป็นที่นอน แต่กว่าผมจะได้คิดก็สายเกินไปเสียแล้ว

ผมหวนนึกถึงเรื่องสั้นเรื่อง กลับบ้าน ในหนังสืออ่านนอกเวลาที่เคยอ่าน คนเรามักตระหนักถึงคุณค่าของคนหรือสิ่งที่อยู่กับเราก็ต่อเมื่อเราได้เสียมันไปแล้ว ที่ผมไม่สามารถอยู่ในบ้านหลังนี้ได้อีกต่อไปก็เพราะว่าผมทำตัวของผมเองแท้ๆ

- - -

เช้าวันเสาร์ พ่อมารับผมในตอนสาย เมื่อขนของขึ้นรถเสร็จเรียบร้อย ผมก็เข้าไปกราบลาคุณลุงคุณป้า จากนั้นก็เดินทางกลับ การร่ำลากินเวลาไม่นานนักแต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่ผมนึกไม่ถึง ผมอยากจะพูดเพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณลุงคุณป้าสำหรับเวลาที่ผ่านมา แต่ก็พูดไม่ออก ความรู้สึกในตอนนั้นมันตื้อไปหมด ส่วนคุณลุงคุณป้าเองก็ให้พรผม ทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับคุณลุงคุณป้าสลายคลายไปสิ้น เพราะจะอย่างไรทั้งหมดก็ล้วนผ่านไปเป็นอดีตไปหมดแล้ว

หลังจากที่ผมกลับมาอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด ใหม่ๆก็รู้สึกเคว้ง หลายปีมานี้ผมอยู่ในกรุงเทพฯจนชิน การกลับมาบ้านเป็นเพียงการกลับมาพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้น แต่สำหรับในครั้งนี้ การกลับมาของผมเป็นการกลับมาเพื่ออยู่อย่างถาวร หรืออย่างน้อยก็อีกหลายปี ความรู้สึกจึงแตกต่างกันออกไปมากทั้งๆที่เป็นบ้านหลังเดิมแท้ๆ

แม่ดูเหมือนจะดีใจที่ผมกลับมาเรียนต่อที่บ้าน ส่วนพ่อนั้นดูเฉยๆเนือยๆไป จนดูไม่ออกว่าพ่อคิดอย่างไร การกลับมาในครั้งนี้ผมสังเกตว่าพ่อเนือยไปมาก ไม่ค่อยกระฉับกระเฉงเหมือนเมื่อก่อน ดูเหมือนกับจะแก่ตัวลงไปด้วยซ้ำ ทำให้ผมก็รู้สึกผิดที่ก่อเรื่องวุ่นวายให้พ่อแม่ต้องหนักใจในครั้งนี้ รวมทั้งไม่ค่อยกล้าเข้าหน้าพ่อเท่าไร

อาการเคว้งเหมือนเสียศูนย์ของผมทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี วันๆจึงเอาแต่นั่งๆนอนๆฟังเพลงอยู่แต่ในบ้าน ใหม่ๆแม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่พอผ่านไปหลายวันเข้า แม่ก็แนะนำว่าผมไม่ควรเอาแต่นอนอยู่กับบ้าน แต่ผมฟังแล้วก็เฉยๆ

“อู ไม่ออกไปข้างนอกไปเล่นกับเพื่อนบ้างเหรอ” แม่พูดกับผมในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนอนฟังเพลงอยู่ในห้องชั้นบนของบ้าน

“ไม่ล่ะแม่ ขี้เกียจ” ผมตอบอย่างเนือยๆ

“อยู่แต่ในบ้านไม่อุดอู้บ้างหรือไง แม่จะเข้าเมือง ไปกับแม่ไหม หรือตามพ่อเค้าไปหาลูกค้าบ้างก็ได้” แม่แนะนำอีก

“ไม่อะแม่ อูขี้เกียจ” ผมตอบด้วยคำพูดเดิม

จนอีกหลายวันผ่านไป ราวต้นเดือนตุลาคม เอ๊ดก็กลับมาบ้านหลังจากสอบเสร็จ บรรยากาศที่บ้านดูสดชื่นขึ้นมากเพราะเป็นการกลับมาบ้านครั้งแรกหลังจากที่ไปเรียนที่เชียงใหม่และกลับมาในสภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ใช่นักเรียน ม.๖ อีกต่อไปแล้ว เอ๊ดจึงมีเรื่องเล่าต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องรับน้อง เรื่องเรียน เรื่องเที่ยว เนื่องจากเชียงใหม่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เอ๊ดดูมีความสุขกับชีวิตนักศึกษาที่นั่นมาก

“อู เป็นไงบ้าง” เอ๊ดทักทาย ไม่ได้เจอเอ๊ดเพียงไม่กี่เดือน รู้สึกว่าเอ๊ดโตขึ้นกว่าเดิม ชีวิตในมหาวิทยาลัยทำให้เอ๊ดเปลี่ยนไปมากพอสมควร

“ก็ดี” ผมตอบ

“ก็ดีแล้วทำไมทำหน้าเป็นตูด” เอ๊ดแหย่ จากนั้นก็พูดให้กำลังใจผม “เรียนที่นี่ก็ไม่แย่นักหรอกน่า โรงเรียนนี้ก็ใช้ได้ เรียนไปสักเทอมก่อน แล้วป๊าคงหาทางย้ายให้เข้าโรงเรียนประจำจังหวัด”

ผมรู้ว่าเอ๊ดปลอบใจผมไปยังงั้นเอง การเรียนในโรงเรียนในตัวเมืองก็ต้องพักในตัวเมือง ถ้าจะเรียนแบบไปกลับคงเดินทางไม่ไหว ก็ในเมื่อพ่อกับแม่อยากอยากให้ผมอยู่ที่บ้าน แล้วผมจะมีโอกาสเรียนในตัวจังหวัดได้อย่างไร

ตอนแรกที่เอ๊ดมา ผมฟังเรื่องเล่าต่างๆก็ดูจะสนุกอยู่ แต่พอหลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมกลับรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเบื่ออะไร แต่รู้ว่าเรื่องเล่าของเอ๊ดนั้นเสียดแทงใจผม เอ๊ดสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้ก็เพราะเอ๊ดตั้งใจเรียนและได้เรียนในโรงเรียนมัธยมที่วิชาการเข้มแข็ง ส่วนผมนั้นเล่า ในชีวิตคงไม่มีโอกาสแบบเอ๊ด... ไม่มีโอกาสใส่ชุดสักศึกษาเท่ๆ รวมทั้งคงไม่มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานแบบที่เอ๊ดเล่าให้ฟัง...

พ่อกับแม่ก็ตื่นเต้นยินดีกับการกลับมาของเอ๊ด คุยกับเอ๊ดอย่างมีรสชาติเกี่ยวกับชีวิตในมหาวิทยาลัย ส่วนผมนั้นเล่า พ่อกับแม่ก็แค่ทักทาย ไล่ให้ออกไปเล่นนอกบ้านบ้าง คุยเรื่องโรงเรียนบ้าง ในตอนหลังผมจึงไม่อยากฟังเรื่องเล่าของเอ๊ดเท่าไร เมื่อไรที่พ่อกับแม่คุยกับเอ๊ด ผมมักปลีกตัวออกมา โดยเฉพาะที่โต๊ะอาหาร พ่อกับแม่ไม่มีอะไรจะคุยก็คุยแต่เรื่องมหาวิทยาลัยของเอ๊ด จนผมรู้สึกเซ็ง รีบกินให้เสร็จๆแล้วก็ลุกออกจากโต๊ะ

- - -

วันหนึ่ง หลังจากที่เอ๊ดกลับบ้านมาได้ไม่กี่วัน พ่อก็พาผมกับเอ๊ดไปดูโรงเรียนใหม่ของผม

โรงเรียนใหม่ที่ว่านี้เป็นโรงเรียนเอกชนในอำเภอ แม้จะเป็นโรงเรียนใหม่ของผมแต่ที่จริงแล้วเป็นโรงเรียนเก่า เพราะว่าเปิดมานานแล้ว อาคารเรียนมีอยู่หลายหลัง สภาพค่อนข้างเก่า ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมจึงไม่รู้ว่าที่นี่มีนักเรียนมากขนาดไหน แต่พ่อบอกว่าพันกว่าคน แต่เมื่อเทียบกับโรงเรียนเอกชนที่ผมเคยเรียนตอนชั้นประถมในกรุงเทพฯแล้วก็ยังห่างกันลิบลับ

“นี่แหละ โรงเรียนใหม่ของอู ใหม่ๆอาจไม่คุ้น แต่พอต่อไปอูมีเพื่อน มีสังคมที่นี่ ก็จะคุ้นไปเอง” พ่อพูดแบบพูดเองเออเองเบ็ดเสร็จ สีหน้าของพ่อไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไร ผมจึงไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ดูสภาพของโรงเรียนแล้วก็อดถอนใจและคิดถึงโรงเรียนเก่าไม่ได้ และถ้าหูของผมไม่ฝาด ผมคิดว่าได้ยินเสียงเอ๊ดแอบถอนหายใจด้วยเช่นกัน

“วันนี้พามาดูสถานที่กับบรรยากาศก่อน แล้วสัปดาห์หน้าป๊าจะพามามอบตัวและลงทะเบียนเรียน” พ่อพูดต่อ

วันนั้น หลังจากกลับบ้าน ผมก็ขึ้นห้องทันที รู้สึกเบื่อๆ ไม่อยากทำอะไร

“อู เป็นไงบ้าง” เอ๊ดเดินเข้ามาในห้องนอน ตอนนั้นผมกำลังนอนฟังเพลงอยู่บนเตียง

“ก็ไม่เป็นไง” ผมตอบ

ช่วงหลายวันมานี้ เอ๊ดพยายามถามผมถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในบ้านคุณลุงคุณป้า ผมคิดว่าเอ๊ดคงรู้เรื่องแล้ว แต่เอ๊ดคงอยากฟังจากปากของผมเองว่าตั้งแต่เอ๊ดไม่อยู่นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ผมไม่อยากเล่า จึงแกล้งทำเฉยเสีย เอ๊ดรู้นิสัยของผมจึงไม่ซักไซ้รไล่เรียงอะไร แต่ผมดูออกว่าเอ๊ดรู้สึกไม่พอใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรเอ๊ดถามอะไรผมก็มักไม่เล่าอยู่เสมอมา

เอ๊ดเห็นผมไม่ตอบจึงหาหนังสืออ่านเล่นไปนั่งอ่านที่โต๊ะทำงาน แม้ผมจะไม่ค่อยชอบเล่าอะไรให้เอ๊ดฟัง แต่วันนั้นหลังจากที่ไปดูโรงเรียนใหม่แล้ว ผมรู้สึกอดไม่ได้ที่จะระบายให้ใครสักคนฟัง

“อูไม่อยากเรียนที่นี่เลย อยากเรียนในกรุงเทพฯ” ผมอดแสดงความรู้สึกออกมาไม่ได้ “คิดถึงโรงเรียนเก่าจัง”

“เอ๊ดก็ไม่รู้จะช่วยยังไง” เอ๊ดถอนหายใจ “มาถึงขั้นนี้แล้วอูคงต้องเรียนที่นี่ไปก่อน แล้วอีกหน่อยก็ค่อยคิดหาทาง”

“จะมาหาทางอะไรกันล่ะ ถ้าเรียนที่นี่ก็คงต้องจบ ม.๖ ที่นี่นั่นแหละ มันจะไปมีทางอะไรอีก” ผมพูดอย่างท้อแท้

“อูก็ทำตัวเองด้วยล่ะนะ” เอ๊ดพูดเบาๆ น้ำเสียงอ้อมแอ้ม เอ๊ดคงรู้สึกว่าไม่อยากซ้ำเติมผมแต่ก็อดพูดไม่ได้ “นิสัยอูยิ่งนานยิ่งแปลกขึ้นทุกวัน ถ้าอูไม่มีนิสัยแปลกๆพวกนี้ อูก็คงยังได้เรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ”

ที่เอ๊ดพูดก็ถูก แต่ผมไม่อยากฟัง จึงนอนหลับตาเสียดื้อๆอันเป็นการจบการสนทนา

- - -

“โอ๊ย ทำไมเข้านานจัง เมื่อไรจะเสร็จเสียที รอนานแล้วนะ” เสียงเอ๊ดเอะอะอยู่หน้าห้องน้ำ

“อูท้องไม่ดี ก็ไปเข้าห้องอื่นก่อนดิ” ผมตะโกนตอบออกไปจากในห้องน้ำ

“ก็ผ้าเช็ดตัวกับของใช้ของเอ๊ดอยู่ในนั้นหมดนี่ แล้วทำไมอูไม่ไปขี้ห้องอื่นล่ะ” เสียงเอ๊ดโวยอีก ท่าทางจะอารมณ์ไม่ดี “อะไรว้า เข้าส้วมทีหนึ่งตั้งชั่วโมงกว่า”

หลังจากวันที่ไปดูที่เรียนแห่งใหม่ของผมเป็นต้นมา ผมก็เริ่มซึม มีอาการท้องเสียและคลื่นไส้อาเจียนอีก วันหนึ่งเข้าห้องน้ำหลายหน และเข้าครั้งละนานๆ อาการเกิดขึ้นไม่แน่นอน มักเป็นตอนเช้ามืดและหลังกินอาหาร ประมาณตีสี่ก็ต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้ว อาหารแต่ละมื้อก็กินไม่ได้มาก เพราะถ้ากินมากจะอ้วกออกมาหมด

หลายวันผ่านไป อาการอ้วกและท้องเสียของผมก็หนักยิ่งขึ้น จนเช้าวันที่ผมต้องไปมอบตัวที่โรงเรียนใหม่ ผมท้องเสียและคลื่นไส้อย่างหนัก อ้วกออกมาจนแสบคอทั้งๆที่ยังไม่ได้กินอะไร

“ไปไหวไหมอู” แม่ถามด้วยความเป็นห่วง

ไม่อยากไปหรอกแม่ ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้ตอบออกไป เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมตัดสินใจที่จะกลับมาเรียนที่บ้านเองนี่ จะมางอแงก็คงไม่ได้

แม่เสนอพ่อขอให้เลื่อนไปมอบตัววันพรุ่งนี้ แต่แล้วในที่สุด ผมกับพ่อก็ถูลู่ถูกังไปมอบตัวจนได้ เพราะผมเห็นว่าประวิงเวลาไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำมันให้เสร็จๆไปเลยดีกว่า

- - -

หลังจากวันมอบตัวเป็นต้นมา อาการอ้วกและท้องเสียของผมก็ยังไม่หายไป เดิมทีผมก็ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว พอท้องเสียนี่ยิ่งไม่ต้องไปไหน เพราะว่าผมเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งนานมาก อีกทั้งอาการท้องเสียมาไม่แน่นอน ไม่อยากออกไปแล้วไปรุ่มร่ามข้างนอก ก็เลยอยู่นอนอยู่ที่บ้านทุกวัน

“เอ๊ะ ใครมากากบาทที่ปฏิทินเนี่ย” เอ๊ดพูดขึ้นลอยๆเมื่อสังเกตเห็นปฏิทินแขวนในห้องนอนมีรอยกากบาทด้วยหมึกแดงกาอยู่หลายรอย “อูกาไว้เหรอ”

ผมพยักหน้า

“กาทำไมน่ะ” เอ๊ดถาม

“จะได้รู้ว่าเหลืออีกกี่วันเปิดเทอมไง” ผมตอบเนือยๆ ระยะหลังนี่ผมคอยทำเครื่องหมายบนปฏิทินทุกวัน น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ายิ่งใกล้ถึงวันเปิดเทอมเท่าใด ผมก็ยิ่งเหมือนใกล้ถึงจุดจบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมพยายามปลอบใจตนเองมาตลอด พยายามคิดว่านี่เป็นผลที่ผมสมควรได้รับจากบาปกรรมที่ผมทำเอาไว้กับไอ้นัย นี่เป็นหนทางหนึ่งที่ผมพอจะชดเชยให้แก่ไอ้นัยได้บ้าง แต่ดูเหมือนกับว่ามันไม่ได้ช่วยอาการของผมเท่าใดนัก

แน่นอน ผมไม่สามารถปกปิดอาการเหล่านี้ได้เพราะว่าผมเข้าห้องน้ำแต่ละทีใช้เวลานานมาก ทั้งพ่อ แม่ และเอ๊ดต่างก็รู้ ที่พอจะปิดบังได้บ้างก็คืออาการอ้วก เพราะการอ้วกใช้เวลาไม่นาน บางทีก็ไม่มีใครรู้

“โอ๊ย ปวดหัวกับไอ้อูมันจริงๆ แม่ก็ใจอ่อน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่นั่นแหละ” เสียงพ่อเอะอะมาจากชั้นล่าง ตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้วแต่ผมนอนหลับไม่ค่อยสนิท เมื่อได้ยินเสียงดังจึงตื่นขึ้นมา

เอ๊ดก็ยังไม่ขึ้นมานอน ด้วยความสงสัย ผมจึงย่องออกจากห้องและไปยืนฟังอยู่หน้าห้อง เสียงคนคุยกันลอยขึ้นมาพอได้ยิน

“อ้าว ก็ดูลูกสิ ก่อนปิดเทอมว่าผอมลงไปเยอะ ตอนนี้ยังผอมยิ่งกว่าตอนนั้นอีก ใครจะไม่ห่วงล่ะ” ได้ยินเสียงแม่พูด “อีกหน่อยคงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก”

“ก็แล้วจะให้ทำไง อยู่โน่นก็อยู่ไม่ได้ อยู่นี่ก็อยู่ไม่ได้ แล้วต้องอยู่ที่ไหนถึงจะอยู่ได้ล่ะ” เสียงพ่อดูมีอารมณ์

“ถ้ามันจะแย่ทั้งคู่ ก็ให้ลูกอยู่กรุงเทพฯละกัน เพราะที่จริงอูก็ไม่ได้อยากมาเรียนที่นี่” เสียงแม่ใส่อารมณ์บ้าง

“เอ้า เอ๊ด ว่าไง ช่วยคิดหน่อย” พ่อพูด แสดงว่าเอ๊ดอยู่ในวงสนทนาด้วย

ผมไม่ได้ยินว่าเอ๊ดพูดอะไร เพราะพ่อกับแม่ใส่อารมณ์ เสียงจึงดัง ส่วนเอ๊ดนั้นพูดเสียงปกติ ผมจึงไม่ได้ยิน

“ก็ออกจากบ้านเค้ามาแล้ว จะให้ป๊าบากหน้าไปพูดอีกเหรอ ป๊าบากหน้าก็เรื่องหนึ่ง แต่มันเป็นไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ยังงั้นจะออกมาทำไม” พ่อพูด

ผมยืนแอบฟังอยู่นานๆ จับความได้ว่าทั้งพ่อ แม่ และเอ๊ด ต่างก็กำลังหนักใจกับอาการของผม และกำลังปรึกษากันว่าควรทำอย่างไรกับผมดี แม่ออกความเห็นให้ผมกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯอย่างเก่า และคาดว่าเอ๊ดสนับสนุนความคิดนี้ แต่พ่อไม่เอาด้วย เพราะเกรงว่าถ้าไม่ได้อยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของพ่อและแม่ ปัญหาสุขภาพจิตของผมอาจมีมากยิ่งขึ้น

ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมารำไร เพราะแม่กับเอ๊ดดูจะเข้าข้างผม แม้มันจะเป็นความหวังเพียงรำไร เพราะอำนาจการตัดสินใจในครอบครัวอยู่ที่พ่อ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้โลกอันมืดทึมของผมกลับมีสีสันขึ้นมา

นี่ถ้าผมพิสูจน์ได้ว่าการอยู่กรุงเทพฯเป็นผลดีกับผมมากกว่าอยู่ที่นี่ พ่ออาจยอมเปลี่ยนใจ แต่ผมจะทำอย่างไรพ่อจึงจะเชื่อ?

เมื่อผมกลับมามีความหวังอีกครั้ง สมองอันซึมเซาของผมก็เริ่มทำงานทันที

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเข้าห้องน้ำ เพราะช่วงหลังผมมักท้องเสียในตอนเช้ามืด แม้วันนั้นผมยังไม่มีอาการ แต่ผมก็พยายามจะเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในตอนกลางวัน

ยังไงของมันวะ วันนี้พอจะรีบดันไม่ปวดท้อง ผมบ่นอยู่ในใจ รู้สึกแปลกใจที่ไม่มีทั้งอาการปวดท้องและอาการคลื่นไส้

ราว ๗ โมงเช้า ก่อนที่เอ๊ดจะตื่นด้วยซ้ำ ผมก็แต่งตัวเพื่อออกจากบ้าน

“อูจะไปไหนน่ะ” แม่ทักเมื่อเห็นผมใส่เสื้อยืดและกางเกงยีนขายาว รองเท้าผ้าใบ แต่งตัวเหมือนกับจะออกไปเที่ยว

“อยู่บ้านเบื่อน่ะแม่ ว่าจะออกไปหาเพื่อนๆหน่อย เย็นๆอูค่อยเข้าบ้าน” ผมตอบ

“เออ ดีๆ ไปเถอะ ออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกบ้าง” แม่พูดเหมือนกับจะดีใจที่เห็นผมยอมออกจากบ้านบ้าง

เมื่อออกจากบ้าน ผมนั่งรถสองแถว จากนั้นนั่งรถประจำทาง มุ่งหน้าไปยังท่ารถของอำเภอทันที


<โต๊ะทำงานในห้องนอนที่บ้านคุณลุง โต๊ะทำงานตัวนี้เดิมเป็นโต๊ะของเอ๊ด แต่หลังจากที่เอ๊ดย้ายออกไปก็ถูกน้องชายยึดเอาไปใช้ โต๊ะตัวนี้ผมชอบเพราะว่าตั้งหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง ยามกลางคืนเมื่อปิดไฟในห้องนอนสามารถมองเห็นบรรยากาศนอกบ้านในยามค่ำคืนได้ ที่ตู้ข้างๆโต๊ะมีโปสเตอร์ใบหนึ่งติดอยู่ เป็นดาราคนโปรดของเอ๊ดสมัยเอ๊ดยังเรียนมัธยมต้น มาจากหนังซีรีส์ทางทีวีเรื่องสาวน้อยมหัศจรรย์ (Wonder Woman) สร้างจากการ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโร นำแสดงโดยลินดา คาร์เตอร์ (Lynda Carter) ฉายประมาณปี ๒๕๑๘-๒๕๒๒ ทางทีสีช่อง ๓ ไม่รู้ว่าเอ๊ดไปได้โปสเตอร์มาจากไหนเหมือนกัน เมื่อเอ๊ดย้ายไปแล้วผมก็ไม่ได้ปลดออก เพราะรู้สึกชอบด้วยเหมือนกัน ผมชอบที่โครงหน้าสวยและดวงตาสีฟ้ามีเสน่ห์>


<ลินดา คาร์เตอร์ในอดีตและปัจจุบัน>

Sunday, September 13, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 20

คืนนั้น หลังจากที่ได้คุยกับแม่ ผมก็นอนไม่หลับ ดึกแล้วผมยังก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานท่ามกลางความมืด ดวงไฟในห้องไม่ได้เปิด สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

ผมครุ่นคิดอย่างหนัก ผมคงต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ทางเลือกของผมมีไม่มากนัก ถ้าผมไม่ยอมกลับไปเรียนที่บ้าน ผมก็คงต้องหนีออกจากบ้านไปเผชิญโลกตามลำพัง อายุแค่นี้ทำอะไรก็ไม่เป็น ทำเป็นอยู่สองอย่างคือเรียนหนังสือกับขอเงินพ่อแม่ใช้ ถ้าอยู่ข้างนอกตามลำพังก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกิน และถึงทำงานได้ก็คงต้องทำงานจนไม่ได้เรียนหนังสืออยู่ดี นึกไม่ออกว่าจะมีช่องทางเรียนจนเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างไร

แต่ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือผมคงมีชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่ต้องถูกพ่อแม่บังคับใจอย่างที่เป็นอยู่นี้ อิสรภาพที่รออยู่ข้างหน้ามันช่างหอมหวนแม้ว่าผมจะยังไม่รู้จักมันดีนักก็ตาม และถ้าผมยังอยู่แถวนี้ ผมก็ยังมีโอกาสพบไอ้นัยได้อีกด้วย

ถ้าผมกลับไปเรียนที่บ้าน โอกาสเข้ามหาวิทยาลัยดีๆก็คงแทบไม่มีเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะมีโอกาสมากกว่าการหนีออกจากบ้าน ข้อเสียอย่างอื่นก็คือการกลับไปเรียนที่บ้านในลักษณะนี้เป็นเรื่องเสียหน้ามาก ผมคงต้องอับอายทั้งเพื่อนที่โรงเรียนเดิมและเพื่อนที่โรงเรียนใหม่ เพราะมันเหมือนกับเด็กที่ล้มเหลว สภาพจิตเสีย จนต้องซมซานกลับบ้าน รวมทั้งผมคงไม่มีโอกาสเจอไอ้นัยอีก

และที่ผมยอมรับไม่ได้ก็คือการที่พ่อแม่จัดการเส้นทางชีวิตของผมโดยไม่ถามผมเลย ผมน่าจะมีสิทธิเลือกเส้นทางเดินในชีวิตของผมเองได้บ้าง

หลายๆความคิดวิ่งวนเวียนอยู่ในสมอง คิดอยู่เป็นนานก็ยังคิดไม่ตก แต่ดูเหมือนว่าผมเอียงไปในทางที่จะหนีออกจากบ้านมากกว่า เพียงแต่ยังติดขัดอยู่ที่ว่าหลังจากหนีออกจากบ้านแล้วยังไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร

พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้สอบปลายภาคแล้ว นอกจากการดูหนังสือเตรียมสอบแล้วยังเป็นช่วงที่ต้องส่งงานต่างๆทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่มที่ค้างอยู่ให้หมดด้วย ดังนั้นเมื่อมีเรื่องเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจ จึงทำให้ผมสับสนและเครียดมากยิ่งขึ้น หนักเข้าก็รู้สึกหดหู่และทิ้งหมดทุกอย่าง ทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่มก็ส่งไปแบบชุ่ยๆ หนังสือเตรียมสอบก็ดูแบบพลิกผ่านๆ

“ไอ้อู ทำไมมึงเขียนมาแค่นี้เองวะ” ยูร เพื่อนที่นั่งข้างหน้าผมและทำงานกลุ่มเดียวกันในวิชาสังคมเอ่ยปากต่อว่าผมในการประชุมกลุ่มในช่วงหลังเลิกเรียนในวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันนัดประชุมกลุ่มเพื่อเตรียมส่งงานหลังจากที่ได้รวบรวมงานที่แต่ละคนรับผิดชอบมาแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อน

“นั่นดิ เขียนมั่วอีกต่างหาก” เพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนสนับสนุน

“ไอ้ห่าอูแม่งโคตรกินแรงเพื่อนเลย ส่งไปทั้งยังงี้ก็เสียคะแนนกันหมดทั้งกลุ่ม มึงขี้เกียจคนเดียวแต่เน่ากันหมด” อีกคนช่วยซ้ำ

งานในวิชาสังคมนี้เป็นกลุ่มที่ผมไม่สนิทนัก ที่สนิทก็มีแค่ยูรคนเดียว หลังจากที่เพื่อนในกลุ่มช่วยกันรุมประณามผม ทั้งหมดก็แบ่งช่วยกันเขียนส่วนของผมขึ้นมาใหม่โดยไม่ยอมให้ผมเอากลับไปแก้ไขเพราะไม่ไว้ใจ เนื่องจากเวลาจวนตัวมากแล้ว

ตอนเย็นวันนั้น ผมเดินออกจากโรงเรียนด้วยความรู้สึกที่สับสน ทั้งอับอาย ทั้งมึน ทั้งรู้สึกผิด และทั้งรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ขนาดเพื่อนๆยังทนความห่วยของผมไม่ไหว ผมช่างไม่มีค่าอะไรเลย อยู่ที่ไหนก็มีแต่ทำให้ที่นั่นเดือดเนื้อร้อนใจ เข้ากลุ่มก็ขี้เกียจจนทำให้กลุ่มเดือดร้อน อยู่บ้านคุณลุงคุณป้าก็ทำให้บ้านวุ่นวาย

วูบหนึ่งของความคิด ผมอดนึกถึงเรื่องเก่าไม่ได้ ถ้าไอ้นัยไม่คบกับผม มันก็อาจไม่ต้องกลายเป็นเกย์และมีชีวิตวัยรุ่นที่หักเหขนาดนี้... ทุกข์ของไอ้นัยทั้งหมดมันก็เกิดจากผมอีกนั่นแหละ

ช่างมันเถอะ จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต ความคิดอีกด้านหนึ่งวูบขึ้นมาเพื่อปลอบใจตนเอง

ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงลานหน้าสะพานพุทธ จากนั้นเดินลอดอุโมงค์หรือว่าทางลอดสั้นๆระยะทางเพียงแค่ไม่กี่เมตรที่เชื่อมลานกว้างด้านหน้ากับส่วนใต้สะพานที่เป็นท่ารถเมล์ ผมต้องเดินลอดอุโมงค์นั้นทุกวันทั้งขาไปและขากลับ

ในช่วงที่ผมเรียนชั้นมัธยมอยู่นั้น ปกติในอุโมงค์จะมีคนมาอาศัยกินอยู่หลับนอน เพราะเห็นมีเครื่องครัวและเครื่องนอนกองอยู่ คนที่อาศัยอยู่ในอุโมงค์น่าจะเป็นพวกคนไร้บ้าน เพราะถ้ามีบ้านอยู่ก็คงไม่มาอยู่ในอุโมงค์นี้ และคิดว่าน่าจะอยู่กันเป็นครอบครัวเพราะว่ามีเด็กๆด้วย อาชีพของคนพวกนี้คือร้อยพวงมาลัยกับรับจ้างเข็นผักในตลาด

ผมเดินทอดน่องช้าๆผ่านอุโมงค์ไปด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย เสียงเพื่อนๆที่รุมประณามผมยังดังก้องอยู่ในสองหู ใบหน้าที่ชอบตีหน้าตายของไอ้นัยลอยอยู่ในห้วงความคิด ผมรู้สึกคิดถึงไอ้นัยมาก ถ้ามันอยู่ด้วย มันคงเป็นที่ปรึกษาให้ผมได้เป็นอย่างดี

ปกติผมไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับครอบครัวในอุโมงค์นักเพราะเดินผ่านอยู่ทุกวัน เห็นจนชินตา ตอนเช้าผมจะเห็นคนเหล่านี้นอนคลุมโปงยังไม่ตื่น พอตอนเย็นผมก็จะเห็นคนเหล่านี้บางทีก็อยู่ร้อยพวงมาลัย บางทีก็เห็นแต่เด็กๆ ไม่เห็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยแน่นอน

แต่เย็นวันนั้น ผมกลับให้ความสนใจกับครอบครัวในอุโมงค์เป็นพิเศษ ผมเห็นเด็กสามคนนอนหลับอยู่บนพื้นซีเมนต์ ใต้หัวมีหมอนเก่าๆหนุนอยู่ สองคนเป็นเด็กเล็ก อายุประมาณ ๓-๖ ขวบ ส่วนอีกคนโตหน่อย น่าจะอายุประมาณ ๑๐-๑๒ ปี

ทั้งสามคนนอนหลับสนิท เด็กเล็กสองคนนอนกอดกัน ส่วนเด็กที่โตที่สุดนอนแยกต่างหากห่างออกไปเล็กน้อย ทั้งใบหน้าและเนื้อตัวของเด็กทั้งสามคนมอมแมม ในใจผมเกิดคำถามขึ้นมา เช่น เด็กเหล่านี้อาบน้ำอย่างไร ได้แปรงฟันหรือไม่ กินอยู่อย่างไร ไปโรงเรียนหรือไม่ ฯลฯ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสงสัยมาก่อนเลย

ในตอนนั้นการศึกษาภาคบังคับมีเพียง ๖ ปี คือบังคับเพียงแค่เรียนจบชั้น ป.๖ แต่ดูจากสภาพแล้วเด็กคนโตแม้ ป.๖ ก็อาจเรียนไม่ถึง เพราะหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเห็นเด็กในอุโมงค์นี้ใส่ชุดนักเรียนสักที เสื้อผ้าที่กองและแขวนอยู่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีชุดนักเรียน จึงคิดว่าเด็กเหล่านี้ไม่ได้เรียนหนังสือเสียมากกว่า

ในย่านใจกลางกรุงเทพฯอันเป็นเมืองหลวงแท้ๆแต่ก็ยังมีเด็กที่ไม่มีโอกาสเรียนหนังสืออยู่... ในขณะที่ผมและเพื่อนๆแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนสวยๆ เดินผ่านหน้าเด็กเหล่านี้ไปทุกวัน เด็กเหล่านี้จะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ

ภาพชีวิตของเด็กใต้สะพานพุทธที่ผมประสบทำให้อารมณ์ที่หดหู่ของผมต้องหดหู่หนักยิ่งขึ้น ความรู้สึกอยากหนีออกจากบ้านหมดสิ้นไป ถ้าผมแข็งขืนดิ้นรนและหนีออกจากบ้านไป ผมคงสร้างความเดือดร้อนให้ใครต่อใครอีกมากมาย แม้ผมจะไปอยู่โรงเรียนต่างจังหวัดแต่ก็ยังถือว่ามีที่เล่าเรียน ยังดีกว่าเด็กเหล่านี้มากมาย เด็กเหล่านี้แม้อาศัยอยู่ใกล้โรงเรียนมัธยมชื่อดัง แต่ก็ทำได้เพียงแค่เกาะรั้วมอง และก้มหน้าร้อยพวงมาลัยเลี้ยงชีพ ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน...

- - -

“แม่ นี่อูเองฮะ” ผมพูดลงไปในโทรศัพท์ หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน คืนนั้นก็ผมโทรศัพท์ไปหาแม่

“เป็นไงบ้างอู” แม่ถามด้วยความห่วงใยกังวล

“อูจะกลับไปเรียนที่บ้านนะแม่” ผมพูดสั้นๆ จากนั้นก็รู้สึกจุกที่ลำคอจนพูดอะไรไม่ออก แม้ผมจะยินยอมกลับไปเรียนที่บ้านเองก็ตาม แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะทำใจได้แต่ก็ต้องกล้ำกลืน

“จริงเหรออู” น้ำเสียงของแม่แสดงความดีใจจนรู้สึกได้ชัด “ดีใจที่อูยอมกลับมาเรียนที่นี่ ป๊ากับแม่จะได้หมดห่วง มาอยู่ใกล้พ่อแม่ดีกว่านะลูก”

แม่เล่าให้ฟังย่อๆว่าพ่อไปคุยกับโรงเรียนเอกชนในตัวอำเภอเอาไว้ เพราะการเข้าโรงเรียนรัฐบาลแบบกลางคันค่อนข้างยุ่งยาก สู้ไปเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนจะง่ายกว่า เมื่อจบ ม.๔ แล้วค่อยว่ากันอีกที ส่วนผมตอนนั้นไม่สนใจอะไรแล้ว จะให้เรียนที่ไหนก็เรียน

คิดๆไปก็เหมือนชีวิตกำลังเล่นตลกกับผม ชะตาของผมกับไอ้นัยกลับมีส่วนคล้ายคลึงกัน ทั้งผมและไอ้นัยต่างก็ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ไอ้นัยถูกส่งไปเรียนเมืองนอก ส่วนผมถูกส่งไปเรียนนอกเมือง... ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้ามันเกิดจากผลกรรมที่ผมทำไว้กับไอ้นัย ผมก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้ ผมคงรู้สึกดีขึ้นถ้าได้ชดเชยอะไรให้แก่ไอ้นัยมันได้บ้าง

- - -

ยิ่งใกล้สอบปลายภาคเท่าไร ผมก็รู้สึกเหมือนกับคนที่ใกล้ถึงลานประหาร ตลอดทั้งเทอมผมเองก็ไม่แน่ใจว่าผมเรียนรู้อะไรมาได้บ้าง ที่จริงรู้สึกเหมือนกับไม่ได้เรียนเลยด้วยซ้ำ เพราะจำอะไรไม่ค่อยได้เลย และนอกจากนี้ เมื่อสอบเสร็จ ผมก็ต้องย้ายออกจากกรุงเทพฯ... โดยที่คงไม่ได้กลับอีกหลายปีทีเดียว

ใจหนึ่งผมก็อยากลาเพื่อนๆ แต่มาคิดอีกที เพื่อนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยสนิทนัก การร่ำลาเพื่อนเพื่อไปเรียนต่อต่างจังหวัดนี่มันดูแปลกๆ ทุกคนคงต้องถามและคงต้องอธิบายกันยาว ผมอยากให้คนรู้เรื่องของผมน้อยที่สุด

คิดไปคิดมาก็เหลือคนที่จะร่ำลาอยู่เพียงคนเดียว นั่นคือตี๋ เพื่อนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่ ม.๑ ตี๋เป็นคนไม่ซักไซร้ ไม่ชอบสืบสาว อีกคนหนึ่งที่สนิทกับผมคืออ๊อด แต่ตอนนั้นทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าผมตัดสินใจที่จะไม่ไปร่ำลาอ๊อด

ก่อนวันปลายภาคสอบสองสามวัน ผมแวะไปหาตี๋ตอนพักเที่ยง

“ตี๋ เราไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วยกันนานแล้วนะ ไปกินด้วยกันหน่อยดิ” ผมเอ่ยปากชวน

“ไปสิ สงสัยวันนี้ฝนตกหนักแน่ อยู่ดีๆมึงมาชวนกูกินข้าวถึงที่ห้อง” ตี๋ตอบรับคำชวนอย่างง่ายดาย แต่ไม่วายแซวผม

ปีนี้ตี๋มีเพื่อนมากขึ้น เวลาผ่านไปนานจนไม่มีใครสนใจที่จะรื้อฟื้นเรื่องของตี๋อีก ทำให้มันดูแจ่มใสกว่าเดิมมาก

“ไอ้นัยเป็นไงบ้าง” ตี๋พูดขึ้น เจอกันทีไรมันก็อดถามถึงไอ้นัยไม่ได้

“คงสบายดีมั้ง” ผมตอบแบบคลุมเครือ “ย้ายโรงเรียนน่ะ ตอนนี้ขาดการติดต่อกัน”

“เออ แปลกดีแฮะ” ตี๋พูด แล้วก็ไม่พูดอะไรต่ออีก ตี๋ดีแบบนี้เอง ไม่ซักไซร้ให้มากความ

“ตี๋ กูจะไปแล้วนะ” ผมเริ่มเข้าเรื่อง

“ไปไหนวะ” ตี๋ถามด้วยสีหน้างุนงง

“กูจะย้ายโรงเรียนแล้วนะ... กลับไปเรียนที่บ้านต่างจังหวัด” ผมตอบ

“งงโว้ย” ตี๋พูด “ทำไมต้องทำยังงั้นล่ะ”

“แบบว่า เอ้อ... บ้านที่กูอาศัยเค้าอยู่นี่น่ะ เดี๋ยวนี้ไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อนแล้ว พ่อกับแม่ก็เลยอยากให้กูกลับไปเรียนแถวๆบ้าน” ผมพยายามอธิบายให้สั้นที่สุด แม้ผมกับตี๋จะไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน แต่ปกติเราก็ไม่ได้ปรับทุกข์อะไรกัน

“ไม่สะดวกก็ไปอยู่หอพักสิ” ตี๋พูด “นักเรียนมาจากต่างจังหวัดมาอยู่หอพักกันเยอะแยะ กูก็เห็นอยู่กันได้ ไม่เห็นต้องมีครอบครัวให้อยู่เลย อิสระดีด้วย”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ที่จริงผมก็พอรู้ว่าเมื่อนักเรียนจากต่างจังหวัดมาเรียนในกรุงเทพฯโดยไม่มีญาติให้พักอาศัยก็ต้องเช่าหอพักอยู่ แต่ในหมู่เพื่อนๆของผมไม่มีใครอยู่หอพักสักคน ก็เลยลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป

“ก็... ที่จริงมันก็มีปัญหาอย่างอื่นด้วยแหละ” ผมพูด “ก็คงกลับไปอยู่บ้านดีกว่า”

ตี๋พยักหน้าเหมือนกับจะรู้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังความนัยที่ผมไม่ต้องการเล่าอยู่

“ไปเถอะ มึงไปไม่นานหรอก อีกหน่อยก็ได้กลับมาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯอีก” ตี๋พยายามพูดปลอบใจ

“ไม่รู้สิ ไม่รู้จะเอนท์ติดหรือเปล่า เดี่ยวนี้กูเรียนตกลงไปเยอะ แค่สอบผ่านทุกวิชายังไม่รู้จะทำได้หรือเปล่าเลย” ผมพูดตามตรง

ตี๋ตบไหล่ของผมเบาๆ

“แต่ก่อนมึงเรียนเก่งกว่ากูนะไอ้อู ผลการเรียนของมึงไม่ดีไม่ใช่เพราะมึงโง่ แต่เพราะมึงมีปัญหาอย่างอื่น” ตี๋พูด ผมฟังแล้วถึงกับอึ้ง ตี๋คงรู้เห็นอะไรเยอะ แต่มันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาโดยตลอด

“คิดถึงที่นี่ว่ะ” ผมสารภาพความในใจออกมา

“อีกหน่อยทุกคนก็ต้องไปจากที่นี่หมดนั่นแหละ มึงแค่ไปก่อนนิดหน่อย ไม่แน่ปีหน้ากูก็อาจจะไปจากที่นี่เหมือนกัน” ตี๋พูด

“มึงจะไปไหนเหรอ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“กูคิดว่าจะสอบเทียบแล้วก็เอนทรานซ์ปีหน้า” ตี๋พูด “เรียนจบมัธยมเร็วก็ประหยัดเงินได้อีกหน่อย อยู่มหาวิทยาลัยยังต้องใช้เงินอีกเยอะ แถมจบมหาลัยเร็วก็ทำงานหาเงินได้เร็วอีกด้วยว่ะ”

ผมอดทึ่งในความคิดของตี๋ไม่ได้ ตี๋มีการคิดอ่านและวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ต่างจากผมลิบลับ ความยากจนเป็นแรงผลักดันให้ตี๋มุมานะ ส่วนผมนั้นกลับเหลวไหลไปวันๆ ที่จริงผมก็เคยมีความฝันและมีความมุ่งมั่นเหมือนกัน แต่นั่นมันเมื่อนานมาแล้ว...

“แล้วมึงไปกวดวิชาที่ไหนบ้างล่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“จะเอาเงินที่ไหนไปกวดวะ ค่ากินค่าอยู่ยังจะเอาไม่รอดเลย” ตี๋สายหัว สีหน้าสลดลงไป ตี๋ก็ยังเป็นตี๋คนเดิมเหมือนที่ผมเคยรู้จักตอน ม.๑ มันไม่เคยอายที่จะพูดถึงความยากจนของมันกับผม “แต่ตอนนี้ทยอยซื้อหนังสือติวมาดูบ้างแล้วล่ะ ซื้อได้แค่เทอมละนิดละหน่อย ตังค์เก็บไม่ค่อยมี”

- - -

คืนวันนั้น ผมรื้อค้นหนังสือกวดวิชาคณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา สามัญ 1 และภาษาอังกฤษ ทั้งสามปี ม.๔ ถึง ม.๖ แถมด้วยหนังสือติวความถนัดทางวิศวกรรม รวมแล้วประมาณยี่สิบเล่ม ออกมาจากกล่อง ทั้งหมดนี้ป็นสมบัติของเอ๊ดที่ตกทอดให้แก่ผม หลังจากที่เอ๊ดสอบเอนทรานซ์ได้แล้วก็ยกหนังสือเหล่านี้ให้แก่ผม เพื่อว่าผมจะได้ไม่ต้องไปซื้อใหม่

ผมเอาหนังสือยัดใส่เป้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก็ได้ประมาณ ๕-๖ เล่ม จากนั้นก็หอบไปโรงเรียนด้วยในวันรุ่งขึ้น เมื่อไปถึงโรงเรียนก็ไปเรียกตี๋ที่หน้าห้อง

“นี่ หนังสือติวของพี่กู กูยกให้มึง” ผมพูดดื้อๆ พลางยัดถุงใส่หนังสือใส่มือตี๋ “ยังไม่หมด มันเยอะ จะทยอยเอามาอีก สองสามวันก็คงหมด มีครบทุกวิชาเลย”

ตี๋ยัดถุงหนังสือคืนใส่มือผมทันที

“มึงเอาไว้ดูเถอะ มึงก็ต้องใช้ อีกหน่อยจะเอาที่ไหนดู” ตี๋พูด “กูซื้อเองได้ ไม่เป็นไร”

“เฮ้ย ฟังกูก่อนสิ กูขี้เกียจว่ะ เรียนไปวันๆ ไม่ได้คิดจะเอนทรานซ์ปีหน้า มึงเอาไปดูก่อนก็ได้ ใช้เสร็จแล้วค่อยคืนกูยังทันถมเถ” ผมพูด

สงสัยว่าเหตุผลของผมคงไม่ค่อยเข้าท่า เพราะตี๋ฟังแล้วก็ยังไม่ยอมรับ

“กูซื้อเองได้ ที่กูเล่าให้มึงฟังไม่ได้จะขอมึงโว้ย” ตี๋พูดย้ำอีก

“ไอ้ตี๋” ผมมองหน้ามัน “กูก็ไม่ได้คิดว่ามึงจะขอกู แต่เป็นเพราะว่ามันอยู่กับกูก็ไม่มีประโยชน์ กูไม่ได้คิดจะเอนท์ปีหน้า แล้วมึงดูกูดิ ขี้เกียจจะตายห่า กูเรียนมหาลัยเปิดเอาดีกว่า เป้าหมายของกูไม่เหมือนกับของมึง มึงเอาไปใช้ประโยชน์ดีกว่า”

“นี่มึงเซ็งชีวิตขนาดนี้เลยเหรอ” ตี๋ถามอย่างแปลกใจ

ในที่สุด หลังจากกล่อมอยู่ชั่วครู่ ตี๋ก็ยอมรับไมตรีของผม ผมบอกตี๋ว่าจะเอาที่เหลือมาให้จนหมดก่อนวันสอบ เผื่อว่าจะไม่ได้เจอกันอีก

หลังจากเสร็จธุระจากตี๋ ผมก็ตรงไปที่ตึก ม.๒ ทันที

“เฮ้ ไอ้บอย ออกมานี่หน่อย” ผมไปยืนเรียกอยู่หน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง

สักครู่เดียว ร่างกะทัดรัดของไอ้น้องบอยก็ออกมานอกห้อง

“โห พี่อู วันนี้มาหาบอยถึงห้องเลย จะพาไปเลี้ยงเหรอ” บอยทักอย่างร่าเริง

“เลี้ยงด้วยแข้งเอามั้ย” ผมตอบ “เลี้ยงอะไรกันทุกวัน”

บอยยิ้มระรื่น ทำหน้าทะเล้น

“ไม่ต้องเลี้ยงทุกวันหรอกฮะ วันเว้นวันก็ได้”

“นี่ๆ พี่มีเรื่องจะคุยกับเอ็ง” ผมวกเข้าเรื่อง

“อะไรอะ” คราวนี้บอยทำสีหน้าตื่นเต้น ดูมันกระตือรือร้นและอยากรู้

“พี่จะขอเบอร์โทรศัพท์เอ็งน่ะ เผื่อปิดเทอมจะได้โทรคุยกันไง” ผมพูด พลางหยิบกระดาษและปากกาออกจากประเป๋าเสื้อเพื่อเตรียมจด

“โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร” บอยหัวเราะ “พี่อูอย่าคุยอย่างเดียว ชวนบอยออกไปกินด้วย ไปกินที่สยามสแควร์ก็ดี บอยอยากไปเที่ยวด้วย”

มือที่จับปากกาของผมยกค้าง สยามสแควร์เหรอ ใช่สินะ ไอ้นัยก็ชอบเดินเล่นและซื้อของกินที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดนัท...

ผมไม่อยากชวนบอยไปกินขนมตอนเย็นอีก เพราะไม่อยากเล่าเรื่องที่ผมจะกลับบ้านให้มันฟังในตอนนี้ผมเพียงแค่อยากได้เบอร์โทรศัพท์ของมัน เผื่อว่าวันไหนเหงาๆอาจโทรไปคุยกับมันบ้าง เอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยบอกเล่าเรื่องราวให้มันฟัง

หลังจากที่ผมสะสางเรื่องราวส่วนตัวเล็กน้อยๆแล้ว ในที่สุดก็ถึงวันสอบปลายภาค น่าแปลกที่ผมทำข้อสอบด้วยความรู้สึกที่เฉยชา ไม่รู้สึกยินดียินร้าย มันคล้ายกับว่าหัวใจและความรู้สึกด้านชาไปหมด เพราะอีกเพียงสองสามวันเท่านั้น เมื่อสอบเสร็จผมก็จะต้องย้ายกลับบ้านแล้ว...



<ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงลานหน้าสะพานพุทธ จากนั้นเดินลอดอุโมงค์สั้นๆที่เชื่อมลานกว้างด้านหน้ากับส่วนใต้สะพานที่เป็นท่ารถเมล์ ผมต้องเดินลอดอุโมงค์นั้นทุกวันทั้งขาไปและขากลับ ในช่วงที่ผมเรียนชั้นมัธยมอยู่นั้น ปกติในอุโมงค์จะมีคนมาอาศัยกินอยู่หลับนอน เพราะเห็นมีเครื่องครัวและเครื่องนอนกองอยู่ คนที่อาศัยอยู่ในอุโมงค์น่าจะเป็นพวกคนไร้บ้าน เพราะถ้ามีบ้านอยู่ก็คงไม่มาอยู่ในอุโมงค์ และน่าจะอยู่กันเป็นครอบครัวเพราะว่ามีเด็กๆด้วย อาชีพของคนพวกนี้คือร้อยพวงมาลัยกับรับจ้างเข็นผักในตลาด แต่เย็นวันนั้น ผมกลับให้ความสนใจกับครอบครัวในอุโมงค์เป็นพิเศษ ผมเห็นเด็กสามคนนอนหลับอยู่บนพื้นซีเมนต์ ใต้หัวมีหมอนเก่าๆหนุนอยู่ สองคนเป็นเด็กเล็ก อายุประมาณ ๓-๖ ขวบ ส่วนอีกคนโตหน่อย น่าจะอายุประมาณ ๑๐-๑๒ ปี>

Sunday, September 6, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 19

หลังจากการคุยกับแม่ในคืนวันนั้นทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวในครอบครัวมากยิ่งขึ้น บางเรื่องถึงผมรู้แต่ก็ไม่ได้ตระหนักอย่างแท้จริง อย่างเช่นเรื่องที่ทางบ้านต้องเสียหายไปกับราชาเงินทุนและแชร์น้ำมันนั้น ผมไม่ได้เป็นทุกข์อะไรกับมันมากนัก เพราะตอนนั้นไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเงินทองของครอบครัวเลย ผมได้เบี้ยเลี้ยงรายเดือน ก็ดูแลแค่เรื่องในส่วนของตนเอง เมื่อกลับไปที่บ้านตอนปิดเทอมก็ไม่เห็นว่าที่บ้านมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร มารู้เอาตอนโตว่าฐานะการเงินของทางบ้านต้องเสียหายไปกับราชาเงินทุนและแชร์น้ำมันมากเพียงใด แต่โชคยังดีที่กิจการค้าของพ่อตอนนั้นไปได้ดีพอควร เรื่องเงินสดหมุนเวียนจึงไม่ได้รับผลกระทบ ที่เสียหายก็คือส่วนของเงินออม

ผมก็ไม่รู้ว่าพ่อคิดถูกหรือผิดที่จะเอาผมกลับไปเรียนที่บ้าน รวมทั้งไม่รู้ว่าแม่คิดถูกหรือผิดที่เล่าเรื่องเบื้องหลังของพ่อกับคุณลุงคุณป้าให้ผมฟัง แต่ที่แน่ๆก็คือหลังจากที่ผมฟังเรื่องดังกล่าวแล้ว ทัศนคติที่ผมมีต่อคุณลุงคุณป้าดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไป เมื่อคุณลุงคุณป้าอยู่เฉยๆผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทั้งสองกำลังเย็นชาต่อผม แต่เมื่อทั้งสองพูดคุยกับผม ก็ผมคิดไปว่าคุณลุงคุณป้ากำลังจับผิดผมอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากเวลาอยู่ที่บ้าน ผมรู้สึกว่าต้องระวังจนตัวเกร็งอยู่ตลอดเวลา

แต่แม้ว่าผมจะอึดอัดและไม่อยากอยู่บ้านมากเพียงใดก็ตาม ผมกลับต้องพยายามอยู่บ้านและทำตัวให้ขยันขันแข็งมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะผมคิดว่าอาจเป็นทางเดียวที่ทำให้คุณลุงและคุณป้าอาจเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับตัวผมเสียใหม่ เพราะถ้าทั้งสองไม่หนักใจในตัวผม โอกาสที่ผมจะไม่ต้องกลับไปเรียนที่บ้านก็ยังพอมี

ผมพยายามทำงานอย่างขันแข็งและละเอียดมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นล้างจาน ล้างหม้อ ก็ต้องตรวจแล้วตรวจอีกว่ามีคราบอาหารหลงเหลืออยู่หรือไม่ มีคราบมันเกาะอยู่หรือไม่ เวลาถูบ้านก็พยายามเช็ดตามซอกตามมุมต่างๆให้ประณีตยิ่งขึ้น ล้างห้องน้ำก็ต้องขัดสองรอบ เพราะเกรงจะไม่สะอาด ฯลฯ

- - -

ต้นเดือนกันยายน

หลังจากที่ตาลตายและที่บ้านเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น สถานการณ์ก็สงบมาได้ระยะหนึ่ง แต่มันดูไม่เหมือนกับเป็นความสงบที่แท้จริง มันเป็นเสมือนความสงบก่อนพายุฝนโหมกระหน่ำมากกว่า

ทางบ้านของผมก็เงียบจนผิดปกติ แม่บอกว่าพ่อไม่ได้พูดอะไรเรื่องโรงเรียนใหม่ของผมอีกเลย ก็เลยยังไม่รู้ว่าพ่อจะเอาอย่างไรกันแน่

หลังจากวันที่ผมถูกไอ้กี้ด่าต่อหน้าเพื่อนๆ ผมก็ไม่ได้ยืมการบ้านของไอ้กี้ดูอีกเลย แต่ก็ยังพูดคุยกัน แม้ในใจของผมจะรู้สึกกินแหนงแคลงใจอยู่บ้างก็ตาม แต่ผมเองเป็นฝ่ายผิดที่ไปลอกการบ้านของมันทั้งที่มันห้ามแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ นอกเสียจากทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนผมกับเวชนั้น สถานการณ์กลายเป็นกลับกัน แต่ก่อนเวชมักเอาการบ้านของผมไปลอก แต่ตอนนี้มันกลับเป็นฝ่ายเอื้อเฟื้อการบ้านให้ผมลอก บางทีมันก็ทำเองมาบ้าง บางทีมันก็ไปลอกจากคนอื่นบ้าง แต่สุดท้ายก็เอามาให้ผมลอกอีกทีหนึ่ง เมื่อผมมีแหล่งต้นฉบับที่ไม่บ่นไม่ว่าผม ผมก็ลอกได้อย่างสบาย ผมกับเวชเริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกันมากขึ้น

ในระยะหลัง ความวิตกกังวลต่างๆนานา รวมทั้งความอึดอัดคับข้องใจเรื่องทางบ้าน ทำให้ผมเบื่อหน่ายการเรียน ตอนเรียนก็ไม่ได้เรียน เอาแต่นั่งใจลอย บางทีก็นั่งดูไอ้มอน ปล่อยให้เวลาหมดไปวันๆ ไม่อยากคิดและไม่อยากรับรู้อะไร

แต่เรื่องงานบ้านนั้นแม้จะเบื่อแสนเบื่ออย่างไรก็ต้องทนทำ ยิ่งนานผมยิ่งรู้สึกเหมือนกับเป็นสิ่งแปลกปลอมภายในบ้าน ถึงแม้ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ก็เป็นความคิดที่ห้ามกันไม่ได้ แม้จะอึดอัดแต่ก็จำต้องทน เพราะเมื่อคิดดูแล้วว่าอยู่บ้านนี้แล้วอึดอัดแต่ได้เรียนที่โรงเรียนเดิมต่อไป ก็ยังดีกว่าไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด ในยุคนั้นความคิดเรื่องหนีออกจากบ้านในเด็กวัยรุ่นยังไม่รุนแรงเหมือนกับในสมัยนี้ที่หนีออกจากบ้านกันอย่างง่ายๆ บทเรียนในอดีตที่ความใจร้อนวู่วามของผมทำให้คนอื่นต้องต้องเดือดร้อนวุ่นวายทำให้ผมพยายามอดทนและไม่ทำอะไรวู่วามอีก เรื่องหนีออกจากบ้านเป็นแผนสุดท้ายที่ผมคิดจะทำ

ที่จริงมันก็น่าแปลก ผมอยากเรียนที่นี่แต่ผมกลับไม่ได้ขยันเรียนเลยแม้แต่น้อย ที่จริงเด็กขี้เกียจเรียนแบบผมนี้ถึงไปเรียนที่ไหนก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไร เพราะถึงอย่างไรอีกหน่อยเมื่อถึงเวลาสอบเอนทรานซ์ก็คงสอบอะไรไม่ติดอยู่ดี เพื่อนสนิทก็มีไม่กี่คน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอาลัยอาวรณ์โรงเรียนนี้นัก แต่อย่างหนึ่งก็คือผมมักรู้สึกอยู่เสมอว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนของผม แต่กับที่บ้านของคุณลุงคุณป้า ผมกลับไม่มีความรู้สึกว่าบ้านนี้เป็นบ้านของผมเลยแม้แต่น้อย

เหตุผลอีกประการหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่า ผมยังมีความหวังอยู่ลึกๆว่าผมอาจมีโอกาสได้พบกับไอ้นัยอีก เผื่อว่ามันเรียนไม่ไหวหรือป่วยหนัก มันอาจต้องย้ายกลับมาเรียนที่เมืองไทย ถ้าผมยังอยู่แถวนี้ก็คงมีโอกาสได้เจอมัน แต่ถ้ากลับไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วโอกาสที่ผมจะได้พบมันอีกคงไม่มีเลย

บ่ายวันหนึ่ง เมื่อโรงเรียนเลิก หลังจากไปดูจดหมายที่ห้องธุรการตามปกติ ผมรู้สึกเบื่อหน่าย แค่คิดว่าเดี๋ยวจะต้องกลับบ้านก็รู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว

ไปที่สหกรณ์ดีกว่า ผมคิด รู้สึกอยากเถลไถลสักเล็กน้อยก่อนกลับบ้าน

ที่สหกรณ์ วันนั้นผมไม่เห็นบอยเลย แต่เป็นนักเรียนคนอื่นคอยให้บริการแทน

“บอยไม่มาเหรอน้อง” ผมถามนักเรียนแว่นที่คอยรับหน้าลูกค้า

“วันนี้เวรผมฮะ” เด็กรุ่นน้องตอบ “ของไอ้บอยพรุ่งนี้”

เมื่อไม่พบบอย ผมจึงเดินออกมาโดยไม่ได้ดูหนังสืออะไรเลย ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะผมรู้ดีว่าถึงไม่ใช่เวร บอยก็มักมานั่งเล่นที่สหกรณ์และช่วยโน่นช่วยนี่เสมอ วันนี้ทำไมไม่มา

ขณะที่ผมเดินลงบันไดตึกนั่นเอง นักเรียนคนหนึ่งก็วิ่งสวนขึ้นมา ไอ้น้องบอยนั่นเอง ท่าทางบอยรีบร้อนจนไม่ได้สังเกตว่าเป็นผม

บันไดไม่กว้างนัก เมื่อบอยเบียดตัวผ่านผมไป ผมนึกอยากแกล้งมันขึ้นมาก็เลยกางแขนรั้งเอวมันเอาไว้

“โอ๊ย ใครแกล้งวะเนี่ย” ไอ้น้องบอยชะงัก วิ่งต่อไปไม่ได้ และร้องเอะอะในวงแขนของผม

บอยตัวเล็กกว่าผมพอสมควร ลำตัวเล็กกะทัดรัดและอบอุ่นของมันแนบชิดอยู่กับลำตัวของผม ในวูบหนึ่งของความคิด ผมเผลอนึกไปว่าผมกำลังกอดไอ้นัยอยู่

“อ้าว พี่อูนี่เอง” เสียงบอยกระชากให้ผมตื่นจากภวังค์ “นึกว่าใครมาดักแกล้งเสียอีก”

ผมคลายมือจากเอวของบอย “เอ็งนี่โจทก์เยอะจนมีคนมาดักแกล้งเลยเหรอ แสดงว่ากวนตีนไปทั่วละสิ”

“แหม พี่ก็” ไอ้น้องบอยหัวเราะฮิฮะ “ไม่ได้กวนใครสักหน่อย กวนแต่พี่อูนั่นแหละ ว่าแต่พี่อูดูผอมไปนะ”

“เอ็งจะรีบไปไหนวะ เวรก็ไม่มี” ผมถาม รู้สึกอารมณ์สดชื่นอย่างประหลาดเมื่อได้เจอไอ้น้องบอย

“พี่รู้ได้ไงอะ” บอยกะพริบตาถามอย่างสงสัย

“ก็เมื่อกี้พี่ไปสหกรณ์มา” ผมตอบ “วันนี้ในเมื่อไม่มีเวร อยากกินของฟรีไหม”

ไอ้น้องบอยตาโตทันที “เอาดิพี่ ของฟรีใครจะไม่เอา”

“งั้นไปโรงอาหารกัน” ผมชวน

ที่โรงอาหาร บอยสั่งขนมมาเพียบตามเคย กินไปก็คุยไป ส่วนผมก็ซื้อน้ำหวานและขนมนิดหน่อยมากินเป็นเพื่อน รู้สึกอิ่มอย่างไรชอบกล ไม่อยากกินเท่าไร ส่วนใหญ่นั่งฟังมากกว่า ฟังไปก็ดูเวลาไป

“วันนี้พี่อูรีบเหรอ” บอยถาม “เห็นเอาแต่ดูนาฬิกา”

“ฮื่อ นิดหน่อย รีบกลับบ้านน่ะ” ผมตอบ เพียงแค่นึกถึงบ้านผมก็รู้แปลกๆขึ้นมา ผมไม่อยากกลับบ้านเลย

ผมนั่งฟังบอยคุยได้อีกสักครู่ก็รู้สึกแน่นท้องขึ้นมา พร้อมทั้งรู้สึกคลื่นไส้ จากนั้นก็รู้สึกปวดท้องตามมา

“เฮ้ย บอย รอพี่เดี๋ยว พี่ฝากเป้ไว้ก่อน” ผมพูดกับบอยพลางลุกขึ้น

“พี่อูจะไปไหนอะ” บอยงง

“จะไปขี้” ผมตอบ พลางรีบไปซื้อกระดาษชำระที่ร้านค้าและตรงไปที่ห้องส้วมใกล้โรงอาหารทันที

ขณะที่ผมอยู่ในส้วม ผมรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียน หลังจากเข้าส้วมเสร็จ แม้ว่าอาการปวดท้องดีขึ้น แต่อาการคลื่นไส้กลับรุนแรงยิ่งขึ้น จนผมต้องไปอ้วกที่อ่างล้างมือ

อาหารและน้ำที่เพิ่งกินเข้าไปถูกคายออกมาจนหมด ผมอ้วกออกมาจนรู้สึกเปรี้ยวไปทั้งปากและลำคอ

เมื่อผมกลับไปที่โรงอาหาร บอยนั่งคอยผมอยู่ ขนมเบื้องหน้าบอยถูกมันกินจนเรียบ เพียงผมเห็นจานอาหารบนโต๊ะและได้กลิ่นอาหารที่อบอวลอยู่ในโรงอาหาร ผมก็รู้สึกอยากอ้วกขึ้นมาอีก

“พี่อูท้องเสียเหรอ” บอยถามเมื่อผมกลับมานั่งที่โต๊ะ

“ฮื่อ นิดหน่อย” ผมตอบ “พี่ว่าพี่กลับบ้านก่อนดีกว่าว่ะ”

“กลับก็ได้พี่ บอยอิ่มแล้ว” บอยทำหน้าทะเล้น

หลังจากที่แยกจากบอยแล้ว ผมก็รีบกลับบ้าน แต่ขณะที่อยู่ในรถเมล์นั้นเอง ผมก็รู้สึกคลื่นไส้และปวดท้องขึ้นมาอีก ผมพยายามอั้นเอาไว้เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่สบาย ถ้าลงไปเข้าส้วมกลางทางเมื่อขึ้นรถเมล์อีกครั้งก็คงไม่ได้นั่ง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะยืนจนถึงบ้านไหวหรือเปล่า เลยทนอั้นเอาไว้ดีกว่า

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมสวัสดีคุณลุงคุณป้า จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นข้างบนไป ผมทั้งอ้วกและทั้งถ่ายอีก คราวนี้อ้วกจนปากขมไปหมด ถ่ายจนไม่มีอะไรออกมา มีแต่ลมและอาการปวดท้อง

“อู เป็นอะไรหรือเปล่า” คุณป้าถามเมื่อผมกลับลงมาข้างล่าง

“อูท้องเสียนิดหน่อยครับ” ผมตอบ

คุณป้าก็ซักไซ้ไล่เรียงอาการเสียยกใหญ่ ซึ่งผมก็โกหกเพื่อให้อาการดูเหมือนว่าไม่มีอะไรมาก จากนั้นคุณป้าก็ให้ผมกินยาแผนโบราณ ดูเหมือนจะชื่อยาตราตกเบ็ด ตัวยาเป็นเม็ดเล็กๆ กินทีหนึ่งสิบกว่าเม็ด

ผมพยายามกินอาหารตามปกติ เพราะถ้ากินน้อยเดี๋ยวคงต้องโดนซักอีก ช่วงนี้ผมจะทำอะไรให้ผิดปกติไปไม่ได้ เพราะนั่นอาจหมายถึงว่าผมจะไม่ได้เรียนที่กรุงเทพฯอีก

หลังกินอาหารเสร็จ ผมรู้สึกผะอืดผะอมอย่างที่สุด แต่ก็ฝืนทนและเก็บโต๊ะล้างจานจนเสร็จเรียบร้อยจึงขึ้นห้องนอน เมื่อไปถึงชั้นบน ผมก็ล้วงคอเพื่อให้อ้วกออกมาเนื่องจากทนผะอืดผะอมคลื่นไส้ไม่ไหว

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากได้นอนมาทั้งคืน อาการต่างๆดูเหมือนจะทุเลาลง ผมรีบอาบน้ำ แต่งตัว กินอาหาร ซึ่งเช้านี้ไม่รู้สึกคลื่นไส้แล้ว จากนั้นก็รีบไปโรงเรียน

เหตุการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเกือบตลอดทั้งวัน จนตกบ่าย ก่อนเริ่มคาบเรียนสุดท้าย ผมก็รู้สึกคลื่นไส้และปวดท้องขึ้นมาอีก ก็ไปเข้าส้วมและล้วงคอให้อ้วกเพื่อให้หายอึดอัด หลังจากนั้นเมื่อกลับถึงบ้านตอนค่ำ อาการเดิมก็กลับมาอีก

จนวันที่สาม ตกบ่ายอาการปวดท้องและคลื่นไส้ก็กลับมาอีก ผมทั้งถ่ายและอ้วกจนรู้สึกเพลีย ประกอบกับขี้เกียจเรียนอยู่แล้วด้วย จึงคิดว่าไปนอนพักผ่อนที่ห้องพยาบาลดีกว่า

ที่ห้องพยาบาล พยาบาลผู้อารีคนเดิมกล่าวทักทายเมื่อเห็นผม

“ไม่สบายอีกแล้วเหรอ” พยาบาลทัก “ชื่ออะไรนะ แจ้ใช่ไหม”

“ชื่ออูครับ” ผมแก้ให้

“จ้ะ นั่นแหละ จำได้ว่านักเรียนชื่อเป็นไก่อะไรสักอย่าง” พยาบาลยิ้มอย่างใจดี “วันนี้เป็นอะไรล่ะ”

“ผมอาเจียนแล้วก็ท้องเสียครับ” ผมตอบ

หลังจากที่ซักอาการสักครู่แล้ว พยาบาลก็ถามว่า “เครียดเรื่องสอบอยู่หรือเปล่า”

ผมอึ้งไป คำถามนี้ตอบได้ยาก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ใกล้สอบปลายภาคแล้ว จะว่าไปก็กังวลกับการสอบอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเทอมนี้เรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร แต่ก็เครียดกับเรื่องอื่นด้วย เลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

“ก็มีส่วนครับ” ผมตอบ แล้วถามกลับ “อาจารย์ถามทำไมเหรอครับ”

“อ้อ ยังมีเรื่องอื่นอีกด้วยเหรอ” พยาบาลถามอีก “ก็จากอาการที่เล่ามา ครูคิดว่าอูเครียดน่ะ อาการพวกนี้เป็นผลมาจากความเครียดหรือวิตกกังวล ก่อนสอบนักเรียนบางคนก็จะมีอาการแบบนี้ พอสอบเสร็จแล้วอาการก็จะหายไป”

“แล้วรักษาไม่ได้เหรอครับ” ผมถาม ฟังแล้วยิ่งรู้สึกว่ามีเรื่องทำให้ต้องวิตกกังวลเพิ่มขึ้นมาอีก

“ถ้าอาการนิดหน่อยก็หายเองได้ แต่ถ้าถึงขั้นรบกวนมากๆก็ต้องไปหาหมอ เพราะหมอจะได้ตรวจให้ละเอียดว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ จะได้รักษาได้ถูกต้อง” พยาบาลตอบ

สรุปก็คือตอนนี้ให้ผมนอนพักไปก่อน

ต่อมาในที่สุดผมก็ปิดบังคุณลุงคุณป้าเรื่องอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนกับท้องเสียไม่ได้อีกต่อไป เพราะว่าเมื่อผมกลับจากโรงเรียนจะต้องรีบเข้าห้องน้ำทุกวัน อีกทั้งยังเข้าครั้งละนานๆ นอกจากนี้ น้ำหนักผมยังลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนสังเกตว่าผมผอมลงไปมาก ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าน้ำหนักของผมลดลงไปเท่าไร รู้แต่ว่ากางเกงหลวมขึ้นและต้องรัดเข็มขัดให้แน่นเข้ามาอีกหนึ่งรู นอกจากนี้ในวันหลังๆยังมีอาการนอนไม่ค่อยหลับและฝันร้ายตามมาอีกด้วย

คุณลุงพาผมไปหาหมอที่คลินิก หลังจากที่หมอตรวจและซักถามอย่างละเอียด ก็มีความเห็นคล้ายๆกับพยาบาลที่โรงเรียน ว่าอาการของผมนั้นน่าจะเกิดจากความเครียดและวิตกกังวล

“อูเครียดเรื่องอะไรกันน่ะ” คุณป้าซัก “เรื่องสอบหรือเปล่า แต่ เอ... สอบมาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเป็นแบบนี้นี่” คุณป้าถามเองตอบเองเสร็จ

“ก็... ไม่ได้เครียดเรื่องอะไรนี่ครับ” ผมตอบ

หลังจากถูกคุณลุงคุณป้าซักไซ้ไล่เรียง ผมก็ตอบแต่เพียงว่าไม่ได้เป็นอะไร ในที่สุด ทั้งสองก็เอือมระอาและเลิกถามไปเอง แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าคุณลุงคุณป้าคงรายงานให้ทางบ้านของผมรู้ เพราะว่าช่วงนั้นแม่โทรมาหาผมบ่อยๆ พยายามซักถามอาการของผมเป็นประจำ พ่อก็คุยกับผมเหมือนกันแต่ว่าไม่บ่อยเท่ากับแม่

- - -

อาการท้องอืด เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ยังคงเกิดกับผมอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ถึงกับทำให้นอนซมทำอะไรไม่ได้ แต่ก็รบกวนชีวิตและทำให้รู้สึกทรมาน โชคยังดีที่อาการนอนไม่หลับกับฝันร้ายเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ไม่อย่างนั้นคงต้องทรมานมากกว่านี้

คืนหนึ่งในตอนกลางเดือน ตอนนั้นใกล้สอบมากแล้ว ผมถูกตามตัวให้ไปรับโทรศัพท์ในตอนกลางดึก ผมลงไปรับโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่น ส่วนคุณลุงและคุณป้าเลี่ยงออกไป

“ฮัลโหล อู เป็นไงบ้าง” เสียงแม่นั่นเอง น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง

“ก็ไม่เป็นไรนี่แม่” ผมพูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ใครถามก็บอกว่าไม่เป็นไรเอาไว้ก่อน

“อู แม่มีเรื่องจะบอกนะ ลูกฟังให้จบก่อนนะ อย่าเพิ่งโวยวาย” แม่พูด พร้อมกับดักคอผมเอาไว้ก่อน

ผมสังหรณ์ใจวูบทันที

“ป๊ากับแม่ปรึกษากันแล้วนะ คิดว่าอยากให้อูมาเรียนใกล้บ้าน” แม่พูด

“อ้าว ทำไมแม่เห็นด้วยแล้วล่ะ” ผมงง “อูอยู่ที่นี่ช่วยงานได้เยอะนะแม่ อูทำงานเรียบร้อยขึ้น กลับบ้านเร็วขึ้น ช่วยงานได้มากขึ้น ถ้าอูไปแล้วใครจะอยู่ช่วยงานที่นี่” ผมรีบอ้างเรื่องความจำเป็นที่ต้องมีคนช่วยทำงานบ้านทางนี้เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เองที่ทำให้ทั้งพ่อและแม่ยังหาทางออกไม่ได้อยู่

“คุณลุงกับคุณป้าเค้าเห็นว่าอู... เอ้อ... เปลี่ยนไปมาก เดี๋ยวนี้กลับมาก็ทำงานบ้านเหมือนคนบ้า ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พูดไม่จา ซ้ำยังมีอาการเครียด ท้องเสีย อาเจียนเรื้อรังอีก คุณลุงคุณป้าเค้าก็เป็นห่วง กลัวว่าจะดูแลอูไม่ไหว ป๊ากับแม่เองมาคิดดูอีกทีแล้วก็เห็นว่าถ้าอูกลับมาอยู่ทางนี้ คุณลุงคุณป้าจะได้ไม่ต้องคอยห่วงกังวลเรื่องสุขภาพของอู เราสี่คนปรึกษากันแล้วก็เลยคิดว่า...” แม่ร่ายยาว

“ไม่เอา อูไม่กลับไปเรียนที่บ้าน” ผมตอบสวนไปทันที ดูเหมือนผมจะทำอะไรผิดอีกแล้ว กลายเป็นว่าความขยันทำงานบ้านของผมทำให้ผมดูเหมือนคนที่มีอาการทางจิตมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่แม่กล่อมผมอยู่นาน ผมก็ปฏิเสธไม่ยอมกลับไปท่าเดียว

“เรื่องนี้ตามใจอูไม่ได้แล้วนะ ผู้ใหญ่เค้าคุยกันเรียบร้อยแล้ว ยังไงอูก็ต้องกลับละ” เสียงแม่ชักจะออกอารมณ์บ้างเหมือนกัน

“อูไม่กลับหรอกแม่ ถ้าบังคับกันมากๆอูจะหนีไปอยู่ที่อื่น” ผมเริ่มขู่

“เฮอะ ที่บ้านไม่ส่งเงินให้เสียอย่างจะไปไหนรอด” แม่สวนกลับทันที

“อูไปอยู่วัดก็ได้ มีที่อยู่ มีข้าวกิน” ผมเอาไม้ตายตอนที่อยู่ชั้น ป.๖ ซึ่งเคยใช้ได้ผลมาแล้วออกมาใช้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนกับว่าคราวนี้จะไม่ได้ผล

“อูเลิกคิดบ้าๆเสียที” แม่พูดเสียงเข้ม “รู้ไหมป๊ากับแม่กลุ้มใจเรื่องอูขนาดไหน พอรู้ว่าอูไม่สบายป๊ากับแม่เองก็กินอะไรไม่ลง นอนก็ไม่หลับ อูรู้บ้างหรือเปล่า อูต้องเห็นใจป๊าเค้าบ้างนะ ช่วงนี้ป๊ามีเรื่องกลุ้มใจหลายเรื่อง...”

“ก็ป๊าโลภเองนี่” ผมโพล่งขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าแม่หมายถึงเรื่องอะไร

“นี่ อู อย่าพูดแบบนี้นะ” แม่ตวาดผมมาในโทรศัพท์ทันที “อูไปว่าป๊าแบบนี้ไม่ได้นะ รู้หรือเปล่าว่าป๊าทำงานเหนื่อยยากทุกวันนี้เพราะใคร ก็เพราะต้องการสะสมสมบัติเอาไว้ให้เอ๊ดกับอู จะได้ไม่ต้องลำบาก เค้าไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยนะ เค้าทำเพื่อลูก เข้าใจไหม อูพูดแบบนี้ถ้าป๊าได้ยินต้องเสียใจมาก เฮ้อ... ไม่น่าเล่าให้ฟังเลยจริงๆ”

“ก็... ไม่ต้องลำบากมากก็ได้ อีกหน่อยอูก็ทำงานหาเงินเองได้” ผมเสียงอ่อย รู้สึกเสียใจกับคำพูดของตนเอง “จะหาไว้ให้อูมากๆทำไมกัน”

“อีกหน่อยเมื่ออูเป็นพ่อคนอูก็จะเข้าใจ” แม่ถอนหายใจ พูดด้วยเสียงที่อ่อนลงเช่นกัน

ผมฟังคำพูดนี้แล้วก็ผ่านหูไป ไม่ได้ติดใจคิดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าในที่สุดลูกของแม่คนนี้ก็เหมือนต้องคำสาปให้ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกที่ว่านี้ได้

“อูไปคิดดูแล้วทำตามที่แม่บอกนะ” เสียงแม่สำทับมา “เราโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อูต้องคิดถึงคนอื่นบ้าง คิดถึงคนที่รักอูบ้าง ว่าเค้ากลุ้มใจกันขนาดไหนที่เห็นอูเป็นแบบนี้ ถ้าอูดื้อก็เท่ากับว่าอูเห็นแก่ตัว อูทำร้ายคนที่รักอู”

คำพูดประโยคสุดท้ายของแม่เหมือนกับจี้ถูกใจดำของผม จริงสินะ ผมทำร้ายคนที่ผมรักและคนที่รักผมมาแล้วมากเท่าไร ไอ้นัยคงตอบคำถามนี้ได้ดี ผมรู้สึกเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกไปจนหมด ผมไม่เหลือทางให้ต่อสู้ดิ้นรนได้เลยจริงๆ…




<หนังสือหัดอ่านในระดับชั้น ป.๒ เรื่องนกกางเขน เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบในวัยเด็ก จำไม่ได้แล้วว่าผมเรียนเองหรือว่าเอาของเอ๊ดมาอ่านกันแน่ เพราะว่านานมากแล้ว เนื้อเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวนกกางเขนที่ประกอบด้วยพ่อนก แม่นก และลูกนกสี่ตัว แสดงให้เห็นถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก รวมทั้งกล่าวถึงคนที่ไร้ความปรานีต่อสัตว์ เป็นหนังสือที่ผมอ่านแล้วต้องเสียน้ำตา และทำให้เริ่มเรียนรู้ว่าโลกนั้นแฝงไว้ด้วยความโหดร้าย ไม่ได้สวยสดงดงามอย่างที่คิดฝันเอาไว้>

Wednesday, September 2, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 18

วันนั้นทั้งวันผมเรียนหนังสือด้วยใจที่ไม่เป็นสุข ผมเอาแต่นั่งเหม่อมองใบหน้าด้านข้างของมอนโดยไม่ได้สนใจการเรียน ในใจคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้วุ่นวายไปหมด คิดถึงเรื่องที่จะต้องย้ายไปเรียนที่บ้านต่างจังหวัด นึกถึงแม่ที่มีเรื่องลับลมคมนัย และนึกถึงไอ้นัย... ความฝันเมื่อคืนช่างน่ากลัวและดูเป็นจริงเป็นจังเหลือเกิน ผมอดเป็นห่วงไอ้นัยไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากที่นัยย้ายโรงเรียนไปแล้วจะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นกับมันหรือเปล่า

อากาศในช่วงบ่ายวันนั้นร้อนอบอ้าว จากนั้นฝนก็เทลงมา อาจารย์พิกุลเดินเข้ามาสอนด้วยสภาพที่เปียกปอน

“ฝนตกแรงจริงๆ เฮ้อ ดูสิ ขนาดมีร่มแล้วตัวยังเปียกหมดเลย” อาจารย์บ่น

“ร่มธรรมดาเอาไม่อยู่หรอกครับ อย่างอาจารย์ต้องใช้ร่มโค้กที่ร้านขายน้ำ” เวชตะโกนขึ้นมา เรียกเสียงฮาดังสนั่น แต่หลังจากนั้นทั้งชั้นก็เงียบกริบในทันที

อาจารย์พิกุลหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ จากนั้นก็เริ่มเทศนาเวชอย่างยาวเหยียด ส่วนเวชนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้อาจารย์พิกุลเทศนาจนเหนื่อยไปเอง...

- - -

ตั้งแต่วันที่มีเรื่องทะเลาะกับคุณป้า หลังจากนั้นมาผมก็รู้สึกว่าบ้านไม่เป็นบ้านอีกต่อไป ตอนเช้าก็อยากรีบไปให้พ้นๆจากบ้าน ส่วนตอนเย็นก็ไม่อยากกลับ เพราะไม่อยากไปเจอกับสภาพที่อึดอัดภายในบ้าน ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือว่าในบ้านเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ แต่ผมรู้สึกว่าคุณลุงคุณป้ากลับกลายเป็นเย็นชากับผม แตกต่างจากเมื่อก่อน

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน หลังจากที่คุณลุงและคุณป้าเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็พกเหรียญเต็มกระเป๋าและแอบออกจากบ้านเพื่อมาโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะใกล้บ้าน ผมไม่ใช้โทรศัพท์ที่บ้านเพราะรู้ดีว่าถ้าโทรทางไกล รายละเอียดการโทรจะไปปรากฏในบิลของเดือนนั้น ผมไม่อยากให้คุณลุงคุณป้ารู้เรื่องที่ผมโทรไปคุยกับแม่

เสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียก เพียงครู่เดียวก็มีคนรับสาย

“ฮัลโหล” เสียงแม่นั่นเอง

“อูเองแม่” ผมตอบ “นี่มันเรื่องอะไรกันอะ” ผมรวบรัดเข้าเรื่อง เพราะไม่อยากออกจากบ้านนานเกินไป

ได้ยินแม่ถอนหายใจ

“เฮ้อ แม่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่ายังไงดี” แม่พูด “ป๊าเค้าอยากให้อูย้ายมาเรียนที่ใกล้บ้านเรานะ”

“อูก็บอกแล้วว่าไม่ไปหรอก” ผมรีบปฏิเสธทันที

ได้ยืนแม่ถอนหายใจอีก “แม่ก็ไม่อยากหรอกนะ แต่อูใจเย็นๆก่อน อย่าเพิ่งโวยวาย ฟังแม่เล่าให้จบก่อน ยังมีเรื่องที่อูไม่รู้”

ผมเงียบ อดใจฟังเรื่องที่แม่จะเล่า

“เรื่องมันยาวน่ะ” แม่พูด “อูจำเรื่องแชร์น้ำมันได้ไหม”

“ไม่รู้จัก ทำไมเหรอ” ผมสงสัย

แชร์น้ำมันก็คือต้นตำรับของแชร์ลูกโซ่ กล่าวคือ มีการระดมเงินทุนโดยอ้างว่าไปลงทุนในธุรกิจน้ำมัน โดยจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ลงทุนเดือนละ ๖.๕% แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ทำธุรกิจอะไรเลย เป็นเพียงเอาเงินจากผู้ลงทุนรายใหม่ไปจ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้ลงทุนรายเก่า จนถึงวันหนึ่งเมื่อหมุนเงินไม่ทัน ความก็แตก หนังสือพิมพ์ต่างขนานนามแชร์น้ำมันนี้ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่บันลือโลก เพราะมีผู้ถูกหลอกเป็นจำนวนมากราว ๑๗,๗๐๐ ราย ความเสียหายเป็นมูลค่าถึง ๕,๕๐๐ ล้านบาท ตอนที่เจ้ามือแชร์เริ่มออกอาการเบี้ยวหนี้และโดนตำรวจจับกุมตัวดำเนินคดีนั้นผมยังอยู่ชั้น ม.๒ ไม่ได้ติดตามเรื่องเศรษฐกิจเลยเพราะยังเด็กอยู่ จึงไม่ทราบเรื่อง

“ก็ป๊าเอาเงินไปลงทุนในแชร์น้ำมันนี้น่ะสิ แล้วก็ชวนคุณลุงเอาเงินไปลงทุนด้วย เพิ่งลงทุนได้ไม่กี่เดือนก็ถูกโกงและเจ้ามือก็โดนจับ” แม่เล่าความเป็นมา

“ทั้งป๊าและลุงต่างก็ลงทุนไปมาก พอเจ้ามือแชร์ถูกดำเนินคดีก็พอมีความหวังว่าจะได้เงินคืนมาสักส่วนหนึ่ง แต่เมื่อตอนต้นปีนี้เอง ศาลตัดสินให้ลูกหนี้ได้เงินคืนแค่ ๒ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ล้านนึงก็ได้คืนมาแค่สองหมื่น มันก็แทบจะเหมือนกับไม่ได้เงินคืนมาเลย” แม่เล่าด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย

“หา ป๊าลงเงินไปเป็นล้านเลยเหรอ” ผมใจหายวูบ ตอนที่พ่อเอาเงินไปลงทุนนั้น ทองคำแท่งบาทละ ๔,๒๐๐ บาท ค่าแรงขั้นต่ำในเขตกรุงเทพฯวันละ ๖๘ บาท ค่ารถเมล์ ๒ บาท เงินล้านในยุคนั้นมีความหมายมากทีเดียว

“ลุงด้วย” แม่พูด “หลังจากเมื่อต้นปี ตอนที่ทุกคนรู้ว่าจะได้เงินคืนเพียงแค่ ๒ เปอร์เซ็นต์ คุณลุงยังพอทำใจได้ แต่คุณป้าทำใจไม่ได้ เริ่มโทษป๊าต่างๆนานาว่าเป็นต้นเหตุทำให้บ้านคุณลุงแทบหมดตัว หลังจากนั้นป๊าก็ไม่สบายใจมาก ทั้งเรื่องเงินที่สูญไป และรู้สึกผิดกับคุณลุงคุณป้าอีก แล้วก็...” แม่หยุดพูด

“แล้วก็อะไรเหรอแม่” ผมถาม

“ป๊าเค้าก็กลัวว่าจะมีผลกระทบกับอูน่ะ เอ๊ดก็ไม่อยู่ด้วย” แม่พูด

มิน่าล่ะ ผมรู้สึกว่าตั้งแต่เอ๊ดไม่อยู่ งานที่ผมทำแทนเอ๊ดมักไม่เป็นที่พอใจคุณป้าเสมอ ผมมักโดนบ่นประจำ แต่ก็ไม่ถึงกับดุด่าอะไร ก็อาจจะมีส่วนมาจากเรื่องนี้บ้างนั่นเอง

“แล้วก็เลยคิดจะเอาอูไปเรียนที่อื่น จะได้ไม่ต้องอยู่บ้านนี้” ผมต่อเรื่องราวให้ “ก็ไม่เห็นจะต้องให้อูกลับไปเรียนที่บ้านเลยนี่แม่”

“มันไม่ใช่แค่นั้น” แม่พูดต่อ “คุณป้าบอกว่าอูมีอาการผิดปกติ แต่ก่อนก็ซึม เก็บตัว มาช่วงหลังยังฝันร้ายเอะอะลั่นบ้านอีก ป๊าก็เลยไปถามเอ๊ด ก็เลยรู้ว่าอู... เอ้อ... มีอาการแปลกๆ ผลการเรียนก็เรียนตกไปมาก”

แม่พูดได้แค่นี้แล้วก็อึกอัก

“แล้วยังไงล่ะแม่” ผมเร่งรัด

“คุณป้าบอกกับป๊าว่า... เอ้อ... อูมีสภาพจิตใจไม่ค่อยปกติน่ะ” แม่พูด

“หา หมายความว่าอูบ้าเหรอ” ผมร้อง

“อย่าเอะอะสิอู” แม่ปราม “ไม่ได้หมายความว่ายังงั้น แต่หมายความว่าอูอาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่างในจิตใจ มันมีอะไรที่เกี่ยวกับนัยเค้าหรือเปล่า เอ๊ดบอกว่าอาจจะเกี่ยวกับนัย”

พอแม่จี้เรื่องนัย ผมก็เงียบเสียงลงทันที เอ๊ดนะเอ๊ด ทำไมต้องบอกพ่อแม่ทุกเรื่องด้วย

“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนัยหรอกแม่” ผมตัดบท “แม่เล่าต่อเถอะ”

“ก็นั่นแหละ ป๊าเค้าก็คิดว่าคุณป้ากำลังบอกทางอ้อมว่าไม่อยากให้อูอยู่ที่บ้านนี้ต่อไป ก็เลยคิดจะเอาอูออกมา ที่อยากให้มาเรียนที่บ้านก็เพราะอยากให้อยู่ใกล้พ่อแม่ จะได้ดูแลได้สะดวก แต่เรื่องนี้แม่ไม่เห็นด้วย เพราะแม่ไม่คิดว่าคุณป้ากำลังบอกไล่ทางอ้อม ที่จริงอูอยู่ที่นี่ก็ช่วยงานบ้านคุณลุงคุณป้าได้มาก ถ้าอูออกมา ทั้งสองคนคงลำบาก คนทำงานบ้านก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เราอาศัยเค้ามาหลายปี ก็ควรตอบแทนน้ำใจของคุณลุงคุณป้าเค้า ก็เรื่องนี้แหละที่ป๊ากับแม่เห็นไม่ตรงกัน”

“แล้วตกลงจะให้อูทำไงล่ะ” ผมชักสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เบื้องหลังความนัยของเรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะช่วยออกความเห็นได้

“ก็ยังไม่รู้ แต่ดูป๊าเค้าตั้งใจจะเอาอูมาเรียนที่บ้านจริงๆ ช่วงนี้อูก็ทำตัวปกติไปก่อนนั่นแหละ” แม่พูด ดูแม่เองก็คงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นและยังหาทางออกไม่ได้เหมือนกัน

ผมนี่นะ จิตใจผิดปกติ มันก็คงใช่หรอก ก็ผมเป็นเกย์นี่ มันจะปกติได้ยังไง ผมคิดอย่างเย้ยหยันตนเอง นี่ถ้าผมรักนักเรียนหญิงที่ไหนสักคน ก็คงควงกันได้อย่างออกหน้าออกตา แต่นี่ผมรักกับผู้ชาย ก็เลยต้องหลบๆซ่อนๆ จะทุกข์หรือสุขก็บอกใครไม่ได้ ก็ไม่ได้อยากจะเป็นหรอก ไอ้นัยเองก็คงไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่เมื่อมันเป็นไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

“เฮ้อ ป๊าไม่น่าโลภมากเลย” แม่บ่นต่อ “นี่ถ้าไม่ได้คิดจะแก้ขาดทุนจากราชาเงินทุนก็คงไม่ไปล่มจมกับแชร์น้ำมันขนาดนี้”

“หา แม่ว่าไงนะ ก่อนหน้านี้ป๊าไปทำอะไรขาดทุนมา” ผมอุทาน

ชะรอยแม่คงรู้สึกตัวว่าหลุดปากไป จึงไม่ยอมพูดอะไรต่อ

“แม่บอกมาเถอะ อูโตแล้วนะ น่าจะให้อูรู้เรื่องในครอบครัวบ้าง อูไม่ใช่เด็กแล้วนะแม่” ผมพูด

แม่ถอนหายใจอีก ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร “อูรู้แล้วอย่าพูดไปนะ เพราะแม้แต่เอ๊ดก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้หลายปี ป๊าก็โดนโกงมาทีนึงแล้ว ไปฝากเงินกับราชาเงินทุนเพราะเห็นว่าเค้าให้ดอกเบี้ยสูง แล้วบริษัทก็ล้ม ไม่มีเงินจ่ายคืนหนี้ ตอนนั้นป๊าก็หมดไปเยอะ ก็เสียดาย พอเห็นแชร์น้ำมันกำไรงาม ก็เลยอยากจะถอนทุนเพื่อชดเชยกับที่เจ๊งไปตอนราชาเงินทุน มันก็เลยกลายเป็นแบบนี้” แม่เฉลยให้ฟัง

<กรณีบริษัทราชาเงินทุนเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๑-๒๕๒๒ โดยบริษัทราชาเงินทุนเป็นบริษัทเงินทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสองในยุคนั้น จดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีราคาแรกเริ่มอยู่ที่หุ้นละ ๒๗๕ บาท ต่อมาบริษัทมีการปล่อยเงินกู้แก่พวกพ้องและลูกค้าเพื่อมาซื้อขายหุ้นของบริษัท ทำให้หุ้นราชาเงินทุนถูกไล่ราคาด้วยเงินของบริษัทเองไปจนถึง ๒,๔๗๐ บาทต่อหุ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการเล่นงูกินหาง เมื่อกินไปเรื่อยๆในที่สุดงูก็กินตนเองจนถึงตาย ในที่สุด ราคาหุ้นของบริษัทก็ทรุดตัวลงจนเหลือเพียง ๓๘๐ บาท เงินที่ปล่อยกู้ไปจึงกลายเป็นหนี้เสีย บริษัทจึงล้มละลายและถูกปิดไป ผลของการล้มของบริษัทราชาเงินทุนทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในสถาบันการเงิน และพากันแห่ถอนเงินออกจากธนาคารต่างๆ กรณีนี้เป็นกรณีศึกษาวิกฤตสถาบันการเงินที่สำคัญ ในยุคนั้นทองคำบาทละประมาณ ๒,๒๕๐ บาท ค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯวันละ ๓๕ บาท น้ำมันเบนซินลิตรละ ๕.๖๐ บาท อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ในสมัยนั้นประมาณร้อยละ ๕.๕ และฝากประจำหนึ่งปีประมาณร้อยละ ๙ ส่วนที่พ่อของผมไปเกี่ยวข้องกับบริษัทราชาเงินทุนนั้นไม่ได้ไปกู้เงินมาเล่นหุ้น แต่เป็นการฝากเงินโดยซื้อเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินหรือว่าตั๋วพีเอ็น ซึ่งตอนนั้นราชาเงินทุนให้ดอกเบี้ยประมาณร้อยละ ๑๒ ซึ่งดีกว่าเงินฝากประจำทั่วไป เมื่อบริษัทล้มก็ไม่มีเงินมาจ่ายคืนเจ้าหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน>

<แชร์น้ำมัน แชร์น้ำมันนี้เป็นต้นตำรับของแชร์ลูกโซ่ซึ่งมีวงเงินมหาศาล แชร์นี้เริ่มระดมทุนในราว พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยเจ้ามือแชร์อ้างว่าทำงานในบริษัทน้ำมัน และทำธุรกิจขนส่งน้ำมันซึ่งกำไรงาม โดยการระดมทุนก็เพื่อมาทำธุรกิจขนส่งน้ำมันนั่นเอง วิธีการรับกู้ยืมเงินคิดเป็นคันรถบรรทุกน้ำมัน โดยลงทุนคันรถละ ๑๖๐,๕๐๐ บาท ให้ผลตอบแทนเดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท หรือร้อยละ ๖.๕ ต่อเดือน หรือร้อยละ ๗๘ ต่อปี ถ้าเงินไม่มากพอ จะลงทุนน้อยกว่าหนึ่งคันรถก็ได้ โดยลงทุนเพียงหนึ่งในสี่ของคันรถ เรียกว่า หนึ่งล้อ ซึ่งก็คือประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท สำหรับบางคนที่เงินน้อยกว่านั้นก็อาจจะรวมกลุ่มกันเองเพื่อให้ได้เงินเท่ากับหนึ่งคันรถ การลงทุนรายย่อยๆนี้เรียกกันว่า น้อต โดยหนึ่งคันรถอาจมีรายย่อยร่วมกันสักสิบราย ก็เรียกว่ามีน้อตสิบตัวหรือสิบน้อต เป็นต้น ธุรกิจนี้ภายหลังจึงได้ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้ามือแชร์ไม่ได้เอาเงินไปทำธุรกิจแต่อย่างใด แต่เป็นการเอาเงินใหม่มาจ่ายเงินเก่า ธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ด้วยดีตราบเท่าที่มารายใหม่เข้ามาเรื่อยๆในจำนวนที่มากพอ แต่ต่อมาในราวปี ๒๕๒๘ เจ้ามือแชร์เริ่มบิดพลิ้วการจ่ายดอกเบี้ยและหลบหน้าไป ความจึงได้แตก และต่อมาถูกจับกุมดำเนินคดีในที่สุด ต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ศาลแพ่งได้พิพากษาให้เจ้ามือแชร์เป็นบุคคลล้มลายและบังคับเอาทรัพย์มาคืนแก่เจ้าหนี้ซึ่งมีอยู่ราว ๑๗,๗๐๐ ราย ความเสียหายเป็นมูลค่าถึง ๕,๕๐๐ ล้านบาท ผู้เสียหายได้รับคืนหนี้เฉลี่ยแล้วคนละ ๒.๒๕% เท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้เจ้ามือแชร์มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา และถูกพิพากษาจำคุกเรียงกระทงรวม ๑๕๔,๐๐๕ ปี นับเป็นคดีประวัติศาสตร์ของศาลไทย แต่เจ้ามือแชร์ถูกจำคุกจริงเพียง ๗ ปี ๑๑ เดือน กับอีก ๕ วัน เพราะได้รับการลดโทษ ๒ ครั้ง และพ้นโทษไปในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ แชร์น้ำมันถือเป็นต้นแบบของลูกโซ่ในยุคต่อมา โดยในระหว่างปี ๒๕๒๕-๒๕๓๐ มีแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นอีกหลายราย เช่น แชร์นกแก้ว แชร์ชาร์เตอร์ แชร์เสมาฟ้าคราม ในยุค ๒๕๓๐-๒๕๔๐ ที่โด่งดังก็มีแชร์บลิสเชอร์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้นมา แชร์ลูกโซ่ก็กลับมาระบาดอีกครั้ง ในยุคนี้มีทั้งแชร์ก๋วยเตี๋ยว แชร์ข้าวสาร และแชร์อื่นๆอีกมากมาย ที่น่าสนใจก็คือแชร์ลูกโซ่ข้ามชาติ คือเป็นแชร์ลูกโซ่ที่หลอกกันข้ามชาติด้วยวิธีไฮเทค กล่าวคือ ใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือ สามารถดูดอกผลในบัญชีลงทุนของตนเองที่งอกเงยได้ทุกวัน ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดความโลภและทุ่มเงินลงไปมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีเครือข่ายระดมทุนในหลายประเทศ เช่นแชร์ลูกโซ่ในกลุ่มเว็บไซต์ colonyinvest ในปี ๒๕๔๙-๒๕๕๐ เป็นต้น>