Monday, November 23, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 32

โต๊ะสนุ้กเกอร์ที่เวชและพวกไปเล่นกันโดยมีผมติดตามไปด้วยซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นบนของห้องแถวสภาพเก่าแก่ในย่านปากคลองตลาด ที่จริงตึกแถวในย่านนั้นก็มีแต่ตึกแถวเก่าทั้งนั้น จะเก่ามากหรือเก่าน้อยเท่านั้นเอง นอกจากเก่าแล้วยังไม่ค่อยปรับปรุงรักษาสภาพเอาเสียเลย จึงแลดูทรุดโทรม

ห้องเล่นสนุ้กมีสภาพอับทึบ หน้าต่างที่เปิดอยู่บานเล็กนิดเดียว ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่ ตรงกลางห้องตั้งโต๊ะสนุ้กเกอร์ ผนังห้องด้านหนึ่งตั้งชุดรับแขกอันประกอบด้วยโซฟาเก่าๆสี่ห้าตัวพร้อมด้วยโต๊ะเตี้ยๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็วางข้าวของเอาไว้ระเกะระกะ

เมื่อเวชและพวกขึ้นถึงชั้นบน เรื่องแรกที่ทำก็คือเอาชายเสื้อออกมานอกกางเกง จากนั้นก็เวชก็ควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋านักเรียน แบ่งกันสูบคนละมวน

“เอ้า ดูดเป็นหรือเปล่า” เวชยื่นซองบุหรี่มาให้ผม

ผมสั่นหัว “ไม่อะ ขอบใจ นั่งดูก็พอ”

หลังจากเล่นไปได้สักพัก เวชก็ซื้อเบียร์กระป๋องมาดื่ม ตอนนั้นเครื่องดื่มกระป๋องอลูมิเนียมไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมกระป๋องหรือเบียร์กระป๋องกำลังเริ่มเป็นที่นิยม วัยรุ่นชอบซื้อมาดื่มเพราะว่าเท่ดี ในตอนนั้นยังไม่มีโรงงานผลิตกระป๋องอลูมิเนียมในไทย ต้องนำเข้ากระป๋องเปล่าจากสิงคโปร์

ตอนนั้นเพิ่งฟื้นจากไข้ ผมจึงไม่อยากดื่มของแช่เย็น ก็เลยไม่ได้ซื้อเครื่องดื่มอะไร ที่จริงเมื่อก่อนไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย เมื่อไม่สบายอยากกินอะไรก็จะกิน พ่อแม่ห้ามก็ไม่ฟัง แต่พอจำเป็นต้องดูแลตัวเอง อะไรที่พ่อแม่เคยสอนเอาไว้ผมเอามาใช้หมด เพราะไม่อยากมีปัญหาและต้องกลับไปเรียนที่บ้านอีก

ผมนั่งดมควันบุหรี่อยู่ในห้องนั้นจนค่ำ นั่งดูเวชและเพื่อนๆเล่นสนุ้กเกอร์ ดูไปก็ไม่รู้ว่าเล่นยังไงเพราะไม่มีใครสอน จึงไม่รู้ว่าสนุกตรงไหน แต่ก็ยังดีที่ได้ฆ่าเวลา

ประมาณหนึ่งทุ่ม พวกเราทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมก็นั่งรถเมล์กลับหอ กว่าจะถึงหอพักก็ราวสองทุ่ม แวะกินอาหารร้านประจำ จากนั้นก็เดินเข้าหอพักไป

ที่ร้านชั้นล่างตอนนั้นไม่พลุกพล่าน มีคนในหอยืนโทรศัพท์อยู่เพียงคนเดียว ส่วนอีกคนก็คือแป๋งซึ่งคอยเฝ้าร้านแทนพี่พร วันนั้นแป๋งใส่ชุดนักเรียน เพิ่งเคยเห็นแป๋งอยู่ในชุดนักเรียนก็วันนี้เอง ดูไปก็น่ารักดี

“เฮ้ย อู กลับดึกจัง” แป๋งทักทายด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น “นี่นายเรียนภาคค่ำเหรอ”

“เปล่า ภาคค่ำมีที่ไหน” ผมตอบ รู้ดีว่าถูกแซว “แวะไถลหน่อยน่ะ”

ว่าแล้วผมก็เดินผ่านแป๋งเพื่อนจะขึ้นตึกไป แต่แป๋งดึงแขนเสื้อของผมเอาไว้ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุดฟิด

“เฮ้ย นี่นายดูดบุหรี่เหรอ” แป๋งกระซิบถาม

“เปล่าดูด” ผมตอบ รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆแป๋งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา

“ไม่ต้องมาโกหก” แป๋งทำสีหน้าจริงจัง “กลิ่นติดเสื้อแบบนี้ต้องไปดูดบุหรี่ในห้องส้วมหลังเลิกเรียนแน่นอน นี่ต้องระดับสิงห์อมควันเสียด้วย”

แป๋งพูดอย่างจริงจังจนผมอดหัวเราะไม่ได้ ดูท่าทางมันแน่ใจเอามากว่าผมดูดบุหรี่ แถมยังระบุได้ละเอียดว่าดูดในส้วมเสียอีกด้วย

“ทำไมนายคิดยังงั้นล่ะ” ผมถาม

“ยังจะทำไก๋อีก” แป๋งทำเสียงดุ “ก็กลิ่นบุหรี่ที่ติดเสื้อนี่ไง ถ้านายสูบในที่กว้าง กลิ่นจะไม่ค่อยติดเสื้อ ต้องสูบในห้องแคบๆอย่างเช่นห้องส้วม กลิ่นจึงจะติด และถ้ากลิ่นแรงขนาดนี้แสดงว่าต้องดูดไปหลายตัว โห ไอ้อูนี่ร้ายโว้ย”

“นายเคยดูดบุหรี่ในส้วมเหรอ ถึงได้รู้ดีขนาดนี้” ผมถามแป๋งบ้าง รู้สึกทึ่งกับการคาดการณ์ของมัน ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกก็ตาม

“ก็เออดิ” แป๋งพยักหน้า แล้วทำหน้าทะเล้น “ต้องระวังตัว เพราะถ้ากลิ่นติดเสื้อมาแม่เราจะจับได้”

“เราไม่ได้สูบ แค่ไปดูเพื่อนมันเล่นสนุ้กกัน พวกมันสูบบุหรี่กัน กลิ่นเลยติดมา” ผมอธิบาย

แป๋งทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าคงไม่มีผลอะไรเนื่องจากไม่มีใครมาคอยควบคุมความประพฤติของผม

- - -

การใช้เวลายามเย็นจนถึงค่ำกับเวชและพวกดูเหมือนจะเป็นการฆ่าเวลาที่ไม่เลว เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตมีสีสันที่แปลกใหม่เพิ่มเติ่มขึ้นมา อีกทั้งทำให้ความรู้สึกเงียบเหงาของผมลดทอนลงไปได้บ้าง

วันถัดมา ผมไปถึงโรงเรียนแต่เช้าเพื่อไปลอกการบ้าน เวชรักษาคำพูดโดยหาต้นฉบับมาให้ผมลอกได้จริงๆ งานที่ดูเหมือนจะใช้เวลากลับกลายเป็นของง่าย ที่จริงก่อนหน้านี้ผมก็เคยลอกการบ้านเพื่อนอยู่เป็นประจำ แต่ในครั้งนี้ผมรู้สึกชื่นชมมันเป็นพิเศษ

วันนั้นเป็นวันที่สหกรณ์เริ่มเปิดทำการเป็นวันแรกของเทอมปลาย พอถึงตอนพักเที่ยง ผมรีบเดินไปที่สหกรณ์โดยที่ยังไม่ได้กินอาหาร เพราะว่าน้อง ม.ต้น จะเข้าเรียนภาคบ่ายตอนเที่ยงครึ่ง หากผมมัวแต่กินอาหารอาจจะไม่ทันเที่ยงครึ่งก็ได้

ที่สหกรณ์ เนื่องจากเป็นเวลาหลังเที่ยงไม่นาน จึงยังไม่มีนักเรียน ม.ปลาย คนใดอยู่ในห้อง มีแต่ ม.ต้นทั้งนั้น เมื่อผมเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยทักผมทันที

“อ้าว พี่อู วันนี้มาไวจัง” เจ้าของเสียงยืนยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาว บอยนั่นเอง

หมู่นี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผมนึกถึงไอ้บอยบ่อยๆ บางทีอยู่ดีๆก็นึกถึงมันขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ รู้สึกอยากเจอ อยากคุยกับมัน แต่ก็ไม่กล้าไปหามันที่ห้อง ต้องอาศัยเจอมันที่สหกรณ์

“ฮื่อ มาดูหนังสือน่ะ ว่าจะเอาไปอ่านสักหน่อย” ผมพยายามวางมาด

“พี่อูจะเช่าเธอกับฉันหรือว่าวัยหวานดีล่ะ” ไอ้น้องบอยถามพลางทำสีหน้ากวน

ผมสะดุ้ง เพราะว่าในนั้นมีแต่น้อง ม.ต้น อีกทั้งเสียงไอ้บอยก็ไม่เบา ถ้าพวกรุ่นน้องคิดว่าผมมาเช่าวัยหวานจริงๆผมคงเสียหน้ามาก

“เดี๋ยวโดนเตะแน่ไอ้บอย” ผมกระซิบ

บอยหัวเราะ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมว่าบอยรู้สึกดีใจที่ได้เจอผม

“อะอะ ไม่แกล้งพี่อูแล้ว” บอยพูด “พี่จะเช่าอะไรล่ะ”

“เย็นนี้มีเวรหรือเปล่า” ผมไม่ได้ตอบคำถามของบอย

บอยทำตาโต “มีกินฟรีเหรอ ว่างครับ”

“ไอ้เปรต ยังไม่ได้บอกเสียหน่อยว่ากินฟรี” ผมพูด

“เฮอะ ไม่รู้จักหน้าที่อีกแล้ว” บอยย้อน แกล้งทำสีหน้าไม่พอใจ ผมเห็นหน้ามันแล้วอดนึกถึงใครบางคนไม่ได้ ถึงใบหน้าของทั้งสองคนนี้จะไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ความรู้สึกของผมมักเชื่อมโยงบอยไปถึงคนผู้นั้นเสมอ...

ไม่เอา ไม่คิด ผมรีบสลัดความคิดคำนึงออกไป ผมต้องพยายามลืม... ต้องลืมให้ได้...

“บ่ายสี่เจอกันที่โรงอาหารนะ” ผมพูดกับบอยเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากสหกรณ์โดยไม่ได้เช่าอะไรเลย ที่จริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจมาเช่าหนังสืออยู่แล้ว

ผมเดินไปตามระเบียงอันยาวเหยียด จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องธุรการ และเดินเข้าไป

ไม่มีจดหมายมาถึงผม ไม่ว่าจะเป็นจดหมายใหม่ๆหรือว่าจดหมายที่ผมเขียนและถูกส่งกลับคืนมา หลายเดือนมานี้ผมรอจดหมายจนสิ้นหวังแล้ว...

- - -

“โอ๊ย กูรำคาญไอ้เหี้ยสองตัวนี่จริงๆ” ไอ้กี้บ่นระหว่างคาบ ขณะที่พวกนักเรียนกำลังรออาจารย์ ไอ้เหี้ยสองตัวที่ไอ้กี้พูดถึงก็คือนนและแมน จอมมารดำขาวที่นั่งติดกับมันนั่นเอง

ขณะที่ผมกำลังหวนคิดถึงประสบการณ์ที่ได้พบกับบอยเมื่อวาน ยิ่งนานวันดูเหมือนบอยจะยิ่งน่ารักขึ้น ขณะที่ผมกำลังรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอมกับความรู้สึกดีๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นกับบอย พลันเสียงด่าของได้กี้ก็กระชากให้ผมตื่นจากภวังค์

ผมชะโงกหน้าไปดู เห็นแมนและนนกำลังนั่งหัวเราะกิ๊กกั๊ก และเมื่อมองต่ำลงไปก็พบว่ามือของคนทั้งสองกำลังขยำเป้ากางเกงของกันและกันอยู่โดยไม่สนใจกับสายตาของเพื่อนฝูง

“แม่ง โคตรอุบาทว์เลย” ไอ้กี้บ่นให้ผมได้ยิน ว่าแล้วก็หันไปทางจอมมารดำขาว “ทำไมพวกมึงไม่อัดถั่วดำกันเสียเลยวะ”

“เดี๋ยวดิ รอให้เลิกเรียนก่อน” นน จอมมารดำตอบอย่างอารมณ์ดี ส่วนแมนก็หัวเราะขำ

“กูยอมแพ้มัน โคตรหน้าด้านเลย” ไอ้กี้พูดไปหัวเราะไป

ผมฟังไอ้กี้พูดด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไอ้กี้ดูเหมือนจะรังเกียจพฤติกรรมแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดจารุนแรงกับนนและแมน แต่เมื่อพูดกับผม แม้เป็นเรื่องผิดพลาดเล็กน้อยของผม มันก็มักด่าด้วยเสียงอันดัง เหตุผลที่พอจะอธิบายได้และเท่าที่ผมจะนึกออกก็คือไอ้สองคนนี้มันเรียนเก่ง โดยเฉพาะแมนเรียนเก่งเป็นอันดับต้นๆของห้อง ใครที่เรียนเก่งเพื่อนๆก็มักให้ความนับถือและเกรงใจ

ผมอดทึ่งในความใจกล้าของไอ้สองคนนี้ไม่ได้ แม้เมื่อตอนเป็นเด็กผมจะทำอะไรที่โลดโผนในกลุ่มเพื่อนเช่นกัน แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว พอเรียนมัธยมแล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นอีก ประสบการณ์ตั้งแต่มัธยมต้นได้สอนให้ผมต้องปกปิดความรู้สึกภายในเอาไว้ ไม่สามารถบอกให้ใครรับรู้ได้ เพราะมันเป็นความผิดปกติที่สังคมไม่ยอมรับ แต่กับนนและแมน ดูเหมือนว่ามันจะหลุดพ้นจากข้อจำกัดนั้น...

เสียงด่าและท่าทีของไอ้กี้ที่มีต่อนนและแมนทำให้ผมไม่กล้าคิดต่อไปว่าความสัมพันธ์ของผมและบอยจะพัฒนาต่อไปอย่างไร และจะมีจุดปลายเป็นเช่นไร...

- - -

คาบถัดมาเป็นวิชาคณิตศาสตร์ของอาจารย์พิกุล วันนี้อาจารย์พิกุลดูใจลอย ไม่ค่อยมีสมาธิในการสอน

“อาจารย์ไม่สบายหรือเปล่าครับ” นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าถามอาจารย์ เพราะเห็นอาจารย์สอนแล้วหลงไปหลงมา

“เปล่าหรอกจ้ะ” อาจารย์พิกุลตอบ

“อาจารย์ แล้วรถอาจารย์เป็นไงบ้างครับ” นักเรียนถาม ไม่รู้ว่าพยายามชวนคุยหรือว่าเพราะอยากรู้

“เฮ้อ อย่าไปพูดถึงมันเลย” อาจารย์พุกุลถอนหายใจ “ตอนนี้ล็อกรถไม่ได้ เลยไม่กล้าจอดแวะที่ไหน กลัวหาย ได้แต่จอดที่บ้านกับที่โรงเรียนนี่แหละ”

“อาจารย์ทำไมไม่ซ่อมเสียทีละครับ” นักเรียนอีกคนถามบ้าง

“ก็เนี่ย” อาจารย์พุกุลทำเสียงเศร้า “เงินเดือนครูใช่ว่าจะมากมาย ค่าซ่อมมันก็หลายเงินอยู่ ครูก็พยายามจะเปียแชร์มาจะได้ซ่อม แต่ก็เปียไม่ได้ ตอนนี้คงยังซ่อมไม่ได้หรอก ต้องรอเปียแชร์ได้ก่อน แต่ถ้าไม่ซ่อม ครูก็กลัวว่าล็อกรถไม่ได้แล้วมันจะหาย”

“อาจารย์แจ้งตำรวจหรือเปล่าครับ เผื่อตำรวจจะหาคนทำได้” เสียงเวชตะโกนมาจากหลังห้อง

“จะไปแจ้งอะไร้” อาจารย์พิกุลตอบด้วยเสียงอ่อนๆ ไม่เข้มเหมือนทุกครั้งที่พูดกับเวช บางทีอาจารย์อาจลืมไปก็ได้ว่ากำลังพูดกับใครอยู่ “มองไปทางไหนก็ลูกศิษย์ทั้งนั้น ครูทำไม่ลงหรอก”

อาจารย์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ “ครูเป็นครูมาหลายสิบปีแล้วนะ ที่เลือกเรียนครูเพราะว่ารักที่จะเป็นครู อยากสอนลูกศิษย์ พอจบมาก็เป็นครูโดยไม่เคยคิดเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเลย แต่ไม่นึกเลยว่าลูกศิษย์จะทำกับครูขนาดนี้...”

ตอนท้ายเสียงอาจารย์พิกุลกลับกลายเป็นเสียงเครือ น้ำตาไหลอาบร่องแก้ม นักเรียนทั้งห้องเงียบสนิท

“อาจารย์แจ้งตำรวจไปเถอะครับ จะได้เอามันให้เข็ด” เวชพูดทำลายความเงียบขึ้น วันนี้ดูมันพูดแปลกๆชอบกล

“ช่างเถอะ ถึงยังไงก็ลูกศิษย์ ครูอโหสิให้...” อาจารย์พิกุลส่ายหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา แล้วพูดตัดบท “มา... เรามาเรียนกันต่อดีกว่า”

“อาจารย์ครับ ผมเป็นคนทำเอง” ได้ยินเสียงเวชพูด


<ห้องเล่นสนุ้กมีสภาพอับทึบ หน้าต่างที่เปิดอยู่บานเล็กนิดเดียว ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่ ตรงกลางห้องตั้งโต๊ะสนุ้กเกอร์ ผนังห้องด้านหนึ่งตั้งชุดรับแขกอันประกอบด้วยโซฟาเก่าๆสี่ห้าตัวพร้อมด้วยโต๊ะเตี้ยๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็วางข้าวของเอาไว้ระเกะระกะ>

26 comments:

Choo said...

ขอบ้างนะที่ 1 เนี้ย อุตสาอยู่เป็นเพื่อนกันยามดึก

จะว่าไป เวช ก็เป็นลูกผู้ชายนะ

กล้าทำ กล้ารับ มีน้ำใจ น่าคบนะ

อูบอกว่าชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง และกำลังใจ

ความหวังคงยังมี กำลังใจก็ได้ไปแล้ว ไม่น่าถล้ำลึกนะ

เป็นกำลังใจให้นายอู

ชู

Anonymous said...

ที่ 2
?

Anonymous said...

กลับมาให้กำลังใจเหมือนเดิมครับอู
ments 42

Anonymous said...

แว๊บๆ ทานเมี่ยงคำ่อนไปเรียนพิเศษ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

รูปอาเวชเหรอครับ?
แล้วจะทานยังไงให้หมดเนี่ย = ="
มันเยอะมาก ทานได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบเลย

แล้วทำไมต้องบอกว่าตอนนี้ต้องไม่ชอบมากๆ
อาอูก็แค่แวะไปลอยตัวเหนือโคลนตรมหรือเปล่าครับ?

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อีกอย่าง ถ้าอาเวชไม่ใช่คนทำล่ะ = ="
ขอโทษด้วยครับ รีบนิดๆ เลยผิดขนาดต้องลงเพิ่ม
ยังทานไม่หมด แต่ต้องออกจากบ้านแล้ว

หลาน Arus ของอาอู

All about Rose said...

มาติดตามอ่าน

Anonymous said...

ยังติดท๊อปเทนเหมือนเดิมแบบบังเอิญ

แบงค์ครับ

naja said...

เมื่อก่อนผมไปตีสนุ๊กที่ไชน่า ตรงวังบูรพาอ่ะครับ

ตอนนี้น้องบอยมาแรงจะแซงพี่นัยแล้วนะเนี่ยย

แต่น่าสงสารนะ เพราะคงเป็นได้แค่ตัวแทนพี่นัย

เฮ้อ!!

Anonymous said...

555+ ไม่ได้เม้นท์นาน แต่ก็ติดทอปเทนแหะเรา

คราวนี้คงต้องยกความน่าชื่นชมให้ เวชครับ กล้าทำกล้ารับ
แต่ว่าอาอูจะเข้าไปร่วมวงดูดบุหรี่ด้วยหรือเปล่าน่า

ไม่อยากเห็นอาอูทำตัวแบบนั้นเลย แต่ก็ว่าแหละชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง ต้องลองผิดลองถูกกันบ้าง

ไงก็เป็นกำลังใจให้ครับ

อาร์ม

Anonymous said...

แอบจิ้นรอตอนหน้า

เชียร์น้องบอยสุดใจ

หลานหนิง

Anonymous said...

ในที่สุดก็สูบละครับ มันสูบกันหมด จะไม่สูบอยู่คนเดียวก็กระไรอยู่ กินเบียร์ด้วย เพื่อให้กลมกลืนเข้าพวกได้

บุหรี่มวนแรกนี่เมาจนต้องมุดไปอ้วกใต้โซฟา เบียร์ก็ขมมาก

หลานกินเมี่ยงคำ มีเยอะก็ไม่แบ่งให้อาบ้าง กำลังหิวอยู่พอดี

อู

Unknown said...

แม้ได้ Lucky number ด้วยดีจัง คิดถึงอาอูนะครับ เฮ่อผมเบื่อชีวิตรักตัวเองจัง ไปเจอคนถูกใจตอนที่เขามีเจ้าของแล้ว รักเขาข้างเดียวอีกแล้ว น่าเบื่อจัง ชีวิตรักผมเป็นแบบนี้ตลอดเลย
Oliver

yo408 said...

ตอนสมัยม.ต้น โต๊ะสนุ๊กเป็นที่นิยมมาก แอบไปเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ ไม่ได้เก่งกาจอะไรร๊อก แต่ก็จำลำดับสีที่ยิงได้ แต้ใร่มลืมๆไปละ ตอนนั้นโต๊ะสนุ๊กยังปลอดภัยที่เด็กเรียนจะไปกับเด็กเกเรได้ จนมายุคหลังที่โต๊ะสนุ๊กแพร่หลายไปสู่ผู้มีอิทธิพล มียาเสพติดและอื่นๆพ่วงมา ทำให้โต๊ะสนุ๊กไม่ปลอดภัย

นึกถึงตอนไปนั่งดูและเล่น เห็นผู้ชายก้นกลมๆ โก้งโค้งแทงสนุ๊กบ้าง ปีนขึ้นไปนอนก้นโด่งบนขอบโต๊ะมั่ง ชุ่มชื่นหัวใจ

Anonymous said...

มีอย่างถึงที่ผมคิดเอาเองว่า
อาเวชอาจจะไม่ได้ทำ เพียงแค่รับไปเพราะอยากเห็น
ปฏิกิริยา เพราะปรกติคนนิสัยแบบนี้ ชอบรับในสิ่งที่
ตัวเองไม่ได้ทำด้วยสิ

= =" ไม่รู้ทำไมตื่นขึ้นมาตอนนี้ก็ไม่รู้

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ครูพิกุล เป็นครูที่เป็นครูจริงๆ
สมัยนี้หาครูยาก ส่วนมากเป็นแต่อาจารย์

Anonymous said...

ครูพิกุล เป็นครูที่เป็นครูจริงๆ
สมัยนี้หาครูยาก ส่วนมากเป็นแต่อาจารย์

thom

ปล. เบิ้ลไปทีลืมลงชื่อ

Unknown said...

เมื่อไหร่นัยกับอูจะกับมาเจอกัน
ใจคนอ่านจะขาดแทน

Anonymous said...

)^_^(ที่1 ช่วงนี้อากาศเย็นดีนะครับลุงเดี๋ยวว่าจะกินบะหมี่มามาอยากกินตั้งแต่กลางวันแล้วเห็นคนอื่นกินนะครับ เห็นไหมว่าต้องสูบบุหรี่ หื้มๆๆต้องโดนตีให้แป๋งหรือน้องบอยตีดีน้า ดีแล้วครับไปหาน้องบอยซะถูกต้องนะค้าบบ สงสารครูนะครับเวชนี่นิสัยไม่ดีเกรียนชิบอย่างงี้มันโดนแน่คุณครูคงไมทำไรร้อก แต่เพื่อนนี่ซิหึหึ

Anonymous said...

สุดยอดครับ อาจารย์พิกุลเปนครูที่สุดยอกมากจิงๆ ผมชอบที่พูดว่า "มองไปทางไหนก้ลูกศิษย์ทั้งนั้น ทำไม่ลงหรอก" แสดงว่าเค้ารักที่จะเปนครูจิงๆ และเค้าเปนคนที่เปนครูจิงๆ แล้วก้รักลูกศิษย์ทุกคนมากด้วย จิงด้วยครับ สมัยนี้หาคนที่เปนครูจิงๆยาก แต่เวชก้ทำตัวได้แย่มาก กาก เกรียนโคด ผมกะยุแล้วว่าต้องเปนเวชแน่ ก้ยังดีครับ กล้าทำกล้ายอมรับ แต่ถ้ายังไม่ยอมรับอีกก้แสดงว่าเปนคนที่แย่มากๆ อาอูไม่ควรคบ อย่างน้อยก้ดีครับ เราทำผิด เราก้ต้องกล้ารับผิด แต่อาอูไปคบกลุ่มเวช นิสัยจะเปลี่ยนไปไหมเนี่ย

วันนี้ผมดูหนังเรื่อง Akeelah and the bee มาคับ อีกชื่อคือ อคีล่าห์ อัจฉริยะน้อยก้องโลก เรื่องของเดกคนหนึ่ง แข่งตอบคำศัพท์และสามารถคว้าแชมป์ระดับประเทศได้ หนังเนื้อเรื่องดีมากคับ แนะนำให้ทุกคนดู แล้วที่ผมชอบอีกอย่างคือเพลงตอนจบคับ เปนเพลงที่เพราะมากๆคับ ผมกล้าบอกเลยว่าผมฟังครั้งแรกผมชอบทันที ความหมายนั้นดีมากๆเลย เอามาฝากครับ เพลง Definition of love

http://www.youtube.com/watch?v=ZtQnUMlEm2U

ปล.ขอบคูณอาอูครับที่มาเขียนต่อให้

Sea~~!!

พี said...

เอ๊ะ....

ทำไมอ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึมเลย...
ใช้สายตามากไปหรือเปล่า
ขี่รถ มอเตอร์ไซด์ ฝ่าฝุ่นลมมา
หรืออากาศหน้าหนาว มันแห้ง ทำให้สายตาพล่ามัวได้ง่าย
อ่านเรื่องของอูคิดถึงบอย ยังยิ้มๆอยู่เลย
แต่พออ่านตอนท้าย คิดถึงอาจารย์ ตอนสมัยเรียนมัธยมปลายเลย..

+ P +

Anonymous said...

เวชนี่นักเรียนดีๆก็ไม่อยากยุ่งด้วย พวกเกเรก็ยกให้เป็นหัวโจก ดังนั้นรวมๆแล้วในห้องก็ไม่มีใครไปทำอะไรเวชหรอก ที่จริงอาว่าไอ้เกรียงน่ะเกรียนกว่า เวชยังพอมีส่วนที่รู้สึกว่าดีอยู่บ้าง

ที่จริงตอนแรกเวชทำแล้วก็ไม่ได้รับนะหลาน เดิมทีก็ทำตัวเป็นมือมืด แต่ตอนหลังคิดยังไงก็ไม่รู้ รับเสียงั้นแหละ เรื่องราวยังมีต่อครับ เพราะในที่สุดอาจารย์วารีก็รู้เรื่องจนได้

เคยไปบ้านเวชครั้งหนึ่ง เห็นแล้วต้องอึ้ง ส่วนจะเป็นยังไงขออุบเอาไว้ก่อนครับ อีกไม่นานจะรู้

ครูสมัยก่อนรายได้ก็เท่าข้าราชการพลเรือนทั่วไป แต่ภาระข้าใช้จ่ายไม่น้อย เพราะมักมีเรื่องให้ต้องช่วยลูกศิษย์อยู่เสมอ ยิ่งเป็นครูในต่างจังหวัดด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ดังนั้นบางทีรายได้ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง ตอนอาอยู่ ม.๔ มีครูในโรงเรียนหลายคนที่ยังเช่าห้องอยู่แบบอา คือเช่าเป็นห้อง ไม่ได้เช่าเป็นหลัง โดยเฉพาะมีอยู่คนหนึ่ง อายุเยอะแล้วแต่ก็ยังไม่มีบ้านของตัวเองเลยครับ

น้องบอย น้องบอย ความรู้สึกตอนนั้นบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคิดยังไงกับน้อยบอย แต่บางทีก็คิดถึงมันเหมือนกัน อยากให้มันมากวนประสาท เพราะรู้สึกสดชื่นดี

พีไปล้างตาเสียนะครับ ฝุ่นคงเข้าตาไปเยอะ

อู

Anonymous said...

ผ่านมาตั้ง 25 ปี แล้วอูได้เจอกับนัยหรือยังอ่ะ

มันนานมากเกินไปแล้วนะสำหรับเพื่อนรักที่ต้องพลัดพรากจากกัน

Anonymous said...

อ่านเรื่องของอูแล้ว ช่างคล้ายเรื่องของผมจริงๆ ชื่ออูกับนัยก็ยังใกล้กับชื่อของผมและเพื่อนรักซะอีก จะต่างกันก็คืออูเป็นคนกรุงเทพ แต่นัยเป็นคนต่างจังหวัด
และในช่วงวัยแสวงหา เราไม่ได้มีอะไรกันเกินเลยเหมือนอูกับนัย
เราโกรธกันเพราะทิฐิ และเข้าใจผิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ
ผ่านมาเกือบ 20 ปีที่ไม่ได้เจอกัน พอได้อ่านเรื่องของอูแล้วก็เลยได้โทรไปหามันเมื่อ 2 วันก่อนเอง
ขอบใจนะอูที่ทำให้ผมลดทิฐิลงได้

ขอให้อูได้เจอนัยเสียทีนะ เพื่อนรักกันถึงแม้จะห่างกันก็ยังคิดถึงอยู่ทุกเมื่อ

Anonymous said...

อ่านเม้นของพี่ที่อยู่ข้างบนของผมแล้วซึ้งจัง มันเป็นเวลานานมากกว่าที่คนสองคนจะได้ปรับความเข้าใจกัน ทั้งๆที่สามารถจะติดต่อกันได้ เม้นของพี่ทำให้การอ่านเรื่องของอูนี้มีความหมายขึ้นอีกมากเลย

Unknown said...

อยากทราบว่า อูติดต่อนัยได้บ้างรึเปล่าคับ
เรื่องมันก็นานมากแล้ว
น่าจะมีทางติดต่อกันได้บ้างนะ