Wednesday, November 18, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 31

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองนอนอยู่คนเดียวในห้องของพี่ธิต เมื่อดูนาฬิกาจึงทราบว่าเป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว พี่ธิตออกไปทำงานนานแล้วโดยทิ้งยาลดไข้เอาไว้ให้ ๒ เม็ด และเขียนข้อความสั่งเอาไว้ว่าเมื่อออกจากห้องให้ผมล็อกห้องให้ด้วย และให้ผมไปซื้อยาที่ร้านขายยามาอีก เผื่อจำเป็นต้องใช้ เนื่องจากที่ห้องของพี่ธิตมียาเหลืออยู่เพียงเท่านี้

เก้าโมงกว่า ป่านนี้โรงเรียนเข้าไปนานแล้ว แม้อาการปวดหัวจะบรรเทาลง แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ ผมจึงตัดสินใจหยุดเรียนหนึ่งวัน

ผมล็อกห้องของพี่ธิต จากนั้นลงไปที่ห้องของตนเอง กินยาที่พี่ธิตทิ้งไว้ให้ จากนั้นก็นอนต่อ กว่าจะตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว

ผมเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น แค่เปลี่ยนชุดเท่านั้น ไม่กล้าอาบน้ำ กลัวกลับเป็นไข้อีก จากนั้นจึงเดินลงไปชั้นล่าง แวะซื้อยาลดไข้ที่ชั้นล่าง แต่วันนั้นยาลดไข้หมด ผมจึงแวะกินอาหารก่อน จากนั้นก็เดินออกไปยังปากซอยเพื่อไปยังร้านขายยา

ที่ปากซอยภาวนามีร้านขายยาอยู่หลายร้าน ปกติผมไม่ได้เข้าร้านขายยาเลยเพราะไม่ค่อยป่วย พอมาป่วยในครั้งนี้จึงคิดจะเดินไปซื้อยาที่ร้าน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าเดินไปที่ซอยภาวนาเพราะเกรงว่าอาจเจอคุณป้าได้ ถ้าเป็นตอนเช้าตรู่คุณป้าจะยังอยู่ที่บ้าน ผมจึงกล้าเดินไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปโรงเรียนได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันแล้วผมก็ไม่กล้าเดินผ่านเพราะเกรงว่าจะเจอคุณป้า เจอกันแล้วก็ทำตัวไม่ถูก รู้สึกไม่กล้าสู้หน้า

ผมจึงเดินไปซื้อยาทางด้านซอยลาดพร้าว ๒๓ จำได้ว่าแถวนั้นก็มีร้านขายยาอยู่หลายร้านเหมือนกัน แม้จะไม่มากเท่าที่ปากซอยภาวนา แต่แค่ซื้อยาลดไข้ที่ร้านไหนก็คงมี

ร้านขายยาที่ซอยลาดพร้าว ๒๓ หรือซอยวิทยาลัยครูจันทรเกษม ทุกร้านอยู่ในสภาพที่เงียบเหงา ผมเลือกเดินเข้าไปในร้านหนึ่ง

“เอาอะไร” คนขายหญิงวัยใกล้ห้าสิบที่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หลังเคาน์เตอร์กระจกที่วางโชว์ยาต่างๆเอ่ยถามด้วยเสียงห้วนๆ ดูจากบุคลิกแล้วน่าจะเป็นเจ้าของร้าน

“เอาดีคอลเจน ๒ แผงครับ” ผมตอบ

“เป็นหวัดเหรอ เอายาชุดดีกว่า กินสักสองสามวันก็หายแล้ว” เจ้าของร้านพูดพลางหยิบยาที่บรรจุอยู่ในซองพลาสติกมาอวดให้ผมดู ในนั้นมียาเป็นแคปซูลสีสันสดใสอยู่หลายเม็ด พลางสำทับด้วยสรรพคุณอันยอดเยี่ยม “กินครั้งละซอง วันละสองสามครั้ง กินแล้วทำให้ไข้หาย น้ำมูกหาย เจ็บคอก็หาย กินข้าวได้ กินไม่กี่วันก็หายหวัด ดีกว่าดีคอลเจนอีก”

ในยุคนั้นเป็นยุคที่ยาชุดเฟื่องฟู แม้ว่าตามกฎหมายแล้วร้านขายยาทุกร้านจะต้องมีเภสัชกรประจำเพื่อคอยให้คำแนะนำในการใช้ยา แต่ในทางปฏิบัติ ร้านขายยาส่วนใหญ่ไม่มีเภสัชกรประจำ จะมีก็เพียงแค่ป้ายชื่อแขวนเอาไว้เท่านั้น และในเมื่อตัวเภสัชกรไม่อยู่ ผู้ที่คอยให้คำแนะนำในการใช้ยาก็คือคนขายหรือว่าเจ้าของร้านนั่นเอง ซึ่งเรามักเรียกกันว่า หมอตี๋ หมอตี๋นี้หมายถึงคนขายยาที่ให้คำแนะนำการใช้ยาโดยไม่มีความรู้ เพราะไม่ได้ศึกษามา เน้นขายเอาเงินเป็นหลัก จะเรียนจบอะไรมาหรืออาจไม่ได้เรียนอะไรมาเลยลูกค้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มักให้ความเชื่อถือ เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ขายยามานาน น่าจะมีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับยาพอสมควร

หมอตี๋มักคู่กับยาชุด ยาชุดที่ว่าก็คือยาที่ทางร้านจัดใส่ซองเอาไว้เป็นชุดๆสำเร็จรูป ใช้สำหรับรักษาโรคหรืออาการต่างๆ ยาชุดตามร้านขายยาเหล่านี้เป็นที่นิยมมาก เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยก็พึ่งร้านขายยา ไม่พึ่งหมอ เพราะการไปหาหมอแต่ละครั้งเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และนอกจากนี้ ยาชุดเหล่านี้มักมีประสิทธิผลอันรุนแรง กินไม่นานก็รู้สึกว่าเห็นผลทันใจ จึงเป็นที่นิยม

ยาชุดที่ได้รับความนิยมมักเป็นยาชุดแก้หวัด มักมีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ ยาต้านอักเสบ สเตียรอยด์ นอกจากนี้ก็มียาชุดแนวบำรุงพวกยาประดง ยาชุดอ้วน ซึ่งก็มีส่วนผสมของยากลุ่มเสตียรอยด์และยาอันตรายอื่นๆ กินแล้วแลดูอ้วนขึ้นจริง แต่เกิดจากอาการบวมน้ำ ไม่ใช่อ้วนตามธรรมชาติ อีกทั้งผลที่ตามมาก็คือกระดูกผุ กระเพาะทะลุ ภูมิคุ้มกันเสื่อม ไขกระดูกฝ่อ ซึ่งอาจถึงตายได้ ในยุคนั้นยังไม่ค่อยได้ยินยาชุดลดความอ้วน ได้ยินแต่ยาชุดทำให้อ้วน อีกหลายปีต่อมาจึงมาถึงยุคที่นิยมยาชุดลดความอ้วนกัน ซึ่งยาชุดลดความอ้วนนี้ถ้าทราบสูตรแล้วจะต้องหนาว เพราะไม่น่าเชื่อว่าใครกินเข้าไปแล้วจะรอดชีวิตมาได้

“ไม่ละครับ” แค่เห็นสีสันก็ไม่กล้าซื้อแล้ว ผมส่ายหัว ผลักซองยาชุดซึ่งภายในบรรจุแคปซูลหลากสีสวยสดคืนหมอตี๋เจ้าของร้านหญิงวัยห้าสิบ ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมอ อีกทั้งไม่ตี๋ “เอาดีคอลเจนก็พอครับ”

เจ้าของร้านทำปากจิ๊กจั๊ก บ่นพึมพำเพราะไม่พอใจที่ผมไม่อุดหนุนยาชุดของแก เนื่องจากยาชุดมีราคาค่อนข้างแพง และขายได้กำไรดีกว่ามาก แต่ก็หยิบดีคอลเจนให้ เมื่อผมได้ยาแล้วก็รีบกลับมาที่ห้องพัก กินยาและนอนต่อ

ผมนอนซมจากพิษไข้ หลับๆตื่นๆ พอหลับก็ฝันร้าย พอตื่นก็เหมือนกับว่าตื่นไม่เต็มที่ มึนๆ คิดโน่นคิดนี่ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะคิดถึงเรื่องเก่าๆเกี่ยวกับไอ้นัย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดและตำหนิตนเอง แม้อยากจะหยุดคิดแต่ก็หยุดไม่ได้

ดูเหมือนว่านาฬิกาในวันนั้นจะเดินเชื่องช้าเป็นพิเศษ ผมนอนอยู่ในห้องหนึ่งวันราวกับนอนอยู่หนึ่งสัปดาห์ กว่าจะผ่านพ้นวันนั้นมาได้ แม้ว่าอาการป่วยของผมจะทุเลาขึ้น แต่สภาพจิตใจกลับบอบช้ำ รอยแผลในอดีตที่ผมพยายามรักษาด้วยกาลเวลากลับถูกคุ้ยเขี่ยขึ้นมาอีก…

- - -

ผมนอนพักได้เพียงวันเดียววันรุ่งขึ้นก็พยายามไปโรงเรียน ที่ไม่ยอมนอนพักต่อเพราะว่าไม่กล้านอน กลัวว่าจะต้องเผชิญกับฝันร้ายและความคิดอันฟุ้งซ่านอีก ผมไปโรงเรียนด้วยอาการอ่อนเพลียพร้อมทั้งอาการคัดจมูกน้ำจมูกไหลเล็กน้อย

เมื่อไปถึงโรงเรียน สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือ ที่ถนนหลังตึกเรียนซึ่งเป็นที่จอดรถของพวกอาจารย์มีคนมุงกันอยู่กลุ่มใหญ่

ผมเดินเข้าไปดูบ้างด้วยความสนใจใคร่รู้ ก็พบว่ามีคนกำลังมุงรถเก๋งเก่าคร่ำคร่าคันหนึ่งอยู่ อาจารย์พิกุลยืนอยู่ข้างรถ และมีอาจารย์ชายคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆดูรูกุญแจที่ประตูรถอยู่

“คงเป็นกาวซีเมนต์ครับ แคะก็ไม่ออก ละลายก็ไม่ได้” อาจารย์ชายผู้นั้นยืนขึ้นและพูดกับอาจารย์พิกุล “ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน คงต้องเปลี่ยนมือจับทั้งชุดสี่ข้างเลย”

อาจารย์พิกุลหน้าเสีย ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ เมื่อผมสอบถามจากเพื่อนนักเรียนที่ยืนดูอยู่ก็ได้ความว่ารถเก๋งคร่ำคร่าคันนี้เป็นรถยนต์ของอาจารย์พิกุล และถูกคนแกล้งโดยเอากาวซีเมนต์หรือว่ากาวตราช้างหยอดใส่รูกุญแจประตูรถทั้งสี่ข้าง

ปกติรถของอาจารย์ในโรงเรียนที่มีปัญหาถูกแกล้งจะมีอยู่บ้าง ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับรถยนต์ของอาจารย์ฝ่ายปกครอง ผู้ที่แกล้งก็มักไม่ใช่ใครอื่น ก็คือนักเรียนในโรงเรียนนั่นเอง คือเป็นการแก้เผ็ดอาจารย์ การแกล้งก็มักจะเป็นการปล่อยลมยาง เอาหมากฝรั่งหรือดินน้ำมันไปอุดที่รูกุญแจประตูรถ แต่อาจารย์พิกุลไม่ใช่อาจารย์ฝ่ายปกครองจึงไม่มีใครคิดว่ารถของอาจารย์จะโดนแกล้ง อีกทั้งการกระทำก็ค่อนข้างรุนแรง โดยการใช้กาวซีเมนต์อุดรูกุญแจซึ่งเมื่อแห้งแล้วจะแข็งตัวจนเอาออกไม่ได้

ผมยืนดูสักพักก็ปลีกตัวมาด้วยความรู้สึกที่เศร้าใจ ทำไมต้องแกล้งกันแรงขนาดนี้ด้วย นึกไม่ถึงจริงๆ

- - -

“ไอ้เหี้ยอูมึงหายไปไหนมาวะ” ไอ้กี้เพื่อนที่นั่งติดกันทักด้วยเสียงหัวเราะเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาวางเป้ที่โต๊ะ ดูมันครึกครื้นอยู่เสมอ

“ไม่สบาย” ผมตอบสั้นๆ

“เมื่อวานมีการบ้านฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์นะโว้ย ส่งพรุ่งนี้” กี้บอก

ผมฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจมันอีก แต่ไปสนใจฟังเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรถของอาจารย์พิกุล จากนั้นผมก็ถามเวชเรื่องการบ้านซึ่งเวชก็บอกว่ายังไม่มีต้นฉบับ แต่พรุ่งนี้เช้าจะเอามาให้ลอก เวลาคุยเรื่องการบ้านกับกลุ่มเวชนี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำ เพราะว่าไม่ค่อยทำ หาต้นฉบับมาลอกเสียเป็นส่วนใหญ่

เช้าวันนั้นผมเรียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะมีอาการง่วงซึมจากฤทธิ์ยาที่กินมาในตอนเช้า แต่พอตกบ่าย ฤทธิ์ยาก็ค่อยๆคลายตัวลง แต่กว่าที่ผมจะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาบ้างก็เป็นคาบสุดท้ายของวันแล้ว...

เมื่อคิดถึงว่าอีกสักครู่ผมก็จะต้องกลับไปอยู่ในห้องที่คับแคบอุดอู้อีก จมอยู่กับความรู้สึกผิดและเจ็บปวดกับการลงโทษจากมโนธรรมของตนเอง ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ไอ้นัยจากไป และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิด มโนธรรมคอยตอกย้ำความผิดของผมอยู่เสมอจนทำให้ผมคิดมากและฟุ้งซ่าน จิตใจถูกกัดกร่อนด้วยอดีตและความรู้สึกที่เจ็บปวด จนมาในช่วงหลังผมจึงค่อยเริ่มรู้สึกทำใจขึ้นมาได้บ้าง แต่อาการป่วยในครั้งนี้กลับทำให้ผมกลับไปคิดมากและฟุ้งซ่านอีก

ผมรู้สึกกลัว กลัวที่จะต้องกลับไปจมอยู่กับความเจ็บปวดอีก... กลัวเสียงจากมโนธรรมที่คอยตำหนิผมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน... และท้ายที่สุด ความฝันเกี่ยวกับไอ้นัยเมื่อวันก่อนทำให้ผมกลัวว่าไอ้นัยจะเป็นอะไรไป... เมื่อก่อนเมื่อผมคิดถึงไอ้นัย ผมจะรู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิด แต่นานไปความรู้สึกเจ็บปวดกลับถูกผสมด้วยความหวาดกลัว... จนกลายเป็นว่าผมกลัวที่จะคิดถึงมัน...

ไม่ไหวแล้ว... ผมทนอยู่กับอดีตที่คอยกัดกร่อนชีวิตและจิตใจของผมต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าผมทนเผชิญกับมโนธรรมไม่ได้ ผมก็จะต้อง...

หนี!

จำได้ว่าเมื่อตอนปิดเทอม ตอนที่ผมเข้ามาหาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ผมกระตือรือร้นขึ้นมามาก ปัญหาที่ผมเผชิญทำให้ผมลืมอดีตไปได้ ถ้าอย่างนั้นผมคงก็ควรจะต้องหาอะไรทำให้ยุ่งๆเข้าไว้ จะได้ไม่มัวไปคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ

นัย กูไม่ไหวแล้วจริงๆ กูเหมือนติดอยู่ในวังวนของความเจ็บปวด ชีวิตไม่รู้จะเดินไปทางไหน กูทนมันต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว กูต้องพยายามลืมมึง... ขอโทษด้วยนะเพื่อน...

- - -

เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนทุกคนเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าผมควรจะหาอะไรทำดีเพื่อให้ยุ่งเข้าไว้

“เฮ้ย ไอ้เวช ไปตีสนุ้กกัน” เสียงเกรียงเอะอะ

“เออ ดี ไป ไป” เสียงเพื่อนๆสนับสนุน

“ไปดิ กำลังเซ็งๆเหมือนกัน” เวชพูด

ตีสนุ้กที่ว่าก็คือการเล่นสนุ้กเกอร์นั่นเอง สมัยนั้นและยุคก่อนหน้านั้น สนุ้กเกอร์เป็นเกมฮิตอย่างหนึ่งของนักเรียนมัธยมปลาย แต่อาจารย์ฝ่ายปกครองมักไม่ค่อยชอบใจเพราะคิดว่าเป็นการมั่วสุม นักเรียนมัธยมปลายที่เกเรหน่อยมักหนีโรงเรียนหรือใช้เวลาหลังเลิกเรียนที่โต๊ะสนุ้กเกอร์ เล่นสนุ้ก สูบบุหรี่ กินเบียร์ โต๊ะสนุ้กก็หาได้ทั่วไป โดยเฉพาะแถวย่านปากคลองตลาด แต่มักจะหลบอยู่ชั้นบนคือชั้นสองหรือชั้นสาม ไม่ตั้งประเจิดประเจ้ออยู่ชั้นล่างริมถนน

“เอ้อ เวช” ผมพูดกับเวชอย่างอึกอัก “ตีสนุ้กเหรอ ไปด้วยคนได้ไหม”

เวชมองหน้าผมด้วยสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เหมือนกับไม่เคยรู้จักผมมาก่อน

“มึงจะไปเล่นสนุ้กเหรอ ตีเป็นด้วยเหรอวะ” เวชถาม

“เปล่า ไม่เป็นหรอก แต่ว่าอยากลองหัดดูน่ะ” ผมพูด

“พวกกูไม่ได้รับสอนโว้ย ตีไม่เป็นมึงไปหัดที่อื่น เสียเวลาเล่นของพวกกู” เกรียงพูดแทรกเสียงดัง

“เออ ถ้ามาหัดให้มึงมันเสียเวลาว่ะ” เวชพูดปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าไอ้เกรียงมาก “แต่ถ้ามึงจะไปนั่งดูละก็ไม่ขัดข้อง”

เป็นอันว่าในที่สุดผมก็มีสถานที่สำหรับฆ่าเวลาหลังเลิกเรียน อย่างน้อยก็ในวันนี้...


<ยาชุดคือยาหลายๆ ชนิดที่จ่ายไปเป็นชุด มักมีการตั้งชื่อหรือโฆษณาสรรพคุณเลอเลิศเกินเลยความจริงหรือถึงขั้นหลอกลวง สมัยก่อนมีขายทั่วไปทั้งในเมืองและในชนบท ยาชุดเหล่านี้ประกอบด้วยยารูปร่างและสีต่างๆ กันชุดละ 3 เม็ดบ้าง บางทีก็มากกว่านั้นไปจนุงชุดละ 9 เม็ด โดยไม่บอกว่าประกอบด้วยยาอะไรบ้าง แต่การศึกษาพบว่ายาเหล่านี้มียาอันตรายหลายอย่าง เช่น ยาพวกสเตียรอยด์ คลอแรมเฟนิคอล เฟนาซิติน คาเฟอีน ยากล่อมประสาท เฟนีย์ลบูตาโซน ไดไพโรน ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นยาอันตรายและมีผลข้างเคียงทั้งสิ้น เช่น ยาพวกสเตียรอยด์ ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เป็นเบาหวาน กระดูกผุ กดภูมิต้านทาน ทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรง คลอแรมแฟนิคอล อาจทำให้ไขกระดูกฝ่อ ไดไพโรน ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ เม็ดเลือดแตก ไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น โดยเฉพาะยาชุดลดน้ำหนักที่มาโด่งดังในยุคหลัง สาวโรงงานนิยมกันมาก ประกอบด้วยยาลดความอยากอาหาร (เป็นยากดการทำงานของสมอง ทำให้ไม่หิว) รักษาไทรอยด์ (เร่งการเผาผลาญในร่างกาย) ยารักษาความดันโลหิตสูง (ใช้ลดอาการใจสั่น) ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ (รีดมวลอาหารและน้ำออกจากร่างกาย) ยานอนหลับ (ใช้ลดอาการนอนไม่หลับ) ยาลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร เพียงเห็นตำรับยาก็สยองแล้ว>


<ยาทัมใจ นิยมกันในหมู่ผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร ส่วนประกอบหลักในยุคนั้นคือแอสไพริน ฟีนาเซติน และกาเฟอีน หรือที่เรียกว่าสูตรเอพีซี (A.P.C.) ผู้ใช้แรงงานนิยมและเกษตรกรมักกินร่วมกับลิโพวิตัน-ดีเพื่อช่วยให้คลายปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก>

17 comments:

Anonymous said...

ขอที่ 1 ก่อน อุอุ
เดี๋ยวค่อยอ่าน

thom

All about Rose said...

ที่สองจ้า

Anonymous said...

รักอาอู พึ่งกัลบถึงบ้านได้สองนาที T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

1. ถ้าอยู่ใกล้อาจารย์พิกุลจะบอกว่า
ใช้น้ำมันรอนสัน(น้ำมันไฟแช็ก) ละลายกาวนั้นได้ครับ
แต่ว่าต้องให้อาจารย์วิทยาศาสตร์ทำ เพราะิอาจเกิด
ไฟไหม้ว่าง และต้องกำจัดน้ำมันส่วนเกินโดยเร็ว

2. ลืมอานัย = ="

3. มั่วสุมเบียร์ บุหรี่ พนันสนุ๊กเกอร์ = ="
(เลิกคบดีไหมนั่น) แต่ละอย่าง

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ที่เท่าไรเนี่ย ที่ 4 อิอิอิ

หลานข้างบนจะตัดสัมพันธ์กับอาอูเสียแล้ว พี่อูทำไงดี 555 หลานคนนี้รักอาอูมากเสียด้วย

จากคนที่ใครก็ไม่รู้ว่าเป็นคุณ

Anonymous said...

ง่ะ งืมๆ

อ่านละนึกถึงตัวเองตอนกินเหล้าครั้งแรก หุหุ

ครั้งแรกผมกินบักจอนนี่เยื้องย่างจรลีด้วยนะ หุหุ

ไฮโซได้อีก

หลานหนิง

naja said...

แค่ร่างการปกติ ก้อเครียดพออยู่แล้ว ยิ่งมาป่วยอีกสภาพจิตใจยิ่งย่ำแย่

ทรมานน่าดู เฮ้อ !

Anonymous said...

ยังดี ยังติดท็อปเทน

แบงค์ครับ

yo408 said...

ตั้งแต่กลับมาเรียน ไม่ได้เล่าเลยว่าแวะไปดูจดหมายนัยบ้างหรือเปล่า

ส่วนเรื่องไม่สบาย สลับกับผมนะ ตอนม.ต้นไม่สบายผมไปขอยาห้องพยาบาลตลอด จะมีซองยาเล็กๆแบบในรูป อจ.จะเขียนกำกับว่ากินเวลาเท่าไหร่ กี่เม็ด เหมือนรพ.เลย แต่หลังๆมีเรื่องทุจริตยาในห้องพยาบาล และค่าใช้จ่ายทางยาสูงมาก เลยเปลี่ยนให้กินรายครั้ง ไม่ให้ยากลับบ้านและลงชื่อว่าจ่ายยาให้ใครกี่เม็ด นร.ต้องลงชื่อด้วย และก็ไม่พลาด ขอยาเช้ากลางวันเย็น วันต่อมาก็ขอเช้ากลางวันเย็น ขอจนกว่าจะดีขึ้น หน้าหนามาก เอิ๊กๆ

Choo said...

เรื่องบางเรื่อง

ยิ่งอยากลึม มันกลับจำ
ที่อยากจำ มันกลับลืม

เรื่องความรักก็คล้ายๆ กัน

ยิ่งอยากเกลียด มันยิ่งรัก
ที่อยากรัก มันกลับเบื่อ

นี่แหละมนุษย์ ยากแท้หยั่งถึง

เป็นกำลังใจให้อูครับ

ชู

Anonymous said...

^
^
^

หึหึ

เห็นด้วยกับอาชูครับ

หลานหนิง

Anonymous said...

ความเหงาตัวเดียวจริงๆ กลายเป็นคบเพื่อนไม่ดีไป พี่อูจะเสียคนไหมเนี่ย

wan

พี said...

ความเหงา ความเศร้า หว้าเหว่...

เป็นสิ่งที่จะนำไปหาสิ่งที่ยั่วยุ ที่เป็นอบายมุขต่าง เพราะอบายมุขต่างๆ นำมาซึ่งความสุข สนุกสนาน รวมทั้งสังคม ก็อยู่ที่ตัว อู เองล่ะ ว่าจะสามารถควบคุมตัวเองให้ไม่หลงใหลเข้าไปลึก จนยากที่จะถอนตัวได้ แต่ผมเชื่อว่า อาจมีใครสักคนที่ที่จะมาทำให้อู หายเหงา หว้าเหว่ และคลายความเศร้าได้บ้าง....

จะรอคนๆ คนนั้นครับ ผมขอเดา ว่า เขาน่าจะอยู่แถวๆ ... ห้องสมุด


รอลุ้นตอนต่อไปดีกว่า ตอนนี้เศร้า

+ P +

Anonymous said...

จริงอย่างข้างบนเขาว่า

Anonymous said...

ก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปไหเได้นะครับ อาอู
Oliver

Anonymous said...

แย่แล้ว แค่ไปกับเวช หลาน arus จะไม่สนใจอาอูเสียแล้ว

ความเหงามันไม่เข้าใครออกใครจริงๆครับ ชีวิตจะเดินต่อไปข้างหน้าได้จะต้องมีความหวังและกำลังใจ แต่ตอนนั้นมีเพียงแค่ความหวัง แต่ไม่มีกำลังใจ ดังนั้นชีวิตจึงเหมือนกับเสียศูนย์

ตอนนั้นพยายามลืมนัย แต่เอาเข้าจริงๆมันยากมาก แต่ก็พยายามทำ เพราะทนต่อไปไม่ไหว แต่พฤติกรรมก็ยังขัดแย้งในตัวเองอยู่ครับ เช่น ตอนเช้าก็ยังไปขึ้นรถที่ซอยภาวนาทุกวัน จดหมายก็ยังไปดูบ้าง แต่ไม่ได้ไปดูทุกวันเหมือนก่อน ส่วนที่พยายามทำก็คือพยายามเกาะกลุ่มเพื่อน เพราะว่าช่วงหน้าหนาวตอนเย็นๆค่ำๆบรรยากาศจะหม่นทึม น่าหดหู่ ทำให้เศร้า ก็พยายามหลีกเลี่ยงโดยเกาะเพื่อนเพื่อนจะได้กลับบ้านดึกหน่อย ก็ได้กลุ่มเวชนี่แหละครับ

ตอนต่อๆไปหลาน arus คงไม่ชอบใจแน่เลย แต่เส้นทางชีวิตบางครั้งก็ยากจะหลีกเลี่ยงได้ครับ

ดีใจที่เห็นโดโด้อีก นึกว่าหายไปไหน ที่แท้โทรศัพท์เสีย แบงค์ก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้นานๆจะได้เห็นสักที

อู

Anonymous said...

)^_^(วันนี้ลุงไปเชียร์บอลมาใช่ม้าผมเห็นนะชนะด้วยเนอะๆ ม่ายเอาม่ายปลื้มทำไมไม่ไปหาน้องบอยละครับไปสอนการบ้านให้น้องดิจะได้ลืมระหว่างสอนก็นั่งทำการบ้านอ่านหนังสือไปด้วยไงครับลุงนี่ ดันไปกับเวชได้ไงสงสัยลุงจะสูบบุหรี่นะซิ ถ้าใช่ก็เลิกซะนะครับไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเร้ย ไปดู2012มารึยังครับหนุกมากลุงอย่าลืมไปดูนะครับปีนี้พีม5กับ6ไปเขาชนไก่ละม้งรอดไปหุหุ มาเล่าให้ฟังบ้างซิครับตอนลุงไป จั้ดแถว แทงปลาไหลนี่เบื่ค้อดๆ