ที่นั่นจะมีรถ บขส. สีส้มๆ ที่มุ่งเข้ากรุงเทพฯมาจอดรับส่งผู้โดยสาร แต่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ไม่แน่ใจว่าวันหนึ่งมากี่เที่ยวแต่พอรู้ว่าถ้ามาช่วงเช้าจะมีรถแน่ หรือไม่อย่างนั้นก็ขึ้นรถโดยสารระหว่างอำเภอเข้าไปที่สถานีขนส่งในตัวเมือง ที่นั่นจะมีรถเข้ากรุงเทพฯมากกว่า
ผมไม่อยากเสียเวลาเข้าไปในเมือง จึงเลือกมารอรถที่นี่แต่เช้า รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง รถ บขส. ที่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯก็มาถึง คนในรถแน่นขนัด ทั้งคนและสิ่งของ แออัดยัดเยียดไปหมด
ไม่มีที่นั่ง ยืนก็ได้วะ ผมคิดในใจ ไม่อยากรอคันต่อไปเพราะไม่รู้ว่าเมื่อรจะมา รวมทั้งไม่รู้ว่ามาแล้วจะได้นั่งหรือไม่ ในเมื่อไม่มีอะไรแน่นอน ผมไปคันนี้ก่อนดีกว่า
รถ บขส. สีส้ม ไม่ติดแอร์ เปิดหน้าต่างรับลมโกรก แต่อากาศที่เข้ามาดูเหมือนจะไม่ช่วยบรรเทาความร้อนอบอ้าวภายในรถเท่าไร เพราะในรถค่อนข้างแออัด
ประสบการณ์การเดินทางเข้ากรุงเทพฯเองเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เองที่ว่ารถหวานเย็นนั้นเป็นอย่างไร รถ บขส. ขับเร็ว แต่ทว่าจอดบ่อยมาก เดี๋ยวก็จอด เดี่ยวก็จอด เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็ผมรู้สึกว่ายืนจนเมื่อยแล้ว ที่คิดเอาไว้ว่าพอมีคนลงแล้วจะได้นั่งบ้างกลับคิดผิด เพราะวันนั้นหาที่นั่งว่างไม่ได้เลยจนเกือบตลอดทาง มาได้นั่งเอาแถวๆรังสิตซึ่งแทบไม่ช่วยอะไร
เหตุที่ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯในวันนี้ก็เพราะผมคิดจะมาหาหอพัก ตอนนี้แม่มีแนวโน้มสนับสนุนให้ผมกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯอีก แต่คงยังติดปัญหาเรื่องที่พัก ถ้าจะไปพักบ้านคุณลุงก็คงยากแล้ว แต่ถึงจะเป็นไปได้ผมเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ผมนึกถึงคำพูดของตี๋เรื่องหอพักขึ้นมา นี่ถ้าผมสามารถหาหอพักได้ ผมก็อาจต่อรองกับพ่อเพื่อกลับเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯอีกครั้งได้
นี่ถ้ามีไอ้นัยอยู่ด้วยก็คงดี คิดแล้วผมก็รู้สึกปวดแปลบในใจขึ้นมา บ่อยครั้งที่ผมคิดถึงไอ้นัย แต่ทุกครั้งที่ผมคิดถึงไอ้นัยผมจะรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป ดังนั้นเมื่อไอ้นัยวูบเข้ามาในความคิด ผมก็พยายามจะหยุดคิดและสลัดมันออกไป
สถานีขนส่งสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือหรือที่เรียกว่าหมอชิตในตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่เดียวกับในปัจจุบัน ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นหมอชิตใหม่ เดิมทีสถานีขนส่งหมอชิตอยู่ตรงข้ามสวนจตุจักร ตรงที่ปัจจุบันเป็นที่จอดรถและอู่เก็บรถของรถไฟฟ้าบีทีเอสนั่นเอง
ผมลงจากรถที่สถานีหมอชิตด้วยอาการเหงื่อไหลไคลย้อย ตอนนั้นเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าเข้าไปแล้ว รถสีส้มหวานเย็นช้ากว่าที่ผมคาดเอาไว้มาก
ผมคิดเอาเองว่าหอพักควรอยู่ใกล้สถานศึกษา ดังนั้นเป้าหมายแรกที่ผมจะมาลองหาหอพักดูก็คือย่านปากทางลาดพร้าวนั่นเอง เพราะในละแวกนั้นมีโรงเรียนอยู่ถึงสามแห่ง น่าจะต้องมีหอพักอยู่บ้าง
ที่จริงแล้วผมรู้จักย่านปากทางลาดพร้าวดี เพราะตอนอยู่ประถมเดินอกมาซื้อของบ่อยๆ ผมจำได้ว่าไม่เคยเห็นหอพักที่ไหนเลยสักแห่ง แต่ในเมื่อนี่เป็นความหวังใยเดียวของผม ผมคงต้องลองพยายามหาดู
ผมนั่งรถมล์จากหมอชิตมาลงที่ปากทางลาดพร้าว จากนั้นก็ตั้งต้นตั้งแต่ลาดพร้าวซอย ๑ เดินดูไปเรื่อย เริ่มแรกก็ไปถามร้านค้าแถวปากซอยก่อน
“หอพักนักเรียนเหรอ เอ... ในซอยนี้ไม่มีมั้ง” เถ้าแก่ร้านขายของชำปากซอยลาดพร้าว ๑ พูด “แต่ลองเข้าไปดูก็ได้ เผื่อจะมี”
ผมเดินหาทั้งฝั่งซอยคี่และฝั่งซอยคู่ อย่างซอย ๑ กับ ซอย ๓ ที่ลึกมาก ผมก็เดินเข้าไปจนลึก เผื่อว่าจะมีหอพักหลบๆอยู่ในส่วนลึกของซอย ปากก็ถามคนในซอยไปด้วย แต่ก็ไม่มีหอพักเลยสักแห่ง
“แถวนี้ไม่มีหรอก ไปหาแถวหน้ารามสิน้อง แถวนั้นหอพักนักศึกษาเพียบเลย” พี่คนหนึ่งที่ผมถามระหว่างเดินอยู่ในซอยให้คำแนะนำ
หน้ารามที่พี่คนนั้นพูดถึงก็คือหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงนั่นเอง ที่จริงตอนนั้นราม ๒ หรือรามวิทยาเขตปัจฉิมสวัสดิ์ที่บางนาก็เปิดสอนแล้ว เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ แต่คำว่าหน้ารามก็ยังหมายถึงตรงหัวหมากอยู่นั่นเอง
ขอบโลกของผมอยู่เพียงแค่ซอยบ้านไอ้นัยเท่านั้นเอง ไกลกว่านั้นผมก็ไม่รู้จักแล้ว บังเอิญพี่คนนั้นเรียนรามอยู่ จึงแนะนำผมเกี่ยวกับการเดินทางและที่พัก บอกว่าให้ขึ้นรถเมล์สาย ๙๒ แล้วก็นั่งไปเรื่อยๆ เมื่อถึงแล้วกระเป๋าก็จะตะโกนบอกเอง หรือถ้ากระเป๋าไม่บอกก็เห็นได้เอง เพราะหน้ามหาวิทยาลัยจะมีนักศึกษาเดินไปมาเยอะมาก ส่วนหอพักนั้นก็ให้หาเอาจากฝั่งตรงข้ามหาวิทยาลัย ดูตั้งแต่ซอยรามคำแหง ๕๓, ๕๑, ๔๙ ฯลฯ ย้อนขึ้นไปเรื่อยๆ
ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว การหาหอพักกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ผมไม่อยากกลับบ้านแบบคว้าน้ำเหลวจึงตัดสินใจลองไปดูแถวๆหน้าราม เผื่อว่าจะพอได้ความอะไรขึ้นมาบ้าง
เมื่อรถเมล์ผ่านซอยลาดพร้าว ๑๐๑ ไป สถานที่ต่อจากนั้นผมก็ไม่รู้จักเลย แต่จำได้ว่าย่านบางกะปิตอนนั้นยังไม่หนาแน่นเท่าปัจจุบัน โดยเฉพาะตรงแยกบางกะปิ พื้นที่แถวนั้นยังดูโล่งๆเพราะว่ายังไม่มีเดอะมอลล์บางกะปิ ถ้าจำไม่ผิดตรงนั้นน่าจะเป็นทุ่งหญ้าอยู่ กว่าจะมีเดอะมอลล์บางกะปิก็ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และหลังจากนั้นอีกหลายปีต่อมาจึงตามมาด้วยโลตัส ส่วนบ้านสวนสงบที่อยู่ข้างเดอะมอลล์บางกะปินั้นมีมานานแล้ว ผมยังจำได้เพราะว่ามีต้นไม้หนาแน่น ดูสงบ ร่มเย็น สมชื่อจริงๆ
ย่านหน้ารามคำแหงในตอนนั้นก็จอแจวุ่นวาย เต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ ทางเท้าก็แทบไม่มีที่เดินเพราะมีแต่แผงสินค้าวางเต็มไปหมด ผู้คนแถวนั้นดูจะเดินกันอย่างใจเย็น เดินไปก็ชมสินค้าตามทางเท้าไป ต่างจากผมที่ต้องเร่งรีบ
หลังจากถามคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็หาซอยราม ๕๓ จนพบ หลังจากนั้นก็เริ่มเดินสำรวจหอพักในย่านนั้นทันที หอพักที่เห็นขึ้นป้ายส่วนใหญ่เป็นหอพักหญิง ไม่เห็นมีหอพักชาย แต่ก็เห็นนักศึกษาทั้งหญิงและชายเดินเข้าเดินออกตามตึกแถวต่างๆซึ่งดูหน้าตาก็คล้ายๆจะเป็นหอพัก แต่ไม่ได้ขึ้นป้ายเอาไว้ว่าเป็นหอพัก แต่ขึ้นป้ายเอาไว้ว่า ‘มีห้องว่าง’
“พี่ครับ แถวนี้ไม่มีหอพักชายเลยเหรอ” ผมถามพี่นักศึกษาคนหนึ่งที่เดินอยู่แถวหน้าปากซอยราม ๔๙
“น้องจะหาหอพักชายไปทำไม เป็นผู้ชายก็เช่าห้องที่ไหนอยู่ไปก็ได้ ไม่เห็นจะต้องไปอยู่หอพักเลย หอพักชายหายากน้อง” พี่นักศึกษาคนนั้นตอบ
ผมงงกับคำตอบ เพราะไม่เข้าใจว่าหอพักกับห้องเช่าต่างกันอย่างไร พี่คนนั้นก็ตอบไม่ได้ความชัดเจนนัก เมื่อถามไม่ได้ความผมจึงลองไปสอบถามตามตึกแถวที่ขึ้นป้ายเอาไว้ว่า ‘มีห้องว่าง’ ดู
หลังจากสอบถามห้องว่างให้เช่าอยู่หลายที่ ในที่สุดผมก็ถึงบางอ้อ ได้ความกระจ่างว่าหอพักกับห้องเช่านั้นไม่เหมือนกัน
หอพักนั้นมีกฎหมายควบคุมหลายฉบับ การเปิดหอพักไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเปิดแล้วก็ต้องมีกฎระเบียบสำหรับผู้เข้าพักมากมาย ต้องแบ่งเพศ เข้าออกต้องเป็นเวลา ฯลฯ ส่วนห้องเช่านั้นก็คือห้องว่างที่แบ่งให้เช่า ใครจะเข้ามาอยู่ก็ได้ ไม่มีกฎระเบียบอะไรมากมาย พอพักที่นิยมเปิดกันจะเป็นหอพักหญิง เพราะผู้ปกครองจะรู้สึกเบาใจมากกว่าแทนที่จะส่งลูกสาวให้มาพักตามห้องเช่าทั่วไปเนื่องจากเกรงว่าจะไปมั่วสุมกัน ส่วนหอพักชายไม่มีใครอยากเปิดเพราะมีเรื่องกินเหล้าตีกัน ทุบทำลายข้าวของบ่อย ดูแลความสงบเรียบร้อยได้ยาก ดังนั้นนักศึกษาชายส่วนใหญ่จึงอยู่แบบห้องเช่าทั่วไป ส่วนนักศึกษาหญิงส่วนหนึ่งที่ผู้ปกครองเข้มงวดหน่อยก็อยู่หอพักหญิง อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ตามห้องเช่าทั่วไป
ผมเดินดูย่านหน้ารามได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับ เพราะตอนนั้นก็บ่ายมากแล้ว แต่ก็ได้ความรู้ที่สำคัญมาเรื่องหนึ่งก็คือผมคิดผิดมาตลอดที่พยายามหา ‘หอพัก’ ที่จริงผมควรหาห้องเช่ามากกว่า ปัญหาอยู่ที่เรื่องการใช้คำศัพท์นี่เอง
กว่าที่ผมจะกลับมาถึงสถานีขนส่งหมอชิตอีกครั้งก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกเมื่อยล้ามาก เพราะว่ายืนและเดินมาเกือบตลอดทั้งวัน แทบไม่ได้นั่งเลย ผมเมื่อยจนผมคิดว่าผมคงยืนในรถส้มหวานเย็นอีกสามสี่ชั่วโมงไม่ไหวแน่
ผมตัดสินใจเปลี่ยนไปนั่งรถทัวร์หรือว่ารถปรับอากาศกลับบ้านดูบ้าง ค่าตั๋วรถทัวร์แพงกว่ารถส้มพอดู แต่ก็สบายเพราะว่าได้นั่ง แม้จะต้องไปลงที่ขนส่งเมืองแล้วต่อรถมาที่อำเภออีกทีก็ตาม
ปรากฏว่าผมตัดสินใจไม่ผิด เพราะว่ารถปรับอากาศนั่งสบาย ทำให้ผมนั่งหลับมาตลอดทาง อีกทั้งรถทัวร์ไม่จอดตามรายทาง ทำให้ประหยัดเวลาไปได้มาก
ผมกลับมาถึงบ้านในเวลาประมาณสามทุ่ม ด้วยอาการอ่อนล้า
“อู ไปไหนมาทั้งวันเลย ทำไมกลับดึกแบบนี้ แม่เป็นห่วงรู้ไหม” แม่ดาหน้าเข้ามาทันทีเมื่อเห็นผม สีหน้าของแม่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ก็อูไปหาเพื่อนไง” ผมตอบอ้อมแอ้ม
“หาเพื่อนที่ไหน ทำไมกลับผิดเวลาแล้วไม่โทรศัพท์มาบอก โอ๊ย ลูกคนนี้จะทำให้แม่ห่วงไปถึงไหน” แม่บ่น
หลังจากผ่านด่านแม่ไปก็ต้องไปเจอด่านพ่ออีก พ่อบ่นใส่ผมอีกหนึ่งกระบุง ผมสังเกตว่าตั้งแต่กลับบ้านมาช่วงปิดเทอมนี้ ตอนหัวค่ำพ่อมักจะหน้าแดงๆ เหมือนกับไปตากแดดมากทั้งวัน แต่ก็น่าแปลกที่บางวันพ่อก็หน้าแดงทั้งๆที่ไม่ได้ออกไปไหน
ผมรีบกินอาหารเย็นที่วางไว้บนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว ความหิวมีน้อยกว่าความเมื่อยล้า เมื่อกินอาหารเสร็จผมก็รีบขึ้นไปอาบน้ำและเข้านอนทันที
ก่อนจะนอนได้ผมต้องผ่านด่านเอ๊ดอีกหนึ่งด่าน ตอนนั้นเอ๊ดนั่งฟังเพลงอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอนแล้ว
“หายไปไหนมาทั้งวัน แม่บ่นจะแย่” เอ๊ดพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ไปหาเพื่อน” ผมตอบ
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ตั้งแต่กลับมาอูไม่เคยออกไปไหนเลย แล้วจู่ๆก็หายตัวออกไปหาเพื่อนทั้งวัน” เอ๊ดซักต่อพลางเพ่งสายตามองผม “นี่คิดก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า”
“อุ้ย เปล่า” ผมรีบตอบ รู้สึกเสียวๆ ดูเหมือนว่าเอ๊ดจะรู้ทันผม ที่จริงก็อยากเล่าเรื่องให้เอ๊ดฟัง เผื่อว่าเอ๊ดจะได้ช่วยพูดสนับสนุนให้ผม แต่ตอนนี้ผมยังหาที่พักในกรุงเทพฯไม่ได้เลย พูดไปก็เลื่อนลอย เอาไว้อีกสองสามวันค่อยพูดดีกว่า
“อูง่วงมากเลย ขอนอนก่อนนะ” ผมรีบตัดบทก่อนที่เอ๊ดจะพูดอะไรต่อ ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง แถมเอาหมอนปิดหน้าปิดหัวเสียอีกด้วย
- - -
วันต่อมา ผมตื่นสายเพราะเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทาง แผนการที่วางไว้ว่าจะเข้ากรุงเทพฯอีกครั้งก็ต้องเลื่อนไป จนวันถัดมา ผมก็แต่งตัวและออกจากบ้านแต่เช้าตรู่อีก
“แม่ อูไปบ้านเพื่อนอีกนะ คราวนี้กลับดึกหน่อย” ผมบอกแม่จากนั้นก็รีบเดินอ้าวออกจากบ้านไปโดยไม่เปิดโอกาสให้แม่ถามอะไร
ครั้งนี้ผมมีประสบการณ์มากขึ้น จึงเลือกเดินทางเข้ากรุงเทพฯโดยรถทัวร์ เมื่อมาถึงหมอชิต ผมก็นั่งรถต่อมาที่ปากทางลาดพร้าวทันที
คราวนี้ผมไม่ได้หาหอพักแล้ว แต่พยายามมองดูป้ายห้องว่างให้เช่าต่างๆ ที่ซอยลาดพร้าว ๑ และ ๓ และซอยคู่ฝรั่งตรงข้ามนั้นผมเดินจนหมดแล้วตั้งแต่เมื่อวาน คิดว่าไม่เห็นป้ายห้องว่างให้เช่าเลย มาวันนี้ผมจึงเดินไล่ต่อไปทีละซอย
ผมเดินหาไปเรื่อยตั้งแต่ซอย ๕, ๗, ๙, ๑๑ และฝั่งซอยคู่ที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่คราวนี้ปรับวิธีการบ้าง คือใช้การถามแถวๆหน้าปากซอยให้มากขึ้น และถ้าซอยไหนที่ลึกมากๆ เดินเข้าไปราว ๑๐ นาทีแล้วยังไม่พบผมก็จะกลับออกมาก เพราะว่าถ้าลึกเกินไปเวลามาอยู่จริงๆก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
ที่จริงย่านหน้ารามคำแหงมีห้องว่างมากมาย แต่ผมคิดดูแล้วเห็นว่ามันไกลมาก การเดินทางไปกลับจากโรงเรียนอาจจะไม่ไหว ผมเลยมาเดินหาแถวย่านลาดพร้าวที่ผมคุ้นเคยแทน แต่สาเหตุสำคัญที่สุดที่ผมเลือกหาห้องเช่าในย่านลาดพร้าวก่อนเป็นอันดับแรกเพราะผมต้องการพักใกล้ๆกับที่พักเดิมของผมให้มากที่สุดนั่นเอง
เดินหาอยู่หลายชั่วโมง จนมาจนถึงซอยลาดพร้าว ๒๖ มีอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง แต่คิดค่าห้องแพงมาก เดือนละสามพันกว่าบาท ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ มีเครื่องปรับอากาศให้ ซึ่งผมคิดว่าคงเกินกำลังที่จะอยู่ได้
เดินมาอีกจนถึงซอย ๒๓ หรือซอยวิทยาลัยครูจันทรเกษม (ชื่อในตอนนั้น ปัจจุบันคือสถาบันราชภัฎจันทรเกษม) ผมก็พบห้องว่างให้เช่าห้องหนึ่ง เป็นตึกแถวที่อยู่หน้าตลาด เดินเข้ามาจากถนนใหญ่เพียง ๒๐-๓๐ เมตร เจ้าของแบ่งซอยเป็นห้องให้เช่า
เมื่อผมเข้าไปดูห้อง พบว่าเป็นห้องขนาดเท่าแมวดิ้นตาย มีตู้เสื้อผ้าแบบพลาสติกหนึ่งใบ โต๊ะทำงานหนึ่งตัว และเตียงเดี่ยวหนึ่งหลัง พร้อมกับที่ว่างในห้องอีกประมาณครึ่งตารางเมตร ถ้าวางถังขยะอีกใบก็คงเต็มพอดี ไม่มีที่เดิน หน้าต่างก็ไม่มี มีเพียงช่องลมเหนือประตู
เพียงผมเดินเข้ามาในห้องก็รู้สึกอบอ้าวขึ้นมาทันที
“เหลือห้องเดียวเองนะน้อง เนี่ย มีคนมาจองเอาไว้ แต่ไม่ได้วางเงินมัดจำ” เจ้าของซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนพยายามโน้มน้าว “ถ้าน้องวางมัดจำก่อนพี่ก็ให้สิทธิ์น้องก่อน แถวนี้มีแต่ที่นี่แหละ น้องไม่ต้องไปดูที่อื่นหรอก”
ในตอนนั้นห้องว่างให้เช่าในย่านลาดพร้าวยังมีไม่มากเหมือนกันยุคนี้ ถ้าเป็นตอนนี้ละก็เดินไปไม่ไกลก็หาได้แล้ว เมื่อห้องเช่ามีน้อย ผมจึงต้องคิดหนัก ไม่เอาก็กลัวหลุดมือ จะเอาก็กลัวอยู่ไม่ไหว เพราะทั้งแคบ ทั้งร้อนอบอ้าว ค่าเช่าประมาณพันสอง รวมน้ำไฟเสร็จ ใช้ห้องน้ำรวม
ซอยลาดพร้าว ๒๓ เป็นซอยที่ลึกมาก เดินเข้าไปได้อีกหลายกิโลเมตรเลยทีเดียว แต่ผมเดินเข้าไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อไม่พบห้องเช่าอื่นอีกก็กลับออกมา
ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปหน่อยเป็นซอย ๓๐ ในซอยมีบ้านแบ่งเป็นห้องให้เช่าเหมือนกัน แต่ว่าเต็ม จึงไม่ได้เข้าไปดู แต่การพบว่ามีอพาร์ตเมนต์และห้องให้เช่าหลายแห่งทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของห้องเช่าในยุคนั้นก็คือถ้ามีห้องว่างจึงจะขึ้นป้าย ‘มีห้องว่าง’ หน้าตึกหรือว่าหน้าบ้าน แต่ถ้าผู้เช่าพักอยู่เต็มจะปลดป้ายลง ผู้ที่ไม่ได้อยู่แถวนั้นก็จะไม่รู้ว่าที่นี่มีห้องให้เช่า ตลอดสองวันที่ผ่านมาผมอาจจะเดินผ่านพวกห้องให้เช่านี้มาหลายแห่งแล้วก็ได้ เพียงแต่ว่าไม่มีห้องว่างอยู่ผมจึงไม่เห็นป้าย
จากนั้นผมก็เดินไปยังซอยลาดพร้าว ๓๔ ในตอตนั้นระหว่างซอย ๓๐ กับ ๓๔ เป็นเพียงที่รกร้างว่างเปล่า แต่เมื่อไม่นานมานี้เองก็กลับกลายเป็นโครงการคอนโดมิเนียม เดอะรูม
ผมเดินข้ามถนนไปยังซอย ๒๕ ในตอนนั้นระหว่างซอย ๒๓ กับ ๒๕ เป็นเพียงทุ่งหญ้ารกร้างสุดลูกหูลูกตาเช่นกัน แต่ในปัจจุบันคือโครงการบ้านกลางกรุง
ในซอย ๒๕ นี่เองที่ผมพบตึกแถวทำเป็นห้องให้เช่าอยู่แห่งหนึ่ง ตึกแถวนี้กินเนื้อที่สามคูหา มีสี่ชั้นกับดาดฟ้า สองคูหากั้นเป็นห้องให้เช่า ส่วนอีกหนึ่งคูหาเจ้าของเอาไว้อยู่เอง แถมถัดจากห้องเช่าแห่งนี้เดินเข้าไปในซอยอีกเพียงเล็กน้อยก็จะมีบ้านที่แบ่งห้องให้เช่าอีกด้วย ซึ่งบ้านแบ่งให้เช่านี้ผมมารู้เอาทีหลังเนื่องจากในตอนแรกไม่ได้ขึ้นป้ายเอาไว้
“น้องจะเช่าห้องเหรอ” แม่บ้านที่คอยดูแลความเรียบร้อยในตึกและจัดการกิจการงานจิปาถะถามผม
“ครับ” ผมตอบ
“มาคนเดียวเหรอ” แม่บ้านถามอีก ทำสีหน้าสงสัย
“ครับ” ผมตอบสั้นที่สุด
“ทำไมไม่มีผู้ใหญ่มาด้วยล่ะ” แม่บ้านถามอีก
“ผู้ใหญ่ไปดูซอยอื่นอยู่ครับ เด็กเลยมาดูทางนี้ก่อน” ผมตอบ ชักเริ่มกรุ่นๆอยู่ในใจ จะซักอะไรกันนักหนา ผมคิดในใจ
จากนั้นแม่บ้านก็พาผมไปดูห้องว่าง ห้องที่ผมดูอยู่ชั้นสี่ เป็นห้องที่อยู่ด้านหน้า ติดถนนซอย จึงมีหน้าต่างถึงสามบาน ถ้าเป็นห้องอื่นๆจะมีหน้าต่างเพียงสองบานตรงทางเดิน เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องก็มีตามมาตรฐานขั้นต่ำ คือ ตู้ โต๊ะ และเตียง ที่ผมชอบมากคือโต๊ะทำงาน เพราะเป็นโต๊ะที่หันหน้าเข้าหาหน้าต่าง สามารถมองเห็นทิวทัศน์นอกตึกได้ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ไม่มีเรียกเก็บน้ำไฟต่างหาก อีกห้องน้ำรวม สภาพห้องน้ำรวมก็ดูดี ใช้ได้ ห้องนี้เป็นห้องที่ถูกใจผมมาก

<รถ บขส. สีส้ม ไม่ติดแอร์ เปิดหน้าต่างรับลมโกรก แต่อากาศที่เข้ามาดูเหมือนจะไม่ช่วยบรรเทาความร้อนอบอ้าวภายในรถเท่าไร เพราะในรถค่อนข้างแออัด ประสบการณ์การเดินทางเข้ากรุงเทพฯเองเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เองที่ว่ารถหวานเย็นนั้นเป็นอย่างไร รถ บขส. ขับเร็ว แต่ทว่าจอดบ่อยมาก เดี๋ยวก็จอด เดี่ยวก็จอด เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็ผมรู้สึกว่ายืนจนเมื่อยแล้ว>