Tuesday, August 18, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 14

นับตั้งแต่วันที่ผมได้อ่านจดหมายจากไอ้นัย ชีวิตของผมก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง จวบจนวันที่ผมได้คุยกับคุณอาผู้หญิง มันได้ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

เดือนสิงหาคมในปีนี้ฝนตกชุก ในคืนวันหนึ่ง เวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว ฝนกำลังตกพรำๆ อากาศเย็นสบาย ผมปิดไฟในห้องและนั่งสงบอยู่ที่โต๊ะหนังสือ เปิดเพลงเบาๆจากวิทยุ หมู่นี้ผมชอบปิดไฟและนั่งปล่อยความคิดอยู่ในความมืดเสมอๆ

ผมวางจดหมายฉบับสุดท้ายของไอ้นัยอยู่บนโต๊ะทำงานข้างๆกล่องทิชชู่รูปหมา ชีวิตของไอ้ชัชคงราบรื่นดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนอยู่ชั้นประถม ไอ้ชัชเป็นเด็กที่ดูแววอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง เรียนก็ปานกลาง กีฬาก็งั้นๆ แต่มันกลับผ่านชีวิตวัยรุ่นที่สุขสงบได้ ตรงข้ามกับไอ้นัยที่ฉายแววของเด็กเก่งมาตั้งแต่ชั้นประถมปลาย แต่แล้วในที่สุดชีวิตกลับต้องพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ

ผมมองจดหมายของไอ้นัยในความมืด ผมอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายของไอ้นัยไม่รู้ว่ากี่รอบแล้ว ทุกครั้งที่อ่านผมจะรู้สึกเจ็บปวด ทุกประโยคที่ไอ้นัยระบายออกมามันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับถูกกล่าวโทษ แต่ผมก็ยังอยากอ่าน... ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้ชดเชยอะไรให้แก่ไอ้นัยได้บ้าง...

ไอ้นัย ถ้าเราไม่รู้จักกัน ชีวิตมึงคงดีกว่านี้เยอะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้กูขอไม่รู้จักมึงดีกว่า...

“สำหรับเพลงสุดท้ายของคืนวันนี้ เป็นเพลงที่คุณผู้ฟังขอมา เนื่องจากเป็นเพลงอำลา เราจึงนำมาเปิดในตอนปิดท้ายรายการ เพลงนี้มีชื่อว่า Aloha Oe และเราขอกล่าวราตรีสวัสดิ์กับท่านผู้ฟังไปก่อน... จนกว่าจะพบกันอีกในวันพรุ่งนี้” เสียงผู้ดำเนินรายการเพลงแว่วออกมาจากวิทยุ

ผมเร่งเสียงวิทยุให้ดังขึ้นอีกเล็กน้อย เพลงนี้ผมเป็นผู้ขอไปเอง ผมโทรศัพท์หว่านไปตามรายการเพลงฝรั่งที่จัดในช่วงสี่ทุ่มและห้าทุ่มสี่ห้ารายการ เพื่อขอให้ทางรายการเปิดเพลงนี้ให้ จากนั้นก็คอยฟังตอนท้ายรายการของทุกวัน ผมเชื่อว่าคงมีบางรายการที่สามารถเปิดเพลงนี้ให้แก่ผมได้

หลังจากที่ผมได้เทปชุดที่มีเพลง Longer มา ผมก็เปิดฟังแล้วฟังอีก ส่วนเพลง Aloha Oe กับเพลง Just When I Needed You Most นั้นผมไม่มี จึงใช้ขอเอาจากรายการเพลง

เสียงเพลง Aloha Oe ถูกขับขานด้วยท่วงทำนองอันอ่อนหวานปนเศร้า คลอไปกับเสียงยูคัลลิลี ส่งให้ความคิดของผมล่องลอยไปไกลแสนไกล... เสียงเพลงอันอ่อนหวานและเศร้าสร้อย มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับไอ้นัยกำลังตัดพ้อผมอยู่

เมื่อเพลงนี้จบลง ผมจึงปิดวิทยุและนั่งอยู่เงียบๆในความมืด ผมรู้สึกท้อแท้ ไม่อยากทำอะไรเลย อยากนั่งเฉยๆและปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ ความคิดของผมล่องลอยไปแสนไกล แต่จิตวิญญาณของผมกลับจมอยู่ในวังวนของความเจ็บปวดวันแล้ววันเล่าอย่างไม่อาจช่วยตัวเองได้

ผมคิดถึงใบหน้าที่เคยสดใส ไรหนวดเขียวๆ กลิ่นกายอ่อนๆที่ผมเคยหลงใหล ผมนึกถึงตอนที่ไอ้นัยขี่รถล้มจนถลอกปอกเปิกไปหมด นึกถึงตอนที่มันเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง ทันใดนั้น ผมก็นึกถึงตอนที่ไอ้นัยถูก รปภ คุมตัว ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจ...

ตอนอยู่ชั้น ม.๒ และ ม.๓ ผมก็เคยเจ็บปวด แต่นั่นเป็นความเจ็บปวดเพราะผมคิดว่าผมรักไอ้นัย แต่ไอ้นัยกลับเย็นชาและหมางเมินต่อผม แต่สำหรับตอนนี้ ผมไม่ได้เจ็บปวดแบบนั้นอีก ผมเจ็บปวดเพราะเสียงจากมโนธรรมที่คอยติเตียนผมอยู่ทุกวันคืน ไอ้นัยต้องกลายเป็นเกย์ก็เพราะผม และที่มันต้องมีมลทินในชีวิตที่ล้างไม่ออกเช่นนี้ก็เพราะผมอีก

ผมปล่อยให้ความเจ็บปวดกัดกร่อนจิตใจของผม มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับโดนลงโทษแต่ผมก็เต็มใจที่จะรับโทษทัณฑ์นี้ ผมรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่ผมได้รับยังน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมทำแก่ไอ้นัย

- - -

บ่ายวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม

วันนั้นเมฆตั้งเค้าทะมึนตั้งแต่ตอนเลิกเรียน ผมรีบวิ่งไปที่ห้องธุรการเพื่อดูจดหมายตามปกติ เมื่อพบว่าไม่มีจดหมายจากไอ้นัย ผมก็เดินออกมา

ที่ใต้สะพานพุทธ ขณะรอรถเมล์กลับบ้าน ตอนนั้นท้องฟ้าดำทะมึน ลมพัดแรง ผมยืนเหม่อมองสายน้ำเจ้าพระยา ระลอกลูกแล้วลูกเล่าม้วนตัวผ่านหน้าผมไป ผมนึกถึงวันที่ผมมายืนดูระลอกในแม่น้ำเจ้าพระยาบนโป๊ะเก่าๆ ในวันนั้นไอ้นัยแอบมายืนข้างหลังผม และมาอ้อนขอโทษที่เข้าใจผมผิดไป... ภาพในอดีตช่างแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่วันนี้กลับไม่มีไอ้นัยเสียแล้ว...

หลังจากที่ผมได้คุยกับคุณอา ผมก็ไม่ได้หวังอะไรมาก ทำใจเอาไว้แล้วว่าไอ้นัยคงไม่ได้รับจดหมายของผม รวมทั้งคุณอาก็คงไม่ได้ฝากคำพูดของผมไปให้ไอ้นัยด้วย ผมรู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้เชื่อคำพูดของนนตั้งแต่ต้น นี่ถ้าผมเฉลียวใจและมาดูที่ห้องธุรการตั้งแต่วันที่นนบอกผมเรื่องจดหมายครั้งแรก ไอ้นัยก็คงได้อ่านจดหมายของผม และเราคงได้ติดต่อกัน ความประมาทต่อเรื่องเล็กน้อยของผมทำให้ชีวิตของเราต้องถูกตัดขาดจากกัน ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะได้พบกันอีก...

ฝนเริ่มตกตั้งแต่รถเมล์ผ่านมาถึงอนุสาวรียชัยฯ จากนั้นก็ตกอย่างหนัก ทำให้รถติดมาก กว่าผมจะมาถึงซอยภาวนาได้ก็เกือบหกโมงย็นแล้ว

เมื่อถึงปากซอยภาวนา ฝนซาลงแล้วเหลือแต่เพียงปรอยๆ แต่ท้องฟ้ายังมืดครึ้ม ในซอยเฉอะแฉะไปด้วยน้ำ ท้องฟ้ายามโพล้เพล้ผสมครึ้มฟ้าครึ้มฝนก่อตัวเป็นบรรยากาศอันหดหู่ซึมเซา

ผมก้าวเท้าเดินช้าๆเข้าไปในซอย ไม่ได้กังวลว่าสายฝนจะทำให้เสื้อผ้าและรองเท้าผ้าใบเปียกเลยแม้แต่น้อย ผมไม่รู้ว่าจะรีบไปทำไม ชีวิตผมจะไปทางไหนต่อไปยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เส้นทางชีวิตของผมช่างมืดมนและหดหู่เหมือนกับเส้นทางที่เบื้องหน้าเสียจริงๆ

เมื่อมาถึงประมาณครึ่งทางระหว่างปากซอยกับบ้าน ผมรู้สึกว่าที่พงหญ้าข้างทางสั่นไหวผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงเดินช้าๆต่อไปเรื่อยๆ

“อื๊ด อื๊ด” ผมได้ยินเสียงร้องเบาๆ ต้นเสียงมาจากในพงหญ้าที่สั่นไหวนั่นเอง

ผมยังคงเดินต่อไป ไม่ได้สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เพิ่งเดินผ่านไปได้เพียงไม่กี่เมตร ผมก็รู้สึกเหมือนกับมีอะไรมาดลใจ ผมจึงย้อนกลับไปดูที่พงหญ้านั้นอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าเพียงเสี้ยววินาทีของการเปลี่ยนใจในครั้งนั้นได้ทำให้ชีวิตของผมต้องพลิกผันอีกครั้งหนึ่ง และส่งผลแก่ผมไปจนตลอดชีวิต

“อื๊ด อื๊ด” เสียงนั้นดังมาจากในพงหญ้าอีก พร้อมพงหญ้าที่สั่นไหวไปมา

ต้องมีตัวอะไรอยู่ในพงหญ้าสักอย่าง ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอะไร เพราะได้ยินเสียงไม่ชัด เมื่อผมลองแหวกหญ้าดูก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังอยู่ในพงหญ้า ผมกระโดดโหยงเพราะเกรงว่าจะเป็นงู มันอาจเป็นเสียงงูที่กำลังกินหนูก็ได้

“อื๊ด อื๊ด” เสียงนั้นดังอีก

คราวนี้ผมแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เสียงงูหรือเสียงหนู ผมแหวกหญ้าให้ลึกขึ้น และที่นั่นเอง ผมเห็นลูกหมาตัวสีน้ำตาลกำลังหมอบตัวสั่นอยู่ ขนของมันเปียกชุ่มโชกจากฝนที่กำลังตกอยู่

โธ่เอ๊ย ลูกหมานี่เอง ผมนึกในใจ จากนั้นก็ปล่อยมือจากพงหญ้า ปล่อยให้กลับสู่สภาพเดิม จากนั้นก็เดินจากไป

ปกติผมเห็นหมาจรจัดที่อยู่ข้างถนนและในซอยจนชินตา แต่ในนาทีนั้น จู่ๆผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ลูกหมาตัวนี้ยังเล็กนัก มันถูกทอดทิ้งให้อดอยาก หนาวเหน็บ และหิวโหย… ตัวของมันสั่นเทา...ไม่รู้ว่าเพราะความหนาวหรือเพราะความหวาดกลัวกันแน่ หรืออาจจะทั้งสองอย่าง

ผมคิดถึงไอ้นัยขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง ใครๆก็ทอดทิ้งมัน ปล่อยให้มันเผชิญชีวิตตามลำพังในโรงเรียนประจำ ไม่รู้ว่ามันจะอดอยาก หนาวเหน็บ และหิวโหยหรือไม่…

เจ้าหมาน้อยตัวนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกลึกๆในใจของผมหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายได้ ความเวทนาทำให้ผมอยากช่วยมัน แต่เนื่องจากผมไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน ผมจึงละล้าละลังว่าจะทำอย่างไรดี

หาอะไรให้มันกินก่อนก็แล้วกัน ผมคิด ว่าแต่ลูกหมานี่มันกินอะไรล่ะ

แม้ผมไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน แต่ก็เคยเห็นคนอื่นให้เศษอาหารที่เหลือจากมื้ออาหารแก่หมาแมว เนื่องจากตอนนี้ผมไม่มีเศษอาหาร ผมจึงคิดจะซื้ออาหารอะไรสักอย่างที่ขายอยู่หน้าปากซอยให้มันกิน

เอาข้าวเหนียวหมูปิ้งก็แล้วกัน ผมคิด ที่คิดเมนูข้าวเหนียวหมูปิ้งขึ้นมาก็เพราะเป็นของโปรดของผมนั่นเอง

ผมวิ่งไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งที่รถเข็นหน้าปากซอย เมื่อกลับมาที่พงหญ้า ผมก็ยังเห็นเจ้าหมาน้อยนอนหมอบตัวสั่นอย่างเดิม ผมรูดหมูปิ้งออกจากไม้ เอาข้าวเหนียวคลุกกับหมูปิ้งใส่ในถุงพลาสติก จากนั้นวางลงในพงหญ้าตรงหน้าของมัน

เจ้าหมาน้อยกระเถิบตัวหนีด้วยความหวาดกลัว ตัวของมันสั่นระริกยิ่งกว่าเก่า ผมรู้สึกสงสารและอยากลูบคลำมันเพื่อให้มันคลายความหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าทำเพราะกลัวมันกัดเอา ตอนนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงหมาเลยแม้แต่น้อย

เมื่อผมเห็นว่ามันหวาดระแวงผม ผมจึงถอยออกมาจากพงหญ้า ยืนอยู่ในระยะห่าง สักประมาณสองสามนาทีก็เข้าไปดูใหม่ มันก็ยังตัวสั่นเทาไม่ยอมกินอาหารอยู่ดี

สงสัยจะกลัวจัด ถ้าอย่างนั้นหลบไปก่อนจะดีกว่า ผมคิด จากนั้นก็เดินเข้าบ้านไปก่อน เผื่อว่าถ้าไม่มีผมอยู่ใกล้ๆ มันอาจจะหายกลัวและยอมกินอาหารก็ได้

- - -

ค่ำวันนั้น ผมนึกถึงแต่เจ้าหมาน้อยตลอดเวลา ผมรู้สึกเป็นห่วงมันอย่างประหลาด แม้ในเวลาที่ผมกินอาหารอยู่ ผมก็อดนึกไม่ได้ว่ามันกินข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ผมให้ไปแล้วหรือยัง

หลังจากกินอาหารและเก็บโต๊ะ ล้างจาน จนเสร็จเรียบร้อย ผมก็หลบออกจากบ้านพร้อมกับไฟฉายเพื่อไปดูเจ้าหมาน้อยอีกครั้งหนึ่ง ที่พงหญ้า ผมเห็นมันนอนหมอบอยู่ที่เดิม ในถุงพลาสติกเหลือแต่ข้าวเหนียว ส่วนหมูปิ้งหายไป

ได้ผลแฮะ ผมคิด แต่นึกเคืองอยู่ในใจนิดหน่อยที่มันไม่ยอมกินข้าวเหนียว อุตส่าห์ซื้อมาตั้งสามบาท

ค่ำวันนั้นผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกอิ่มเอมอยู่ในใจ รู้สึกดีใจที่ได้ช่วยสัตว์ที่น่าสงสาร พลางนึกอยู่ในใจว่าในเวลาที่ไอ้นัยลำบาก จะมีใครเมตตาแก่มันบ้างหรือไม่

เมื่อนึกถึงไอ้นัย ความหดหู่ก็เข้ามาครอบงำผมอีก ผมรีบสลัดความคิดเรื่องไอ้นัยออกไป ผมวนเวียนคิดโยงทุกอย่างไปที่ไอ้นัยหมด คิดวนไปเวียนมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนบางทีผมก็รู้สึกมึนหัวและต้องพยายามสลัดความคิดเรื่องไอ้นัยออกไปบ้าง

- - -

วันรุ่งขึ้น ก่อนไปโรงเรียน ผมแวะไปดูเจ้าหมาน้อยอีก คราวนี้ผมไม่เห็นมันอยู่ในพงหญ้าที่เก่า พยายามหารอบๆก็ไม่พบ แต่ผมคิดว่ามันคงยังไม่ไปไหน เพราะลูกหมาตัวแค่นี้ แถมยังหวาดกลัว คงไปไหนไม่ได้ไกล ผมจึงไปซื้อหมูปิ้งที่ปากซอยอีก คราวนี้ซื้อมาแต่หมูปิ้งไม่เอาข้าวเหนียว จากนั้นนำมาวางตรงตำแหน่งเดิม แล้วจึงค่อยไปโรงเรียน

วันนั้นทั้งวัน ใจของผมจดจ่ออยู่แต่เจ้าหมาน้อย พอเลิกเรียนก็รีบกลับบ้านทันที

เมื่อกลับไปถึงพงหญ้าตำแหน่งเดิม ผมไม่พบมัน แต่หมูปิ้งที่เอามาวางไว้เมื่อเช้าหายไปแล้ว

มันคงยังอยู่แถวนี้แหละ ผมคิด จากนั้นก็รีบไปซื้อหมูปิ้งมาอีก

เมื่อกลับมาครั้งนี้ ผมเห็นหัวเล็กๆสีน้ำตาลโผล่ออกมาจากพงหญ้า เจ้าหมาน้อยนั่นเอง คราวนี้มันถึงกับมารอผมเพื่อกินหมูปิ้ง!

ผมวางหมูปิ้งลงบนพื้นดิน เจ้าหมาตัวน้อยก็เดินเข้ามากิน คราวนี้มันเริ่มคลายความหวาดกลัวผมแล้ว

“กินให้อิ่มนะ” ผมพูดกับมัน พลางเอามือไปลูบลำตัวมันอย่างแผ่นเบา เจ้าหมาน้อยสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หนี คงก้มหน้าก้มตากินหมูปิ้งอย่างเอร็ดอร่อย “ชื่อตาลก็แล้วกันนะ” ผมตั้งชื่อให้มันอย่างง่ายๆตามสีขนของมัน

ภายในเวลาเพียงสองวัน เจ้าตาลหมาน้อยก็คลายความหวาดกลัวในตัวผมอย่างสิ้นเชิง มันยอมให้ผมลูบหัวลูบตัวมันเล่นแต่โดยดี แถมยังนอนหงายท้องเล่นกับผมอีกด้วย ในตอนเช้า มันเดินตามมาส่งผมไปโรงเรียนช่วงหนึ่ง สักประมาณสิบกว่าเมตรจากพงหญ้าที่มันอาศัยอยู่ จากนั้นก็ไม่ตามต่อ คงกลัวหมาตัวอื่นในแถบนั้น ส่วนตอนเย็น มันตามผมมาจนเกือบถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว

ในช่วงไม่กี่วันนั้น ตาลกลายเป็นเพื่อนสนิทและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม ผมทุ่มเทความรักและความห่วงใยทั้งหมดให้แก่มัน และบ่อยครั้งนี้ผมมักนึกถึงไอ้นัย ผมคิดฟุ้งซ่านไปว่าเมื่อยามที่ไอ้นัยลำบาก คงจะมีใครบางคนเมตตาและให้ความช่วยเหลือมันบ้าง

- - -

ในระยะนั้นเป็นช่วงที่ฝนตกชุก ฝนเทลงมาแทบไม่เว้นแต่ละวัน ในเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ผมพบตาลได้สี่วัน วันนั้นฝนตกเช่นเคย เมื่อผมแหวกพงหญ้าตำแหน่งเก่าเพื่อหาเจ้าหมาน้อย ผมก็พบว่ามันนอนซมอยู่

ตาลนอนหายใจระรวย มันพยายามเงยหัวขึ้นมามองผม จากนั้นก็ลดหัวลงและนอนต่อไป หางของมันกระดิกเบาๆ

สงสัยจะป่วย ผมคิด ในความเป็นห่วง ผมยังรู้สึกตื้นตันไม่ได้ แม้ตาลจะป่วยแต่มันก็ยังพยายามทักทายผม

ผมลังเล ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะปล่อยให้มันนอนป่วยตากฝนอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ จะเอามันเข้าบ้านก็ไม่ได้อีก เพราะคุณลุงกับคุณป้าไม่ชอบหมาและแมวเลยแม้แต่น้อย

ผมมองตาลที่นอนนอนหายใจระรวย ดวงตาหลับพริ้ม ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ...

“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า” ผมเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นภายในบ้าน หลังจากที่อุ้มตาลมาแอบวางไว้ที่สนามหญ้า และกล่าวทักทายคุณลุง คุณป้า

“จ้ะ หมู่นี้อูกลับบ้านเร็วนะ” คุณลุงคุณป้ารับไหว้ พร้อมกับคุณป้ากล่าวทักทาย

“เอ้อ คุณลุง คุณป้าครับ อูมีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ” ผมเริ่มเข้าเรื่องทันทีด้วยความร้อนใจ

“ว่าไงล่ะ” คุณป้าถาม

“คือมันมีลูกหมาตัวหนึ่งนอนป่วยอยู่ในซอยน่ะครับ มันหลงมาจากไหนก็ไม่ทราบ อูเล่นกับมันมาหลายวันแล้ว มันน่ารักครับ วันนี้อูเห็นมันนอนป่วยอยู่ ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลย เลยอยากจะขออนุญาตคุณลุงคุณป้าเลี้ยงมันเอาไว้จนกว่ามันจะหาย... ได้ไหมครับ” ผมพูดอย่างยืดยาวรวดเดียวจบ

“หา หมาเหรอ ไม่เอา ไม่เอา ป้าไม่ชอบเลี้ยงหมา อึเลอะเทอะเต็มบ้าน แถมยังกัดโน่นแทะนี่อีก เรื่องหมานี่ป้าเข็ดจนตาย” คุณป้าปฏิเสธเสียงหลง

“อูขอเลี้ยงจนมันหายเท่านั้นแหละครับ แล้วตอนนี้มันป่วยอยู่ ได้แต่นอน มันแทะอะไรไม่ได้หรอกครับ” ผมพยายามอ้อนวอน

“ป่วยอยู่ยิ่งไม่ได้ มันเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ เดี่ยวเอามาติดคนจะยิ่งยุ่งไปอีก ไม่ได้เด็ดขาด” คุณป้าเสียงแข็งขึ้นมาเมื่อเห็นผมพยายามต่อรอง

“คุณลุงครับ ขอผมเลี้ยงชั่วคราวได้ไหมครับ สงสารมันน่ะครับ มันป่วยอยู่” ผมหันมาอ้อนวอนคุณลุงแทน

“เอ๊ะ ตาอูนี่ บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ หมาจรจัดมีเยอะแยะ เต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าช่วยก็ต้องช่วยหมดทั้งโลกเลยสิ มันจะเป็นไปได้ยังไง หมาพวกนี้มันแข็งแรง เป็นอะไรก็หายเองแหละ” คุณป้าเปลี่ยนจากเสียงแข็งเป็นเสียงเอ็ดตะโร เมื่อเห็นว่าผมดื้ออย่างไม่ยอมลดละ

ผมเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ แต่สายตามองไปที่คุณลุงอย่างวิงวอน คุณลุงหลบสายตาของผม

“ก็อย่างที่ป้าเขาว่านั่นแหละอู” คุณลุงพูดเพียงสั้นๆ

เป็นอันว่าความพยายามของผมไร้ผลโดยสิ้นเชิง ผมจำใจต้องเอาตาลกลับไปวางไว้ที่พงหญ้าที่เดิมที่พบมัน

คืนนั้นฝนตำพรำๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายอยู่ทั้งคืน ในใจรู้สึกห่วงตาลมาก ขนาดคนเมื่อตากฝนแล้วเป็นไข้ กินยาแล้วก็ยังรู้สึกแย่ นี่ลูกหมาแท้ๆ ยาก็ไม่ได้กิน แล้วมันจะทนได้อย่างไรกัน

รุ่งเช้า อย่างแรกที่ผมทำหลังจากตื่นนอนก็คือรีบออกไปดูตาล

ที่พงหญ้า ผมพบตาลนอนนิ่งสนิท ตัวเปียกโชก ลำตัวและขามันแข็งเกร็งไปหมด... ตาลตายแล้ว!

ตาลตายแล้ว ตายไปโดยที่ผมไม่อาจช่วยอะไรได้ ไม่ใช่สิ ตายโดยที่ผมไม่ได้ช่วยมันต่างหาก... ผมทอดทิ้งให้มันตายโดยที่ผมไม่ทำอะไรเลย...

ในวินาทีนั้นเอง ผมอดคิดไปถึงไอ้นัยไม่ได้ ผมเองก็เคยทอดทิ้งไอ้นัยแบบนี้เช่นกัน ผมปล่อยให้มันตายทั้งเป็นโดยที่ผมไม่ทำอะไรเลย...

ผมปล่อยศพตาลเอาไว้ที่พงหญ้าอย่างนั้น และวิ่งกลับไปที่บ้าน เมื่อเข้าไปในบ้าน ทันทีที่พบคุณป้า ผมก็ร้องตะโกนออกมาราวกับคนเสียสติ

“มันตายแล้ว ตาลตายแล้ว คุณป้าบังคับให้อูฆ่ามัน คุณป้าใจร้ายที่สุด”


<ภายในเวลาเพียงสองวัน เจ้าตาลหมาน้อยก็คลายความหวาดกลัวในตัวผมอย่างสิ้นเชิง มันยอมให้ผมลูบหัวลูบตัวมันเล่นแต่โดยดี แถมยังนอนหงายท้องเล่นกับผมอีกด้วย ในตอนเช้า มันเดินตามมาส่งผมไปโรงเรียนช่วงหนึ่ง สักประมาณสิบกว่าเมตรจากพงหญ้าที่มันอาศัยอยู่ จากนั้นก็ไม่ตามต่อ คงกลัวหมาตัวอื่นในแถบนั้น ส่วนตอนเย็น มันตามผมมาจนเกือบถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว>

26 comments:

Anonymous said...

ขึ้นแท่นบ้างนะคับ

IZ

Bomber_Boy said...

ช้าไปอีกละ
__________
Bomber_Boy

Choo said...

มันอึ่ง พูดไม่ออก บอกไม่ถูก

อย่าโทษตัวเองขนาดนั้นเลย..เด็กน้อย
ไม่มีใครทำให้ใครเป็นเกย์ได้ และไม่มีใครทำให้ใครหายจากการเป็นเกย์ได้

เป็นกำลังใจให้เด็กชายอูเข้มแข็งต่อไป

เป็นกำลังใจให้นายอู เข้มเข็งด้วยเช่นกัน

ชู

Anonymous said...

รีบมาคอมเม้นท์ก่อนเลยยังไม่ได้อ่าน
แต่พอมาอ่านเรื่องตาลแล้ว
พี่อูไม่ได้ทำผิดหรอกครับ
เพียงแต่ว่าบางครั้งเราแบกรับอะไรไม่ได้ในเวลานั้น


IZ

Anonymous said...

สู้ๆ นะครับอาอู
ผมพลาดอีกแล้ว น่าจะกดให้ถูกจังหวะ ไม่น่าพลาดเลย

หลาน Arus ของอาอู

naja said...

พี่อูคงจะเครียด และกดดันมาตั้งแต่เรื่องของพี่นัย จนถึงเรื่องตาล พี่อยู่ถึงได้น๊อตหลุดแบบนั้น

ผมเข้าใจนะ ยิ่งผมเป็นคนรักสัตว์มากๆ ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นที่ประดังถั่งโถมเข้ามานะครับ

แต่คุณป้าจะเข้าใจพี่อูรึเปล่านี่สิ เพราะคุณป้าไม่เคยมีลูก คงจะทำใจ ที่จะเข้าใจสิ่งที่พี่อูแสดงออกมาแบบนี้ไม่ไ่ด้

Choo said...

ต่อจาก naja

งานนี้เด็กชายอู ถูกไล่ออกจากบ้านแน่ๆ เลย

(-_-)*

ชู

nai said...

3-4 ตอนที่ผ่านมาทำไมเรื่องถึงได้เศร้า เมื่อไหรจะถึงตอนที่ อู มีความรู้สึกดี และมีความสุขขึ้นบ้างละครับ

แต่ถึงจะเศร้าภาษาที่ใช้ช่วงหลังๆสวยงามมากครับ อ่านแล้วรู้สึกดี และเป็นประโยชน์ในการใช้ภาษาไทยแก่น้องๆ หลานๆ ได้ด้วย

ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมมีตอนที่ประทับใจหลายตอนเอาไว้ถึงตอนที่ อู รู้สึกดีเมื่อไร จะเขียนมาคุยใหม่ครับ

nai

Anonymous said...

ตามมาให้กำลังใจครับ อาอู เรื่องช่วงหลังๆ เนี่ยเศร้าได้เรื่อยๆนะครับ พี่(หรืออาดี)เค้าหนีไปจะไม่อ่านแล้วนะ รอเม้นท์ตอนแฮปปี้อย่างเดียวแล้ว 555+

มาลองถามอาอูกับเพื่อนๆ พี่ๆ อาๆในบล๊อกดูครับ ว่าเข้าไปอ่านนิยายที่ผมแต่งหรือยัง คือตอนนี้กำลังคิดว่าจะย้ายไปลงใน thaiboyslove.com

อาอุและคนอื่นๆว่าไงครับ คือไม่ได้หวังอะไรมากแค่อยากให้มีคนอ่านเยอะๆ แล้วเม้นให้บ้างเท่านั้น เอง เผอิญลองเทส ในปาล์มแล้วรู้สึกว่า เค้าจะชอบเรื่อง xx มากกว่า

ปล.อาอูครับ ยังไงลองเข้าไปอ่านเรื่องผมดูนะ ถึงจะเป็นเรื่องแต่งก้ออาจจะได้อะไรกลับไปบ้างหลังการอ่านก้อได้นะ ขึ้นชื่อว่านิยาย หรือเรื่องแต่ง มักจะมีอะไรแฝงไว้ให้ได้คิดได้ค้นหาเสมอแหละ คนอื่นด้วยนะคับ ลองเข้าไปดุกัน ขอบคุณคัพ
สุดท้ายขอให้อาอูสุขภาพแข็งแรง และได้เจออานัยในเร็ววันครับ

หลานหนิง

yo408 said...

เรื่องนี้มั้งเนี่ยะ ที่ทำให้ถูกตี แล้วก็ถูกไล่ออกจากบ้าน อย่างที่เคยเกริ่นไว้ อย่างว่า อยู่บ้านเค้า ยังไงก็คือบ้านเค้า ความสะดวกสบายที่ได้รับ อย่างไรก็ไม่เหมือนบ้านเรา

Anonymous said...

อยากจะบอกว่าวันก่อนฝันว่า
ได้เป็นคอมเม้นท์ที่หนึ่งของตอนที่ 14
พอดีีนึกขึ้นได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่าฝันที่เป็นจริงครับ

ปล.ถ้าฝันหวยสามตัวคงดีกว่านี้ อิอิ

IZ

Anonymous said...

คงไม่ใช่ว่า หมาตาล ทำให้อูเป็นสัตวแพทย์ น่ะ

t1000

Anonymous said...

โห พี่ IZ เปนมือ 1 เลยแหะรอบนี้ ดีใจด้วยนะครับ ฝันเปนจริงๆ

ผมว่าผมคิดเหมือนลุงชูนะคับ ของแบบนี้มันเปนมาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครทำให้เปนหรือทำให้หายได้ อาอูอย่าโทษตัวเองเลยคับ ยิ่งคิดมันก้ยิ่งทุกข์ เดะจะกลายเปนชวนคิดถึงเรื่องเก่าๆทำให้ตัวอาอูเศร้าเสียเอง อย่าคิดมากเลยครับ ยังไงมันก้คืออดีต เราคงจะแก้ไขอะไรมันไม่ได้

พอดีผมเพิ่งดูหนังจบมา พี่Arusอาจจะชอบก้ได้นะ ดูจากชื่อหนังที่พี่จะดู มีแต่เรื่องสนุกๆ ถ้าพี่ชอบหนังซีรี่ส์ลองดู Desperates Housewife (สะกดงี้ป่าว ไม่แน่ใจ)สิคับ เปนหนังซีรี่ส์ที่สนุกมากเลย เปนแนวคอมเมดี้น่ะคับ หนังที่ผมดูเรื่อง pay it forward เรื่องของแนวคิดในการทำความดีต่อไปเรื่อยๆของเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งผมว่าเปนความคิดที่น่าทึ่งมากๆ เหนเค้าว่าเปนหนังดีซะด้วย ลองไปหาดูกันนะครับ

ปล.ขอบคุณครับที่มาเขียนต่อให้

Sea~~!!

Anonymous said...

โอ้ย สงสารลูกหมาจังครับลุงอู มันคงหนาวตาย ก่อนตายมันยังผงกหัวทักทายลุงด้วยม่ายเข้าใจคุณป้าเลย (-_-)ที่1ของปี

Anonymous said...

ตอนนี้อูโกรธแฮะ อารมณ์ของความเหงาหรือเปล่าน่ะ
^^sky^^

Anonymous said...

แหม3รีบน นี่เรียงกันเป็นเซทเชียว ทะเล ตะวัน ท้องฟ้า!!!

อ่านเม้นท์อาt1000 ตลกดี คิดได้งัย

อาiz ดูปลื้มมากคราวหน้าอาอูเมลไปบอกอาเค้าก่อนจะอัพนะครับ ดีใจเหมือนถูกหวยจิงๆ - -

มาเป็นกำลังใจให้ทุกคนและตัวเองก้าวต่อไปครับ ยังจำกันได้เคยบอกไว้ว่าผมกำลังแต่งิยายอยู่ ไม่รุจำกันได้มั้ย ว่าขื่อเรื่อง รักวุ่นวาย วงดนตรีชายล้วน เห็นเงียบๆกัน แอบหวังว่าคนบ้าน(บล๊อกเดียวกัน) จะตามไปอ่านบ้างก้อเหนเงียบๆ (แอบน้อยใจเล็กๆ) อีกอย่างเริ่มรู้สึกว่าในปาล์มเค้าไม่ค่อยนิยม boy's love ก้อเลยเอาไปลงเล้าไก่ดู ยังไงถ้าใครเมตตา ลองเข้าไปอ่านหรือแนะนำเพื่อนๆดูก้อได้ครับ ฝากด้วยครับ

นอกจากเรื่องของตัวเองแล้ว เผอิญไปอ่านเจอเรื่องๆนึงในเวบเล้าเป็ดเนี่ยล่ะ เหนว่าดังมากขนาดมีบอร์ดแฟนคลับส่วนตัว ลองไปอ่านดูบ่อน้ำตาแตกอีกแล้วT^T ซึ้งมากครับ ลองไปอ่านดูแล้วเราจะมองความรักเปลี่ยนไป ความรักไม่ได้แง่มุมมุมเดียวหรือ100มุม แต่ความรักมุมมองเป็นINFINITY ครับ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=11169.0
อันนี้ลิงก์เรื่องของผมที่ลงในเวบเล้าเป็ด ครับพี่น้อง


http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/09/L4678033/L4678033.html
อันนี้เรื่องของคุณนามปากกว่า เซ้งเป็ด ที่ผมได้พุดตอนท้าย อยากให้ลองไปอ่านดูสำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน แต่เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะรู้จัก เพราะโด่งดังมากในพันธ์ทิพ ดังขนาด หนังสือ GM มาขอสัมภาษณ์ ท้ายสุด ตอนนี้ถูกซื้อบทไปทำหนังของค่าย GTH ละครับ

สุดท้ายขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรงครับ

Anonymous said...

เคยอ่านเรื่องเซ็งเป็ดแล้ว
ไม่คิดว่าสำนวน
ภาษาที่เขียนจะเขียนสื่อได้ดีเท่าพี่อูเขียนนะครับ
แต่เรื่องเซ็งเป็ดจะไม่มีฉาก XXX ก็แึค่นั้น

ปล.ความคิดเห็นส่วนตัว

IZ

Choo said...

เห็นหลานหนุงหนิง โปรโมทขนาดนี้ หากอาไม่ไปอ่าน เดี๋ยวจะกลับมาว่าใจจืดใจดำ แล้วอาจะช่วนอาอูไปแอบอ่านด้วยกัน ไม่ดีๆ ชวนทุกคนเลยดีกว่า แต่ไม่เม้นต์ให้นะครับ ก็ไปแอบอ่านจะเม้นต์ให้ได้ไง ก็รู้หมดซิว่าไปอ่านมา

พยายามต่อไปนะหลานหนิง ซักวันต้องได้เป็นนักเขียน

จริงๆ ต้องมาสมัครเป็นลูกศิษย์อาอูก่อน เรียนรู้วิชาแล้วค่อยท่องยุทธจักรครับ

อาชู

ปล.ปลายสัปดาห์อูต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด ขอให้เดินทางปลอดภัย การงานสำเร็จลุ่ล่วงด้วยดีครับ

Anonymous said...

เอ่อ เพิ่งกลับมาอ่านเม้นตัวเอง แล้วมาอ่านเม้นของอา Iz กลับมานึกได้เวร นี่เราล่วงเกินอาIZ เค้าเกินไปหรือป่าว เพราะเพิ่งสังเกตุ เขียนถึงอาโดยไม่มี"ครับ"เลย ซึ่งยังผลให้เม้นต่อมาของอาดูห้วนๆชอบกล ดังนั้น ผมกราบขอโทษ มา ณ ที่นี้ครับ (T^T ผมผิดไปแล้วคร้าบ ขอโทษษษ)

ส่วนเรื่องของพี่เซ้งเป็ด ขอไม่พูดเพิ่มเติมดีกว่าเกรงใจอาอู เอาเป็นว่าสนใจก้อลองดูละกันครับ

เห็นหลังๆมานี่ น้องๆ 3สหายแก๊งทะเลท้องฟ้าพระอาทิตย์เค้าฮิต แนบurl ของเพลงหรือคลิปกัน เลยอยากแนบบ้าง

http://www.youtube.com/watch?v=pQPnACld-Ck

เพลง"อยู่นานๆนะ"ครับ
หนึ่งในเพลงที่เคยให้ทำให้ผมเสียน้ำตามาแล้วสมัยปวส. ถ้าฟังแต่เพลง จะเป็นเพลงที่สื่อความรู้สึกไปทาง+ แต่ถ้าดูMV แล้วจิตตกครับ ลองฟังดูเพราะดีครับ

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับทุกวันครับ

หลานหนิง

ปล.ผมอาจจะล่วงเกินอาIZ เกินไปมากๆ ขอโทดอีกที ยังไงลองมาเมลคุยกันมั้ยครับ ช่วงนี้กำลังคุยเมลกะอาชูอยู่ ได้ข้อคิดดีๆมากมาย ยังไงถ้าอาสนใจจะสั่งสอนหลานคนนี้บ้างก้อยินดีครับ

dodo said...

มาแว้วครับ อ่านแล้วยังเศ้าได้ตลอดเวลาเลยอะ
เออ เลื่องที่บอกไว้จะชวนเพื่อนมาอ่านเลี่มมีมาแล้วนะครัฟ ติดกันงอมแงมเลย ^__^

โดโด้

Anonymous said...

หลายคนที่คาดการณ์เอาไว้ก็ถูกแล้วครับ ว่าหลังจากนั้นก็โดนเนรเทศ รายละเอียดจะเล่าให้ฟังใตอนหน้าครับ ชีวิตช่วงนั้นไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร ยังหม่นอีกหลายตอนเลย

ตาลเป็นหมาตัวแรก แม้จะมีโอกาสได้เป็นเจ้าของเพียงแค่ช่วงสั้นๆ แต่มันก็มีค่าทางใจมาก แผลใจในวันนั้นแม้ทำดีอีกร้อยครั้ง จนถึงวันนี้มันก็ยังคงชดเชยไม่ได้อยู่นั่นเอง ดังนั้นเรื่องบางเรื่องเมื่อเราพลาดไปแล้ว มันก็จะอยู่ไปกับเราจนตาย นัย อู และตี๋ ต่างก็มีแผลในใจที่ติดตัวไปจนวันตายกันทุกคน ปัญหาคือเราจะอยู่กับมันอย่างไร และเราจะไม่พลาดแบบนั้นอีกได้หรือไม่ ขอบคุณสำหรับกำลังใจของทุกคนครับ

คุณนัยจะคุยเลยก็ได้นะครับ อยากอ่านเรื่องที่นัยจะเขียน แค่เห็นชื่อคุณก็รู้สึกอบอุ่นแล้ว

ยัง ไม่ได้ขอบคุณหลานๆที่เอาคลิปมาจากเลย คลิปฮิตเลอร์คนบรรยายซับฮามาก หลานๆคงไม่เคยเข้าโรงหนังชั้นสอง แต่พี่ๆเพื่อนๆ น้องๆ น่าจะเคยเข้าไปดูกัน สมัยก่อนหนังจีน ฝรั่งที่ฉายในโรงหนังชั้นสองนั้นใช้พากย์เอา ไม่ใช่เสียงพากย์ไทยในมาสเตอร์ ทีมนักพากย์ของโรงหนังชั้นสองก็จะเป็นแบบนี้ บางทีไม่ดูบทพากย์ แต่งเรื่องเองใส่เข้าไปใหม่เลย ดังนั้นบางทีหนังเศร้าพากย์แล้วฮากลิ้งก็มี

เว็บของหลาน arus ดีมากเลย ขอบคุณมาก อาไม่ได้ดูหนังซีรีส์นานแล้ว ล่าสุดดูเหมือนจะเป็น ER คงรู้นะครับว่าหลายปีแล้ว หลังๆมีเรื่องน่าสนใจเยอะเลยทีเดียว

เล้าเป็ดนิยายเยอะมากครับ คือเป็นคนไม่ติดนิยายครับ แล้วก็ไม่ค่อยได้อ่านนิยายยาวๆด้วย เพราะถ้าชอบแล้วจะติดงอมแงม เวลาไม่ค่อยอำนวย ก็เลยไม่อ่านดีกว่า เพราะเมื่อติดแล้วจะแบ่งเวลาไม่ถูก แต่ถ้าเมื่อไรมีหยุดยาวและวางแผนแล้วว่าจะไม่ไปไหน ตอนนั้นละครับได้นอนอ่านเรื่องยาวๆ ของหลานหนิงได้แค่อ่านคร่าวๆครับ ยังไม่ได้อ่านละเอียด ต้องขอเวลาอาหน่อยนะครับ แต่เวลาเห็นตัวหนังสือติดกันเป็นพืดก็ท้อนิดหน่อย เพราะแกะยาก

เซ็งเป็ดก็เคยอ่าน แต่อ่านไม่จบครับ ด้วยเหตุผลด้านเวลา แต่ลีลาการเขียนคนละแบบกันครับน้อง IZ จะเปรียบเทียบกับอะไรดีละครับ มันก็เหมือนวาดภาพ อย่างเช่นภาพในแนว realism ที่เน้นความเหมือนจริง กับภาพในแนว expressionism ที่มีวิธีการใช้สีและเส้นที่แตกต่างออกไป แต่สุดท้ายก็ส่งผลต่ออารมณ์คนดูได้เหมือนกัน

ส่วนเรื่อง xxx นั้นพี่เฉยๆครับ ไม่ได้คิดว่าใส่ลงไปไม่ได้ ก็เลยใส่ลงไปเสียเยอะ เพราะพี่คิดว่าตัณหาเป็นอาหารของมนุษย์ที่ยังไม่บรรลุธรรม แต่ว่าเมื่อกินอาหารแล้วก็ควรเจริญงอกงาม ไม่ใช่ตกต่ำ และอันที่จริงแล้วปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของชีวิตเกย์ก็เกิดจากเรื่องความต้อง การในเพศรสนี่แหละ พี่มองอย่างนั้นมากกว่า ดังนั้นเรื่อง xxx ต่อไปก็ยังคงมีครับ เพียงแต่อาจไม่เหมือนเมื่อตอนเด็กเท่านั้นเอง

โด โด้มีเพื่อนเกย์ด้วยหรือครับ แสดงว่าสังคมที่นั่นในยุคนี้เริ่มเปิดตัวกันมากขึ้นแล้วใช่ไหม นี่ถ้าผมจะไปเที่ยว โดโด้จะช่วยพาเที่ยวให้หน่อยได้ไหม

ขอบคุณสำหรับความเห็นและความเห็นใจของทุกๆคนอีกครั้งครับ

อู

Anonymous said...

เศร้าจัง ทั้งเรื่องของอู นัย และเจ้าตาล

เป็นกำลังใจนะครับ


วุฒ

พี said...

อ่านตอนนี้จบ....น้ำตาซึมเลย

อูอาการหนักแล้ว ซึมเศร้า+เหงา

น่าสงสารนะอายุแค่15-16ปี ต้องมาเจอเรื่องเครียดๆเกี่ยวกับนัย จะหาใครมาคุยปรึกษาก็ไม่ได้แล้วยังมาอยู่บ้านญาติผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างเข้มงวด

คราวนี้คงได้โดนเนรเทศไปอยู่หอแน่เลย

รอตอนต่อไปครับ...

+ P +

ปล.อย่าว่าแต่อูเศร้าเลย ตัวเราก็ยังเศร้า...อยู่ แต่จะพยายามดิ้นเป็นอีกครั้ง

Anonymous said...

ไม่ได้มาเม้นต์นานเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับคอมนิดหน่อย แต่ถึงจะเม้นต์ได้ก็คงเม้นต์ไม่ออกเพราะเศร้าเหลือใจ นี่ถ้าเป็นเรื่องแต่งคุณอูก็ใจร้ายจังที่ให้ตัวละครเจอเรื่องราวเศร้าขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง แม้จะเศร้าแต่ก็ทำให้เห็นถึงการต่อสู้ของชาวรักเพศเดียวกันที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน หลายครั้งที่เราไม่มีความสุขไม่ใช่เพราะเราเป็นอะไร แต่ว่าถูกสังคมบอกว่ามันไม่ถูกต้อง ทั้งที่จริงมันก็เป็นแค่อคติทางสังคมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ขอบคุณอูที่แบ่งปันเรื่องราวนี้สู่ผู้อ่านครับ
Federick

Choo said...

วันนี้เอาเพลง "เก็บตะวัน" ของอิทธิ พลางกูร มาฝาก เป็นเพลงที่ดังมากในปี 2531 ครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้อู และน้องๆ หลานๆ ที่จิตยังตกกันอยู่ ก้าวเดินต่อไปครับ


http://www.youtube.com/watch?v=qqlpvZxUPas

ชู

ปล.เพลงเก่า หลานๆ อย่าว่าเชยนะครับ

Anonymous said...

น้องหนิง พี่ยังไม่แก่ขนาดรุ่นอาชูนะ
เรียกพี่ก็พอแล้ว อีกอย่างหน้าพี่ก็เด็กมาก
ตอนเรียนโท ชอบมีคนทักผิดคิดว่าพี่เพิ่งจบม.หก
(ไอ้ที่บอกว่าหน้าเด็กเนี่ยะ มีคนอื่นมาทักเยอะมากครับ เดี๋ยวจะหาว่าเข้าข้างตัวเองอีก)
ที่น้องหนิงบอกว่าเมลล์คุยกะอาชู ระวังอาชูทำให้เสียเด็กนะ อิอิอิ (ล้อเล่นะครับพี่ชู)

สำหรับน้องทะเล desperate housewives นะครับ desperate ไม่มี s ส่วน housewife เป็น พหูพจน์ครับ แม่บ้านหลายคน ต้องเขียนเป็น housewives ครับผม เขียนว่า desperate housewives ส่วนชื่อไทยที่เค้าตั้งแล้วเคยเอามาออกอากาศทางช่อง 3 เนี่ยะ ตั้งชื่อได้แบบว่า เฮ้อมาก รับไม่ได้เลยครับ พี่ก็เคยดูเรื่องนี้นะแต่ถึง ซีซั่นสามเอง แล้วก็ไม่ได้ดูต่อเพราะว่ามันดูเป็นหนังแม่บ้านๆไม่ช่ายแนวพี่ ก็เลยเปลี่ยนไปดู prison break และ Heroes แทนครับ ส่วนเรื่องอื่นๆไม่มีเวลาดูมากเท่าไหร่ครับ แค่สองเรื่องนี้ำพี่ก็แทบไม่ทำอะไรแล้ว

ส่วนพี่อูยังไงๆ ก็มาต่อตอนที่ 15 เร็วๆนะ
ทุกคนรออยู่