Monday, June 15, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 92 (อวสาน)

ไอ้นัยเงียบไปชั่วขณะ แล้วพูดต่อ “คุณอาเค้าสงสัยมึงนะ ถ้าใครมาถามอะไร มึงอย่ารับ กูไม่ได้พูดอะไรเลย”

พูดเพียงเท่านี้ผมก็รู้ดีว่าไอ้นัยหมายถึงเรื่องอะไร ผมรู้ว่าไอ้นัยไม่ใช่คนปากโป้ง ที่แท้คุณอาอำเพื่อหลอกถามผมจริงๆ

ไอ้นัยปากแข็งไม่ยอมพูดอะไรเพราะต้องการปกป้องผมเอาไว้ มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าแล้วเราสองคนผิดตรงไหน มันก็แค่เด็กผู้ชายสองคนที่รักกัน เราไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เหตุใดจึงต้องชิงชังรังเกียจกันขนาดนี้

ไอ้นัยเงียบไปอีก หลังจากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “เราต้องจากกันแล้วนะอู”

ผมใจหายวาบ ได้ยินไอ้นัยพูดต่อไปอีก “เค้าไม่ให้กูอยู่ที่นี่แล้ว เค้าไล่กูไปเรียนที่อเมริกา กูไปวันพุธนี้นะ เครื่องบินออกตอนเช้า หกโมงห้าสิบ”

มันกะทันหันจนผมตั้งตัวไม่ทัน ผมพูดอะไรไม่ออก ไอ้นัยพูดต่อด้วยเสียงที่สั่นเครือยิ่งขึ้น

“อู มึงโกรธกูมากไหม”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ก็มีเสียงผู้หญิงตะโกนดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์

“นัย ทำอะไรอยู่น่ะ”

เสียงไอ้นัยขาดหายไป กลายเป็นเสียงสัญญาณสายไม่ว่างแทน...

ผมวางหูโทรศัพท์ลงอย่างซึมเซา ไม่เลยนัย กับเรื่องที่เกิดขึ้นวันก่อน ก่อนหน้านี้กูก็คิดมากเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่สนใจแล้ว กูรักมึงเกินกว่าที่จะถือโทษมึงได้ ถึงคุณอาชิงชังรังเกียจมึง ขับไล่ไสส่งมึง แต่กูรักมึง ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่ยังทันได้บอกมัน

เราต้องจากกันแล้วนะอู คำพูดของไอ้นัยก้องอยู่ในหูของผม เราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตั้งใจว่าจะปลูกบ้านอยู่ติดกัน ผมไม่เชื่อเลยว่ามันจะมีวันที่เราต้องจากกันเช่นนี้ได้

ผมรู้สึกหวาดกลัว... กลัวที่จะต้องอยู่ต่อไปโดยไม่มีไอ้นัย ผมนึกไม่ออกว่าชีวิตของผมจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรโดยไม่มีไอ้นัย มาถึงตอนนี้ผมเพิ่งจะรู้ว่ามันมีความหมายต่อผมเพียงใด... มันมากเกินกว่าที่ผมรับรู้และเข้าใจได้เสียอีก… ผมเพิ่งมาได้สำนึกเมื่อตอนที่กำลังจะเสียมันไปนี่เอง

- - -

ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ คืนนั้นผมฝันวุ่นวายมาก ทั้งวุ่นวาย ทั้งน่ากลัว จนบางทีต้องสะดุ้งตื่น แต่ก็จำเนื้อเรื่องไม่ได้ จำได้แต่เพียงว่ามันน่ากลัวมาก ผมต้องนอนแบบหลับๆตื่นๆทั้งคืน

“อู อู อู” ผมรู้สึกว่ามีคนเขย่าตัว พร้อมกับได้ยินเสียงคนเอะอะรอบๆตัวผม

“ตัวร้อนจี๋เชียว” ผมได้ยินเสียงคนพูด

ผมถูกเขย่าตัวอย่างแรง สักพักก็รู้สึกว่ามีคนเอาอะไรเปียกๆมาเช็ดใบหน้าและแขนของผม ผมค่อยๆลืมตาขึ้นดูโลก ผมเริ่มรู้สึกตัวพร้อมกับรู้สึกปวดหัวและปวดเบ้าตา

จากนั้นผมรู้สึกจำอะไรไม่ค่อยได้ มาจำได้อีกทีก็ตอนอยู่ในห้องตรวจของหมอ คุณลุงกับเอ๊ดพาผมมาหาหมอที่โรงพยาบาล

หลังจากตรวจเสร็จเรียบร้อย เราทั้งสามคนก็ออกมารอที่หน้าห้องจ่ายยา เอ๊ดเอาแต่คอยถามผมว่าเป็นไงบ้างอยู่ตลอดเวลา สีหน้าของเอ๊ดเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

เอ๊ดเล่าให้ผมฟังว่า ขณะที่เอ๊ดตื่นนอนและลงมาข้างล่างตอนเช้ามืดเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน เอ๊ดเห็นผมนอนอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำตา เมื่อจับตัวผมก็พบว่าตัวผมร้อน จึงไปปลุกคุณลุงคุณป้าลงมาดู คุณลุงเห็นว่าผมมีไข้สูงจึงรีบพามาส่งโรงพยาบาล

ผมถูกพาตัวกลับบ้าน หลังจากที่ได้ยาไปสักพักไข้ก็ลด อาการปวดหัวปวดเบ้าตาก็เริ่มสร่าง แต่ยังรู้สึกอ่อนเพลีย คุณป้าสั่งให้ผมหยุดเรียนในวันนั้น ส่วนคุณลุงเมื่อกลับมาส่งผมที่บ้านเรียบร้อยก็รีบไปออกทำงานเพราะสายแล้ว เอ๊ดเองก็ไปโรงเรียนสาย พ่อและแม่เมื่อรู้ข่าวต่างก็โทรมาถามอาการด้วยความเป็นห่วง

ทุกคนในบ้านพยายามถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงได้ไปนอนจับไข้อยู่ที่ชั้นล่างในสภาพน้ำตาเกรอะกรังใบหน้า อาการป่วยครั้งนี้ผมเองก็ไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าจู่ๆก็ผล็อยหลับไป จากนั้นก็ฝันร้าย ต่อจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย

วันนั้นเป็นวันอังคาร รุ่งขึ้นไอ้นัยก็จะต้องจากผมไปแล้ว วันนั้นผมเอาแต่นอนทั้งวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอ่อนเพลีย แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้สึกว่าเบื่อโลก ผมไม่อยากยุ่งกับใครทั้งสิ้น เพียงแค่อยากพบไอ้นัยเท่านั้น

ตกเย็นเอ๊ดกลับมาจากโรงเรียน เอ๊ดดูแลผมมาก ต้มโจ๊กให้ผมกิน พยายามซักถามอาการว่าเป็นอย่างไร เอ๊ดคุยกับผมดีเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่น้อยใจผม

“ตกลงอูเป็นอะไรกันแน่เนี่ย” ผมถามเอ๊ด

“นั่นสิ ก็ไม่รู้เหมือนกัน หมอบอกว่าอาการยังไม่ชัด แต่ช่วงนี้เป็นหน้าฝน ให้สงสัยไข้หวัดใหญ่เอาไว้ก่อน ต้องตามดูอาการต่อ” เอ๊ดตอบ “แล้วเมื่อคืนอูลงไปทำอะไรข้างล่างตอนดึกๆล่ะ แล้วทำไมน้ำตานองหน้าเลย” เอ๊ดถามต่อ

“มันมีโทรศัพท์ก่อกวน คุณป้าเลยให้ลงไปดู ถ้ารับสายทันก็ให้ด่ามันไป แต่อูรับไม่ทัน ก็เลยนั่งเล่นที่ข้างล่างสักพัก ก็จำได้แค่นั้นเอง” ผมอธิบายอ้อมแอ้ม

เอ๊ดทำสีหน้าแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สักพักก็คงเบื่อที่จะซักไซร้ ก็เลยปล่อยให้ผมนอนต่อไป

กลางคืนวันนั้น เนื่องจากคุณป้าเห็นผมนอนซมทั้งวัน จึงสั่งให้ผมหยุดเรียนเพื่อพักผ่อนต่ออีกหนึ่งวัน

“พรุ่งนี้หยุดอีกวันนะอู” คุณป้าพูด “วันนี้ดูยังไม่ค่อยฟื้นเท่าไรเลย”

“แต่...” ผมอึกอัก

“ไม่ต้องแต่อะไร หยุดสองวันไม่ถึงกับเรียนไม่ทันหรอก ถึงคราวจำเป็นก็ต้องหยุด สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ เข้าใจไหม” คุณป้าไม่ผ่อนปรน

ผมร้อนใจมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเอ๊ด

“ก็หยุดไปสิ ปกติก็ไม่เห็นอูจะห่วงเรียนเท่าไรเลยนี่” เอ๊ดพูด ฟังไม่ออกว่าประชดหรือเปล่า

“เอ้อ... พรุ่งนี้อูมีเรื่องจำเป็นน่ะ ต้องไปให้ได้ เอ๊ดช่วยหาวิธีหน่อยสิ” ผมอ้อนวอน

“มีเรื่องจำเป็นอะไรนักหนา แล้วคุณป้าก็สั่งไว้แล้ว จะให้ทำไงล่ะ” เอ๊ดไม่เล่นด้วย

ผมเห็นเป็นเวลาจวนตัว จึงจำต้องบอกความจริงออกไป

“คือไอ้นัยมันจะไปเรียนเมืองนอกน่ะ อูจะไปส่งมันหน่อย ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะได้เจอกันอีก” ผมพูด พอพูดถึงไอ้นัย ผมก็รู้สึกหม่นหมองขึ้นมาอีก

“อ้าว” เอ๊ดอุทาน “ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย อูไม่เคยเล่าให้ฟัง” เอ๊ดพูดเหมือนจะตำหนิผมว่ามีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมเล่าอีกแล้ว

“หาทางให้อูหน่อยดิ ช่วยพูดกับคุณป้าหน่อย” ผมอ้อนวอนอีก เอ๊ดส่ายหัว

“เห็นจะยาก ยิ่งถ้าบอกว่าจะไปส่งเพื่อน คุณป้ายิ่งไม่ให้ไปใหญ่” เอ๊ดจนปัญญา

- - -

วันพุธ

ผมตื่นตั้งแต่ตีสี่เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ ในใจเต็มไปด้วยความหม่นหมอง ภาพในอดีตไหลเข้ามาในความคิดของผมเป็นระยะๆ ผมอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดนักเรียนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้า จากนั้นก็มานั่งรออยู่ในห้องนอน คิดว่าประมาณตีห้าก็จะแอบออกจากบ้านไป

เอ๊ดนอนทำตาปริบๆดูผม เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะออกจากบ้านโดยที่เอ๊ดไม่รู้ เพราะว่าเราสองคนนอนอยู่ในห้องเดียวกัน ปกติถ้าผมเปิดไฟเอ๊ดจะต้องโวยวายเพราะว่าเอ๊ดไม่ชอบนอนโดยมีแสงไฟแยงตา แต่วันนี้เอ๊ดมองดูผมอย่างเงียบๆ

ตีห้า ฟ้ายังไม่สาง ออกจากบ้านตอนนี้เลยดีกว่า ถ้าช้ากว่านี้คุณลุงหรือคุณป้าจะตื่นมาพบเข้า

ผมคว้าเป้ขึ้นมาถือ มือล้วงลงไปในเป้ คลำดูให้แน่ใจว่าซองบทเพลงยังอยู่ วันนี้คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้มอบบทเพลงนี้ให้ไอ้นัยรวมทั้งบอกความในใจที่มีต่อมัน

เอ๊ดลุกจากที่นอน นั่งมองดูผมอย่างเงียบงัน ผมรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เอ๊ดไม่ห้ามปรามผมเลย

“อูไปละนะ” ผมบอกเอ๊ด

“เมื่อคืนก่อนที่นอนร้องไห้ก็เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม” เอ๊ดถาม

ผมพยักหน้า เอ๊ดคงปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด วันนี้มีความสำคัญสำหรับผมมาก ถึงอย่างไรก็ต้องขอเจอไอ้นัยเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้ เมื่อคิดว่าจะได้เจอกันเป็นครั้งสุดท้าย ผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา

“อย่าทำหน้าเศร้ายังงั้นสิ” เอ๊ดพูด สีหน้าบ่งบอกแววเห็นใจ “ไปเถอะ บอกลานัยแทนเอ๊ดด้วยก็แล้วกัน”

ผมโล่งใจขึ้นมาหน่อย มองหน้าพี่ชายด้วยความรู้สึกขอบคุณ จากนั้นก็รีบออกจากบ้านไป

- - -

เช้าวันนั้นท้องฟ้ามืดครึ้ม แม้จะยังเช้าอยู่ แต่รถแท็กซี่ว่างหาไม่ได้ง่ายนัก เพราะว่าแท็กซี่ไม่ได้มีจำนวนมากมายเช่นในปัจจุบัน และแท็กซี่ส่วนใหญ่ที่ขับผ่านก็มีผู้โดยสารนั่งอยู่แล้ว ผมรออยู่สักพักกว่าจะเรียกแท็กซี่ได้

“ไปสนามบินดอนเมืองครับ” ผมพูด

“สี่ร้อยบาทหนู” คนขับแท็กซี่บอกราคา ในยุคนั้นแท็กซี่ยังไม่มีมิเตอร์ จะว่าไปที่จริงแล้วในรถแท็กซี่ก็มีมิเตอร์ติดตั้งอยู่ แต่ว่าเอาไว้เป็นที่แขวนหมวกของคนขับ ไม่ได้เอาไว้คำนวณราคาค่าโดยสาร การโดยสารแท็กซี่ต้องใช้วิธีต่อรองราคาเอา ตาดีก็ได้ราคายุติธรรม ตาร้ายก็โดนฟัน

“โห น้า ไปดอนเมืองเนี่ยนะสี่ร้อยบาท” ผมอุทาน อดเอามือคลำเงินในกระเป๋าไม่ได้

คนขับแท็กซี่ไม่ตอบ แต่ขับรถออกไปทันที

ผมต้องรออยู่อีกนานกว่าที่จะเรียกแท็กซี่คันใหม่ได้ คันนี้คิดราคาสามร้อยบาทโดยให้เหตุผลว่าเส้นทางไปดอนเมืองรถติดมาก ผมเห็นเวลาล่วงเลยไปมากแล้วจึงตกลงไป

นั่งรถไปตามถนนลาดพร้าวได้สักครู่ฝนก็ปรอยลงมา และเมื่อรถเข้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิตรถก็ติดหนึบ ในยุคที่ยังไม่มีดอนเมืองโทลเวย์ การจราจรในถนนเส้นนี้หนักหนาทีเดียวแม้ในยามฟ้ายังไม่สาง


<ท่าอากาศยานดอนเมืองในยุคที่ยังเป็นสนามบินแห่งชาติอยู่และยังไม่มีดอนเมืองโทลเวย์ กว่าจะมีดอนเมืองโทลเวย์ให้บริการในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๘ แท็กซี่ในยุคนั้นยังใช้วิธีต่อรองราคากันอยู่ กว่าจะมีแท็กซี่มิเตอร์ก็ในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๕>


เวลายังพอมี น่าจะไปทัน ผมคิดในใจทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เคยเดินทางไปดอนเมืองยามเช้า ไม่รู้ว่ารถติดขนาดไหน ผมล้วงหยิบซองบทเพลงในเป้ขึ้นมาลูบคลำเล่นอีก มันเป็นของมีค่าเพียงสิ่งเดียวที่ผมจะให้แก่ไอ้นัยได้ในยามนี้ ไอ้นัยอาจคิดว่าผมโกรธมันอยู่ ผมไม่มีโอกาสบอกแก่มันเลยว่าผมรักมันเกินกว่าที่ผมจะถือโทษมันได้ ได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสบอกมันที่สนามบินก่อนจากกัน หรืออย่างน้อย เมื่อไอ้นัยได้ขับขานบทเพลงที่ผมเขียนขึ้น มันก็คงจะเข้าใจ

หกโมงเช้า ฝนปรอยหนักขึ้น รถบนถนนติดเป็นสายยาวเหยียดราว ถนนกลายสภาพเป็นลาดจอดรถ ผมเพิ่งเดินทางไปถึงแค่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขนเท่านั้น

หกโมงยี่สิบ ผมเพิ่งมาถึงแยกถนนแจ้งวัฒนะ รถยังติดหนักอยู่ ผมร้อนใจจนนั่งไม่ติดเบาะ

หลังจากพ้นช่วงนั้นไป การจราจรค่อยดีขึ้น จนในที่สุด ผมมาถึงอาคารผู้โดยสารต่างประเทศ ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อเวลาประมาณหกโมงครึ่ง

ยังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อย ผมคิด ผมรีบวิ่งเข้าไปในอาคาร แต่พอเข้าไปก็ต้องงุนงง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่สนามบินดอนเมือง ผมไม่เคยมาส่งใครหรือมารับใครมาก่อนเลย ภายในอาคารมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีคนเป็นจำนวนมากเดินไปเดินมา ผมไม่รู้ว่าจะตั้งต้นที่ตรงไหน


<พอเข้าไปก็ต้องงุนงง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่สนามบินดอนเมือง ผมไม่เคยมาส่งใครหรือมารับใครมาก่อนเลย ภายในอาคารมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีคนเป็นจำนวนมากเดินไปเดินมา ผมไม่รู้ว่าจะตั้งต้นที่ตรงไหน>


ผมเดินถามคนในอาคารโดยเลือกถามคนที่คิดว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ถามไปถามมาก็ได้ความว่าให้ไปถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

ผมรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ทันที ตั้งแต่เข้ามาในอาคาร กว่าจะถามได้ความ กว่าจะวิ่งไปถึงเคาน์เตอร์ ก็หกโมงสี่สิบ ไอ้นัยจะยังรอผมอยู่ไหมนะ

“พี่ครับ เที่ยวบินที่ไปอเมริกา หกโมงห้าสิบ จะมาส่งคนน่ะครับ ต้องไปที่ไหนครับ” ผมถาม

“เอ้อ สายการบินอะไรจ๊ะน้อง” เจ้าหน้าที่สาวท่าทางใจดีถาม

อ้าว ไอ้นัยไม่ได้บอก ต้องรู้สายการบินด้วยเหรอ

“ไม่ทราบครับ รู้แค่นี้เอง” ผมตอบด้วยท่าทางร้อนรน “พี่ช่วยหน่อยเถอะครับ” ผมอ้อนวอน

“เดี๋ยวพี่ลองช่วยดูให้ ใจเย็นๆนะจ๊ะ” พี่เจ้าหน้าที่พยายามปลอบใจ แต่เมื่อดูเวลาแล้วก็ชะงักไปนิดหนึ่ง “เอ้อ ถ้ามาส่งคนป่านนี้คงไม่ทันแล้วละ คงเข้าไปอยู่ในโซนผู้โดยสารขาออกหรือไม่ก็ขึ้นเครื่องกันไปหมดแล้ว”

ผมใจหายวาบ “อะไรนะครับ” ผมอุทาน

เจ้าหน้าที่สาวถอนใจ “เสียใจด้วยนะจ๊ะน้อง น้องมาช้า คงไม่ทันแล้วล่ะ”

เนื่องจากผมไม่เคยไปส่งใครที่สนามบินมาก่อนเลย จึงไม่รู้ว่าปกติทำกันอย่างไร ได้แต่คิดเอาเองว่าคงเหมือนกับการไปส่งใครที่สถานีรถไฟหรือที่ท่ารถ บขส. ซึ่งเราสามารถคุยกับผู้เดินทางได้จนถึงเวลารถออก แต่ถึงอย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สาวผู้นั้นก็ยังพยายามเช็คเที่ยวบินออกมาให้ จากนั้นบอกเบอร์เคาน์เตอร์สายการบินให้ พร้อมทั้งแนะนำให้ผมลองวิ่งไปถามที่เคาน์เตอร์สายการบินดูเผื่อจะพบญาติมิตรของผู้เดินทางที่นั่นบ้าง

เมื่อไปถึงเคาน์เตอร์สายการบินที่ว่า เคาน์เตอร์มีคนอออยู่แน่นขนัด แต่ว่าป้ายที่ขึ้นอยู่เป็นเที่ยวบินอื่น เมื่อผมถามเจ้าหน้าที่สายการบินที่เคาน์เตอร์นั้นก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันว่าผมมาสายไปแล้วจริงๆ

ผมวิ่งพล่านทั่วอาคาร ยังไม่ยอมหมดหวังง่ายๆ ผมยังมีความหวังเหลืออยู่ใยหนึ่ง พยายามสอดส่ายสายตาดู เผื่อว่าอาจได้เจอไอ้นัย

ทันใดนั้น ผมก็เห็นใครคนหนึ่งเข้าจริงๆ คนผู้นั้นคือคุณอาผู้หญิงของไอ้นัยนั่นเอง!

คุณอาเดินอยู่คนเดียว ไม่เห็นไอ้นัยและคุณอาผู้ชายอยู่ด้วย คุณอาเดินไปที่ลิฟต์ จากนั้นกดเรียกลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง

ผมถามแม่บ้านทำความสะอาดจึงได้รู้ว่าชั้นล่างเป็นที่จอดรถกับชั้นสำหรับผู้โดยสารขาเข้า แสดงว่าคุณอาอาจจะกำลังกลับไปที่รถเพื่อกลับบ้านก็เป็นได้

ผมยังไม่ยอมแพ้ พยายามวิ่งอยู่ภายในตัวอาคารต่อไป เผื่อจะได้พบไอ้นัย

ผมวิ่งไปวิ่งมาอยู่จนเจ็ดโมงครึ่ง ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ห้องกระจกห้องหนึ่งซึ่งใช้เป็นที่สำหรับดูเครื่องบินเวลาขึ้นลง ผมรู้สึกท้อแท้ หดหู่ ในที่สุดผมก็หลอกตนเองต่อไปอีกไม่ได้ ปาฏิหาริย์อาจมีจริง แต่คงไม่ได้เกิดขึ้นกับผม

ไอ้นัยได้จากผมไปแล้ว... จากกันทั้งๆที่ไม่ได้ร่ำลากัน...

ผมเหม่อมองดูเครื่องบินที่กำลังวิ่งในรันเวย์ผ่านทางหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่อย่างซึมเซา รู้สึกเบ้าตาร้อนวูบ น้ำตาเอ่อท้นทะลักขึ้นมา... ผมรู้สึกอยากร้องไห้...

ไอ้นัยไปแล้ว แม้เปลือกนอกไอ้นัยจะดูเหมือนเป็นเด็กหัวอ่อน แต่ผมรู้ว่าไอ้นัยเป็นเด็กที่เข้มแข็ง ผมก็จะอ่อนแอไม่ได้ ผมต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้อย่างมัน

ผมกอดเป้เอาไว้แน่น ภายในเป้มีบทเพลงรักที่ผมไม่มีโอกาสมอบให้ไอ้นัย ภาพอดีตหวนกลับเข้ามาในความคิดของผมเป็นฉากๆ...

ในวัยประถมต้น ไอ้นัยยังเป็นเด็กตัวเปี๊ยก... วันที่ผมและไอ้ชัชพาไอ้นัยเข้าไปซ่อนในหอนักเรียนประจำ... วันที่ไอ้ทิวอัดใส่ลิ้นปี่ไอ้นัยจนหน้าเขียวตอนเล่นฟุตบอล... วันที่ไอ้ชิดซ้อมไอ้นัย... วันที่ไอ้ชัชสาดจานข้าวแกงใส่ไอ้นัย... วันที่เรากัดโดนัทอันเดียวกันบนรถเมล์... วันที่ไอ้นัยเล่นกีตาร์ให้ผมฟังในที่ริมบึงน้ำ... จนถึงวันไอ้นัยเดินไปกับ รปภ... ชีวิตที่ผ่านมาที่มีทั้งสุขและทุกข์... มันเป็นอดีตที่ไม่อาจหวนคืนมาได้อีก

ผมกัดกรามแน่น ไม่ยอมปล่อยให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงหยาดน้ำตาสองหยดเท่านั้นที่ไหลผ่านร่องแก้มของผม ผมไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาร่วงออกมาภายนอก แต่ผมปล่อยให้มันร่วงลงไปข้างใน... ร่วงลงไปท่วมท้นในหัวใจของผมจนหมดสิ้น...

มึงอย่าท้อนะไอ้เพื่อนรัก กูไม่ได้โกรธมึง กูรักมึงมานานแล้วแต่กูไม่เข้าใจตัวเอง และตอนนี้เมื่อกูเข้าใจตัวเองแล้วกูก็ยิ่งรักมึงมากขึ้นกว่าเดิม... มึงไปเมืองนอกแล้วเรียนให้เก่งๆ กูอยู่นี่ก็จะขยันเรียน เวลามึงกลับมากูจะได้ไม่น้อยหน้ามึงมากนัก... ความคิดของผมกระเจิดกระเจิง

ผมนั่งกอดเป้ซึมอยู่ในห้องกระจกนั้นนานนับชั่วโมง คิดโน่นคิดนี่ กัดกรามแน่นจนปวดกรามไปหมด เพราะถ้าไม่กัดกรามเอาไว้ผมก็คงต้องร้องไห้ออกมา

- - -

ผมแกร่วอยู่ในสนามบินดอนเมืองจนเวลาบ่ายเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน ผมไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเจอเพื่อน ไม่อยากเจอใคร อยากเจอแต่ไอ้นัยเพียงคนเดียว แต่มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

ผมกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น พบว่าคุณป้ากำลังดุเอ๊ดอยู่ เพราะเอ๊ดบอกกับคุณป้าว่าเอ๊ดเป็นคนให้ผมไปโรงเรียนเอง เนื่องจากเห็นว่าใกล้สอบแล้ว ไม่อยากให้หยุดเรียนหลายวัน คุณป้าดุเอ๊ดอย่างหนักเพราะเอ๊ดจงใจขัดคำสั่งของคุณป้า และเมื่อคุณป้าเห็นผมกลับบ้านก็พลอยดุผมไปด้วยในฐานะที่เชื่อฟังคำพี่ชายมากกว่าฟังคำของคุณป้า

เมื่อเอ๊ดเห็นสีหน้าของผมก็รีบให้ผมหลบขึ้นไปข้างบนก่อน คุณป้าโทรศัพท์รายงานให้พ่อผมรู้ พ่อจึงโทรมาดุเอ๊ดอีกรอบ คุณลุงกลับมาก็ดุเอ๊ดอีก ส่วนผมนั้นโดนดุแต่เพียงเล็กน้อย เรื่องทั้งหมดในครั้งนี้เอ๊ดออกหน้ารับเอาไว้ทั้งหมดแต่เพียงคนเดียว

- - -

หลังจากที่ไอ้นัยเดินทางไปต่างประเทศ อาจารย์ประจำชั้นของไอ้นัยจึงได้มาบอกเพื่อนในชั้นว่านัยได้ลาออกจากโรงเรียนและไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว ยังความแปลกใจให้แก่ทุกคน เพราะก่อนหน้านั้นไอ้นัยหายตัวไปอย่างลึกลับและทุกคนเข้าใจว่าไอ้นัยป่วยอยู่

ผมเคยโทรศัพท์ไปขอที่อยู่เพื่อติดต่อกับไอ้นัย แต่คุณอาก็บ่ายเบี่ยง ผมให้ตี๋โทรไปขอที่อยู่บ้างโดยอ้างว่าเป็นเพื่อนร่วมห้อง แต่ก็ถูกคุณอาปฏิเสธเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครติดต่อกับไอ้นัยได้เลย

แรกๆที่ไอ้นัยจากไป เพื่อนๆลือกันว่าไอ้นัยป่วยหนักจนต้องไปรักษาตัวที่เมืองนอก คนที่รู้ความจริงคงมีผมเพียงคนเดียว แต่ผมก็ไม่ได้บอกใครถึงสาเหตุความนัย ครั้นพอนานวันเข้า ทุกคนก็ค่อยๆลืมไอ้นัยไป

เดือนกันยายน

ในที่สุด ช่วงเวลาสอบปลายภาคก็มาถึง เนื่องจากตลอดเทอมที่ผ่านมาผมมีปัญหาในจิตใจค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงทำให้เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง คะแนนสะสมก็ไม่ค่อยดี ยังดีที่ได้ความช่วยเหลือจากไอ้แก่ เพื่อนหน้าแก่ผู้มีน้ำใจ ผมจึงพอเอาตัวรอดมาได้ ผลสอบที่ออกมาจึงร่วงลงมาเหลือเพียงเกรด ๒.๕ กว่าๆ

ชีวิตการเรียนในชั้น ม.๓ เทอมปลายของผมนั้นเป็นไปอย่างน่าเบื่อ ผมยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของไอ้นัย ที่ผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะตั้งใจเรียนก็ทำไม่ได้ นับวันผมต้องพึ่งพาไอ้แก่มากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องขอลอกการบ้านกับกินแรงมันทำรายงาน ซึ่งมันก็ยอมให้ผมพึ่งพาแม้บางครั้งจะมีบ่นผมบ้างก็ตาม

เดือนธันวาคม

ยิ่งใกล้วันคริสต์มาสและปีใหม่ ความหดหู่ก็ยิ่งเข้าโจมตีจิตใจของผมอย่างรุนแรงโดยไม่รู้สาเหตุ ผมรู้สึกเดียวดาย สภาพจิตใจของผมในช่วงนั้นค่อนข้างแย่ เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากพ้นปีใหม่ไปแล้วก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง

ในที่สุดผมก็จบ ม.๓ มาได้อย่างทุลักทุเลด้วยเกรดเทอมปลายที่ไม่ถึง ๒.๕ ตอนนี้ผลการเรียนของผมมีแต่แย่ลง แต่โชคดีที่ทางบ้านผมไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องเกรดของผมนัก

- - -

เดือนมีนาคม

ในที่สุดผมก็ได้กลับบ้านต่างจังหวัด ทั้งพ่อ แม่ และเอ๊ดต่างก็เป็นห่วงผมมาก เพราะเห็นว่ายิ่งนานผมก็ยิ่งเปลี่ยนไป ไม่ว่าใครจะถามอย่างไรผมก็ตอบเพียงแต่ว่าไม่มีอะไร ทุกคนได้แต่หนักใจแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ผมได้มีโอกาสไปนั่งเล่นที่บึงน้ำโลกส่วนตัวของไอ้นัยและผมอีกครั้งหนึ่ง การมาในครั้งนี้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ผมรู้สึกหวาดกลัว ทุกครั้งที่ผมมากับไอ้นัย บึงน้ำแห่งนี้คือโลกแห่งความสุข แต่ครั้งนี้... ในวันไม่มีไอ้นัย... ทุกอย่างกลับดูอ้างว้างเดียวดายไปหมด แม้ต้นหญ้าที่ริมบึงจะเขียวแต่ก็ดูไม่ขจีเหมือนก่อน แม้น้ำในบึงจะเย็นแต่ก็ไม่รู้สึกสดชื่นเหมือนเก่า แม้สายลมจะโชยอ่อนๆแต่ก็ไม่รู้สึกรื่นรมย์เหมือนเดิม... ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปจริงๆหรือว่าเป็นเพราะผมเองที่เปลี่ยนไป... ผมแวะไปดูต้นเม่าที่เรามาเล่นพิเรนทร์กันเมื่อตอนเด็ก... ผมตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าไม่มีไอ้นัยมาด้วย ต่อไปผมจะไม่มาที่นี่อีก

เรื่องราวเกี่ยวกับไอ้นัยหลายต่อหลายเรื่องยังคงเป็นปริศนาอยู่ ไอ้นัยไปทำอะไรในห้องน้ำกับชายคนนั้น อะไรเกิดขึ้นกับไอ้นัยหลังจากถูก รปภ คุมตัวไป ไอ้นัยกลับบ้านไปได้อย่างไรในวันนั้น และต่อมาเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านของมัน รวมทั้งเรื่องราวทั้งหลายที่ไอ้นัยปิดบังผมซึ่งผมเคยอยากรู้ ฯลฯ ... แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญอะไรแล้ว... เมื่อไอ้นัยจากไป ทุกอย่างก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป

นัย ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า ทำไมมึงไม่ติดต่อกูบ้าง กูคิดถึงมึงมากรู้ไหม ผมคิดในใจ... สายลมพัดต้นหญ้าริมบึงเสียงดังหวีดหวิว ฟังไปคลับคล้ายเสียงกีตาร์ของไอ้นัยที่กำลังดีดบรรเลงเพื่อปลอบประโลมใจให้แก่ผม

บทเพลงรักที่ผมเขียนให้ไอ้นัย ผมยังเก็บใส่ซองเอาไว้ ผมมักหยิบมันขึ้นมาดูบ่อยๆ ผมฝันลมๆแล้งๆว่าสักวันหนึ่ง ผมคงมีโอกาสมอบเพลงนี้ให้แก่มัน และมันจะร้องบทเพลงนี้ให้ผมฟัง...




<ผมวิ่งไปวิ่งมาอยู่จนเจ็ดโมงครึ่ง ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ห้องกระจกห้องหนึ่งซึ่งใช้เป็นที่สำหรับดูเครื่องบินเวลาขึ้นลง ผมรู้สึกท้อแท้ หดหู่ ในที่สุดผมก็หลอกตนเองต่อไปอีกไม่ได้ ปาฏิหาริย์อาจมีจริง แต่คงไม่ได้เกิดขึ้นกับผม>

- - -

ปัจฉิมบท

หลายปีผ่านไป...

แม้ผมจะยอมรับว่าตนเองเป็นเกย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมยอมรับธรรมชาติและตัวตนของตนเองได้ตลอดเวลา ผมเก็บซ่อนมันเอาไว้ในเงามืดของจิตใจ ไม่ยอมให้ใครเข้ามาพบเห็น บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกสับสนและไม่ยอมรับตนเอง ตามเหตุผลด้านค่านิยมของสังคมแล้วผมควรเป็นเด็กชายที่เติบโตเป็นชายหนุ่ม รักหญิงสาว แต่งงาน และมีครอบครัว แต่โดยหัวใจแล้วผมรู้ว่าผมรักผู้ชายด้วยกัน เมื่อเหตุผลและหัวใจอยู่ตรงข้ามกัน สงครามในใจของผมจึงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หัวใจของผมเป็นเหมือนสนามรบที่ไม่เคยมีวันสงบสุขได้ ผลของความสับสนในจิตใจของผมได้ทำร้ายคนที่ผมรักและคนที่รักผมหลายต่อหลายครั้ง ผมใช้เวลาและความพยายามเพื่อแสวงหาคำตอบให้แก่ชีวิตของตนเอง... เพื่อหาคำตอบให้แก่หัวใจ และเพื่อที่จะหาที่ยืนในสังคมเยี่ยงคนปกติ...

ชีวิตหลัง ม.๓ ของผมลุ่มๆดอนๆ มีทั้งสุขและทุกข์ ผมไม่อาจลืมไอ้นัยได้เลย เรื่องของไอ้นัยทำให้ผมถูกติเตียนจากมโนธรรมอย่างรุนแรงตลอดมา

จนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เพื่อนๆร่วมชั้นเรียนในระดับมัธยมของผมต่างก็มีเส้นทางชีวิตกันไปต่างๆนานา ตอนเรียนมัธยม ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีปมเรื่องเพศอยู่ในใจ ประกอบกับความรู้สึกผิดต่อไอ้นัย จึงทำให้ผมเก็บตัวมาตลอด ผมมีเพื่อนไม่มากนัก เพื่อนสนิทยิ่งมีน้อย เพื่อนๆที่อยู่ในความทรงจำของผมมากที่สุดคือเพื่อนๆในชั้น ม.๑ อาจเป็นเพราะว่าเป็นปีที่ผมเพิ่งเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี้ใหม่ๆก็เป็นได้ จึงฝังลึกอยู่ในความทรงจำเป็นพิเศษ

เพื่อนๆร่วมห้องชั้น ม.๑ ของผมเท่าที่รู้สอบเข้าเรียนแพทย์ได้ไม่ต่ำกว่า ๕ คน นอกจากนั้นก็มีสอบเข้าเภสัชศาสตร์และทันตแพทย์ได้

พจน์เป็นแพทย์ ดิษฐ์หัวหน้าชั้นรับราชการทหาร ชาติเรียนกฎหมาย ต่อมาเป็นผู้พิพากษา

เล็กที่นั่งหน้าดิษฐ์ต่อมาเปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์ และมีชีวิตที่ล้มเหลวจนต้องหันไปพึ่งเหล้า

ใหญ่ เพื่อนชักว่าวในชั่วโมงพลศึกษาของผมเป็นมัณฑนากร

นก เพื่อนที่เด็กที่สุดและตัวเล็กที่สุดในชั้น มีชีวิตที่คาดไม่ถึง เพราะต่อมาเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจและได้กลายเป็นนายตำรวจที่มีอนาคตก้าวหน้าเร็วคนหนึ่ง

ไอ้คุณจิยอดนักสืบ ได้ทำงานในหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับเงินๆทองๆ จิกินแหลก กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้งตามน้ำและทวนน้ำ จนร่ำรวย

นอกนั้นก็มีเพื่อนในอาชีพอื่นๆ เช่น อาชีพทนาย ล่าม นักบัญชี ทำร้านอาหาร ฯลฯ

อ๊อด เพื่อนสนิทในชั้น ม.๒ ของผม ทำงานในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

เพื่อนมัธยมสามคนสุดท้ายที่ผมอยากกล่าวถึงก็คือวีกิจ วิชัย และตี๋

วีกิจ เพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกับผมตอน ม.๑ ร่ำเรียนเอาดีในทางดนตรีไทย ต่อมาเมื่อจบการศึกษาแล้วก็ทำงานคลุกคลีกับเด็กด้อยโอกาสมาตลอด โดยใช้ดนตรีไทยที่ร่ำเรียนมาเป็นสื่อเพื่อขัดเกลาจิตใจเด็กๆ ทราบมาว่ารายได้ของวีกิจมักชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัยใจรักและความเสียสละ แต่ไม่ค่อยมีใครให้การสนับสนุน

วิชัย เพื่อนหน้าตายของผม ในที่สุดก็เข้าเชื่อในพระเจ้า กลายเป็นคริสเตียนและทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามในองค์กรการกุศลของคริสเตียนแห่งหนึ่ง

และท้ายที่สุด นั่นคือตี๋ หลังจากจบมัธยม ตี๋เรียนต่อทางด้านศึกษาศาสตร์ เมื่อจบจากมหาวิทยาลัยตี๋ก็หันหลังให้กับแสงสีของเมืองกรุงไปเป็นครูในโรงเรียนชนบทในภาคอีสาน ตี๋ทุ่มเทชีวิตให้แก่การเรียนการสอนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนและคนในท้องถิ่นอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ผมคิดว่าเส้นทางชีวิตของตี๋เช่นนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตอน ม.๒ อยู่มาก

ทั้งสามคนนี้ต้องถือว่ามีความกล้าหาญในการเลือกเส้นทางชีวิต แม้ทั้งสามคนจะไม่เป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคม รวมทั้งมีฐานะการเงินที่ไม่ค่อยดีนัก แต่กลับเป็นเพื่อนที่ผมนับถือในน้ำใจมากที่สุด

สำหรับชัช เพื่อนสนิทสมัยประถมของผมและไอ้นัย ชัชไปเรียนในมหาวิทยาลัยในภูมิภาคและต่อมาเป็นวิศวกร ตลอดการศึกษาเราไม่เคยพบกันเลย ผมได้พบชัชอีกครั้งก็เมื่อต่างคนต่างทำงานกันแล้ว ชัชในวันที่เติบใหญ่กลายเป็นคนที่ผมไม่คุ้นเคย เราเป็นเหมือนเพื่อนที่คบกันเพียงผิวเผิน ไม่ใช่เพื่อนที่เคยสนิทกันอย่างลึกซึ้ง หรืออาจเป็นไปได้ว่าชัชอาจละอายต่ออดีตที่เราเคยมีร่วมกัน และพยายามที่จะลบอดีตส่วนนั้น...รวมทั้งเพื่อนเช่นผม... ออกไปจากชีวิต

สำหรับนัย เราไม่ได้พบกันอีกเลย จนกระทั่งผมจบจากมหาวิทยาลัยก็ยังไม่มีโอกาสได้พบรวมทั้งไม่มีโอกาสติดต่อมันอีกด้วย

ผมยังนึกถึงคำสอนของครูช่วยอยู่เสมอ และใช้คำสอนนี้ปลอบใจตนเองเรื่อยมา

“ครูเชื่อว่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา มีโอกาสได้พบเจอกับเรา ล้วนแล้วแต่มีวาสนาต่อกันทั้งนั้น แต่จะมีวาสนาต่อกันในทางใด และมีมากเพียงไหน มันก็ต้องแล้วแต่คนไป… คนเราเมื่อมีวาสนาต่อกัน ในที่สุดก็จะได้พบกันอีก เหมือนอูที่ได้มาพบครูอีกนี่ไง”

เรายังไม่หมดวาสนาต่อกันนะนัย ผมเชื่ออย่างนั้น และสักวันหนึ่ง เราคงได้พบกันอีก...

บงกชอันพิสุทธิ์เกิดในโคลนตมฉันใด ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ย่อมเกิดจากชีวิตที่แปดเปื้อนมลทินได้ดุจเดียวกัน ชีวิตของตี๋ก็อาจถือเป็นตัวอย่างได้ ผมจะรอดูวันแห่งความสำเร็จของไอ้นัย...

ขณะที่ผมจบจากมหาวิทยาลัย บทเพลงรักที่ผมเขียนให้ไอ้นัยยังคงอยู่ในซองใบเก่า ตัวซองเก่าคร่ำคร่ามากแล้ว กระดาษภายในก็คงเหลืองและเก่าไปตามกาลเวลา แต่ผมจะไม่เปลี่ยนซองดีกว่า เก็บเอาไว้อย่างนี้ รอเมื่อถึงวันที่ผมได้พบไอ้นัยอีกครั้ง ผมจะได้บอกแก่มันว่าเพลงรักบทนี้ได้ผ่านกาลเวลาและการเดินทางอันยาวนานเพียงใด ใช้ความหวังและความอดทนมากเพียงไหน... กว่าที่จะมาถึงมือผู้รับที่แท้จริงของมัน...


จบภาค ๒


<ภาพถ่ายในวัยเด็ก ภาพนี้ถ่ายตอน ป.๖ ตอนไปทัศนศึกษาที่สวนสัตว์เขาดิน เป็นภาพในวัยเด็กที่เหลืออยู่เพียงใบเดียวซึ่งมีนัยอยู่ในภาพ หมายเลขหนึ่งคือนัย หมายเลขสองคือชัช ส่วนหมายเลขสามคือเชียร คนที่นั่งอยู่หลังห้องและชอบให้เพื่อนจับจู๋เล่น ส่วนผมไม่อยู่ในภาพเพราะเป็นคนถ่าย>


<ภาพนี้ถ่ายตอน ป.๖ เช่นกัน คนขวามือคือยะ กระเทยของห้อง เป็นเด็กชายที่แสดงความตุ้งติ้งและวี้ดว้ายแบบเด็กผู้หญิงออกมาอย่างเปิดเผย คนที่สองจากซ้ายเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีภาพ นั่นคือ โหนก คนที่มีเรื่องกับผมตอน ม.๑ ภาพนี้ที่จริงผมตั้งใจจะถ่ายยะ แต่มีเด็กห้องอื่นสองคนที่อยู่ใกล้ๆพอเห็นกล้องก็ขอเข้ามาถ่ายด้วย มารู้เอาภายหลังว่าเด็กในภาพคือโหนก สังเกตว่าโหนกกับเพื่อนเล่นจับหัวกัน เพราะหัวของโหนกมีลักษณะเด่น เพื่อนๆจึงชอบจับเล่นนั่นเอง>

79 comments:

Anonymous said...

(-_-) ผมเม้น61ตอนครับได้ที่1 29ตอนเองครับ
และก็ลุงลงรูปตอนแรกตอน2เป็นรูปทุ่งนาครับ
ลุงเอาใจช่วยarusให้เม้นคนแรกเสมอ
และลุงใช้ตัวเลขไทย
ขอให้ลุงอูชีวิตยืนยาวและรุ่งเรืองนะครับ
เอามาจากสป๊อก หุหุ
เม้นนี้เขียนให้ลุงแทนคำขอบคุณ
http://www.youtube.com/watch?v=8NvD1BugmqY

Anonymous said...

___นัย____นัย__อูอู____อูอู
_นัย___นัย__อูอูนัย__อูอู__อูอู
นัย_______อูอู__นัย_______อูอู
__นัย_______นัอู_______อูอู
____นัย___นัย__อูอู___อูอู
_______นัย_______อูอู

TTTTTTT_____ขขขข__ขข
___T__________ขข__ขข
___T__________ขข__ขข
___T__________ขขขขขข

H_____H_____อออออออ
H_____H___________ออ
HHHHH_____อออ___ออ
H_____H_____ออ____ออ
H_____H_____อออออออ

____A_______บบบ___บบ
__A___A______บบ___บบ
_AAAAAA_____บบ___บบ
A_______A____บบบบบบ

N_____N_____คคคคคคค
NN____N_____ค______ค
N__N__N_____คคค____ค
N____NN_____คค_____ค
N_____N_____คุคุ_____คุ

KK___KK____ณณณณ___ณ
KK__KK_____ณ___ณ____ณ
KKK________ณ___ณ____ณ
KK__KK_____ณ___ณ____ณณ
KK___KK____ณณ__ณณณณณ

Y_____Y_____คคคคคคค
_Y___Y______ค______ค
___Y________คคค____ค
___Y________คค_____ค
___Y________คค_____ค

____OOO______รัรัรัรัรัรัรั
_OO_____OO___รรรรรรร
OO_______OO______รร
_OO_____OO_______รร
____OOO_________รรรร

U_____U____บบบ___บบ
U_____U_____บบ___บบ
U_____U_____บบ___บบ
UUUUUU_____บบบบบบ

Anonymous said...

เศร้า = ="

Bomber_Boy said...

ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร คุณอูคงจะ...ทรมานอยู่มากเลยนะที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้

จะร้องไห้อ่ะ.....ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย

แล้วอยากรู้ว่าคุณอูได้สืบหา หรือว่าตามข่าวของนัยบ้างหรือเปล่าครับ ยังพอมีหวังนะที่จะตามหานัยอ่ะครับ

พักหลังๆ นี่คอมเมนต์อะไรไม่ค่อยออกเลยอ่ะ แน่นไปหมด

Anonymous said...

สำเร็จนับตอนนี้ก็ได้30กิ้กๆมารอตั้งแต่บ่าย4แล้วมีข่าวที่โรงเรียนมีคนติหวัดหมูแล้วครับ 2 เม้นแรกผมเซฟไว้เร็วใช่ม้า ผมเข้าใจแล้วหละครับว่าที่ผมขอให้เล่าถึงวันจากเหย้ามันเป็นไปไม่ได้ ลุงอย่าเศร้าไปเลยนะครับ http://www.youtube.com/watch?v=7Si6NSA8nL8
ไปให้ถึงดินแดนนี้นะครับ(^_^)

Anonymous said...

แงๆๆๆๆๆๆๆ อวสานแล้ว ไม่อยากให้เรื่องนี้ต้องมาจบเลยครับ ขอเม้นก่อนนะ แล้วเดี๋ยวไปอ่านครับ อิอิ

ปล.ขอบคุณคุณอูมากครับที่มาเขียนเรื่องราวในชีวิตให้ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ตรงนี้ได้อ่านกัน เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่ผมเคยอ่านมาเลยล่ะครับ พูดจริงๆนะ เพราะผมไม่เคยใจจดใจจ่ออ่านอะไรได้ขนาดนี้เลย ขอบคุณมากครับ

Sea~~!!

naja said...

ขอบคุณที่จบลงอย่างที่ไม่ทำร้ายจิตใจกันนัก

เสียดายที่อูไม่มีโอกาสได้บอกความในใจครั้งสุดท้าย


ใจหาย



เหมือนเราเป็นเพื่อนกันมานาน


ขอบคุณคุณอูสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปีนี้


ปล.คุณอูได้พยามสืบหา ข้อมูลของนัยบ้างรึเปล่าครับ แต่ก็ดีแล้วหล่ะ วันเวลาล่วงเลยมาเนิ่นนานขนาดนี้ เจอกันอีกที อาจจะเป็นแค่คนที่เคยรู้จักแบบชัชก็ได้ แบบนั้นจะเจ็บยิ่งกว่า

Anonymous said...

อ่านแล้วครับ เสียดายจริงๆที่อาอูไม่ได้บอกความในใจให้อานัยได้รู้เรื่อง อาอูคงจะเสียดายมากเลยสินะครับ ขนาดผมเป็นแค่คนอ่านยังรู้สึกเสียดายเลย ตอนที่อานัยจากไปนี่ผมแทบจะร้องไห้ เสียใจมากจริงๆ เป็นความรู้สึกที่น่าเศร้ามากที่เราเห็นคนที่เรารักจากไปโดยที่เราไม่ได้บอกความในใจให้เค้าได้รับรู้ หวังว่าอานัยได้อ่านเรื่องนี้ก็คงจะเข้าใจอาอูนะครับ

ปล.อาอูได้ลองหาข้อมูลที่อยู่เกี่ยวกับอานัยหรือยังครับ จะได้ติดต่อกัน

Sea~~!!

Anonymous said...

เศร้าจัง

นี่มันก้อนานมากแล้ว นับจากที่บอกว่ารถแท็กซี่ยังไม่มีมิเตอร์ก้อไม่น้อยกว่า 20 ปี

ขออวยพรให้คุณอูได้พบกับคุณนัยซักที

ขอบคุณที่เขียนเรื่องให้ได้อ่าน

ว่าแต่มีตอนต่อหรือเปล่า
บอย

InDy said...

ขอบคุณมากนะครับที่เขียนเรื่องราวให้อ่านมานาน
ชีวิตคนเรามีพบมีพลัดพราก
แต่สิ่งที่มีคุณค่านั่นคือความทรงจำที่ดีต่อกัน

Anonymous said...

ยังไม่อยากให้อวสานเลยอะ

อ่านแล้วเจ็บจิงๆ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะงับ

Anonymous said...

หวัดดีคับคุณอู ผมติดตามอ่านเรื่องของคุณกะนัยมานาน
แต่ยังไม่เคยโพสต์เลย ผมเคยตามหาเพื่อนสมัยเด็กๆ
โดยใช้ Google ซึ่งก็ได้ผลนะครับ แม้กับเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เพราะสมัยนี้คนเราใช้อินเตอร์เน็ตกันมาก เช่นการลงทะเบียนต่างๆในเน็ต มันจะบันทึกไว้ใน Google เสมอลองใช้ทั้งชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นแนวทางให้พบกันได้ เอาใจช่วยนะครับ

Anonymous said...

มีแค่ความเงียบในจิตใจ...ฟังเรื่องของคุณอูแล้วคิดถึงใครบางคน..บางทีถ้าเราได้บอกเขาไปแล้วและเขาปฏิเสธ คนๆนั้นก็คงกลายเป็นฝุ่นไปแล้วในหัวใจเรา..ในเมื่อทุกอย่างยังคลุมเครือเขาคนนั้นก็จะยังชัดเจนในหัวใจเราตลอดไป..

Anonymous said...

ปั๊มนิ้วโป้งก่อนอ่านนะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

So kiss me and smile for me
Tell me that youll wait for me
Hold me like youll never let me go
cause Im leavin on a jet plane
Dont know when Ill be back again
Oh babe, I hate to go

เห็นใจพี่มากเลยครับ
ความดีไดๆที่ผมเคยทำไว้บ้าง
ผมขอมอบผลดีนั้นให้ พี่อูได้พบนัย
สักครั้งหนึ่งในชิวิตน่ะครับ

t1000

Anonymous said...

กว่าจะเลิกเรียน กลับถึงบ้าน อาอูก็ลงตอนใหม่แล้ว
ถ้าเป็นผมก็คงใช้วิธีแบบพี่ข้างบนน่ะครับ ใช้ Google
ช่วยหา
ส่วนถ้าผมเป็นอาอูตอนเด็กผมจะเขียนจดหมายไปฝากที่
บ้านอานัย แบบที่อ่านกันเองสองคนเข้าใจไปอย่าง
แต่คนอื่นอ่านจะเข้าใจอีกอย่าง เช่นว่า
"เรื่องไม่ดีที่อาอูจับได้ว่าอานัยทำไม่ถูกแล้วบอกว่า
จะเลิกคบกัน อาอูยกโทษให้แล้ว"
ถ้าเขียนไปแบบนั้น รับรองว่าทางบ้านต้องส่งไปให้
แน่ๆเลย

อีกอย่างผมว่าการที่อาอูมาลงเรื่องแบบนี้ หากอานัยมี
โอกาสได้อ่านพบเจอ ก็คงติดต่อไปหาอาอูด้วย
กระมังครับ ดังนั้นก็ลองลง Mail ไว้ให้เด่นเป็นสง่า
ดูนะครับอาอู

รักเสมอนะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ร้องไห้อีกแล้วเรา.......ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไรบ่อน้ำตามันตื้นซะเหลือเกิน เดี๋ยวขอเอาผ้าเย็นมาประคบตาก่อนนะ ตามันบวมครับ อ่านไปเศร้าไปทำไมชีวิตคนที่เป็นเกย์อย่างเราๆจะต้องมีปลายทางแบบนี้ด้วย.....ปวดใจจริงๆ

กู๋

Anonymous said...

มันจุกเข้าไปข้างในคับ เพิ่งรู้ว่าอ่านนิยายเศร้าแบบนี้
แล้วจะเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ถึงว่าทำไมคนถึงเข้ามาให้กำลังผมเยอะมากเวลาถ่ายทอดเรื่องเจ็บปวด

ผมเชียรพี่นัย กับพี่อูมาตลอดน่ะคับ
ไม่รู้หรอกว่าปัจจุบันมันคืออะไร แต่ถ้าเป็นผม ผมจะทำทุกวิถีทางให้รู้ว่าเค้าเป็นอย่างไง ถึงแม้มันจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม ผมนับถือพี่น่ะคับพี่อู ที่เข้มแข็งและอดทนกับสิ่งที่ต้องปกปิดมาโดยตลอด และมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่าพี่ยังรอคอยคนที่รักที่สุดอยู่เช่นกัน หวังเป็นอย่างยิ่งพี่จะกลับมาเล่าอะไรๆ ที่เป็นตอนพิเศษๆ ให้ได้อ่าน และได้ระลึกถึงอีกน่ะคับ

ขอบคุณคับ ที่สละเวลามาเขียนความทรงจำดีๆ ฃของพี่ให้ทุกๆคนได้อ่าน ขอบคุณจากใจจริงครับ สำหรัีบสามปีที่มีความสุขของผม ถึงแม้บทสรุปจะเจ็บปวดก็ตาม

จะรอพี่มาอัพตอนพิเศษน่ะคับ
^^sky^^

Unknown said...

โศกนาฏกรรม ที่เป็นความจริงของชีวิต อ่านแล้วรู้สึกเศร้ามากมาย ยังไม่ทันได้ร่ำลาบอกความในใจ เป็นกำลังใจให้นะคับพี่ ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ทำใจไม่ได้...

Anonymous said...

บอกได้คำเดียวว่าเศร้ามาก ขอบคุณที่เขียนให้อ่านมาเป็นเวลานาน ขอบคุณจากใจจริง ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีตอนต่อไปนะครับ อาจจะเป็น episode ปฐมบท ก็ยังดี มีการพลิ๊กล็อค บางนะครับ ขอบคุณอีกครั้ง ครับ

พี said...

ขอบคุณครับ.....ที่มาเล่าให้ได้อ่าน

เนื้อเรื่อง ผมขอไม่คอมเม้นต์แล้วนะครับ...

รู้ว่าตอนนี้คุณอูยังอยากเจอ "นัย"

ผมก็ขอให้สมหวังครับ....ไม่ว่าอาจจะเป็นแบบชัชตอนโตก็ได้ แต่การที่เราได้พบ ได้เห็นคนที่เรารัก มีความสุข อยู่สบาย เราก็คงมีความสุขแล้ว ยิ่งไม่เจอกันนานกว่า20ปี ขอให้ได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็ดีใจแล้ว
แล้วยิ่งเรายังไม่มีโอกาสได้เปิดเผยความจริงว่าเราไม่โกรธนัยแล้ว และอยากบอกความในใจที่เก็บไว้นานว่า " รัก " ด้วยแล้ว ...คุณอู คงมีความสุขมากกว่านี้แน่นอน

หัวใจใสใสไม่ทันได้เปิดเผย

หัวใจนี้เลยทุกข์ตรมขื่นขมอยู่

หัวใจนี้ขอเพียงให้เขาได้รู้

ว่า...หัวใจอูให้นัยคนเดียว

ขอให้สมหวังนะครับ...คุณอู

พี
ปล.แต่งสดๆหน้าคอมฯเลย กลอนนะ

boyxxxx said...

อ่านมาตั้งแต่ต้นไม่น่าเชื่อ 3 ปีแล้วไม่เคยคอมอม้นเลยแต่อ่านตอนจบแล้วมัน จุก ยังไงไม่รู้เศร้ามากๆ ขอบคุณ อู มากนะคับที่มาเขียนห้อ่านกันยาวนานเลยสนุกมากๆ

Anonymous said...

เศร้า.......มากครับ
แน่นในอก
น้ำตาคลอเบ้าเลย
ตอนนี้ก็ยังคลออยู่

อายุของคุณอู ก็คงไม่ต่างกับผมเท่าไหร่
ก็เลยรู้สึกและเข้าใจถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้

อืม เรื่องของนัยกับอูนี่น่าเอาไปทำเป็นหนังนะครับ
น่าจะเป็นหนังที่ดีมากด้วย
แล้วก็เพื่อนัยจะได้ดู

เอาใจช่วยให้ถึงวันที่ได้ส่งบทเพลงรัก
แก่เจ้าของที่แท้จริง

ขอคารวะจากใจ

thom

Fox said...

แง๊ แง๊ จบแล้ว เศร้ามากมาก

Anonymous said...

เพลงอาญารัก เป็นเพลงที่เข้าถึงความน้อยเนื่อต่ำใจในวาสนา แต่บ่งบอกถึงการยอมรับสภาพในวาสนาของเราเอง อาอูครับที่ผมต้องการสุดๆคือเมลล์อาอู เอาของผมไปนะครับ noy_thehero_112@hotmail.com ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาอูจะกรุณา ตลอดเวลาขอขอบคุณทุกๆอย่าง และจะขอแบบว่าไม่อยากหยุดไว้เพียงเท่านี้จิงๆ

รักอาเสมอครับ

yo408 said...

คำตอบของตอนจบเป็นอย่างที่คิด อาจบิดเบี้ยวไปบ้างตรงที่นัยไปอเมริกา แต่สุดท้ายไม่สมหวังคือสิ่งที่เดาไว้ แล้วก็ถูกจริงๆ

ถึงเรื่องม.ปลาย กับมหาวิทยาลัย จะดูไม่หวือหวาสนุกสนาน แต่ก็ยังอยากอ่าน เหมือนเป็นสิ่งที่ผูกพันอ่านมานาน ยังไงฝากด้วยนะครับ

Anonymous said...

เมื่อวานอ่านตอนหัวค่ำก็มีคอมมเม้นท์ไปทีหนึ่งแล้ว

ปรากฏว่านอนไม่หลับครับ

กลายเป็นว่าเรื่องสนุกสนานปนอีโรติกเป็นเรื่องราวที่ยังอยู่ในใจของเด็กชายอูที่กำลังจะก้าวเป็นนายอู แล้วก็พบว่ากำลังมีความรัก แต่หากต้องพรากจากกัน คุณอูใจแข็งมากทีสามารถเล่าเรื่องมาได้ตั้งนาน

เคยคิดว่าจะกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่ แต่เมื่อบว่าเรื่องจบแบบนี้ ก็เปลี่ยนใจแล้ว

ถ้าเป็นผม ผมจะออกตามหาไอ้นัย ไม่ว่าสถานะของไอ้นัยจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ ขอให้ได้บอกความในใจ เพื่อเป็นการปลดปล่อยสิ่งทีค้างอยู่ในจิตใจมานาน

อย่างที่หลายคนบอก คิดไม่ออกบอกกูเกิ้ล พิมพ์ชื่ิเข้าไปเลย เดี๋ยวหาให้

ฃอบคุณอีกครั้ง และขอให้คุณอูโชคดี

ว่าแต่ว่าไอ้เพลงนั่นมันเปิดยังไง

บอย

Anonymous said...

อาอูลองใส่ชื่อกับนามสกลุลของอานัยลงไปในกูเกิ้ลสิครับ ผมว่าต้องมีขึ้นมาบ้างแน่ๆล่ะ ผมเคยพิมพ์ชื่อเพื่อนเก่าๆในนั้นก็เจอ ถ้าเป็นไปได้อาอูอาจจะได้พบกับอานัยหรืออาจได้คุยกันอีกครั้งก็ได้ครับ

ปล.อาอูเล่นmsnไหมครับ หรือใช้อีเมลแค่รับ-ส่งเมลอย่างเดียว

Sea~~!!

Anonymous said...

เศร้า เหงา อย่างบอกไม่ถูก

ขอบคุณอูที่ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆให้พวกเราได้อ่านครับ

คงคิดถึงมากมายถ้าอูจะหายหน้าไป

ยังไงก็กลับมาคุยกันบ้างนะครับ

ขอบคุณครับ

วุฒ

Anonymous said...

(^_^) กลับมาแล้ว เรียนๆๆๆสอบๆๆๆ หวัดหมูรร.เราไม่กลัว555+++ แต่ช่วงนี้โดนห้ามเดินเที่ยว ห้ามไปดูหนัง
http://www.youtube.com/watch?v=ZF4MygJWBTk
เข้าใจแล้วว่าทำไมลุงซึ้งกับเพลงนี้ และเข้าใจที่ลุงบอกว่าดีใจที่ได้รัก แต่เลือกได้ไม่ขอเจอลุงนัยดีกว่า ถ้าผมเป็นลุงนัยผมคงดีใจมากและคงคิดถึงลุงนะครับแต่ถ้าเจอกันแล้วไม่สุข เก็บไว้ในใจเถอะครับแบบเพลงนี้แหละ ลุงอูมีกาตูนอย่1เรื่องผมดูที่บ้านเพื่อนโดนดี เคยอ่าในเว็บด้วยนะเดี๋ยวถามมันก่อนจะเอามาฝากลุง อืมเพลงในเม้นแรกอย่าไปฟังมันเลยฝากลบด้วยนะครับ

Anonymous said...

โอย จบเศร้ามากๆ คิดถึงตอนจบเรื่องนี้ทีไรจิตตกทุกทีเลย เศร้ามาก อยากจะร้องไห้ ใครมีวิธีแก้บ้างครับ

Anonymous said...

รีบนก็ร้องออกมาเลยสิ ผมน่ะร้องไห้มาเรียบร้อยแล้ว สะเทือนใจเพราะทำให้นึกถึงใครคนหนึ่งที่เราเคยรัก

Anonymous said...

ง่าเศร้า

อยากฟังเพลงที่อาอูแต่ให้อานัยจังเลย

ผมกดแล้วมันไม่ยอมเล่น

ใครก็ได้อัพเพลงเว็ปใหม่ให้ผมที



ไม่อยากให้จบเลย T^T

Anonymous said...

(^_^) โอ้ยการบ้าเสร็จแล้ว เงอะลุงยังไม่มา สอบฟอร์วันนี้ประสบความสำเร็จ หมายถึงครูนะที่สำเร็จ555+ รรข้างๆปิดไปแล้ว ในรร.ก็มีข่าวห้องนั้นนุ้นเปนกันแล้วแต่พรุงนี้วันสำคัญให้ผ่านไปก่อนนะ เขาว่าหน้ากากสีเขียวนี่กันไวรัสไม่ได้จิวป่าวลุงลุงเป็นหมอนี่บอกหน่อย เวลาพูดมันได้กลิ่นลูกชิ้นด้วยกิ้กๆ ลุงคงไมได้ติดหวัดกับเขานะครับ

Anonymous said...

ไม่อยากให้จบเลยยยย


ขอบคุณครับ สำหรับเรื่องราวดีๆที่มาแบ่งปัน

Anonymous said...

เอ้อ เห็นเค้าบอกว่าหน้ากากที่ขายตามท้องถนนนี่จะกันแบคทีเรียอย่างเดียวน่ะครับ แต่แบบที่กันไวรัสนี่ไม่แน่ใจว่าของที่ไหนกัน แต่ตามท้องถนนนี่หาไม่ได้ง่ายๆเลยครับ ไม่รุทำไมเหมือนกัน - -

ผมเองก็เปนไข้หวัดแหะ แต่เป็นหวัดธรรมดาน่ะครับ อิอิ

Sea~~!!

Anonymous said...

อ่าฮ่าา เจอข้อมูลแล้ว
นักวิจัยเมืองออสเตรเลียเค้าบอกว่าหน้ากากแบบที่ศัลยแพทย์ใช้นี่ป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้ดีเยี่ยมเลยครับ ปัญหาคือเราจะเอามาจากไหนหรอ หรือว่ามันมีขายอ่ะ รักษาสุขภาพกานดีๆนะครับ

Sea~~!!

Anonymous said...

ไม่ได้หายไปไหนไกลหรอกครับ แค่หลบไปคิดอะไรนิดหน่อย ปรากฏว่าช่วงที่หายไป คิดถึงทุกคน โดยเฉพาะหลานๆ :-( ทั้งรุต ทั้งที่หนึ่ง และทั้ง sea

คืนนี้หรือว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาคุยครับ ขอเวลาอีกนิด

หน้ากากกันไวรัสได้ต้องพิเศษจริงๆ ใช้ในการแพทย์หรือพวกงานสงครามชีวภาพ ใช้ทั่วไปไม่ไหวหรอก เดินไปเดินมาไม่สะดวก

การใส่หน้ากากทั่วไปก็พอช่วยได้ เพราะลดการแพร่กระจายของฝอยน้ำมูกน้ำลาย เราไม่ปล่อยให้คนอื่น และรับมาจากคนอื่นก็ยากขึ้น ดีกว่าไม่ใส่ครับ โดยเฉพาะคนเป็นหวัดควรใส่หน้ากากอนามัย

หวัดหมูนี้ทำไมทำมาอัตราตายต่ำ ตอนนี้เลยไม่ค่อยตกใจกันแล้ว แต่ที่น่ากลัวคือการกลายพันธุ์เพราะการผสมกับหวัดนก

ช่วงนี้ระวังเดินห้าง ดูหนัง แต่บางอย่างก็ป้องกันยาก เช่น ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้

เรื่องอื่นๆเดี๋ยวเข้ามาคุยกันอีกทีครับ

อู

Anonymous said...

เข้ามาติดตามอ่าน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนเก่า

ซึ้งใจ กับเรื่องของคุณอู ที่ติดตามอ่านมา แม้จะไม่ใช่ความรักแบบชายหญิง แต่ก็เป็นรูปแบบความรักแบบหนึ่ง ที่ต้องมีทั้งสุขทุกข์ เศร้า สมหวัง และเรียกกลับคืนมาไม่ได้อีก

ขอให้กำลังใจครับ (ผมน่าจะเป็นรุ่นพี่โรงเรียน )

เพิ่มเติม หน้ากากกันไวรัส ต้องแบบ N95 ครับ หายากสักหน่อย

Anonymous said...

>ไอ้นัยอาจคิดว่าผมโกรธมันอยู่ ผมไม่มีโอกาสบอกแก่
>มันเลยว่าผมรักมันเกินกว่าที่ผมจะถือโทษมันได้
>ได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสบอกมันที่สนามบินก่อนจากกัน

เข้ามาเม้นอีกแล้วหลังจากกลับไปอ่านใหม่ตั้งแ่ต่ต้นอีกรอบ
ไม่รู้ว่าคุณอู ในปัจจุบันอยากเจอ หรือไม่อยากเจอนัย
แต่ผมว่าเจอดีกว่า
>ไอ้นัยอาจคิดว่าผมโกรธมันอยู่ ผมไม่มีโอกาสบอกแก่
>มันเลยว่าผมรักมันเกินกว่าที่ผมจะถือโทษมันได้
>ได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสบอกมันที่สนามบินก่อนจากกัน
เพื่อนัยยังติดอยู่ในใจว่าอู ยังโกรธอยู่ จะได้ปรับความเข้าใจ
ปลดปล่อยทั้งสองฝ่าย อย่างน้อยก็ยังเป็นเพื่อนกันได้
เพื่อนัยยังไม่มีใคร อูจะได้เป็นเพื่อนปลูกบ้านติดกัน
ช่วยเหลือกันดังที่เคยฝันไงครับ

ถ้าเกิดเจอนัยแล้วก็ช่วยบอกเล่าหน่อยแล้วกัน
thom

Anonymous said...

อ่านตอนจบแล้วเศร้าครับ ร้องไห้ไปด้วยเลยครับ อ่านแล้วนึกถึงตัวเองครับ ผมก้อเคยมีประสบการณ์ความรักสมัยประถมครับ เรารักกันแต่ไม่เคยมีไรกัน พอจบประถมต่างคนก้อต่างแยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ และไม่เคยเจอกันอีกเลย แต่ผมก้อไม่เคยลืมเขาเลย แม้ว่ามันจะผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วผมก้อยังตามหาเขาอยู่ ผมลองพิมพ์ชื่อเขาเข้า google ดูเจอจริงๆครับแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นคนๆเดียวกับเพื่อนเราป่ะครับ กลัวชื่อ สกุลเหมือนกันครับ วกเข้ามาถึงเรื่องอูอีกครั้ง สงสารทั้งนัยและอูครับ เสียดายครับที่ไม่มีโอกาสจะบอกความในใจให้แก่กันได้รับรู้ อยากให้อูลองตามหาเขาดูครับ ไม่ว่านัยจะเป็นยังไงก้อตาม แต่ความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กเราไม่มีวันลืมหรอกครับ เป็นกำลังใจตามหานัยให้เจอครับ ไม่ลองไปที่บ้านเก่าดูอ่ะครับ นัยไม่รู้ว่าอูทุ่มเทเพื่อนัยมากแค่ไหน ถ้านัยรู้คงมีความสุขมากนะครับ ถึงมันจะผ่านมานานแล้วก้อตาม ผมเชื่อว่านัยคงยังมีความรู้สึกดีๆให้อูแน่นอนครับ ยังคอยติดตามตอนพิเศษและให้กำลังใจอูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงครับ
กร ครับ

Anonymous said...

เพลงในตอนอวสานนี้เป็นเพลงประกอบจากละครเรื่องอาญารักครับ ไม่ใช่เพลงที่ผมแต่งให้นัย

เวลาจะฟังเพลงให้คลิกที่ปุ่ม Play ถ้าคลิกแล้วเงียบๆไม่มีเสียง ให้รีเฟรชหน้านั้นอีกทีด้วยปุ่ม Ctrl-F5 แล้วลองกดเพลย์อีกครั้ง

บางทีรีเฟรชสองสามรอบถึงจะฟังได้ครับ

อู

Anonymous said...

ผมหายไปหลายวัน ก็อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ คือว่ากำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อย แต่ยังคิดไม่ตก ก็เลยยังไม่ได้เข้ามาคอมเมนต์อะไร

ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาคอมเมนต์ติ ชม และให้กำลังใจ ขอบคุณหลานที่หนึ่งด้วย อุตส่าห์ไปทำตัวอักษรมา ลุงรู้ว่าต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะทำขึ้นมาได้ แถมยังฝากเพลงซึ้งๆให้อีก ลุงไม่ได้ลบอะไรออกนะ เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก

หลายๆคนเศร้ากับการจากไปของนัย ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเท่ากับว่าผมทำร้ายจิตใจของเพื่อนๆ น้องๆ หลานๆ บางคนจิตตก บางคนก็เสียน้ำตา บางคนนอนไม่หลับ บางคนกินอาหารไม่ลง น้องเสาวรสต้องไปทำสังฆทาน บางคนไปกินกาแฟที่ร้านออน ล็อก หยุ่น ฯลฯ ที่จริงตอนผมเขียนผมก็เศร้าเหมือนกัน แต่ก็อยากให้คิดไว้เสมอว่าเรื่องนี้เป็นนิยาย จะได้ไม่เศร้าจนเกินไป

ที่ผมเคยบอกเอาไว้นานแล้วว่าจะเขียนจนจบ ม.๓ ก็เพราะว่าหลังจากนั้นก็ไม่มีนัยแล้ว ผมรู้ดีพวกเรารักนัย ดังนั้นเมื่อไม่มีนัยก็คงไม่อยากอ่านต่อ เรื่องนี้ผมไม่ได้น้อยใจเลย เพราะนัยเป็นเด็กที่ต้องการความรัก มีคนรักนัยเยอะๆผมยิ่งดีใจ

เหตุผลอีกอย่างที่เคยคิดเอาไว้แต่เดิมก็คือ วัยรุ่นตอนต้นนี้ถือว่าเป็นวัยใส เป็นวัยที่จิตใจยังบริสุทธิ์แบบเด็กๆ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีความมุ่งมั่นและความใฝ่ฝันแล้ว หลังจากนี้พอโตขึ้นมาอีกก็ไม่ใสเสียแล้ว ดังนั้นผมจึงอยากหยุดเรื่องราวเอาไว้ในช่วงที่ผมคิดว่าดีที่สุด เหมือนเวลาเขียนภาพ เขียนน้อยไปก็ไม่งาม เขียนมากไปก็รุงรัง ต้องเขียนแต่พอดี

ด้วยเหตุผลสองประการดังกล่าว เดิมทีจึงตั้งใจว่าจะเขียนจนจบมธยมต้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ดังที่หลายๆคนตั้งข้อสังเกตเอาไว้ คือว่า เรื่องราวหลายๆประเด็นเกี่ยวกับนัยยังไม่กระจ่างเลย แต่สภาพตอนจบ ม.๓ ก็รู้แค่นั้นเอง

สำหรับคำแนะนำที่ว่าให้เขียนเรื่องอื่นต่อนั้น ผมคงเขียนไม่ออก เขียนได้แต่เรื่องใกล้ๆตัว ส่วนที่ว่าจะให้เขียนย้อนต้นแบบพรีเควลที่นิยมกันตอนนี้ คือ เล่าตอนท้าย แล้วย้อนมาเล่าตอนต้น ดังเช่น สตาร์วอร์ สตาร์เทร็ก คนเหล็ก ฯลฯ ข้อนี้คงย้อนไม่ไหว ถ้าย้อนไปจริงก็ต้องไปตั้งต้นเล่าตอนประถมต้น ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย อีกทั้งจำไม่ค่อยได้ด้วย

ผมนึกถึงนิทานอาหรับราตรี หรืออีกชื่อหนึ่งว่า พันหนึ่งราตรี ที่พระเจ้าซาห์เรียร์ กษัตริย์โบราณ โกรธแค้นชายาของตนที่ลักลอบคบชู้ เลยสั่งประหารชีวิตเสีย และหลังจากนั้นพระราชาก็มีคำสั่งให้ส่งหญิงพรหมจรรย์มาร่วมบรรทมด้วยคืนละหนึ่งคน เมื่อพ้นคืนนั้นก็ให้ประหารหญิงสาวเสีย ต่อมาลูกสาวปุโรหิตถูกส่งตัวไป หญิงได้อาศัยการเล่านิทานที่สนุกสนานและทิ้งปมค้างเอาไว้ตอนย่ำรุ่ง พระราชาอยากฟังตอนต่อไปจึงยังไม่ประหาร หญิงสาวเล่าเช่นนี้ไปเรื่อยจบครบหนึ่งพันกับอีกหนึ่งราตรี ก็หมดเรื่องที่จะเล่า แต่พระราชาฟังนิทานทุกวันมานานจนประหารไม่ลง

เดิมทีผมเล่าเรื่องนี้เพราะอยากเล่าอะไรสนุกๆในบอร์ดปาล์ม กะว่าจะเล่าแต่เพียงสองสามตอนเท่านั้น แต่เล่าไปเล่ามาตอนนี้ก็ ๔ ปี เกือบสองร้อยตอนเข้าไปแล้ว ถ้านับจำนวนวันก็มากกว่าพันหนึ่งราตรีเสียอีก ตอนแรกก็เล่าไปเรื่อยเปื่อย แต่ตอนหลังๆก็ตั้งใจมากขึ้น และมากขึ้น และก็กลายมาเป็นเรื่องราวที่ทุกคนได้อ่านกัน เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ

ที่ผมเงียบไปหลายวันเพราะอยากรู้ว่าถ้าผมหยุดดูแลเว็บบล็อกแล้วผมจะรู้สึกอย่างไร ผลปรากฏว่าเว็บบล็อกก็เริ่มเงียบ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น ความรู้สึกก็คือเหงา หลายปีที่ผ่านมา เว็บบล็อกนี้คล้ายบ้านเข้าไปทุกที เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ มีเพื่อนที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นๆ นั่นคือเด็กหลัง ร.ร. (เก่า) KTB กร และคนอื่นๆอีกหลายคนที่เอ่ยชื่อได้ไม่หมด แถมยังมีหลานๆเข้ามาเล่นด้วยอีก ทั้งรุตที่เอาจริงเอาจัง ที่หนึ่งที่ขี้เล่นแต่อ่อนไหว และ Sea ที่ช่างฝัน คงยังมีหลานอีกหลายคนแต่เนื่องจากไม่ได้แสดงตัวผมก็เลยไม่รู้จัก ทั้งหมดนี้ทำให้ผมคิดถึงวันที่ผ่านมา พอถึงเวลาจะจากกันจริงก็ใจหายเหมือนกัน

(มีต่อ)

Anonymous said...

หลังจากคิดอยู่หลายวัน ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจได้ อย่างที่ผมเคยพูดเอาไว้ว่า ผมโยนเหตุผลต่างๆทิ้งไป แล้วปล่อยให้หัวใจนำทางแทน...

ชีวิตหลัง ม.๓ ของผมยังมีเรื่องราวอีกมากมาย มีสุข มีทุกข์ มีขึ้น มีลง ตอน ม.ปลายสร้างวีรกรรมไว้เล็กน้อย เช่น ถูกเนรเทศออกจากบ้านคุณลุง หลังจากนั้นก็ผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในชีวิตการเป็นเกย์อีกหลายต่อหลายครั้ง คิดว่าจะเล่าจนจบมหาวิทยาลัยและทำงานไปแล้วช่วงหนึ่ง

และถ้าเป็นไปได้จะเล่าให้ถึงวิกฤตต้มยำกุ้ง เพราะช่วงนั้นผมได้พบกับตี๋อีกครั้ง ผมได้เรียนรู้และค้นพบอะไรต่างๆมากมาย หลังจากที่แสวงหามาตลอดชีวิตก่อนหน้านั้น รวมมีเรื่องราวที่ชวนให้จดจำตราบชั่วชีวิตอีกด้วย

หลายคนบ่นว่าเรื่องของอูและนัยเศร้าเหลือเกิน อ่านอะไรเศร้าๆแบบนี้อีกต่อไปไม่ไหวแล้ว สำหรับชีวิตหลัง ม. ๓ ของผมนั้นมีทั้งสุขและทุกข์ ทั้งหวานและขมขื่น ผมไม่ได้ทุกข์ตลอดชีวิต แต่ก็ไม่ได้สุขตลอดเวลา ผมใช้เวลาเนิ่นนานเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตและคุณค่าของการดำรงอยู่ และหวังว่าชีวิตในช่วงต่อไปของอูและบุคคลอื่นๆในเรื่องที่จะเล่าต่อไปจะเป็นการแบ่งปันสำหรับผู้แสวงหาทุกคน

มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเดิมเรื่องนี้เป็นแนวอีโรติก แต่ต่อมาก็เปลี่ยนไป ข้อนี้เป็นความตั้งใจของผมเอง เพราะมันเป็นไปตามสภาพชีวิต ในวัยเด็กก็สนุกกับเรื่องซ็กซ์ แต่พอโตขึ้นชีวิตก็มีอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้มีแต่เพียงเรื่องเซ็กซ์ ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงค่อยๆลดน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม เซ็กซ์ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งของชีวิตที่เวียนว่ายในโลกียะ ดังนั้นจึงไม่ได้หมดไปเสียทีเดียว

ในชีวิตผมมักตัดสินใจผิดพลาดเสมอ... แต่ผมหวังว่าการตัดสินใจในวันนี้ของผมคงไม่ผิด...

ขอบคุณครับ

อู

Anonymous said...

เป็นไงบ้างโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ สนิทกันหมดรึยัง

ก็ดีครับ ช่วยเหลือกันดี

อืม เขินรึเปล่า เพิ่งมีเพื่อนผู้หญิงนี่เรา

555+ คุยได้ทั้งห้องแหละไม่วาชายหญิงหรือเก้งกวาง

ดีลูก การไม่รังเกียจกันเปนสิ่งที่ดี ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา

ครับ รุ่นพ่อนี่มีใครดังๆบ้างไหมเนี่ย

หึ หึ เขาดังแต่เขาจำพ่อไม่ได้หรอก รู้แล้วยังถามอีกนะเรา

แล้วไม่ติดต่อกันบ้างละครับ

.....หึหึ ก็เหมือนเราตอนประถมนั่นแหละ

มีดิยังคุยกันอยู่4 5 คน พวกไอ้.....ไงครับ

อืม..ดีแล้ว ไหนมานั่งข้างๆพ่อหน่อยซิ

อ้ะ อ้ะ..อะไรอีกเนี่ย

พ่ออยากจะบอกลูกว่าเพื่อนสมัยเด็กเปนภาพที่น่าจดจำ
มีแต่ความร่าเริงสนุกสนานคบกันด้วยความบริสุทธิใจ
พ่ออยากให้ลูกรักษามิตรภาพที่ดีต่อกันไว้เพราะเวลานี่มัน
หวนคืนกลับมาไม่ได้นะครับ

ค้าบ....แล้วเพื่อนสมัยเด็กพ่อละเป็นยังไงบ้าง

.........

เงียบ ไม่มี หรือลืมไปแล้วครับ

หึ หึ... ยังไม่ลืมครับ

หญิงหรือชายตอนนี้อยู่ไหน ทำอะไรอยู่

.......

ดู....

พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันครับ....... เราไม่ได้เจอกันอีกเลย
แต่อย่างที่พ่อบอก สิ่งทีพ่อจดจำได้จนกระทั่งบัดนี้
มีแต่ความสุขและน้ำใจที่เรามีให้กัน มันมีแต่ความทรงจำที่ดีนะ
และพ่อเองก็ยังนึกถึงอยู่เสมอ และอวยพรให้เพื่อนของพ่อ
มีความสุข ตลอดไปไม่ว่าจะยังจำกันได้หรือไม่

เพื่อนที่ไทยนี่หรือครับ

ครับ

โหงั้นก็ไมใช่แม่ กิ้กเก่าละซิ555+ แต่เด็กเลย

ชื่ออะไรครับ

....ไม่บอก

น้าน ...

ที่ว่านึกถึงนี่ยังไงครับ

ลูกรักพ่อ ไหม แล้วก็รักแม่ใช่ไหม แล้วก็ปู่ กับย่าด้วยใช่ไหม
พ่อก็เช่นกัน พ่อรักลูก และแม่ และก็คุณอาเหมือนกัน
แล้วถ้าลูกมีแฟนแต่งงานไปลูกจะหมดรักพวกเราไหม
ความรักมีได้หลายแบบ ตั้งแต่เริ่มรักจนหมดรัก
ความรักที่มีต่อเพื่อนของพ่อ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้น
ตอนเด็กนานมาแล้วแต่มันสวยงามและก็ยังเก็บไว้ในใจเสมอมา
เหมือนตอนนี้พ่อรักอู และจะรักไปจนหมดชีวิต จริงๆความรักของพ่อ
ต่ออูมันติดตัวพ่อมาก่อนอูเกิดมาซะอีก ลูกรู้ไหม

ค้าบพ่อ ผมก็รักพ่อ เพื่อนพ่อเขาคง...

พอพอ..ไปไปซ้อมเปียโนได้แล้วเรา...หยิบกล่องปิ๊กกีต้าร์มาให้พ่อด้วยครับ..

อู วันนี้ซ้อมเล่นเพลงของเราไปพร้อมๆกันนะครับ

Anonymous said...

(^_^)

^
^เพลงอะไรหนา ใครรู้บ้าง


ดีใจที่ลุงมา และดีใจที่สุดที่รู้ว่าลุงมีชีวิตที่มีความสุขต่อไป
ผมไม่ได้อ่อนไหวซะหน่อย แข็งแรงจะตาย แช็งเป้กๆ 555+

Anonymous said...

ดีใจครับที่อูกลับมาคุยในรายละเอียดบางเรื่องที่ผมสงสัย ว่าทำไมเรื่องต้องเป็นแบบนี้ จบแบบนี้ และยังคิดที่จะเขียนให้เพื่อนๆ น้องๆ หลาน อ่านต่อไป เป็นกำลังใจใหอูนะ ผมคิดว่าผมอาจจะรุ่นราวคราวเดียวกับอูนะ ผมจึงไม่เรียงลุงอู..........:)Mc

Anonymous said...

ดีใจจัง
คิดว่าจะต้องจากกันซะแล้ว
ขอบคุณที่ยังอยู่เป็นเำืพื่อนกัน
จะรออ่านตอนต่อไปนะครับ

thom

Anonymous said...

พันหนึ่งราตรี ลูกสาวปุโรหิตมีโอรสหลังจากเล่าไปด้วย
นะครับ ผมได้อ่านฉบับเต็มของอาหรับเหมือนกัน

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เข้ามาปูเสื่อรอพี่อูคับ

ผมว่าเท่าที่อ่าน น่าจะมีอะไรดีๆให้ผมได้อ่านอีกแล้วแหล่ะ
เอาเป็นว่าน่าจะสนุกแน่ๆเลยค๊าบ

อย่าว่าแต่พี่อูเลยที่คิดว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังที่สอง
ผมก็เช่นกัน เปิดคอมฯ เมื่อไร ต้องเปิดบอร์ดของพี่ก่อนเลยไม่ว่าอย่างไร ผมลุ้นให้พี่มาต่อน่ะคับ ปูเสื่อๆๆ แถวหน้าค๊าบ

รออยู่น่ะคับพี่อู
^^sky^^

Anonymous said...

เราน่าจะรุ่นใกล้ๆกันนะอู

เปลี่ยนกระถางไม่จางสี

Anonymous said...

อืมม ช่ายยย อาอูต้องมีเรื่องอะไรมาเล่าอีกแน่เลย ดีใจจัง
จารออ่านนะคร้าบ

เห็นด้วยกับพี่ ^^sky^^ ครับ ผมว่าหลายๆคนก็คงเห็นว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองเหมือนกัน วันก่อนผมเปิดเพลงในเครื่องฟังไปเรื่อยๆก็ไปเจอเพลง Bye bye ของ Mariah Carey(สะกดแบบนี้รึป่าวคับ ไม่แน่ใจ - -) เข้า ความหมายเข้ากับตอนจบของเรื่องนี้ดีจังนะครับ

ปล.ทำไมผมถึงเป็นคนช่างฝันล่ะครับ อาอูรู้ได้ไง อิอิ

Sea~~!!

Anonymous said...

(^_^) good morning krub uncle u.I am waiting for new post.hoo hoo
ขอบคุณ คุณsea ครับที่ตอบเรื่องหน้ากากใจๆ ไปรรดีกว่า วันนี้จะไปกินโดนัท หรือแม็ค หรือไปที่ศูนยืหนังสือดี หุหุ

Anonymous said...

ยังเงี้ยนะ (^_^) บอกว่าไม่อ่อนไหว เหอเหอ

Anonymous said...

เอ้อ พี่ (^_^) ไม่ต้องเป็นทางการถึงกับเรียกคุณหรอกคับ
เพราะผมว่าอายุน่าจะรุ่นเดียวกานแหละ เรียกคุณเชียว - -

Sea~~!!

Anonymous said...

"ผมใช้เวลาเนิ่นนานเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตและคุณค่าของการดำรงอยู่ และหวังว่าชีวิตในช่วงต่อไปของอูและบุคคลอื่นๆในเรื่องที่จะเล่าต่อไปจะเป็น การแบ่งปันสำหรับผู้แสวงหาทุกคน"

ชอบท่อนนี้จัง โดนใจมากถึงมากที่สุด

ผมก็เป็นหนึ่งในผู้แสวงหาเหมือนกัน จะรอค้นพบคำตอบด้วยกันครับ

Anonymous said...

คุณอูครับ
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ติดตามเรื่องของคุณอูมาตลอด
ผมอยากจะบอกว่า ทำไมมันเศร้าแบบน้
คุณอูได้ลองตามหาคุณนัยหรือป่าวครับ
เพราะว่าคุณอูยังเคยเจอชัชได้เลย
ผมว่านัยก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลคุณอูหรอกนะครับ

ถึงแม้มันจะอวสานของภาคนี้ไปแล้ว
ผมก็ยังเข้ามาอ่านทุกวันนะครับ

รักและเคารพ OSK

Anonymous said...

arusให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหรับราตรีเพิ่มเติม ขอบคุณมาก อาไม่รู้ว่ามีลูกลูกสาวปุโรหิตด้วย หมู่นี้หลานเงียบไปหน่อยนะ สบายดีไหม ชอบอ่านงานของคนเอเซียอย่างระพินทรนาถ ฐากูรหรือเปล่า

มีคนแซวที่หนึ่งจนได้ ยังจะปากแข็งอีก เรื่องที่เขียนกินใจดี เข้าใจคิดมุขอีกด้วย เก่งหลายอย่างเชียวนะหลาน ลุงคิดว่าหลานคงมีญาติที่ทำไม้ดอกในนี้หลายคนทีเดียว คงอบอุ่นไม่น้อย

หลานทะเล ที่อาคิดว่าหลานช่างคิดช่างฝันเพราะสังเกตเอาจากสิ่งที่หลานเขียนครับ อาคิดว่าหลานมีบางส่วนที่คล้ายนัยด้วย

ตอนที่ตัดสินใจเลิกเขียนรู้สึกใจมันโหวงเหวง พอตัดสินใจเขียนต่อแล้วกลับดีใจ คนเรานี่ก็แปลก คงเล่าไปอีกหลายปี ให้นานพอกับพันหนึ่งราตรีรวมกับพันหนึ่งทิวา ส่งหลานสามคนนี้เข้ามหาวิทยาลัยไปก่อนแล้วค่อยจบก็แล้วกัน

เรื่องการติดต่อและตามหานัยนั้นหลังจาก ม.๓ ก็พยายามอยู่ครับ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นจะมีรายละเอียดอยู่ในเรื่องครับ แต่ผลก็เป็นอย่างที่เคยสรุปไปนั่นคือจนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังไม่มีโอกาสพบนัยเลย

sky เขียนอะไร ขอพี่อ่านบ้างได้ไหมครับ น่าสนใจจัง แต่ถ้าเป็นความลับก็ไม่เป็นไร

พอใกล้อวสานจึงทำให้ทราบว่ามีคนรุ่นใกล้กับผมอ่านอยู่หลายคน ทั้ง thom, mc, กระถางฯ ฯลฯ ดีใจที่มีเพื่อนๆติดตามครับ แต่วันนี้พูดถึงหลานมากหน่อย หวังว่าคงไม่ว่ากัน

ไม่เห็น KTB เลย หมู่นี้หายหน้าหายตาไป สงสัยงานยุ่งมาก

คอยอ่านภาคต่อไปในอีกวันสองวันครับ ขอตั้งหลักสักครู่เดียว

อู

Anonymous said...

ดีใจมากๆ จักมีภาคสามด้วย!!

วันนี้ไม่สบายนอนไม่หลับ

ผมได้อ่านอาหรัยราตรี หรือพันหนึ่งราตรีสามฉบับ
ฉบับแรกเป็นฉบับไทยที่แปลโดยปราชญ์ไทย
เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
ฉบับที่สองเป็นภาษาอังกฤษ
ริชาร์ด ฟรานซิสเบอรืตัน
ฉบับสุดท้ายเป็นภาษษอาหรับดั้งเดิม

ขอคัดคำนำของปราชญ์เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
บางส่วนมาให้อาอูที่รักอ่านนะครับ

"ผู้แต่งดิมเป็นเจ้าหญิงเปอร์เซีย ชื่อโฮมาย หรือ
ฮูมาย หรือฮูเมย์ เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าบาร์มัน
หรืออาร์ตา เซอเซสลอง กิมานุส กษัตริย์เปอร์เซีย
(พ.ศ. 80-121 พระมารดาเป็นยิวชื่อ ชาร์ ราซาด
กล่าวกันว่าพระนางชาร์ ราซาด ได้ช่วยให้พวกยิวรอด
พ้นจากการเป็นเชลย และตามเรื่องอาหรับราตรี นางที่
เป็นตัวเอกก็มีชื่อว่า ชาร์ ราซาด เช่นเดียวกัน และ
นางนี้เล่านิทานถวายพระเจ้าแผ่นดินทุกคืน เป็นการ
ช่วยให้หญิงสาวอื่นๆ รอดพ้นจากความตาย จึงดูเข้า
เค้ากับเรื่องของพระนาง ชาร์ ราซาด พระมารดาของ
เจ้าหญิงโฮมายได้ช่วยพวกยิว ฉะนั้นที่ว่าเจ้าหญิง
โฮมายเป็นคนแต่งจึงดูมีมูลอยู่เหมือนกัน แต่บางเสียง
ก็ว่าเจ้าหญิงโฮมายไม่ได้แต่งเอง เป็นแต่มีผู้อื่นแต่ง
ถวายอีกทีหนึ่ง"

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ได้อ่านอยู่สองเรื่องครับ
คีตาญชลี เรื่องสั้นราชากับรานี
อาอูอ่านเืรื่องใดบ้างครับ?

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เย้ๆ อาอูมีเรื่องมาเขียนต่อแล้ว ดีใจจัง

โห พี่Arusเก่งมากอ่ะคับ อ่านได้3ภาษาแน่ะ ผมแค่ภาษาไทยอย่างเดียวยังจะไม่รอดเลยอ่ะคับ- -

อาอูนี่สังเกตคนเก่งจังแหะ ผมลองมองดูตัวเองก็รู้ว่า ตัวเองนั้นช่างฝันเสียจริงๆซะด้วยแหะ ว่าแต่ผมมีส่วนคล้ายอานัยด้วยหรอคับ = =

Sea~~!!

Anonymous said...

เพิ่งอ่านตอนอวสานจบเมื่อกี๊นี้เอง เศร้ามากมาย ทำไมชีวิตต้องเศร้าแล้วเศร้าอีกด้วยนะ แต่ยังดีที่รู้ว่าพี่อูจะเขียนภาคต่อไป ไม่งั้นต้องเศร้ายิ่งกว่านี้อีกถ้ารู้ว่าจบเพียงแค่นี้

มีเรื่องอยากถามหน่อยคับ คือสงสัยเพลง My Luve is Like a Red Red Rose น่ะคับ คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว อยากให้ช่วยอธิบายข้อความต่อไปนี้หน่อยครับว่าหมายความว่าอะไร

Till a' the seas gang dry.
While the sands o' life shall run.
And fare-thee-weel, my only Luve!

เพลงเพราะมากคับ

จะรออ่านตอนต่อๆไปนะคับ

^Breeze^

Anonymous said...

อูครับ เวลาอูเขียนเรื่องอูหาข้อมูลประกอบจากที่ไหนมีความพยายามมากๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นภาพของใช้เก่าๆ ภาพสยามในอดีต หรือภาพคนที่เวลามีเซ็กส์กันแล้วมาทำด้วย photoshop หรือเปล่าให้มันเก่าแล้วดูเบอๆ เก่งมากเลย ขอบคุณในความพยายามให้พวกเพื่อนๆ และหลานๆ มีความสุขนะ MC

Anonymous said...

ที่ breeze ถามมา หลาน arus จะช่วยตอบให้อาหน่อยได้ไหม หลานน่าจะตอบได้ดีเพราะเป็นนักอ่าน

งานของท่านระพินทรนาถ เคยอ่านเพียงเรื่องเดียว เป็นเรื่องสั้น ชื่อ "กลับบ้าน" (Home coming) ที่เคยอยู่ในหนังสืออ่านประกอบตอน ม.๓ พล็อตเรื่องก็ทั่วๆไป แต่ใช้การบรรยายได้น่าอ่านมาก และที่สำคัญก็คือ เมื่ออาอ่านแล้วทำให้ได้คิดว่าคนหรือสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวเรา เราเห็นทุกวัน อาจบางทีเห็นจนชิน จนลืมตระหนักถึงคุณค่า กว่าเราจะตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนหรือของนั้นๆก็ต่อเมื่อเราเสียมันไปแล้ว กว่าอาจะได้คิดก็สายไปแล้วเหมือนกัน แต่ก็ทำให้ชีวิตหลังจากนั้นของอาประมาทน้อยลง แม้จะอ่านเพียงเรื่องสั้นเรื่องเดียว แต่ก็ได้ประโยชน์ไปจนชั่วชีวิตครับ ท่อนนี้ไม่ได้เขียนไว้ในเรื่องเพราะเกรงจะเยิ่นเย้อไป

ที่อาบอกว่าหลาน Sea มีส่วนคล้ายอานัยก็เพราะอานัยเป็นคนเงียบๆ แต่ช่างคิดช่างฝันด้วยเช่นกัน คนช่างฝันมักมีลักษณะพ่วงมาด้วยอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ รักคนง่าย ปลื้มคนได้ง่าย

ในเว็บบล็อกนี้มีทั้งท้องฟ้า ทะเลคราม และสายลมแล้ว ยังขาดแสงแดด กับหาดทราย ไม่อย่างนั้นก็จะครบครัน ไปเที่ยวเกาะพีพีกันได้เลย

อู

Anonymous said...

ภาพประกอบพวกอีโรติกก็เอามาจากหนังโป๊ครับ ตัดมาแล้วเอามาตกแต่ง ส่วนภาพในอดีตนั้นหาเอาจากในเน็ต เก็บสะสมมาเรื่อยๆนานแล้ว จนจำไม่ได้ว่าเอามาจากที่ไหนบ้าง แต่บางภาพเป็นภาพที่ผมถ่ายเอง เช่น หนังสือ นิตยสารเก่าๆบางเล่ม หนังสือรุ่นบ้าง ผมยังมีเก็บเอาไว้ ก็ถ่ายภาพเอามา บางภาพก็เป็นภาพที่ผมถ่ายเอาไว้เองสมัยเป็นเด็ก

ข้อมูลบางอย่างผมเองก็จำรายละเอียดไม่ได้หรอกครับ อย่างเช่น ปี 2528 มีผู้ป่วยเอดส์เสียชีวิตที่เป็นข่าวครึกโครม แต่ก็จำไม่ได้ว่ากี่คน ก็ต้องไปค้นข่าว นสพ เก่าๆมาดู บางตอนใช้เวลาเขียนมาก เพราะไม่อยากให้ข้อมูลต่างๆอย่างคลาดเคลื่อน จึงต้องตรวจสอบก่อน ก็อย่างที่เคยบอก แต่ก่อนเขียนไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งนานก็ยิ่งตั้งใจทำมากขึ้นครับ

อู

Anonymous said...

-_-' เหงื่อตก พักสมองหน่อย
ญาติที่ทำไม้ดอกนี่อาไรครับ ใบ้หน่อยยิ่งไม่ฉลาดอยู่ด้วย
ชวนไปฟังเพลงกันดีกว่าเก่าโบราณมากชื่อ "กลิ่น-----" คุณป้าเบิรดร้องไว้ผมว่าเนื้อร้องมันสั้นนะลุงว่าไหมแต่มีเปียโนลุงต้องชอบแน่น้อล หาในwww.youtube.comนะครับ กิ้กๆ

Anonymous said...

อืมม์ ตรงมากเลยนะครับเนี่ย - -
อาอูดูเก่งจังเลยแหะ แต่ผมลองไปอ่านข้อความที่ผมโพสไว้เก่าๆผมยังดูไม่ออกเลยครับว่ามันสื่อถึงคนช่างฝันยังไง อาอูนี่เก่งมากจริงๆ ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขนาดนี้

Sea~~!!

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับอู ที่ถามหาผมอยู่
ผมเพิ่งได้เข้ามาอ่านตอนจบคับ
คิดถึงอูมากครับ และดีใจด้วยที่อีก 2-3 วันก้อจะมาเริ่มตอนใหม่แล้ว ขอบคุณมากจริงๆ ยังงัยผมก้อไม่ไปไหนหรอก คับ จะอยู่กะอูตรงนี้แหละเพราะไหน ๆ ก้ออยู่มาด้วยกันตั้งแต่ต้นแล้วนี่


ผมยังติดหนี้เพื่อนผมอยู่คับยังไม่ได้ตอบไปให้ t1000 เลย
ถ้าเข้ามาอ่านเจอ จะรีบตอบไปนะ


ส่วน ที่ Breeze ขอมานะผมขอแปลแทนน้อง arus นะคับ

Till a' the seas gang dry.
While the sands o' life shall run.
And fare-thee-weel, my only Luve!

**จนกว่าน้ำทะเลจะเหือดแ้ห้ง
ในขณะที่เวลาของชีวิตเราผันผ่านไปเรื่อยๆ
และขอลาก่อน สุดที่รักของฉัน**

sands ในที่นี้ก้อคือนาฬิกาทรายที่ run ไหล
หมายถึงเวลาที่ผ่านไป

ขอบคุณมากครับ อู
เป็นกำลังใจให้อูแล้วกันไม่มีนัยแล้ว
ยังงัยก้อยังมีหลายๆอีกหลายคนที่ทำให้อูได้ชื่นใจหายคิดถึงนัยบ้าง ทั้ง หลาย arus หลานที่ 1
และอีกหลายๆคนครับ
ผมจะรอตอนใหม่นะครับ
คิดถึง อูเสมอคับ
คิดถึง t1000 ด้วย

Anonymous said...

อ้าว ลืมลงชื่ออีกแระ
ขออีกกระทู้แล้วกานนนน
ไม่ว่ากานนะ
ขอโทษนะคับอู
KTB คร๊าฟฟฟฟฟ ผ้มมมมมม

Anonymous said...

เข้ามาดีใจที่พี่อู จะเขียนต่อน่ะคับ อย่างน้อย ๆ ผมก็มีเรื่องให้อ่านอีก ถึงแม้คนที่ผมเชียรจะไม่อยู่ในท้องเรื่องแล้วก็ตาม
เอาเป็นว่าดีใจคับ ส่วนเรื่องที่ผมเขียน เป็นเรื่องตัวผมเองคับ เขียนจบไปนานแล้วคับอย่างไร ผมจะส่งให้พี่ทางเมลน่ะคับ ยังไม่รู้จะส่งแบบไหนดี เพราะผมเซฟไฟล์ ไว้ตอนที่ผมเขียนเรื่องทุกหน้าเลยในบอร์ดๆ หนึ่งคับ ขอคิดก่อนน่ะคับ แล้วจะส่งให้พี่แน่นอน

ปล. ถ้าพี่จำผมได้ ผมเคยขออนุญาตพี่เอาเรื่องของพี่ไปลงในบอร์ดนิยายบอร์ดหนึ่ง พี่อนุญาตแล้วด้วย แต่ผมไม่ได้นำไปลง เพราะว่าเรื่องของพี่ติดเรทเยอะ ผมเลยไม่ได้ลงคับ ขอโทษด้วยน่ะคับ พี่ไม่ได้รายงานผลให้พี่อีกที อย่างไรเสีย ผมจะตามอ่านเรื่องของพี่ต่อไปคับ
สู้ๆ ให้กำลังพี่เสมอคับ

^^sky^^

Anonymous said...

อะไรเนี่ย แอบเข้ามาดู
คนเยอะมากๆ
T-T เด๊่ยวต้องไปเรียนพิเศษแล้ว อ่านก่อนไปแล้วกัน

หลาน Arus ของอาอู

MAX said...

^
^
^
ข้างบน เรียนพิเศษที่ไหนครับ

พญาไทป่าว

Anonymous said...

อยากมีมีความทรงจำแบบนี้มั่งจัง
อ่านแล้วยังกะเคยมีความทรงจำแบบนี้

Anonymous said...

เอาซะน้ำตาไหลเลย

Topup2000 said...

เวลาเรารู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ มันก็คือเรามีไข้ ใชป่ะครับ ???

แล้วเวลาเรารู้สึกว่า มีความสุข หัวใจอาบไปด้วยความรัก แต่ความรู้สึกหดหู่ เศร้าหมอง ก็มาเยือนในฉับพลันเช่นกัน แบบนี้ เค้าเรียกว่าอะไรครับ ????

วีคที่แล้วเสาร์-อาทิตย์ ผมอ่านภาคสองทั้งวัน ยังไม่จบ ก็ต่อด้วย คืนวันจันทร์ นอนตี 2 เพื่ออ่านตอนสองให้จบ
เศร้ามาก
... จนผมต้องตกใจตื่นตี 4 ครึ่ง !!!!
แล้วก็ไม่หลับอีกเลย
ก็เลยต้องมาอ่านตอนสาม เพราะตอนสอง มันทำร้ายจิตใจของผมเหลือเกิน มันมีคำถามอะไรมากมายที่คั่งค้างอยู่ในใจ ผมไม่รู้ แต่ผมหวังว่า ตอนที่สอม คุณอูจะช่วย เยียวยาหัวใจที่เศร้าหมองของผมได้บ้าง

และแล้วผมก็ใช่เวลาจนดึกทั้งวีค เพื่ออ่านตอนสาม

ผมชอบอ่านนวนิยายมาแต่ไหนแต่ไร เวลาอ่าน ผมก็จะอิน ตกอยู่ใจภวังค์ของเรื่องนั้นๆ จนจบ และออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง แต่เรื่องนี้ มันไม่ใช่
มันทำให้ผมเป็นบ้าไปแล้ว แม้จะรู้ว่า มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แต่อู นัย บอย และความรักของพวกเค้า มันยังโลดแล่นอยู่ในจินตนาการของผมเรื่อย มา แม้เวลาทำงาน ผมก็มักจะหยุดงานเอากลางคัน แล้วก็นั่งเหม่อๆ อินๆ แปลกๆ แต่ในบางครั้ง ความเศร้าหมองของโศกนาฎแห่งรักของพวกเค้า ก็ทำให้ผมเศร้าอย่างมากเช่นกัน

ผมไม่หวังว่า ส่วนทีเหลือ คุณอูจะลิขิตให้ชีวิตแต่ละตัวละครเป็นอย่างไร ไม่หวังให้ผมสมหวังหรือผิดหวัง
ยังไงก็ได้ ผมรู้แค่ว่า คุณอูทำให้ความรักนั้นสวยงามเสมอ ไม่ว่ามันจะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม

คุณอูครับ มาต่อภาคสามให้จบนะครับ

Itti said...

ถึงแม้ผมจะไม่ใช่เกย์
แต่เรื่องนี้ทำให้ผม
หดหู่เหลือเกิน

ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจากชีวิตจริง
หรือแต่งขึ้นอ่ะคับ

Anonymous said...

.......เศร้าจัง อยากรู้จังเลย ว่าท่านผู้อ่าน รู้สึกแบบผม หรือไม่ ผมเป็นมาสองวันแล้ว รู้สึกหวิว เสียว แปล๊บที่หัวใจ เวลานึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ได้อ่าน ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน มีทางแก้มั้ยครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าทำให้ใคร ท่านผู้เขียน ท่านผู้อ่าน รู้สึกไม่ดี แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่า ความรู้สึกของผมได้ฝังลึกลงไปแล้ววว ผมควรทำอย่างไรดี
......ขอบคุณคุณอูนะครับ ที่ทำให้ผมได้อ่านเรื่องราวดีๆแบบนี้ ผมมีความสุขมากที่ได้สัมผัส กับความรู้สึกต่างๆ มันทำให้ผมเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ผมชอบเรื่องนี้ จนไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่คงอ่านได้ถึง ภาคสอง เพราะตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ ได้แต่นึกย้อนกลับไปกลับมา ขอให้คุณอู ได้พบกับความสมหวัง เสมอๆนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้เสมอ อยากคุยกับคุณอูจัง ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
ป่าน

Anonymous said...

ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ครับ ผมไม่เคยปล่อยวางมันได้เลย
เรื่องนี้ ตกลงมันเป็นนิยาย หรือ เรื่องจริงกันแน่ครับ
ผมกำลัง เข้าสู่ห้วงอะไรสักอย่างที่มีแต่คำถามเต็มไปหมด
และดูเหมือนมันจะไม่จากผมไปไหนเลย
ผมควรจะทำยังไงดีครับ เป็นไปได้อยากคุยกับคุณอูมากครับ เผื่อผมจะมองเห็นทางออกบ้าง ขอโทษนะครับที่พูดแบบนี้ เพราะผมเป็นคนที่คิดมาก ตอนนี้ ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ผมพยายามแก้ความรู้สึกนี้แล้ว พยายามมา5-6
วันแล้วมันเหมือนจะดีขึ้น แต่สุดท้าย ก็จบลงแบบเดิม
คุณอยู่ไหนครับ มาฉุดผมขึ้นไปที ผมปรึกษาใครไม่ได้เลยเพราะตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
ผมเฝ้ารอ วันที่คุณจะรับแอด ผม มองเห็นผมซักทีเถอะครับ ผมไม่ไหวแล้ว
some_day_i_will_fly@hotmail.com
good_fun_pan@hotmail.com
จาก วัยรุ่นที่ไม่เข้าใจตัวเองคนนึง.........ป่าน

Anonymous said...

http://www.youtube.com/watch?v=8sCPPYgGyi4
ผมร้องไห้เพราะฟังเพลง แล้วนึกถึงเรื่องนี้มาสองวันแล้ว