Wednesday, April 29, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 79

เมื่อออดเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไป ไอ้นัยกับผมเดินออกมาจากสหกรณ์ด้วยกัน จากนั้นก็แยกกันไปเพื่อไปเข้าแถว ยังไม่ทันที่ไอ้นัยจะลับไปจากสายตา ผมก็เห็นพี่เต้เดินเข้าไปเรียกไอ้นัยเอาไว้ ใบหน้าของพี่เต้ดูเคร่งเครียด

ผมเดินกลับไปหาไอ้นัยอีกทันที เรื่องอะไรที่จะปล่อยให้ไอ้นัยกับพี่เต้คุยกันสองคน

เมื่อพี่เต้เห็นผมเดินย้อนกลับมาก็อึ้งไป

“มีอะไรอ่ะพี่เต้” ไอ้นัยถาม

“เอ้อ พี่...” พี่เต้มองมาทางผมนิดหนึ่ง คล้ายกับชั่งใจอยู่ว่าจะพูดตอนผมอยู่ด้วยดีหรือไม่ แล้วในที่สุดพี่เต้ก็ตัดสินใจพูดออกมา “อูมาก็ดีแล้ว พี่อยากคุยกับอูด้วยเหมือนกัน”

เฮอะ นี่ถ้าผมไม่เข้ามาฟังด้วย พี่เต้ยังจะพูดแบบนี้อยู่หรือเปล่านะ ผมคิดในใจ

“พี่อยากคุยเรื่องเมื่อวานน่ะ” พี่เต้พูด จากนั้นนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ “คือพี่เข้าใจนะว่าวัยรุ่นก็อยากรู้อยากลอง เป็นเรื่องธรรมดา แต่จะลองอะไรก็ต้องรู้จักแยกแยะและรู้จักชั่งใจ อย่างที่เมื่อวานนัยกับอูหนีโรงเรียนไปปดูหนังโป๊กันน่ะ พี่ว่ามันจะเกินเลยไปหน่อย ถ้านัยโตกว่านี้อีกหน่อยแล้วดูพี่จะไม่ว่าเลย แต่นี่เรายังเด็กอยู่ ดูแล้วมันจะทำให้ใจแตก พี่เป็นห่วงเราสองคนรู้ไหม”

ที่จริงพี่เต้น่าจะบอกว่าห่วงไอ้นัย แต่เมื่อมีผมอยู่ด้วย คำพูดก็เลยเปลี่ยนเป็นห่วงผมไปด้วย เข้าใจพูดดีจริงๆ

ไอ้นัยก้มหน้านิ่ง รับฟังแต่โดยดี แต่ผมนั้นหมั่นไส้สุดๆ

“ทำไมพี่เต้ไม่ไปพูดกับพี่เอ้ละครับ” ผมพูดโพล่งออกมา “เพราะว่าพี่เอ้เป็นคนชวนพวกผมไป”

พี่เต้ถอนใจ ทำสีหน้าอึดอัดใจ

“อูก็เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย” พี่เอ้พูดอย่างอิดหนาระอาใจ ผมคิดว่าพี่เต้คงพยายามนับหนึ่งถึงพันเพื่อที่จะระงับใจไม่เตะผม ว่าแล้วก็หันไปพูดกับไอ้นัยต่อ “นัยรับปากพี่ได้ไหมว่าต่อไปจะไม่ไปดูหนังโป๊อีก อย่างน้อยก็รอให้ถึงม.ปลายก่อน”

พี่เต้พูดพลางมองหน้าไอ้นัยแบบคาดคั้นเอาคำตอบ พี่เต้ไม่ถามรวมผมไปด้วย คงขี้เกียจถามแล้ว

ไอ้นัยก้มหน้างุด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองพี่เต้ “ได้ครับพี่เต้”

“ต้องยังงี้สิน้องพี่ รับปากพี่แล้วนะ” พี่เต้ยิ้มอย่างพึงพอใจพลางเอามือตบบ่าไอ้นัย จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่สนใจผมอีกเลย

“ทำไมมึงชอบกวนตีนพี่เต้นักวะไอ้อู” ไอ้นัยหันมาเล่นงานผมหลังจากที่พี่เต้ไปแล้ว น้ำเสียงของมันบ่งบอกความไม่พอใจซึ่งน้อยนักที่มันจะแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมา

ผมอึ้ง นี่ผมอุตส่าห์เถียงแทนมัน ไม่ปล่อยให้พี่เต้ว่าเอาข้างเดียว เพราะที่จริงมันไม่ใช่ความผิดของเราทั้งหมด พี่เอ้ก็มีส่วนด้วย แต่ผลที่ผมได้รับกลับกลายเป็นว่าทั้งพี่เต้และไอ้นัยต่างก็ไม่พอใจผม นี่มันอะไรกัน

“เออ กูผิด กูไม่เคยทำอะไรถูกสักอย่าง มึงว่ากูให้พอก็แล้วกัน” อารมณ์น้อยใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้ผมโพล่งออกไป ว่าแล้วผมก็เดินจากไปเพื่อไปเข้าแถว

- - -

วันเสาร์ถัดมา

ผลจากการทะเลาะกันในวันนั้น ทำให้ไอ้นัยกับผมมึนตึงกันอีก แม้เราจะไปและกลับด้วยกัน รวมทั้งทำงานที่สหกรณ์ด้วยกัน แต่เราก็แทบไม่ได้พูดกันเลย พูดกันเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

เมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียนเก่า ตั้งแต่เด็กจนโตเราไม่เคยทะเลาะกันเลย สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะไอ้นัยยอมผมอยู่ตลอด แต่พอย้ายมาเรียนที่นี่ เราสองเริ่มมีการทะเลาะกันบ้าง อาจจะเป็นเพราะว่าเราต่างเริ่มโตขึ้นและย่างเข้าสู่วัยรุ่นก็ได้ อารมณ์เลยร้อนขึ้น แต่ก็เคืองกันเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

แต่มาในระยะหลังนี้เราสองคนกระทบกระทั่งกันบ่อยขึ้น แต่ละครั้งมักกินเวลานาน ผมมักรู้สึกว่าระยะหลังนี้ไอ้นัยไม่ค่อยยอมอ่อนข้อให้ผมเหมือนตอนที่เรายังเป็นเด็ก การที่ไม่มีใครยอมใครทำให้เรื่องราวเลวยิ่งร้ายลง...

สยามสแควร์ในวันเสาร์กลางเดือนธันวาคมก่อนวันคริสต์มาสคลาคล่ำไปด้วยวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวและอบอวลไปด้วยบรรยากาศของคริสต์มาส ยิ่งมีศูนย์การค้ามาบุญครองซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ตั้งสมญานามให้ตัวเองว่าเมืองหินอ่อน เพราะใช้หินอ่อนประดับตกแต่งตัวอาคารเป็นจำนวนมาก มาเปิดให้บริการด้วยก็ยิ่งสร้างสีสันและบรรยากาศให้แก่สยามสแควร์ให้คึกคักมากยิ่งขึ้น ห้างมาบุญครองในยุคนั้นยังเรียกว่ามาบุญครองอยู่ ไม่ได้เรียกว่าเอ็มบีเคดังเช่นในปัจจุบัน รวมทั้งรูปโฉมภายนอกก็ไม่ได้เป็นเช่นในปัจจุบันด้วย เพราะว่าผ่านการปรับปรุงครั้งใหญ่มา

หลังจากเรียนดนตรีเสร็จ เราสองคนก็มาเดินเล่นและดูสินค้ากันในมาศูนย์การค้าบุญครอง ผมและไอ้นัยต้องการเลือกซื้อของขวัญจับฉลากสำหรับงานปีใหม่ที่โรงเรียนดังเช่นที่เคยทำมา เราสองคนกลับมาอยู่ในสภาพที่น่าอึดอัด เพราะว่าไปไหนมาไหนด้วยกันแต่ไม่พูดกัน

แหล่งวัยรุ่นแห่งใหม่นี้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผมและไอ้นัยมาก เพราะว่าร้านรวงละลานตาไปหมด อากาศก็เย็นฉ่ำเพราะติดแอร์ทั้งตึก ไม่ต้องเดินตากแดดเหมือนที่เดินในสยามสแควร์ ข้าวของก็ดูน่าสนใจกว่าที่มีอยู่ในสยามเซ็นเตอร์ แต่แม้จะว่ามีร้านค้ามาก ก็ยังไม่มากเท่ากับในปัจจุบัน ไอ้นัยเพลินไปกับโซนเสื้อผ้าและกางเกงยีนที่ชั้นล่างกับชั้นสอง พอมาถึงโซนเสื้อผ้าและกางเกง ไอ้นัยก็เดินนำลิ่ว ทิ้งให้ผมเดินตามต้อยๆ แต่ก็ดี จะได้ไม่ต้องอึดอัด

เราไปได้ของจับฉลากจากร้านกิฟต์ช้อปที่ชั้นสอง ชื่อร้านช็อกโกแลต ตอนนั้นเป็นร้านกิฟต์ช้อปที่มีชื่อเสียงมาก เด็กวัยรุ่นเบียดเสียดกันเต็มร้าน ไอ้นัยซื้อเสื้อยืดลายสกรีนตลกๆราคาราวสามร้อยบาทเพื่อไปจับฉลาก ส่วนผมเห็นว่าเข้าท่าก็เลยเอาตามบ้าง ง่ายดีไม่ต้องเสียสมองคิด เพราะถึงอย่างไรเราก็อยู่กันคนละห้อง ซื้อตามกันก็ไม่เสียหายอะไร

หลังจากนั้นไอ้นัยก็เดินเข้าเดินออกร้านเสื้อผ้าอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกซื้อเสื้อยืดสปอร์ต ผมเดินตามมันห่างๆเพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องเสื้อผ้านัก แต่พอตอนมันซื้อผมก็เริ่มสนใจขึ้นมา อยากรู้ว่ามันซื้อสีและลายอะไร สวยหรือไม่

“เอาตัวนี้เบอร์เอ็มนะพี่ แล้วก็ตัวนี้เอาเบอร์แอล” ไอ้นัยพูดกับคนขาย เห็นเสื้อที่มันเลือกก็สวยดี สีสันสดใส

มันจะซื้อเสื้อเบอร์แอลไปทำไม ก็ในเมื่อปกติมันใส่เบอร์เอ็ม ผมสงสัย แต่ก็คร้านที่จะถามมัน เพราะตอนนั้นกำลังเคืองกันอยู่ ไม่อยากถามให้มากเรื่อง

หลังจากซื้อเสื้อเสร็จ เราก็เดินเล่นต่อไปเรื่อยๆไปจนถึงชั้นห้าซึ่งเป็นชั้นที่รวมร้านเฟอร์นิเจอร์ เราเดินไปจนสุดปีกตึกด้านถนนพระรามหนึ่งเพื่อที่จะขึ้นไปชั้นหกอันเป็นศูนย์อาหาร

“เดี๋ยวเยี่ยวก่อน” ผมพูดขึ้นขณะที่เราอยู่ที่ชั้นเฟอร์นิเจอร์ ชั้นนี้คนเดินค่อนข้างน้อย ผมจึงคิดที่จะฉี่เสียก่อน เดี๋ยวขึ้นไปชั้นหกศูนย์อาหารแล้วคนมาก จะฉี่ไม่สะดวก

ห้องน้ำของที่นี่ในช่วงปีแรกๆไม่มีการเก็บเงิน ฉี่ได้ตามสบาย แต่ที่สยามเซ็นเตอร์เก็บเงินค่าเข้าห้องน้ำคนละหนึ่งหรือสองบาท แต่ปัจจุบันกลับกัน คือที่นี่กลับเก็บเงิน ส่วนที่สยามเซ็นเตอร์ก็เปลี่ยนเป็นไม่เก็บเงิน

ชั้นห้าในตอนบ่ายวันเสาร์คนเดินน้อยมาก แต่น่าแปลกที่ในห้องน้ำกลับมีคนใช้บริการกันหลายคน ดูเหมือนจะมีคนอยู่สี่หรือห้าคน บางคนก็ฉี่อยู่ บางคนก็อยู่ที่อ่างล้างมือ

ผมกับไอ้นัยยืนฉี่ที่โถปัสสาวะชาย โถฉี่นี่ก็แบบตามห้างทั่วไป คือเป็นโถโล่งๆ ไม่มีบังกั้นระหว่างโถ ฉี่ไปได้สักครู่ผมก็สังเกตว่าคนที่ฉี่ข้างๆผมกำลังเหลือบมองดูผมฉี่

ผมเหลือบตามองไปบ้าง สิ่งที่ผมเห็นก็คือ ท่อนเนื้อขนาดกำยำ แข็งตัวเต็มที่ โดยเจ้าของท่อนเนื้อกำลังใช้มือรูดเข้าออกเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นท่อนลำของผู้ใหญ่ที่แข็งเต็มที่อย่างเต็มตา!!!

ผมเหลือบมองไปทางไอ้นัย เห็นคนที่ยืนฉี่ข้างไอ้นัยก็กำลังสาวว่าวที่แข็งเต็มลำอยู่เหมือนกัน และไอ้นัยก็รู้ตัวว่ามันกำลังถูกมอง

ผมรีบเก็บน้องชายแล้วสะกิดไอ้นัยให้เผ่นออกมาตั้งหลักนอกห้องน้ำก่อน ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น อยากดูต่อก็อยากดู แต่ผมค่อนข้างระวังตัว ผมถูกสอนมาตลอดให้ระวังคนแปลกหน้า โดยเฉพาะในที่เปลี่ยวหรือที่ลับตา เพราะอาจถูกจี้ปล้นได้ง่าย ดีไม่ดีอาจถูกทำร้ายด้วย ผมไม่รู้ว่าชายสองคนที่รูดว่าวให้ผมและไอ้นัยดูนั้นกำลังคิดจะอ่อยเพื่อจี้เราสองคนอยู่หรือเปล่า เพราะห้องน้ำในโซนนั้นจัดว่าเงียบและลับตาคน ที่จริงในห้องน้ำยังมีคนอื่นอีก แต่ผมไม่ทันได้สังเกตให้ละเอียดก็รีบออกมาก่อน ไม่รู้เป็นแก๊งเดียวกันหรือเปล่า

“โห คนที่ยืนเยี่ยวข้างกูนี่ใหญ่ฉิบหายเลย” ผมอดพูดกับไอ้นัยไม่ได้

“นั่นดิ ทำไมมาชักว่าวให้เราดูวะ” ไอ้นัยสงสัยไม่หาย

“มันจะปล้นหรือเปล่าหว่า ยิ่งเปลี่ยวๆอยู่ด้วย” ผมมองโลกในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน

หลังจากนั้นเราก็รีบเดินต่อไปยังชั้นหก โดยที่ไม่กล้ากลับเข้าไปที่ห้องน้ำชั้นห้าอีกเลย

- - -

เช้าวันจันทร์ถัดมา ขณะที่ผมกับไอ้นัยนั่งรถเมล์มาโรงเรียนด้วยกัน ไอ้นัยก็หยิบเอาหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มหนึ่งออกมาอ่าน มันเป็นหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด

“อ่านอะไรอ่ะ” ผมชวนไอ้นัยคุย

“ยืมมาจากห้องสมุดน่ะ ยังอ่านไม่จบ แต่กูรับปากว่าจะให้เพื่อนยืมต่อวันนี้ เลยต้องรีบอ่านให้จบ” ไอ้นัยพูดพลางอ่านหนังสือไปพลาง

“สนุกเหรอ เรื่องอะไรน่ะ” ผมถามต่อ

ไอ้นัยเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็สนุก แต่เศร้า เรื่องต้นส้มแสนรัก”

“ดูหน่อยดิ” ผมออกปากขอดู ไอ้นัยก็ยื่นหนังสือส่งให้

ผมดูที่หน้าปก พลิกดูคำนำคร่าวๆ เห็นบอกว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านทั่วโลก สร้างความสะเทือนใจแก่นักอ่านเป็นจำนวนมากมาแล้ว

“ชอบอ่านเรื่องเศร้าเหรอ” ผมถาม พลางคืนหนังสือให้ ที่จริงผมรู้ว่าไอ้นัยชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าชอบอ่านเรื่องเศร้าๆ

“...”

ไอ้นัยก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ผมก็ขี้เกียจพูดต่อ ปล่อยให้มันอ่านไปตามสบาย

อ่านไปได้สักพัก ไอ้นัยก็หยุดอ่าน ปิดหนังสือลง แล้วเก็บใส่เป้

“ไม่อ่านดีกว่า รีบๆอ่านเสียบรรยากาศหมด” ไอ้นัยพูดลอยๆ ไม่รู้ว่ามันพูดกับตัวเองหรือว่าพูดกับผม แต่ผมก็คร้านที่จะถามต่อ

- - -

บ่ายวันนั้น พี่เอ้กับไอ้นัยต้องไปซื้อการ์ตูนออกใหม่ที่วังบูรพา ส่วนผมนั้นอยู่คอยรับลูกค้าที่ห้อง ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าผมไปกับไอ้นัยคงรู้สึกอึดอัด

สี่โมงครึ่ง พี่เอ้กับไอ้นัยยังไม่กลับมา...

ห้าโมงเย็น พี่เอ้กับไอ้นัยก็ยังไม่กลับมาอีก ผมเริ่มรู้สึกร้อนใจ เพราะว่ามันเลยเวลากลับบ้านของผมไปแล้ว แต่ผมยังต้องรอไอ้นัยเพราะปกติเรากลับบ้านด้วยกัน

“ไอ้อู เป็นอะไรวะ พล่านเชียวเอ็ง” พี่หมีถาม เมื่อเห็นผมผุดลุกผุดนั่ง กระสับกระส่ายอยู่ วันนั้นพี่มั่วก็อยู่ด้วย

“จะรีบกลับบ้านน่ะพี่ กลับผิดเวลาเดี๋ยวจะโดนดุ” ผมอธิบาย

พี่หมีรู้ดีว่าที่ผมยังไม่กลับเพราะรอไอ้นัยอยู่

“เออ มันน่าจะมากันแล้วนะ ไม่รู้ไอ้เอ้พาไปเถลไถลที่ไหนอีก” พี่หมีพูด ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ ว่าเมื่อวันก่อนพี่เอ้พาเราไปดูหนังและกินก๋วยเตี่ยว หรือว่าวันนี้พี่เอ้จะพาไอ้นัยไปไถลที่ไหนอีก

ห้าโมงครึ่ง ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว เอาแต่เดินพล่านในห้องจนพี่หมีรำคาญ จะกลับก่อนก็ไม่ได้ เพราะต้องรอไอ้นัย

ทันใดนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาลอยลมมา ผมจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นเสียงของพี่เอ้ พี่เอ้ไปไหนมาถึงได้เฮฮากันเสียงลั่นขนาดนี้


<ศูนย์การค้ามาบุญครองในอดีต (ตึกตรงสี่แยกที่มีป้ายผ้าสีเหลืองห้อยอยู่) ศูนย์การค้าแห่งนี้เปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ในยุคแรก โรงหนังยังอยู่ชั้นล่าง แต่ละวันมีวัยรุ่นและหนุ่มสาวมาเดินเล่นเป็นจำนวนมาก>


<ศูนย์การค้าในปัจจุบัน หลังจากผ่านเวลามานานปี ศูนย์การค้าแห่งนี้ก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้มีสีสันเหมาะกับยุคสมัย>

13 comments:

Anonymous said...

เฮ้อออ
อึดอัดอีกแล้วอ่ะ
ทำมัยสองคนนี้ต้องทะเลาะกันด้วยย

เกลียดไอ่พี่เต้ ชะมัดเลย

เฮ้ออ


Lonely man

Anonymous said...

แมลงสาปหน้าห้องอ่ะ T-T
ทำให้เข้ามาช้าเลยอ่ะ

หลาน Arus ของอาอู

naja said...

อีกแล้ว เครียดอีกแล้ว

ยุ่น said...

อ่านตอนนี้แล้ว...เข้าใจว่า

นัยมีกิจกรรมต่างๆทำมากมาย มากกว่าอู
จึงดูเหมือนว่านัยให้ความสนใจกับอูน้อยกว่า
แต่อูจะเป็นคนที่คอยให้ความสนใจกับนัยมากกว่า

แล้วอีกอย่างตามที่คุณอูเคยบอก...

นัยเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกทางความรู้สึก เดาใจยาก อูจึงไม่ค่อยรู้ว่าจริงๆแล้ว นัยแคร์อูมากน้อยแค่ไหนในสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งตรงข้ามกับอู เป็นคนเปิดเผยทางอารมณ์มากกว่า ใจร้อน นัยจึงค่อนข้างรับรู้ความรู้สึกหรืออารมณ์ของอูได้ดีกว่า

จะผิดจะถูกยังไง พูดตามความเข้าใจนะคร้าบ

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

Anonymous said...

จะโกรธกันอีกยกไหมเนี่ย - -"

yo408 said...

สงสัยจะงานเข้า..............

คุณอู วีน วี๊ด บึ๊ม แน่ๆ

noteam said...

ทามมายต้องทะเลาะกานด้วยอ่า

แลดูอึดอัดแทนเลยอ่ะ

มันเปนเพราะอารายกานนะ

ที่ทำให้ต้องทะเลาะกันอ่า

รีบมาต่อไวๆนะคับ

จารอ

คิดถึงคุงอูที่สุดในโลกเลย

Anonymous said...

พออ่านแล้วก็รู้สึกอึดอัดไปด้วยสงสัยจะอินกับเรื่อง
เสื้อที่นัยซื้อก็คงต้องให้ไอ้พี่เต้ แน่ๆ ตอนแรกคิดว่าจะซื้อให้อู สรุปต้องกลับมาอึดอัดอีกที กลับความรู้สึกของนัยที่มีให้พี่เต้มันเป็นแบบไหนหว่า


Void Man

Anonymous said...

ที่ arus มาช้านี่เพราะมัวไล่จับแมลงสาบ สงสัยแมลงสาบคงเยอะมาก แต่ไม่เป็นไร คราวหน้าเอาที่หนึ่งใหม่

อย่าไปเกลียดพี่เต้เลย ที่จริงพี่เต้ก็เป็นคนดี ไม่งั้นคงไม่อดทนกับผมขนาดนี้ คงไล่เตะไปนานแล้ว

ผมเติมภาพประกอบให้แล้วครับ รวมทั้งตอนที่แล้วๆมาด้วย ภาพเก่าๆหายากเหมือนกัน

พี said...

กลับมาทะเลาะกันอีกแล้ว.....เฮ้อ น่าอึดอัดนะ การที่คนเรา เจอกันบ่อยๆ อยู่ใกล้ๆ กัน แต่ไม่พูดกัน ถามคำตอบคำ ไม่มองกันตรงๆ โดยเฉพาะกับคนที่เรา รัก ....เครียด น่าดู
ขอให้กลับมาดีกันเร็วๆนะครับ...

Anonymous said...

ชอบภาพเก่าๆจัง เอามาลงอีกเยอะๆ ขอบคุณครับ

Anonymous said...

ที่1ของปี(-_-)"มาสายอีกแล้วลุงอูรูป2รูปม่นึกว่าเป็นที่เดียวกันเลยนะครับดูมันโทรมมากเลยขอบคุณลุงอูมากมายครับหารูปมาให้ดูด้วยขอบคู้นนนน เทอมหน้าได้เดินเล่นทุกวันเลยตื่นเต้นจังจะรู้แล้วว่าอยู่ห้องไหน เป็นน้องใหม่อีกแล้วครับหุหุ ผมนึกว่าลุงนัยจะโดนพวกเด็กช่างแอบเห็นบนรถเมล แล้วจะโดนฉุดไปซะอีกแหะแหะก็มีรรช่างอยุ่ใกล้ๆตั้ง2โรงใช่ม้าลุง

Anonymous said...

ไม่ชอบเลย อ่านแล้วอึดอัดกะไอ่พี่เต้
จะเป็นไงต่อน่ะ เป็นกำลังใจให้พี่อูค๊าบ
^^sky^^