Friday, April 17, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 76

“จะไปก็รีบไปเถอะพี่ เดี๋ยวกลับบ้านค่ำ” ผมเร่งรัด ที่จริงตอนนั้นไม่ได้กลัวกลับบ้านค่ำเท่าไรนัก แต่ที่เร่งเพราะเกรงว่าพี่เต้อาจโผล่มาแถวนี้แล้วเกิดอยากไปดูด้วย

เราสามคนปิดห้องสหกรณ์แล้วเดินไปทางประตูทางออกของโรงเรียน พี่เอ้เดินนำหน้า ไอ้นัยยิ้มอย่างอารมณ์ดี ส่วนผมเองนั้นรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย บางทีการทำอะไรที่แหกกฎระเบียบไปบ้างก็ทำให้ชีวิตมีรสชาติดี

“แล้วถ้าเจอสารวัตรนักเรียนล่ะพี่เอ้” ผมถาม เพราะรู้มาว่าในตอนกลางวันจะมีสารวัตรนักเรียนของกระทรวงศึกษาธิการคอยออกสอดส่องนักเรียนที่หนีโรงเรียน

“อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยไอ้อู” พี่เอ้หัวเราะ “เราไม่ได้ใส่เสื้อนักเรียนสักหน่อย ใส่แค่เสื้อยืด สารวัตรที่ไหนจะมารู้ว่าเราหนีโรงเรียน อีกอย่างวันนี้ไม่มีเรียนนี่หว่า จะมาว่าหนีเรียนได้ไง”

“ช่าย คลองถมอยู่แค่นี้เอง ไม่ทันเจอสารวัตรนักเรียนหรอก” ไอ้นัยสนับสนุน ดูไอ้นัยจะสนุกกับการหนีโรงเรียน ไม่ได้รู้สึกกังวลเลย

เมื่อมาถึงประตูโรงเรียน พี่เอ้เดินส่ายอาดๆเข้าไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูว่าจะออกไปซื้อขนมมาเลี้ยงเพื่อนๆที่เชียร์กีฬาอยู่ เพียงเท่านี้ พวกเราก็ถูกปล่อยให้ออกมานอกโรงเรียนอย่างง่ายดาย

“ทำไมมันง่ายยังงี้ว้า” ไอ้นัยบ่น เพราะการหนีโรงเรียนในครั้งนี้สำเร็จอย่างง่ายดาย นึกว่าจะต้องปีนรั้วโรงเรียนแบบที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่ๆเสียอีก “ไม่หนุกเลย”

“พวกเอ็งจะเอายังไงกันวะ” พี่เอ้โวย “ตอนแรกก็กลัว ตอนหลังยังมาบ่นว่าง่ายเกินไปอีก”

“ผมไม่ได้บอกว่ากลัวเลยนะพี่เอ้ ไอ้อูต่างหากที่ปอดแหก” ไอ้นัยหัวเราะสนุก

“ผมก็ยังไม่ได้บ่นเลยนะว่าง่าย ไอ้นัยต่างหากที่บ่นว่าง่าย พี่อย่าว่าเหมาโหลดิ” ผมช่วยรุมพี่เอ้บ้าง

เราสามคนหัวเราะกันสนุก จากนั้นเดินผ่านหน้าร้านไนติงเกลโอลิมปิกซึ่งเป็นร้านขายเครื่องกีฬาเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ จากนั้นเดินผ่านตลาดมิ่งเมืองเก่าซึ่งอยู่ด้านหลังวังบูรพา ตลาดมิ่งเมืองเก่าที่ว่านี้ปัจจุบันก็คือดิโอลด์สยามพลาซ่านั่นเอง สมัยก่อนเป็นตลาดชื่อว่าตลาดมิ่งเมือง แต่ตอนที่ผมเรียนอยู่นั้น ตลาดนี้ปิดไปแล้ว เพียงล้อมรั้วเอาไว้เป็นที่รกร้าง

เราเดินผ่านตลาดมิ่งเมืองเก่า ผ่านเฉลิมกรุง เลี้ยวเข้าไปในถนนเจริญกรุง จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ ผ่านวัดตึกและเข้าสู่ถนนเยาวราช เดินไปอีกเล็กน้อยก็จะเป็นย่านคลองถม คลองถมตรงนี้คือคลองถมยุคดั้งเดิม เป็นคลองถมต้นตำรับ ต่อมาจึงมีการขยายพื้นที่ออกไปเนื่องจากความแออัด และตึกแถวที่อยู่ติดกับคลองถมก็คือโรงหนังแคปปิตอลนั่นเอง

โรงหนังแคปปิตอลเป็นโรงหนังที่อยู่รวมกับตึกแถวริมถนน แม้ในสมัยนั้นก็ดูเก่าแก่ทรุดโทรมแล้ว ในอดีต ในยุคที่ยังรุ่งเรืองซึ่งผมยังไม่เกิด โรงหนังนี้เป็นโรงชั้นหนึ่ง ฉายแต่หนังทันสมัย มีทั้งหนังฝรั่งและหนังญี่ปุ่น แต่ต่อมา เมื่อเข้าสู่ยุคร่วงโรย แคปปิตอลก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นโรงหนังชั้นสอง ฉายหนังควบ บางยุคก็ฉายหนังควบแบบหนังทั่วไปที่เพิ่งออกจากโรงชั้นหนึ่ง บางยุคก็ฉายหนังเรตอาร์ มีทั้งหนังจีน ญี่ปุ่น และฝรั่ง หนังเรตอาร์นี้จะสังเกตได้จากชื่อหนังที่ติดอยู่หน้าโรง ถ้าชื่อหนังมีคำว่า ‘สวาท’ อยู่ด้วยก็มักเป็นหนังเรตอาร์ นอกจากนี้ ในบางยุคยังมีการแอบฉายหนังเรตเอ็กซ์อีกด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก เพราะว่าสมัยก่อนหน่วยตำรวจที่เรียกว่ากองปราบสามยอดก็อยู่ข้างหลังโรงหนังแคปปิตอลนั่นเอง แต่ปัจจุบันย้ายไปแล้ว ในตอนที่ผมไปดูนั้นเป็นหนังทั่วไปสลับกับหนังเรตอาร์

เมื่อถึงโรงหนัง ผมมองสำรวจสภาพหน้าโรงหนัง โรงหนังนี้ดูเก่าๆ ทึบๆ คนที่เดินอยู่หน้าโรงเท่าที่เห็นส่วนใหญ่เป็นคนชายจีนสูงอายุ กับผู้ใช้แรงงานวัยหนุ่มและวัยกลางคน ไม่เห็นมีวัยรุ่นแบบพวกเราเลย

พี่เอ้เดินไปที่ช่องขายตั๋ว ซื้อตั๋วมาสามใบ โรงหนังนี้มีสองชั้นเพราะเคยเป็นโรงหนังชั้นหนึ่งมาก่อน ชั้นบนเป็นที่นั่งพิเศษ ราคาราวๆ ๓๕-๔๐ บาท ส่วนชั้นล่างราคาราวๆ ๒๕-๓๐ บาท

“โรงหนังชั้นสอง ดูวนได้ทั้งวัน ไม่มีอะไรทำเข้ามานอนตากแอร์เล่นก็ได้” พี่เอ้บรรยาย

“ถ้าไม่มีอะไรทำแล้วนอนอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอพี่” ผมกวน พี่เอ้ตบหัวผมเบาๆแทนคำตอบ

จะว่าไปแล้ว ระหว่างพี่เอ้กับพี่หมีซึ่งเป็นรุ่นพี่ ม.๔ ผมรู้สึกสนิทกับพี่เอ้มากกว่า นั่นอาจเป็นเพราะพี่เอ้ใช้เวลาอยู่ที่สหกรณ์มากกว่าพี่หมี คนเราเมื่อเจอกันบ่อยๆก็สนิทสนมกันมากกว่า

เราสามคนส่งตั๋วให้อาแปะวัยกว่า ๖๐ ปีซึ่งทำหน้าที่เป็นคนเก็บตั๋ว และคนเฝ้าบันได ที่ว่าเฝ้าบันไดก็เพราะป้องกันคนที่ซื้อตั๋วชั้นล่างมั่วขึ้นไปดูชั้นบน เมื่อฉีกตั๋วไปแล้ว เราก็เดินเข้าไปในโรงชั้นล่าง

ผ้าม่านกั้นทางเข้ามีกลิ่นอับฉุนกึก บ่งบอกถึงความเก่าแก่และทรุดโทรมของโรงหนังได้เป็นอย่างดี เราสามคนเข้าไปก้าวแรกก็รู้สึกมืดวูบ สายตายังปรับเข้ากับความมืดในโรงไม่ได้ จึงยังไม่เดินเข้าไปหาที่นั่ง เพียงยืนอยู่ที่หลังโรง ใกล้ๆทางเข้า

เมื่อสายตาคุ้นเคยกับความมืดภายในโรง ผมก็เริ่มสำรวจสภาพภายในโรงหนังด้วยความสนใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่เข้าโรงหนังชั้นสองในกรุงเทพฯ ผมสังเกตเห็นทางเดินหลังที่นั่งคนดูมีคนยืนเต็มไปหมด ทั้งๆที่ที่นั่งว่างๆในโรงหนังมีมากมาย จะว่าเพิ่งมาและยืนปรับสายตาก็ไม่น่าใช่ เพราะว่าคนพวกนี้ยืนอยู่เฉยๆ ไม่มีท่าว่าจะเข้าไปหาที่นั่งเลย

นอกจากนี้ ตามทางเดินข้างโรงหนัง ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ก็มีคนยืนดูหนังอยู่ประปราย

“พี่เอ้ ทำไมเค้ายืนดูหนังกันล่ะ ที่ว่างก็ออกเยอะแยะ” ผมกระซิบถามพี่เอ้ด้วยความอยากรู้

“นั่งน่ะดิ จะยืนทำไมให้เมื่อย แต่ช่างเค้าเถอะ พวกเราเข้าไปนั่งกันดีกว่า” พี่เอ้ก็สังเกต แต่ไม่สนใจ เมื่อพูดจบก็นำเราเข้าไปหาที่นั่ง เรานั่งที่นั่งหลังๆ เพราะเห็นได้เต็มจอ นั่งใกล้จอแล้วเวียนหัว

ไอ้นัยนั่งอยู่ตรงกลาง โดยมีผมกับพี่เอ้นั่งขนาบข้าง หนังที่ฉายในวันนั้นเป็นหนังจีนควบกันสองเรื่อง เรื่องแรกที่ผมดูเป็นหนังจีนกำลังภายใน ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่เข้ามาดูตอนกลางเรื่อง ไม่ได้ดูแต่ต้น ก็สนุกดี ส่วนเรื่องถัดมาเป็นหนังจีนเรตอาร์ ชื่อเรื่องชื่ออะไรสวาทๆสักอย่าง

“ได้ดูหนังโป๊ด้วยโว้ย” ผมพูดกับไอ้นัยอย่างตื่นเต้น เพราะเป็นการดูหนังโป๊ครั้งแรกในชีวิต ไอ้นัยก็คงตื่นเต้นเหมือนกัน จากนั้นผมก็ชโงกหน้าไปหาพี่เอ้ “พี่เอ้มาดูบ่อยเหรอ สงสัยจะชอบดูหนังโป๊”

“ไอ้บ้า พูดซะเสียหมด พี่ไม่เคยดูหนังโป๊ที่นี่โว้ย แต่ก่อนที่เคยมาดูเป็นหนังธรรมดา” พี่เอ้ตอบเบาๆ

“ไม่เคยดูหนังโป๊ที่นี่ แล้วเคยดูที่ไหนล่ะพี่” ไอ้นัยช่วยซักบ้าง

“เป็นเด็กเป็นเล็ก พวกเอ็งจะถามไปทำไมวะ” พี่เอ้ไม่ยอมบอก

“น่า บอกหน่อยน่า อยากรู้อ่ะ” ผมอ้อน

“ก็ดูที่บ้านน่ะสิ วีดิโอโป๊หาได้ไม่ยาก ข้างหน้านี่ก็มีขาย” พี่เอ้กระซิบตอบ “ไม่คุยแล้วโว้ย จะดูหนัง”

เรารอดูหนังอาร์ของจีนอย่างตื่นเต้น แต่พอหนังฉายจริงๆก็ต้องผิดหวัง เพราะว่าเป็นหนังเก่าสมัยไหนก็ไม่รู้ ภาพที่เห็นในจอออกโทนแดงทั้งหมด ไม่เห็นสีสันอื่นเลย เนื้อเรื่องก็ห่วยแตก แค่ปล้ำกันไปปล้ำกันมา ฉีกเสื้อผ้ากันนิดหน่อย แล้วก็ตัดไปฉากอื่น ไม่ได้เห็นบทอัศจรรย์อะไรเลย

“หนังห่าอะไรวะ” พี่เอ้บ่นอุบ “ยังกับหนังสงครามโลก”

เมื่อหนังห่วยแตกไม่น่าดู ผมก็หันเหความสนใจมายังสภาพในโรงแทน ผมสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนดูหนังอยู่ตรงทางเดินข้างโรงนั้นไม่ได้ยืนอยู่กับที่ แต่ยืนสักพัก แล้วก็เดินไปมาตามทางเดิน บางคนก็เดินเข้าไปนั่ง จากนั้นสักพักก็ลุกขึ้นมายืนข้างโรงอีก แล้วก็เดินไปเดินมา บางคนพอได้นั่งแล้วก็นั่งยาวไปเลย ไม่เห็นลุกออกมาอีกเลย

และที่ผมสังเกตพบอีกอย่างก็คือ คนที่ยืนและเดินอยู่ที่ทางเดินด้านข้างนั้นมีแต่ผู้ชาย!

จากการสังเกตในความมืดของโรงหนัง คนที่ยืนอยู่ที่ทางเดินข้างโรงนั้นน่าจะมีทั้งคนหนุ่มและคนแก่ แต่คนหนุ่มดูจะมากกว่า และเมื่อสังเกตต่อไปอีก ผมก็พบว่าคนที่ยืนข้างโรงแล้วเข้าไปนั่งตรงที่นั่งนั้น มักจะนั่งใกล้กับใครบางคน จากนั้นสักครู่ก็จะขยับเข้าไปนั่งติดกัน จากนั้นบางคนก็นั่งดูหนังด้วยกันไปเลย ส่วนบางคนนั่งไปก็ลุกออกมา หรือบางทีคนที่นั่งติดกันก็ลุกหนีแทน

มันเข้ามาดูหนังหรือมาทำอะไรกันวะเนี่ย ผมคิดในใจด้วยความสงสัย ตอนนั้นนึกไม่ออกว่าพฤติกรรมแปลกๆแบบนี้มันหมายถึงอะไร แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยปกติธรรมดา

ผมเหลือบไปดูพี่เอ้กับไอ้นัย เห็นสองคนนี้นั่งดูหนังตาแป๋ว ไม่สนใจสภาพรอบข้าง พอเอาศอกกระทุ้งสีข้างไอ้นัยเบาๆ พอไอ้นัยหันมา ผมก็บุ้ยใบ้ให้ไอ้นัยดูพวกที่ยืนและเดินไปเดินมาอยู่ที่ทางเดินบ้าง ตอนนั้นผมไม่เรียกให้พี่เอ้ดู เรียกแต่ไอ้นัย ไม่ทราบว่าทำไมเหมือนกัน

ไอ้นัยละความสนใจจากหนัง หันไปสนใจกลุ่มชายที่ยืนอยู่ข้างโรงบ้าง สักพักผมก็กระซิบกับไอ้นัย

“มึงว่าพวกนี้มันแปลกๆไหมวะ” ผมกระซิบเบาๆ ไม่ให้พี่เอ้ได้ยิน ไอ้นัยพยักหน้าเห็นด้วย

“เดี๋ยวกูมา ไปเยี่ยวก่อน” ผมพูดกับไอ้นัย ว่าแล้วก็ลุกจากที่นั่ง

ที่จริงถ้าจะเดินไปห้องน้ำ ผมลุกจากที่นั่งแล้วเดินอ้อมไปทางหลังโรงก็ได้ แต่นี่ผมจงใจเดินไปตามทางเดินข้างโรงเพื่อจะไปอ้อมหน้าจอหนัง แล้วย้อนไปที่ห้องน้ำอีกที ซึ่งไกลกว่า

ผมเดินผ่านเหล่าคนที่ยืนอยู่ประปรายตามทางเดินข้างโรง เมื่อเดินไปใกล้ๆจึงเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน อายุราวสามสิบขึ้นไป อายุราวห้าหกสิบมีนิดหน่อย ส่วนหนุ่มๆวัยยี่สิบกว่าก็มีนิดหน่อย รวมแล้วราวสิบกว่าคนเห็นจะได้

ผมเดินลึกเข้าไปทางด้านหน้าโรงหนัง ที่นั่งด้านใกล้จอกลับมีคนนั่งอยู่หนาแน่น ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะคนทั่วไปมักชอบนั่งดูหนังไกลๆจอ และเมื่อผมมองเข้าไปสำรวจตามที่นั่งที่มีคนนั่งอยู่ เห็นผู้ชายนั่งกันเป็นคู่ๆ บางคนก็นั่งเดี่ยว แล้วก็เว้นเก้าอี้ว่างไปหน่อย จากนั้นก็มีนั่งเดี่ยวหรือนั่งคู่อีก และเมื่อสังเกตดูพวกที่นั่งกันเป็นคู่ ผมก็ต้องตกตะลึง

พระเจ้าช่วย!!!


<โรงหนังแคปปิตอล โรงหนังนี้เคยเป็นโรงชั้นหนึ่งมาก่อน ต่อมาเมื่อผ่านพ้นยุครุ่งเรืองก็กลายเป็นโรงหนังชั้นสอง ฉายหนังควบแทน สภาพโรงเก่าแก่คร่ำคร่า ขาดการดูแลรักษา หนังที่ฉายก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย หนังทั่วไปก็มี หนังเรตอาร์หรือแม้แต่หนังเรตเอ็กซ์ก็มี เคยถูกจับแล้วปิดโรงก็หลายครั้งเพราะฉายหนังเรตเอ็กซ์ แต่ในที่สุดก็กลับมาเปิดได้อีก ปัจจุบันถูกรื้อไปแล้ว กลายเป็นคลองถมแลนด์แทน ภาพที่เห็นนั้น ภาพบนเป็นโรงหนังในอดีต โรงหนังแคปปิตอลคือตึกส่วนที่มีป้ายไฟขาวเขียวติดอยู่ข้างหน้า ส่วนด้านล่างคือภาพในปัจจุบัน>

20 comments:

nut said...

ลุงอูจบแบบมีลุ้นอีกแล้ว
แต่ผมพอจะเดาออกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น
รอให้ลุงอูมาเฉลยแล้วกัน
รีบมาต่อเร็วๆ นุคับ

Anonymous said...

ที่1+1(^_^)กิ้กๆ ชอบจังเลยลุงอูเล่าให้ฟังสมัยก่อน มีรูปภาพให้ดูด้วยขออีกนะครับ
แต่ผมแอนโคชอบมาดูหนังที่เอสเอฟมาบุณครองมากกว่าครับ เอิ้กๆ ลุงอูกับลุงนัยไม่ซื้อป๊อปคอรนเหรอลืมรึป่าว555+

ฺBomBer_Boy said...

อย่าบอกนะ ว่าเหมือนโรงหนังพหลฯ สมัยนี้.........

NoN@me said...

= =

จบแบบต้องติดตามต่อ

โรงหนังสมัยนี้จะมีบ้างมะเนี้ย

^.^

Anonymous said...

สวัสดีคับ คุณอู
ผมติดตามอ่าน มาได้อาทิตย์กว่าแล้วคับ

โห ซึ้ง เศร้า ลุ้น กันทุกตอนเลย
ชอบเรื่องนี้มากเลยอ่ะคับ
อยากมีคนที่อยู่เคียงข้าง อย่างไอ่นัย บ้าง
หายากเสียเหลือเกิน
อ่านๆ ไปแล้ว บางทีก็เหงาน่ะคับ มองดูชีวิตตัวเอง
โดดเดี่ยวเหลือเกิน ขอบคุณ คุณอูมากเลย ที่ถ่ายทอด
เรื่องราวดีๆ ให้ได้อ่านกัน ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต
เรื่องราวดีๆ แบบนี้ช่วยได้มากเหลือเกิน
จะติดตามต่อไปนะคับ ว่าจะกลับไปอ่าน ย้อนตอนเด็ก
อีกสักรอบคับ

อืมม ตอนที่ผมชอบมากเลย คือตอนที่ นัย ดีดกีต้าร์
ร้องเพลง "Lover concerto" ให้อูฟัง

ผมชอบเพลงนี้มากอยู่แล้วน่ะคับ พอได้เจอในตอนนั้น
ก็อินมากๆ เลย

ขอบคุณครับ

A lonely man...

Anonymous said...

ไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่ง เพราะสมจริงสมจังมาก รายละเอียดต่างๆเก็บได้ดี ยังจับผิดรายละเอียดไม่ได้เลยสักตอน (ชอบจับผิดนิยายครับ นิสัยเสีย)

อ่านล้วอินเหมือนกันครับ ได้อารมณ์ที่หลากหลาย อ่านแล้วคิดถึงวัยเด็ก

ว่าแต่ในโรงหนังมีอะไรครับ รีบเข้ามาต่อไวๆ สงสัยเหมือนพหลแบบรีบนว่าแน่เลย

ยุ่น said...

โฮะโฮะ...ไม่อยากจะนึกภาพเล้ยยยยย ฮ่าฮ่า
5555555555555++++++

เจอของจริงเข้าไปแล้วละซี๊ ยิ่งกว่าภาพในจอหนังซะอีก
ตัวจริง เสียงจริง อึ้ง แอนด์ ตะลึง ละงานนี้ อู
ขออีกทีนะ 5555+++++++++

เฮ้ออออ...ตอนไหนที่เค้าไม่เข้าใจกัน เราดันเครียด
แต่ตอนนี้เค้าหนิดหนมกาน เราดันอิจฉา เหอเหอ
อิจฉา...อิจฉา วุ้ยยยย หุ หุ

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ--ปวดกราม ฮ่าฮ่า ฮิฮิ หุหุ กร๊ากก...

yo408 said...

โห สมัยก่อนก็เป็นโรงหนังอย่างว่าแล้วหรอ ผมเคยไปเที่ยวที่นี่ตอนปี2541 เป็นโรงหนังเอ็กซ์เลยแหละ คนที่มาเที่ยวก็ประปราย คละเคล้า วัยรุ่น วัยทำงาน อ้วน ผอม แก่ แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหนไปจับคู่กันเอาเอง

พอมายุคหลังที่โรงพหลฯเริ่มดัง คนก็เริ่มย้ายจากที่นี่ไปที่โน่น เหลือแต่แปะแก่ๆ แปะอ้วนๆ หนุ่มใหญ่40-50 หนังที่ฉายก็เป็นแบบธรรมดา สลับกับหนังอาร์ อยู่ๆโรงหนังก็ปิดซะอย่างงั้น กลายเป็นอาคารขายของ ยิ่งเสือป่าไฟไหม้ ผู้ค้าบางส่วนอพยพมาขายที่นี่แทน

ส่วนชาวเสพหนัง ย้ายนิวาสสถานไปที่นิวไชน่าทาว์นแทน อยู่ฝั่งเยาวราช โรงเล็กกว่าเยอะ แถมยังสกปรกกว่าด้วย ห้องน้ำไม้อัดข้างลานจอดรถ เล่นเอาโล่งหวิวๆแบบแปลกๆ

โรงหนังพหลฯ คนเยอะจริง แต่มิจฉาชีพเยอะชะมัด เผลอเป็นล้วง ใครไม่ระวังหมดตัวไม่มีค่ารถกลับบ้านด้วย เลวจริงๆพวกนี้อ่ะ ทั้งที่เป็นเกย์ และเด็กขายตกอับต้องมาล้วงกระเป๋าด้วย

Anonymous said...

ตอนนี้สนุกมาก ร่วมสมัยดีจัง

คุณ yo408 เสริมได้ดี คงมีประสบการณ์มาไม่น้อย

เอาอีกๆ ชอบ 555

Anonymous said...

ไม่ค่อยสบายอีกแล้วอ่ะครับ...

หลาน Arus ของอาอู

naja said...

นั่นแหล่ะช่ายเลย แคปปิตอลของแท้ เคยโดนอาแป่ะข้างๆเดินตามเข้าห้องน้ำ ตกใจหมดเลย กลัวด้วย รีบวิ่งหนีออกไปเลย ฮ่ะๆๆ

Anonymous said...

ให้ลุ้นตลอดเลยอ่า อิอิ

ken_cup said...

ขอบคุณครับ ที่มาเขียนต่อในตอนนี้ เมื่อคืนโหลดเพลง lover's conterto มาฟัง มันไม่เศร้าน่ะ มันโรแมนติก แต่พอฟังแล้วมานึกถึงเรื่องที่อ่านมาที่คุณอูเขียนไว้น่ะ มันเศร้าแฮะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ก็มีความสุขดีครับ แม้มันจะเศร้าสำหรับผมน่ะ ยังไงก็อ่านทุกตอนเลยแหละครับ ไม่อยากให้จบเลยจริงๆ

Anonymous said...

^
^
^
เค้าเรียก "เศร้าปนหวาน"ครับ

ken_cup said...

หวัดดีอีกรอบคับ พอดีผมเพิ่งค้นเจอเพลง Lover's concerto มันมีอยู่ในคอมพิวเตอร์ผมด้วย แต่มันเป็นแบบเร็ว น่ะครับ ฟังแล้วสนุกดี ไม่เศร้าเลย คือจริง ๆ ผมชอบแบบข้าน่ะมันฟังดูเพราะและเศร้าดี แต่พอฟังแบบเร็วแล้วทำให้ความเศร้าที่มีหายไปได้ ไม่ทราบว่าคุณอูเคยฟังปะคับ

Anonymous said...

K.Ken_Cup
Lover's concerto ที่เป็นแบบเพลงบรรเลง
ก็เพราะดีนะครับ ผมเปิดฟังตอนทำงานเพลินดีครับ
จนบางทีก็นึกถึงเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับมาอ่านทุกที
สิน่า(เลยทำให้เสียการเสียงานไปด้วย..อิอิ)

หรือแบบที่เป็นเปียโน ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ

แต่ยังงัยก็แล้วแต่สู้ เวอร์ชั่น ที่นัยดีดให้อูฟังไม่ได้
หรอกคับ บรรยากาศและอารมณ์ในนั้น สุดยอด
เหลือเกิน

โอ๊ย โอ๊ย


Lonely man...

Anonymous said...

ประสบการณ์ในโรงหนังแคปปิตอลเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็กวัยรุ่น อย่างผม นี่ถ้าไม่หนีโรงเรียนก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จัก แต่พอรู้จักที่หนึ่งแล้ว ก็เจอที่อื่นๆตามมมาอีก แปลกเหมือนกัน ทีเมื่อก่อนไม่เคยเจอก็ไม่เจอสักที

ประสบการณ์ในโรงหนังนี้เป็นจุด หักเหสำคัญจุดหนึ่งในชีวิตของผมและนัย นี่ถ้าไม่หนีโรงเรียนและไม่ได้ดูหนังที่นี่ ก็ไม่รู้ว่าชีวิตทุกวันนี้จะเปลี่ยนจากปัจจุบันไปมากเพียงใด

โรงหนัง พหลฯยุคนั้นไม่น่ามีอะไรครับ เพราะตอนนั้นแหล่งอยู่ที่โรงหนังประดิพัทธ์ เรื่องประดิพัทธ์นี่ผมมารู้เอาตอนที่โตขึ้นมาอีกหน่อย ตอน ม.๒ ยังไม่รู้จัก

เพลง The Lover's Concerto ถ้าเป็นเวอร์ชันเร็วคงเป็นแนวแจ๊สกระมัง เป็นแนวดั้งเดิมที่วง The Doll ร้องจนดังเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบเวอร์ชันโรแมนติกแบบเคลลี เฉินมากที่สุดครับ

arus หายป่วยหรือยัง ต้องหาคนดูแลใกล้ชิดแล้วละมั้ง

หลานที่หนึ่งของปี หมู่นี้ตกอันดับบ่อยๆ ต้องปรับปรุงตัวหน่อย ป๊อบคอร์นที่แคปปิตอลไม่มีหรอกครับ มีแต่ข้าวเหนียวปิ้ง กล้วยแขก เป๊ปซี่โค้กก็ไม่มี มีแต่น้ำใบบัวบกขายอยู่หน้าโรง พอจะแทนกันได้ไหม

การ์ตูนอะไรที่ว่านั่น เอามาให้ลุงยืมอ่านบ้างได้ไหม

อู

Anonymous said...

ยังครับ วันศุกร์เริ่มท้องเสียตอนเดินไปห้องน้ำโดนฝน
ไข้ขึ้นอ่อนๆ
วันเสาร์ไปเรียนพิเศษพอเลิกเรียน รีบกลับบ้านก็ยังโดน
ฝนอีก ไข้จึงสูงขึ้น

นี่พึ่งกลับจากห้องน้ำ (ท้องเสีย)มาน่ะครับ
(ท้องเสียตอน02.10)
โอ๊ะบอกว่าไม่มีผลกับปัจจุบันวันนี้ แปลว่าเป็น
"จุดหักเหของชีวิต"อาทั้งสองหรือนี่!!~
[งั้นถึงเรื่องนี้จะเป็นบทปรัพันธ์ ในใจผมก็จะเป็นเรื่อง
จริงตลอดไปนะครับ!!]

หลาน Arus ของอาอู

พี said...

มาตอบบ้างครับ.....หลังแอบอ่านเงียบๆ มาหลายตอน
ผมอ่านทันตอนใหม่ทุกตอนครับ เพราะจะเข้าเน็ต 2 วันครั้ง
สงกรานต์เป็นไงบ้างครับ สนุกกันไหม ของผมปีนี้สนุกมากครับ....เพราะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิด กับ "คนที่เราแอบชอบ" แบบถึงเนื้อถึงตัว(แต่ไม่ได้มีอะไรกันนะคร้าบ สัญญาเขาไว้แล้ว) ได้ดูแลเขา ตอนเมา..เละ และมีเรื่องตื่นเต้น ตอนที่คนทะเลาะกัน มีเสียงระเบิดด้วยแถวหน้าท็อปแลนด์ ผมก็อยู่แถวนั้น...

Anonymous said...

เข้ามาลุ้นด้วย
ว่ายุคเก่าก่อน จะมีอะไร amazing อีก
^^sky^^