Tuesday, April 14, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 75

จากเสียงที่คุยกัน แม้จะได้ยินไม่ชัด แต่ก็พอรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องมีกันหลายคน ไม่ได้มีเพียงไอ้นัยและพี่เต้ คล้ายกับว่ามีการประชุมกันอยู่จริงๆ

ผมรู้สึกงุนงง เพราะไม่รู้ว่าไอ้นัยมาประชุมอะไร และทำไมต้องมีพี่เต้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะบุกเข้าไปหาไอ้นัยเลยตอนนี้ก็ไม่กล้าทำ เพราะเมื่อมีการประชุมกันจริง หากผมผลีผลามเข้าไป ผมเองจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น และที่สำคัญ ไอ้นัยคงคิดว่าผมงี่เง่าสิ้นดี

ผมเก็บความอึดอัดสงสัยและความไม่พอใจเอาไว้ และรีบกลับมายังห้องสหกรณ์ ตั้งใจว่าจะถามไอ้นัยให้รู้เรื่องเมื่อมันกลับมา แต่ปรากฏว่าจนเย็นแล้วไอ้นัยก็ยังไม่กลับมา ผมรอต่อไปไม่ไหวจึงต้องกลับบ้านไปก่อน

วันรุ่งขึ้น

เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อคืนผมรู้สึกนอนไม่ค่อยหลับนิดหน่อย คือหลับช้า แล้วก็หลับๆตื่นๆ จะให้ข่มตาหลับได้อย่างไรเมื่อในใจมันสับสนวุ่นวายไปหมด

เมื่อผมเจอหน้าไอ้นัยและหาที่นั่งบนรถเมล์ได้เรียบร้อย ผมก็รีบถามเรื่องที่คาใจอยู่ทันที

“ไอ้นัย เมื่อวานยังคุยกันไม่จบเลย ตกลงมึงไปประชุมอะไรกันแน่วะ” ผมถาม

“เอ้อ...” ไอ้นัยอึ้งไปนิดหน่อย

“ทำไมมึงต้องปิดบังกูด้วยวะ มันเป็นความลับมากนักหรือไง เดี๋ยวนี้มึงมีอะไรก็ชอบปิดกู” คำพูดของผมพรั่งพรูออกมาด้วยความน้อยใจที่เก็บเอาไว้มานาน “มึงบอกพี่เต้ได้ แต่มึงบอกกูไม่ได้”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูบอกพี่เต้แต่ไม่ได้บอกมึง” ไอ้นัยมองผมด้วยสีหน้าแสดงความสงสัย

“กูรู้ละกัน หรือว่าไม่จริง” ผมคาดคั้น

ไอ้นัยถอนหายใจ

“กูไม่ได้ตั้งใจจะปิดมึงหรอกนะอู แต่กูไม่รู้จะบอกมึงยังไงต่างหาก” ไอ้นัยหยุดคิดนึดหนึ่ง “กูไปประชุมกับพวกเซลล์กรุ๊ปน่ะ กลุ่มนี้เป็นพวกนักเรียนที่เป็นคริสเตียนในโรงเรียนเรา”

“ประชุมกับกลุ่มคริสเตียน” ผมทวนคำด้วยความงุงงง คำตอบของไอ้นัยเป็นคำตอบที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน “แล้วมึงไปเกี่ยวอะไรกับพวกคริสเตียน”

“กูอยากรู้เรื่องพระเจ้าน่ะ” ไอ้นัยตอบเสียงราบเรียบ

ไอ้นัยเล่าให้ฟังว่ามันรู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้าและความเชื่อของพวกชาวคริสต์ขึ้นมา พอดีในห้องของไอ้นัยมีนักเรียนที่เป็นคริสเตียนอยู่คนหนึ่ง มันจึงลองถามเรื่องของพระเจ้าดู เพื่อนคนนี้จึงแนะนำให้ฟังว่าในโรงเรียนมีนักเรียนที่เป็นคริสเตียนอยู่หลายคน และมีการรวมกลุ่มกัน โดยจะมีการพบปะเพื่อพูดคุยและอธิษฐานกันสัปดาห์ละครั้ง กลุ่มประชุมนี้เรียกว่าเซลล์กรุ๊ป เพื่อนของไอ้นัยจึงพาไอ้นัยมาร่วมประชุมด้วย และได้แนะนำให้รู้จักกับนักเรียนคริสเตียนคนอื่นๆ รวมทั้งได้พูดคุยกันเรื่องของพระเจ้า

นักเรียนคนใดที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธสังเกตได้ไม่ยาก ตอนเช้าเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติจะมีการสวดมนต์ ใครที่ไม่ได้พนมมือสวดมนต์ ส่วนใหญ่แล้วคนนั้นถ้าไม่ใช่คริสเตียนก็เป็นคาทอลิก หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นมุสลิม

ผมยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงงหนักยิ่งขึ้น ไอ้นัยกับผมอยู่ในโรงเรียนคาทอลิกมาจนจบชั้นประถม แต่ไอ้นัยไม่เคยแสดงความสนใจใคร่รู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าแม้แต่น้อย แต่จู่ๆก็กลับสนใจอยากรู้ขึ้นมาในตอนนี้

ทันใดนั้นเอง ผมฉุกใจคิด หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับหนังสือ ๒๓ นิยายของตอลสตอยที่ไอ้นัยเพิ่งอ่านไป ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้เล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่กระจ่างพอ

“แล้วทำไมมึงต้องทำลึกลับด้วยวะ ทำไมบอกกูตรงๆไม่ได้” ผมถามคำถามที่คาใจออกไป

ไอ้นัยถอนหายใจอีก

“กูกลัวมึงหัวเราะเยาะ” ไอ้นัยตอบ “เพราะมันดูแปลกๆ”

“มึงรู้ด้วยเหรอว่ามันแปลก” ผมอดประชดไม่ได้

“เห็นไหมล่ะ พอบอกแล้วมึงก็เป็นยังงี้แหละ” ไอ้นัยต่อว่า

ผมถอนหายใจบ้าง คนในรถเมล์แน่นขนัด ผมกับไอ้นัยถอนใจกันคนละทีสองที คนรอบข้างคงสงสัยว่านักเรียนสองคนนี้มีเรื่องกลุ้มใจอะไรนักหนา

“แล้วทำไมมึงบอกพี่เต้ได้ล่ะ” ผมถามเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่อีกเรื่องหนึ่ง

“กูไม่ได้บอกพี่เต้หรอก แต่เค้าเดินมาเจอตอนที่กูจะไปประชุมเซลล์กรุ๊ปพอดี เค้าถามว่ากูจะไปไหนกูก็ตอบไปตามตรง พี่เต้รู้ก็เลยขอไปนั่งฟังเป็นเพื่อนด้วย”

“แล้วทำไมมึงไม่ชวนกูไปนั่งฟังเป็นเพื่อนด้วยล่ะ” ผมถามรุกไล่ต่อไปอีก มันฟังดูเหมือนเป็นคำถามที่งี่เง่า และก็เหมือนคำถามเพื่อตีรวน แต่ผมก็อยากรู้คำตอบจริงๆ ทำไมมันจึงเห็นพี่เต้ที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือนสำคัญกว่าผมที่เป็นเพื่อนกับมันมาตั้งแต่วัยเด็ก

“...” ไอ้นัยถอนหายใจอีก และมีสีหน้าอึดอัด “ก็บอกแล้ว มันเป็นเรื่องบังเอิญนะอู กูไม่ได้ชวนพี่เต้ไปเป็นเพื่อนกู เค้าอยากไปนั่งฟังเอง”

“เออ เออ ช่างมันเถอะ” ผมพูดอย่างท้อแท้ เห็นสีหน้ามันแล้วก็สงสาร ไม่อยากถามต่อแล้ว

- - -

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นัยที่แต่เดิมดูเหมือนจะไม่ราบรื่นนัก ต่อมาก็ทำท่าว่าจะดีขึ้นหลังจากเหตุการณ์กบฏ ๙ กันยาที่ผ่านมา เมื่อมาถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ของเรากลับดูอึมครึมอีก

ไอ้นัยยังคงไปประชุมกลุ่มเซลล์กรุ๊ปของนักเรียนคริสเตียนทุกวันพุธเช่นเคย แต่หลังจากวันนั้น ผมก็อาสาไปนั่งเป็นเพื่อนมันด้วย ในเมื่อไอ้พี่เต้ไปเป็นเพื่อนมันได้ ผมก็น่าจะไปได้

กลุ่มนักเรียนคริสตียนในโรงเรียนในช่วงนั้นเท่าที่รวมตัวกันได้มีอยู่เกือบ ๑๐ คน มีทุกระดับชั้นตั้งแต่ชั้นน้องเล็กยันพี่ใหญ่ แต่ในการประชุมเซลล์กรุ๊ปแต่ละครั้งไม่ได้มากันครบทุกคน คงหมุนเวียนกันมาตามแต่เวลาจะอำนวย การจัดประชุมก็อาศัยตามห้องเรียนนั่นเอง โดยเวียนไปตามห้องของนักเรียนที่เป็นคริสเตียน ปกติจะมีผู้มาประชุมกลุ่มครั้งหนึ่งราว ๔-๕ คน เมื่อมีไอ้นัย ผมและพี่เต้มาร่วมวงด้วยจึงทำให้การประชุมคึกคักขึ้นอีกไม่น้อย

วันที่ผมลองไปเป็นเพื่อนไอ้นัยเพื่อประชุมเซลล์กรุ๊ป ครั้งนั้นพี่เต้ไม่โผล่มา เห็นทีว่าเรื่องที่พี่เต้มาประชุมในครั้งก่อนๆน่าจะเป็นความบังเอิญจริงๆ

พวกนักเรียนคริสเตียนที่มาประชุมกันนั้น ผมสังเกตว่าเป็นคนที่มีนิสัยเรียบร้อยทั้งนั้น พวกนี้ไม่พูดจาหยาบคาย ผิดจากนักเรียนทั่วไป ในการประชุมก็มีการอ่านเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล จากนั้นก็อธิษฐานร่วมกัน และคุยเรื่องราวความรักของพระเจ้าให้ไอ้นัยและผมฟัง ซึ่งถ้าพูดถึงเนื้อหาแล้ว เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลหลายต่อหลายเรื่องผมกับไอ้นัยก็เคยรู้มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม แต่ถ้าพูดถึงประสบการณ์ด้านจิตใจจากการพบกันครั้งแรก ผมพบว่าคนเหล่านี้แสดงออกถึงความเป็นคริสเตียนด้วยความประพฤติของตนเอง มิใช่ด้วยการเที่ยวบอกคนอื่นว่าตนเองเป็นคริสเตียน หรือด้วยรูปแบบพิธีกรรมทางศาสนา

“เป็นไง ประทับใจเหรอ เงียบเชียว” เสียงไอ้นัยเรียกผม เราเพิ่งเลิกจากการประชุมและกำลังเดินไปด้วยกันเพื่อจะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน

ที่จริงผมเงียบไปเพราะกำลังใช้ความคิดเรื่องไอ้นัย ไม่ใช่เพราะความประทับใจ จู่ๆไอ้นัยหันมาสนใจศาสนาคริสต์ หนังสือเล่มนั้นคงมีส่วนชักนำ แต่ผมไม่คิดว่าหนังสือเพียงเล่มเดียวจะมีอิทธิพลต่อความคิดของไอ้นัยได้ขนาดนี้ เรื่องนี้คงมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย ผมนึกถึงคำว่า ‘แรงจูงใจ’ ของไอ้นักสืบจิขึ้นมา อะไรล่ะที่เป็นแรงจูงใจของไอ้นัย?

- - -

กลางเดือนธันวาคม

อากาศในฤดูหนาวแม้จะไม่ถึงกับหนาว แต่ก็เย็นสบาย ใกล้ถึงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่อีกแล้ว...

เวลาแต่ละปีดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อปีที่แล้ว ผมต้องวุ่นวายกับเรื่องของไอ้โหนก เมื่อปีก่อนโน้นก็มีเรื่องยุ่งวุ่นวายในช่วงฤดูหนาวนี่เอง ปีนี้ดูจะดีหน่อย แม้เรื่องราวระหว่างผมกับไอ้นัยจะไม่ราบรื่นอยู่บ้าง แต่ก็น่าจะจัดได้ว่าปีนี้สุขสงบกว่าหลายๆปีที่ผ่านมา

ไอ้นัยยังคงไปประชุมเซลล์กรุ๊ปทุกวันพุธ ผมเองไปเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลยเพราะว่าไม่อยากกลับบ้านเย็น นอกจากนี้ ไอ้นัยยังติดโอชินงอมแงม สี่สิบกว่าม้วนดูมาตั้งเดือนแล้วก็ยังดูไม่จบเสียที

พี่เต้ก็ยังแวะเวียนไปมาที่ห้องสหกรณ์เป็นประจำ แต่บรรยากาศภายในห้องสหกรณ์ดูไม่เหมือนเดิม พี่มั่วหลังจากที่ถูกอาจารย์เรียกไปตำหนิเรื่องวีดิโอเทปชุดโอชินก็กลับกลายเป็นคนละคนไป จากเดิมที่เป็นคนกระตือรือร้นในการทำงาน กลับกลายเป็นคนหมดไฟ ทำงานไปอย่างแกนๆ แถมยังมาบ้างไม่มาบ้าง ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนเหมือนกัน หรือบางทีมาแต่ก็ไม่ทำอะไร เพียงแค่มานั่งเฉยๆ

เมื่อพี่มั่วดูแลงานน้อยลง ผู้ที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นก็คือรุ่นพี่ ม.๔ ซึ่งก็คือพี่เอ้กับพี่หมีสองสหายนั่นเอง

เดือนธันวาคมในปีนี้แตกต่างไปจากปีที่แล้วบ้าง เพราะว่าทางโรงเรียนจัดให้มีกิจกรรมกีฬาสีขึ้นเป็นเวลา ๓ วัน ที่จริงทางโรงเรียนจัดให้มีการแข่งขันกีฬาสีเป็นประจำทุกปี แต่ว่าปีที่แล้วเกิดเหตุขัดข้องอะไรขึ้นก็ไม่ทราบ ทำให้ต้องงดการแข่งขันไปปีหนึ่ง และกลับมาจัดอีกครั้งในปีนี้

การแข่งขันกีฬาสีเป็นการแข่งขันกันภายในโรงเรียน เวลาแข่งทั้งหมด ๓ วัน ในสามวันนั้นไม่มีการเรียนการสอน แต่นักเรียนทุกคนต้องมาโรงเรียน ใครที่ไม่แข่งก็ต้องมาเชียร์ ในวันแข่งกีฬาสี นักเรียนไม่ต้องใส่เสื้อนักเรียน แต่ให้ใส่เสื้อยืดประจำสีของตนมา หรือไม่ก็เสื้อยืดตราโรงเรียน

“เฮ้อ ตากแดดเชียร์ตั้งแต่เช้าแล้ว เซ็ง” ไอ้นัยบ่นอุบ เราสองคนมานั่งพักอยู่ในห้องสหกรณ์ หลังจากที่เชียร์กีฬามาทั้งเช้าจนแสบคอ ช่วงแข่งกีฬาห้องสหกรณ์ปิดบริการ แต่พวกเราก็ยังเข้ามาใช้เป็นที่ซ่องสุม ช่วงนั้นมีเพียงพี่เอ้ ไอ้นัย และผม ที่หลบอยู่ในห้อง

ปกติไอ้นัยไม่ค่อยบ่นอะไร มันถึงกับบ่นขึ้นมาแสดงว่าคงเซ็งอย่างแรง

“นั่งมันอยู่ที่นี่ละวะ รอจนเลิกแล้วจะได้กลับบ้าน” ผมปลอบใจไอ้นัย

ไอ้นัยถอนหายใจดังปู้ด

“ไปดูหนังกันไหม เด็กๆ” พี่เอ้ชวน

“ตอนนี้อะนะ” ผมถาม พี่เอ้พยักหน้า

“ไปได้ไง โรงเรียนยังไม่เลิก” ผมยังไม่เข้าใจ

“ก็ไปทั้งๆยังไม่เลิกนี่แหละ” พี่เอ้ตอบ

“งั้นก็หนีโรงเรียนดิ” ไอ้นัยถามขึ้นมาบ้าง แต่แววตาของมันดูแจ่มใสขึ้น

“ไม่ได้หนี แค่ออกไปเฉยๆ แล้วก็ไม่กลับมาอีก” พี่เอ้ตอบแบบยียวน แล้วก็หัวเราะ

“นั่นแหละพี่ หนีโรงเรียน เล่นตอบแบบศรีธนญชัย” ผมพูด

“เอ็งจะเรียกอะไรก็ช่างเอ็ง ว่าแต่จะไปหรือเปล่า” พี่เอ้ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย

ไอ้นัยถึงกับยิ้มออก “ไปดิพี่ ไปไปไป”

“เอ็งเด็กดี ไม่ไปก็เฝ้าห้องนะไอ้อู” พี่เอ้ขู่

“ไปด้วยดิ” ผมรีบตอบ “ว่าแต่จะไปดูโรงไหนล่ะ”

สมัยที่ผมเรียน โรงหนังคิงส์ ควีนส์ แกรนด์ ย่านวังบูรพาถูกรื้อไปหมดแล้ว ดิโอลด์สยามก็ยังไม่มี โรงหนังที่มีในย่านนั้นก็จะเป็นเพชรเอ็มไพร์ตรงปากคลองตลาด ฉายหนังไทย แล้วก็เฉลิมกรุง ซึ่งก็ฉายหนังไทยเช่นกัน ถ้าจะดูหนังฝรั่งก็ต้องไปที่สยามสแควร์

“เอาง่ายๆ ดูแถวนี้ละกัน จะได้กลับบ้านกันสะดวก” พี่เอ้ตอบ “ไปดูหนังควบที่แคปปิตอลกันดีกว่า”

“หนังควบเหรอ ดีเลย ไปเลยพี่” ไอ้นัยพูดอย่างอารมณ์ดี ดูท่าไอ้นัยคงไม่เคยดูหนังควบในโรงหนังชั้นสองมาก่อน จึงรู้สึกกระตือรือร้น ที่กรุงเทพฯผมเองก็ไม่เคยดูเหมือนกัน เคยดูแต่ตอนกลับบ้านต่างจังหวัด


<ในยุคหนึ่ง ย่านวังบูรพาจัดว่าเป็นย่านดาวน์ทาวน์ของกรุงเทพฯ มีโรงหนังในย่านนี้หลายแห่ง ที่อยู่ในใจกลางของวังบูรพามีอยู่ ๓ โรง ได้แก่ คิงส์ ควีนส์ และแกรนด์ โรงหนังทั้งสามแห่งนี้เปิดให้บริการในราวปี พ.ศ. ๒๔๙๗ หลังจากนั้นวังบูรพาก็ถึงยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด อันเป็นยุคที่เรียกกันว่า ‘โก๋หลังวัง’

ยุครุ่งเรืองสุดขีดของวังพูรพาดำเนินมาได้ราว ๒๐ ปี ก็ถึงยุคโรยรา หลังปี พ.ศ. ๒๕๒๐ โรงหนังทั้งสามแห่งทยอยต่อมาถูกรื้อไปหมด สถานที่ที่เป็นโรงหนังคิงส์ต่อมากลายเป็นห้างเมอรี่คิงส์ วังบูรพา ตอนที่ผมเรียนมัธยม โรงหนังทั้งสามแห่งนี้ก็ไม่มีแล้ว>

อ่านเรื่อง พรคู่ชีวิต (pdf) จากหนังสือเรื่อง ๒๓ นิยาย เขียนโดย ลีโอ ตอลสตอย แปลโดย อ.สนิทวงศ์ ได้ที่นี่
ดาวน์โหลด 1
ดาวน์โหลด 2 (สำรอง)

17 comments:

ยุ่น said...

สบายใจวันสงกรานต์...หุหุ
ไม่น่าจะมีอะไรให้กังวลใจ
นัยเคลียร์ให้อูซะแจ่มเลย

แปลกแหะ...คนละอารมณ์กะตอนที่ 74เลยน่ะ
74...ใจเครียด แต่ 75...ครึ้มใจ

เยสสสสสส โล่งอก วู้วววว อารมณ์ดีขนาด
ขอบคุณมากๆๆๆๆๆ นะครับ คุณอู

ยุ่น ครับ --More than words!ฮุฮุ ฮ่าฮ่า

Anonymous said...

ได้อ่านก็ชื่นใจนึกว่าเป็นเรื่องซะแล้ว
ระหว่างนัยกับพี่เต้
ขอบใจที่เขียนตอนที่75 อย่างไว

Anonymous said...

สงกรานต์ทั้งที เซงม๊อบ

Anonymous said...

กะอยู่แล้วเชียว ว่าต้องมีพลิกล็อค นัยไม่น่าเป็นคนใจโลเลขนาดนั้น

นัยยังน่ารักเหมือนเดิม แต่ดูจะลึกลับขึ้น

Anonymous said...

อยากถามว่าใช้โปรแกรมไรแยกไฟล์อ่ะคับ คุณพี่อู บอกนู๋หน่อย อยากอ่าน แล้วเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ อ่ะ ครับ เป็นไทยก็ดีหน่อย แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษนี้แย่หน่อย ต้องอ่านไปเปิด Dic ไป กว่าจะจบพอดีเป็นเดือน - -*

yo408 said...

แง่มๆ ชักอยากรู้แล้วสิว่าทำไมถึงสนใจคริสต์

ตอนเด็กๆเปลี่ยนพุทธเป็นคริสต์ เพียงเพราะขี้เกียจสวดมนต์ แล้วก็เท่ห์เวลาประสานมือสวด แค่นั้น

แต่พอศึกษาพุทธจริงจังขึ้น เลยกลับมาแนวพุทธอีกครั้งหนึ่ง

Anonymous said...

(^_^)ที่1ของปี อันยองหเซโย
หวัดดีค้าบลุงอู กลับมาเมื่อคืนได้อ่าน3ตอนรวดเลยขอบคุณค้าบบบ โหยพวกพี่ๆป้าๆเนี่ยเก่งจังเลยครับอิจฉาง่ะ ผมชอบอ่านการ์ตูนมากกว่า ที่ชอบมากเพิ่งเช่าอ่านจบไปชื่อแก๊งนี้มีป่วน ที่ทำเปนหนังตอนนี้ไง20th century boy หนุกมากมยแต่คงไม่มีใครอ่นหรอก ว่าต่เรื่องของคุณลีโอเนี่ยเปิดดูยังไงอะลุง ลุงอูต้องอ่านนะเรื่องแก๊งนี้มีป่วนต้องสงสารซาดาคิโยแน่นอนเลย เห้อกะว่าจะไปเล่นนำสีลมซะหน่อยแต่ที่บ้านห้ามอะครับ แป่ว

Anonymous said...

ผมก็เคยไปพบปะเป็นกลุ่มอะไรแบบนี้
แบบว่ามีคนมาประสบการณ์อะไรแบบเนี้ย
แต่ที่ไปเพราะเค้ามีกิจกรรมมีขนมมีเด็กสาวๆ
ก็เลยไป แต่ก็ได้อะไรมาบ้างเหมือนกัน
โดยผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะติดตัวติดใจมา

ผมว่านี่ละมั้งที่ศาสนาเค้ายิ่งนานมันยิ่งมีคนมากขึ้น
ผิดกับพุทธเราที่ยิ่งวันมันยิ่งลด
แถมที่มีอยู่แล้วยังก็เสื่อมๆไป

ส่วนนัยนั้นก็น่าจะพอเคลียร์ได้ระดับหนึ่งน่ะคับ

ผิดที่อูที่ระเวียงไม่เข้าท่า(ไม่อยากใช้คำว่างี่เง่า)
แล้วยังจะมาทำให้พวกเราเขวไปด้วยเลย

t1000

naja said...

ที่แคปปิตอลอ่ะ เคยดูเหมือนกัน เรื่อง "ฝรั่ง ควบ ญี่ปุ่น" ตื่นตาตื่นใจมากมาย อิอิ

Anonymous said...

มาสาย >.<

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เข้ามาให้กำลังใจอูเช่นเคยค๊าบ

รออ่านต่อๆ
^^sky^^

Anonymous said...

ดีจังได้อ่านต่อแล้ว อิอิ


ลุ้นแทบตายนึกว่านัยจะมาทำไรซะอีก

ken_cup said...

อ่านมาถึงตอนนี้แล้วอึดอัดใจครับสำหรับผม ดูคุณอูจะอดทนกับอะไรได้มากจังเลย ผมก็เคยน่ะแบบนี้ แต่ก็สนุกดี เขียนไปเรื่อย ๆ น่ะครับ

Anonymous said...

เรื่องนัยที่สนใจคริสต์น่าจะต้องมีแรงจูงใจอะไรสักอย่าง แต่ไม่น่าเกี่ยวกับพี่เต้ เพราะพี่เต้ถือพุทธ

เรื่องความอึดอัดใจนั้น ตอนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกหึงหวงอะไรเลยนะครับ ยังเด็กอยู่ เเพียงแต่รู้สึกไม่พอใจที่นัยมันเห็นคนอื่นดีกว่าผมเท่านั้นเอง ดังนั้นจะว่าไปมันก็แค่หงุดหงิด ไม่ได้ทุกข์ทรมานใจอะไร อีกอย่าง ตอนเด็กมีเรื่องเยอะแยะ ทั้งเรียน ทั้งเล่น ทั้งกิจกรรม มีสิ่งที่หันเหความสนใจออกไปหลายอย่าง ดังนั้นจึงไม่ได้ทุกข์กับเรื่องนี้นักหรอกครับ

เป็นเด็กก็คิดอย่างเด็กครับ ถ้าเอาความคิดแบบผู้ใหญ่มาจับก็คงทุกข์มาก

อู

ปล. คอมเมนต์สำหรับตอนนี้ก็มีพลิกล็อก พวกที่เคยได้ที่หนึ่งตกอันดับเสียตำแหน่งให้ยุ่นไปหมดเลย

ยุ่น said...

ขอใช้สิทธิ์กล่าวพาดพิง นะคับอู หุหุ

จริงๆแล้วไม่ค่อยได้ที่ 1กับอะไรหรือใครหรอกครับ
ได้ที่2 มาตลอด ทุกเรื่องก็ว่าได้ จนทำใจได้แล้วว่า
เหมาะสมกับตำแหน่งรอง....ของทุกเรื่อง
แต่สงกรานต์ปีนี้คงจะโชคดีอยู่มากน่ะครับ เลยได้ที่1
แต่ทำยังไงก็ไม่ชินกับที่1หรอก ไม่ค่อยชอบด้วยซิ
เหมือนมันไม่คุ้นเคย ยังไงก็ไม่รู้วุ้ย บรรยายยากน่ะ

ขอเล่าประสบการณ์โรงหนังบ้างนะคับ อู
วันนั้นหลังจากเลิกเรียนแล้ว ก่อนกลับบ้านแวะกินก๋วยเตี๋ยว กินเสร็จแล้วก็จะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
เกิดปวดท้องอึ กระทันหัน เพื่อนก็กลับหมดแล้ว
ทีนี้ทำยังไงล่ะ ไอ่เราก็เป็นคนธาตุอ่อนซะด้วยซิ
ถ้าท้องมันจะอึ แล้วต้องหาที่อึให้มันให้ได้
เหงื่องี้แตกซิกซิก ก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้
มองไปมองมา อ้าว!ข้างหน้าตรูเป็นโรงหนัง...
ปัญญาเกิด โรงหนังมันก็มีห้องน้ำนี่หว่า เอาว่ะ
ไปอึในโรงหนังก็ได้ว่ะ รีบเดินไปซื้อตั๋วหนังทันที
แล้วก็ถามคนขายตั๋วเค้าด้วยว่า ห้องน้ำอยู่ตรงไหน
เค้าก็บอกมาน่ะแต่ทำหน้าแปลกๆ แต่ตอนนั้นธาตุไฟ
ลมปราณแตกซ่านแล้ว รีบเดินเข้าไปหาห้องน้ำทันที
จำได้ว่าในห้องน้ำสกปรกมากกก แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่ง
ยืนออกันอยู่ ก็งงว่ามันจะมายืนในนี้กันทำไมฟ่ะ
พอทำธุระเสร็จแล้ว ออกมาจากห้องน้ำตาก็มองไปที่
จอหนังว่าเค้ากำลังฉายเรื่องอะไร เฮ้ยยย!ต๊กกะใจ
นั่นมันหนัง R&Xนี่หว่า พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างว่า
คนขายตัวเค้ามองเราแปลกๆเมื่อกี้เพราะอะไร แล้วก็
ไอ่คนกลุ่มนั้นมันยืนออกันทำไมในห้องน้ำ หูยยยย
รีบออกจากโรงหนังแทบไม่ทัน ส่วนหนังก็ไม่กล้าดู
นะคับ ทั้งอาย ทั้งไม่เคยดูหนังแบบนี้ด้วย แบบว่ายัง
เป็นเด็กใสไร้เดียงสาอยู่นะคับ หุหุ

ไม่รู้ว่าตอนหน้า พี่ อู นัย จะหลงเข้าไป
ในโรงหนังแบบผมหรือเปล่า
หริอว่าจะตั้งใจไปดูหนัง R&X คร้าบบบบ ฮ่าฮ่า

ยุ่นครับ--คุ้นเคยกับที่สอง แต่ไม่เป็นรองใคร หุหุ
ปอลอ...ขอยกที่1ให้หลาน Arus ครับ

Anonymous said...

พลิกล็อคจริงๆครับ หรอกให้เราคิดไปไกลซะขนาดนั้น
นึกว่าอูจะเสียนัยให้ไอ้พี่เต้ซะแล้ว หุหุหุ
กร ครับ

nut said...

ตอนนี้อ่านแล้วค่อยสบายใจหน่อย
รีบมาลงต่อเร็วๆ นะคับ