Friday, April 10, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 74

วันรุ่งขึ้น เมื่อผมกับไอ้นัยแวะเข้าไปในห้องสหกรณ์ในตอนเช้าก่อนเข้าเรียน เราก็พบว่าในห้องกำลังเอะอะกันอยู่ พี่เอ้กับพี่หมี รุ่นพี่ ม.๔ กำลังแย่งห่อกระดาษในมือของพี่มั่วกันอยู่

“รุ่นพี่ตีกันเองโว้ย” ผมพูดกับไอ้นัย ไอ้นัยหัวเราะขำ

“พี่ๆเล่นอะไรกันอะ” ไอ้นัยถาม ทำให้กลุ่มพี่ๆที่กำลังยื้อแย่งกันอยู่หยุดลงชั่วคราว

“ไม่ได้เล่น” พี่มั่วตอบ “มันกำลังแย่งของกันอยู่”

“ผมยืมก่อน” พี่เอ้เอะอะ “ผมพูดขึ้นมาก่อน”

“พี่มั่วเอาของดีอะไรมาน่ะ ถึงได้แย่งกัน” ผมถามบ้าง

“พี่ไปได้วีดิโอชุดโอชินมา ว่าจะเอามาให้เช่า คงได้กำไรโข แต่ไอ้พวกนี้มันจะขอดูก่อน”

โอชินที่ว่านี้ก็คือภาพยนตร์ซีรีส์ญี่ปุ่นที่โด่งดังมาก เรื่อง ‘สงครามชีวิต โอชิน’ ซึ่งฉายทางทีวีช่อง ๕ ช่วงเย็น ฉายต่อเนื่องมาเป็นปีแล้ว คนดูติดกันงอมแงม ร้องไห้กันน้ำตาท่วมจอทีวี โดยเฉพาะเมื่อวันที่ถึงตอนอวสาน เย็นวันนั้นถนนหนทางในกรุงเทพฯถึงกับโล่งไปหมด เพราะว่าทุกคนต่างก็จะรีบกลับบ้านเพื่อไปดูตอนอวสาน คุณป้าก็ติดหนังเรื่องนี้งอมแงมเหมือนกัน แต่ผมกลับบ้านไม่ทัน เลยไม่ค่อยได้ดูสักที ได้ดูบ้างเป็นบางครั้งก็ในช่วงปิดเทอม นักเรียนชายไม่ค่อยสนใจหนังแนวชีวิตรันทดน้ำตาท่วมจออยู่แล้ว อีกอย่าง ถ้านักเรียนที่อยู่บ้านไกลถึงอยากดูก็กลับไม่ทันอยู่ดี แต่อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้โด่งดังและพูดถึงกันมาก แม้แต่ผมเองถ้ามีโอกาสก็อยากลองดูให้ตลอดเรื่องเหมือนกัน

“โอชินเหรอครับ อยากดูๆ” ไอ้นัยเกิดอยากดูขึ้นมาบ้าง

“เอ็งไม่สนใจเหรออู” พี่มั่วหันมาถามผม คงรู้สึกแปลกใจที่ผมไม่สนใจ

“ก็สนครับ แต่ว่าที่บ้านดูไม่ค่อยสะดวก ไม่เอาดีกว่าครับ” ผมตอบ เพราะว่าเอาไปก็ไม่รู้จะหาโอกาสดูได้เมื่อไร เกรงใจคุณลุงคุณป้า

“เอามานี่ พี่มั่ว” พี่เอ้พยายามยื้อแย่งกับพี่หมีอีก

พี่มั่วเอาห่อวีดิโอซ่อนไว้ข้างหลัง

“เฮ้ย ไม่ได้ รุ่นพี่ต้องเสียสละให้รุ่นน้องสิวะ ให้ไอ้นัยมันก่อนละกัน” พี่มั่วพูด

ระบบอาวุโสในโรงเรียนในยุคที่ผมเรียนมัธยมแม้จะเริ่มเสื่อมคลายไปบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เราได้รับการสั่งสอนต่อๆกันมาว่ารุ่นพี่ต้องดูแลรุ่นน้อง มีอะไรก็ต้องเสียสละให้รุ่นน้องก่อนเสมอ

พี่เอ้กับพี่หมีบ่นอุบอิบด้วยความเสียดาย ส่วนไอ้นัยหน้าระรื่น

“ไอ้นัยเป็นตาอยู่ไปเลยนะเอ็ง เป็นน้องก็ดียังงี้แหละ” พี่เอ้บ่น ที่จริงก็บ่นไปยังงั้นเอง เพราะว่าทั้งสองคนปกติก็สนิทกับผมและไอ้นัย มักปล่อยมุขเล่นกันเป็นประจำ

เนื่องจากวีดิโอเทปชุดนี้มีความยาวมาก จำได้ว่าราวสี่สิบกว่าม้วน สำหรับวีดิโอเทปขนาด ๙๐ นาที ที่พี่มั่วเอามาในวันนี้ก็เพียงแค่ส่วนเดียว เป็นอันว่าไอ้นัยเลยได้ม้วนต้นเอาดูก่อนสองม้วน หลังจากนั้นก็เวียนให้พี่ๆดูกัน จากนั้นจึงค่อยทยอยเอามาปล่อยเช่า

ตอนพักเที่ยงวันนั้น พี่เต้มาพร้อมกับเอารูปถ่ายตอนไปเที่ยวสิงคโปร์มาให้ดูตามสัญญา คนที่สนใจดูมากที่สุดคงเป็นไอ้นัย เพราะค่อยๆดูอย่างช้าๆ ดูไปก็ชมไป ในขณะที่คนอื่นพลิกดูอย่างรวดเร็ว

- - -

เมื่อสหกรณ์เปิดให้บริการอีกครั้งในภาคเรียนใหม่ ทั้งครูและนักเรียนต่างก็แวะเวียนกันมาใช้บริการ โดยเฉพาะวีดิโอเทปชุดสงครามชีวิตโอชินนั้น นับว่าพี่มั่วคาดการณ์ตลาดได้อย่างถูกต้อง เพราะว่ากลุ่มอาจารย์หญิงสนใจเช่าไปดูกันจนต้องต่อคิวจอง และให้เช่าครั้งละไม่เกินสองม้วน น่าเสียดายที่มีอยู่เพียงชุดเดียว ทำให้บริการได้ไม่ค่อยทันใจ

ในสัปดาห์ถัดมา ในที่สุดไอ้นัยก็เอาหนังสือ ๒๓ นิยายไปคืนห้องสมุด ผมแอบไปยืมต่อจากไอ้นัยโดยไม่ให้มันรู้ เพราะต้องการดูว่ามีเบาะแสใดที่สามารถสืบสาวไปถึงความลับที่ไอ้นัยปกปิดอยู่หรือไม่ ผมใช้เวลาอ่านอยู่หลายวัน แรกๆก็ฝืนใจอ่าน แต่ต่อมาก็อ่านจนเพลินไปเหมือนกัน ผู้เขียนคงเป็นคริสตศาสนิกชน เพราะว่าในหนังสือพูดถึงเรื่องความเชื่อในพระเจ้าตลอดทั้งเล่ม แต่เมื่ออ่านจนจบเล่มแล้วก็ยังไม่คลำพบเบาะแสแต่อย่างใด

วันหนึ่ง ในขณะที่นั่งรถเมล์มาด้วยกกันในตอนเช้า ผมสังเกตเห็นว่าพวงกุญแจที่ไอ้นัยใช้อยู่ไม่ใช่พวงเดิม ปกติไอ้นัยจะพกกุญแจบ้านสองดอกใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงโดยคล้องไว้ในพวงกุญแจ พวงกุญแจนี้ตรงส่วนพู่เดิมทีจะเป็นเชือกถักทำเป็นคล้ายๆตัวกุ้ง แต่วันนี้ ผมเห็นส่วนพู่ของพวงกุญแจของไอ้นัยแลบออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันเป็นรูปสัตว์ประหลาด หัวคล้ายสิงโต ตัวคล้ายปลา เป็นสีทอง

“เอ๊ะ เปลี่ยนพวงกุญแจเหรอ” ผมทัก

“ฮื่อ” ไอ้นัยตอบ

“นี่มันตัวอะไรวะ” ผมถาม

“สัญลักษณ์ของสิงคโปร์ไง” ไอ้นัยตอบ

สิงคโปร์... ผมเอะใจขึ้นมา

“เอามาจากไหนน่ะ” ผมถามต่อ

“พี่เต้ให้มา” ไอ้นัยตอบอย่างภูมิใจ

จู่ๆผมก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“ก็ไหนพี่เต้บอกว่าไม่ได้ซื้อของมาฝากใครไง” ผมพยายามจับผิดพี่เต้

“อันนี้พี่เต้เค้าซื้อมาใช้เอง แล้วไม่รู้ยังไงเหมือนกัน เปลี่ยนใจเอามาให้กู” ไอ้นัยอธิบาย “สวยดีนะ”

ไม่รู้ว่าพี่เต้ให้ไอ้นัยตอนไหน ผมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกเซ็งจนไม่อยากซักไซร้ไอ้นัยต่อไป เรื่องที่เกี่ยวกับพี่เต้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มักทำให้ผมขุ่นข้องรำคาญใจได้อย่างประหลาด

- - -

หลังจากที่สหกรณ์เอาวีดิโอเทปเรื่องสงครามชีวิตโอชินมาให้เช่าได้ไม่นาน พี่มั่วก็ถูกอาจารย์ที่ปรึกษาของสหกรณ์เรียกไปตำหนิ เพราะว่าการนำเอาวีดิโอเทปมาให้บริการถือว่าผิดวัตถุประสงค์ เนื่องจากที่นี่เป็นสหกรณ์ส่งเสริมการอ่าน จึงควรเน้นเฉพาะสิ่งพิมพ์ อีกประการ วีดิโอเทปชุดนี้เป็นชุดผี กล่าวคือ มีผู้อัดจากทีวีแล้วเอามาทำเป็นชุดเพื่อขาย ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น เป็นอันว่าวีดิโอเทปชุดดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาให้เช่าได้ต่อไป คงต้องเก็บเอาไว้ดูกันเอง

“เอ้า ไอ้เอ้ ไอ้หมี พวกเอ็งเอาไปดูเสียให้พอ อยากดูกันนัก” พี่มั่วพูดด้วยสีหน้าสุดเซ็งในตอนบ่ายหลังเลิกเรียน หลังจากที่ลงมาจากห้องพักอาจารย์และเล่าเรื่องที่โดนตำหนิให้น้องๆฟัง

“ไม่เป็นไรน่าพี่ ถึงยังไงพี่ก็ทำเพราะตั้งใจดี อย่าท้อดิ” พี่เอ้พยายามปลอบใจหลังจากที่รู้เรื่องราวทั้งหมด

“ช่าย ทำงานก็ต้องมีปัญหาบ้าง” พี่หมีสนับสนุน “ถึงยังไงก็ได้ค่าเช่าคุ้มแล้ว ไม่ถึงกับขาดทุน หยุดตอนนี้ก็ไม่เสียอะไร”

“เสียหน้าโว้ย ฮิฮิ” พี่เอ้แหย่

พี่มั่วหัวเราะ ยกเท้าเตะพี่เอ้เบาๆ “เดี๋ยวเถอะเอ็ง กวนตีนนัก”

ขณะที่พวกพี่ๆคุยกันอยู่หลังตู้นั้น ผมเองก็ออกมาให้บริการที่ด้านหน้า วันนั้นไอ้นัยยังไม่เข้ามาเลย

เอ ไอ้นัยไปไหนหว่า ผมนึกในใจ เลิกเรียนได้สักพักแล้วยังไม่เห็นไอ้นัยเลย ถึงวันนี้ไม่ใช่เวรมันให้บริการ แต่ปกติมันก็มักมานั่งเล่น

เพิ่งจะนึกถึงไอ้นัย ไอ้นัยก็เดินเข้ามาพอดี

“อู วันนี้มีประชุมอะ ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร มึงกลับก่อนละกัน” ไอ้นัยพูด

“อ้าว เหรอ ไม่เห็นมึงบอกก่อนเลย” ผมงง

“ก็เพิ่งรู้เหมือนกัน” ไอ้นัยพูด “ไปก่อนนะ” ว่าแล้วก็รีบเดินจากไป

ผมคิดว่าคงเป็นการประชุมของพวกหัวหน้าห้องเรื่องงานลอยกระทงประจำปี ที่โรงเรียนของเรามีการจัดงานลอยกระทงขึ้นเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทย เพราะนี่ก็ใกล้จะถึงวันลอยกระทงเข้ามาแล้ว

งานลอยกระทงของโรงเรียนนั้น แม้ว่าในโรงเรียนจะไม่มีสระน้ำหรือว่าบ่อน้ำให้ลอยกระทงเลยก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ทางโรงเรียนก็จัดให้มีการประกวดกระทงกัน โดยแต่ละห้องจะต้องทำกระทงมาประกวด เมื่อประกวดในระดับชั้นแล้วก็คัดกระทงที่ชนะจากแต่ละระดับชั้นมาประกวดในระหว่างระดับชั้นต่อไป

นอกจากประกวดกระทงแล้ว ยังมีการประกวดนางนพมาศอีกด้วย ทั้งๆที่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนชาย ที่จริงก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่านางนพมาศหรือว่านายนพมาศดี เพราะว่าเอานักเรียนชายมาแต่งเป็นนางนพมาศ แต่ละระดับชั้นหาตัวแทนมาแต่งตัวเป็นนางนพมาศเพื่อเข้าประกวด ผู้ที่ได้รับการตัดสินให้ชนะเลิศจะได้เป็นนางนพมาศหรือว่านายนพมาศของโรงเรียนประจำปีนั้นไป

นางนพมาศแม้จะใช้นักเรียนชายมาแต่งก็ตาม แต่เมื่อแต่งแล้วก็สวยน่ารักไม่แพ้นางนพมาศหญิงแท้ อย่างนางนพมาศประจำปีที่แล้ว ตอนที่ผมอยู่ ม.๑ เมื่อแต่งแล้วก็สวยมาก หน้าหวานจิ้มลิ้ม สวยกว่าหญิงสาวแท้ๆหลายคนด้วยซ้ำไป ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าเป็นนักเรียนชาย

- - -

ในสัปดาห์ถัดมา ไอ้นัยก็มีธุระต้องประชุมในตอนเย็นอีก และในสัปดาห์ต่อมา แม้จนถึงต้นเดือนธันวาคม งานลอยกระทงผ่านพ้นไปแล้ว ไอ้นัยก็ยังมีประชุมอีก

“เฮ้ย ประชุมห่าอะไรวะ งานลอยกระทงมันเลยไปแล้ว” ผมถามไอ้นัยเมื่อมันมาบอกว่ามีประชุมอีก และให้ผมกลับบ้านก่อน

ไอ้นัยทำหน้างง “กูไม่ได้ประชุมเรื่องลอยกระทงสักหน่อย ใครบอกมึงวะ”

“อ้าว” คราวนี้ถึงทีผมงงบ้าง “ไม่มีใครบอกหรอก กูเข้าใจเอาเอง แล้วมึงประชุมเรื่องอะไรวะ”

“ประชุมกับเพื่อนที่ห้องน่ะ” ไอ้นัยตอบ

คำตอบนี้เป็นคำตอบแบบเลี่ยงๆ ไอ้นัยพยายามปกปิดไม่ให้ผมรู้ความจริงอะไรบางอย่างอีกแล้ว ผมรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอีก ผมเห็นมันเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด ผมไม่เคยมีความลับอะไรกับไอ้นัยเลย แต่มันกลับเห็นผมเป็นคนอื่น มีอะไรก็ไม่ยอมบอก...

ผมเริ่มฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง... ตารางทำงานที่สหกรณ์ของไอ้นัยจะว่างในตอนบ่ายวันพุธ และทุกครั้งที่มันบอกว่ามีประชุมก็เป็นบ่ายวันพุธ หรือว่ามันรู้ว่าจะต้องมีการประชุมอยู่เสมอในบ่ายวันพุธ จึงจัดตารางให้ว่างเอาไว้ในช่วงนี้?

“พี่หมีครับ พี่ช่วยแทนผมไปก่อน ผมขอไปส้วมหน่อย” ผมพูดกับพี่หมีเพื่อให้ช่วยบริการลูกค้าแทนผมไปก่อน

จากนั้นผมก็แอบสะกดรอยตามไอ้นัยไป ไม่ได้เดินตามไปห่างๆแบบในหนังนักสืบ เพราะไอ้นัยอาจหันกลับมาและรู้ตัว ผมใช้วิธียืนอยู่บนตึก แล้วดูว่าไอ้นัยออกจากตึกทางปีกไหน และมุ่งไปทางไหน จากนั้นจึงค่อยรีบวิ่งตามไป

ปรากฏว่าไอ้นัยเดินไปทางตึกเรียนของชั้น ม.๓ และ ม.๔

แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ผมก็ติดตามไอ้นัยไป ผมก็แอบอยู่ตรงใต้ต้นไม้ข้างสนามใหญ่หน้าตึก ตึกนี้เป็นตึกรุ่นเก่า แม้ไม่ถึงกับโบราณแต่ก็ต้องบอกว่าเก่าแก่พอควร ลักษณะของตึกไม่ใช่อาคารกล่องทึบภายในติดแอร์ แต่เป็นตึกโปร่งๆ ด้านหน้าของตึกจะเป็นระเบียงและทางเดิน ดังนั้นเมื่อยืนอยู่หน้าตึกก็จะมองเห็นตลอดทุกชั้นว่าที่ระเบียงมีใครอยู่บ้าง รวมทั้งเห็นห้องเรียนอีกด้วย ผมเห็นไอ้นัยเดินขึ้นไปจนถึงชั้นสามและหายเข้าไปในห้องเรียนประมาณช่วงกลางของตึก...

ผมทอดเวลาออกไปสักครู่ จากนั้นเดินขึ้นตึกไปยังชั้นที่สามบ้าง ชั้นนั้นมีห้องเรียนราวสิบห้อง ไอ้นัยคงอยู่ในห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่งในช่วงกลาง

ผมเดินจากปีกตึกด้านหนึ่ง เลาะเลียบไปทีละห้อง เมื่อถึงช่วงกลางของตึก ผมระวังตัวมากขึ้น บางห้องที่เปิดประตูทิ้งเอาไว้ผมจะเดินผ่านไปดุ่ยๆไม่ได้ เพราะหากไอ้นัยอยู่ในห้องก็คงจะเห็นผม ผมต้องหยุดฟังเสียงก่อน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีเสียงคนในห้อง จึงค่อยเดินผ่านไป

ผมเดินผ่านไปจนถึงห้องเรียนห้องหนึ่งที่เปิดประตูแง้มเป็นช่องเอาไว้เพียงเล็กน้อย ผมเดินเข้าไปใกล้ พร้อมทั้งเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ภายในห้อง ผมพยายามมองลอดช่องประตูที่แง้มเอาไว้ แต่ก็มองไม่เห็นใคร กลุ่มคนที่คุยกันคงนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดออกมา เสียงหัวเราะนั้นช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน...

มันเป็นเสียงหัวเราะของพี่เต้!!!


<ภาพยนตร์ทีวีชุด "สงครามชีวิตโอชิน" คือละครซีรีส์ของญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จสูงมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 เลยก็ว่าได้

สงครามชีวิตโอชิน เป็นซีรีส์ที่ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 31 ปี สถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่น โดยออกอากาศครั้งแรกในละครช่วงเช้าเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1983 จนถึง วันที่ 31 มีนาคม คศ.1984 โดยออกอากาศต่อเนื่อง 297 ตอน ตอนละ 15 นาที รวมเป็นความยาวของภาพยนตร์ประมาณ 75 ชั่วโมง ซึ่งจัดว่าเป็นซีรีส์ที่ยาวมาก นำมาฉายทางสถานีช่อง ๕ ของไทยในปี ๒๕๒๗ และจบในปี ๒๕๒๘

ในการสำรวจเรตติง ซีรีส์ชุดนี้สามารถสร้างสถิติจำนวนผู้ชมสูงสุดถึงร้อยละ ๖๒.๙ ของผู้ชมทีวีในญี่ปุ่น และยังไม่มีซีรีส์เรื่องใดทำลายสถิตินี้ได้แม้ในปัจจุบัน ภาพยนตร์ชุดนี้เพียงชุดเดียวสามารถกอบกู้สถานะการเงินของสถานีโทรทัศน์เอนเอชเคได้ราวปาฏิหาริย์

ความแรงของชีวิตโอชินมิได้หยุดอยู่แค่ภายในเกาะญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ถูกนำออกฉายใน 59 ประเทศทั่วโลก แม้แต่ในประเทศจีนเองที่มีกระแสต่อต้านญี่ปุ่นอันเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้ชมกว่าสองร้อยล้านคนทั่วโลก

สงครามชีวิตโอชิน เรื่องราวชะตากรรมของผู้หญิงที่สู้ชีวิต จนเป็นแบบอย่างที่น่าจดจำ เป็นเรื่องของเด็กสาวที่เกิดในครอบครัวชาวนาที่ขัดสน จนต้องพลัดพรากจากบ้านไปทำงานเลี้ยงเด็กในร้านค้าไม้ตั้งแต่เด็ก ผ่านอุปสรรคในชีวิตนานัปการ จนในที่สุดได้กลายเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งว่ากันว่าคือห้างเยาฮัน>


<ภาพยนตร์ซีรีส์ชุดสงครามชีวิตโอชิน มีอิทธิพลต่อประชาชนมาก จนถึงขนาดมีการจัดทำเป็นแสตมป์ที่ระลึกในประเทศญี่ปุ่น>

28 comments:

naja said...

อ๊ากซ์!!! คุณอูเล่นจบอย่านี้ อกไอ่ naja จะแตกตายยย

เจอตอนนี้เข้าไปเครียดแทนเลยนะเนี่ยยย

เอาใจช่วยนะ

ยุ่น said...

อ่านตอนท้ายๆ แล้วทำไมใจมันเต้นถี่ๆๆๆๆๆๆ
ถอนหายใจหลายเฮือกเลย โดยไม่รู้ตัว
เฮ้อ+++++++++++++++++

ขอแค่นี้แหละคับ มันม่ายยยยหวายยยยยย เจรงๆๆๆ

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ
ป้อล่อ...สงบใจได้แล้ว อาจจะเข้าใหม่นะครับ
กาซิก กาซิก เครียดดดดดดดดดดดวุ้ยยยยยย

Anonymous said...

ทำไมนัยต้องโกหกด้วยละคะ T_T

Anonymous said...

อ๊าก แค่ท้องเสียนี่ถึงกับมาไม่ทันหรือนี่ T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ไม่เคยชม แต่อยากชมโอชินจัง T-T

หลาน Arus ของอาอู

yo408 said...

อ่ะ ภาคที่1ยังไม่ได้บอกผลการเรียนเลย เห็นว่าตั้งใจเรียนให้พอๆกับนัย ผลที่ได้เป็นยังไงมั่ง แล้วพอจะมีโอกาสอยู่ห้องเดียวกะนัยหรือเปล่า

Anonymous said...

ไ่ม่ได้เม้นนาน แต่ตามอ่านตลอด
ถึงตอนนี้ไม่ไหวแล้ว
ขอตอนต่อไวๆนะครับ
อกจะแตกตาย

BB&B said...

ตามอ่านตลอด
ตอนนี้ลุ้นมากครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หวังว่าไม่เกิดเรื่องแย่ๆ ระหว่างนัยกับอูนะครับ

Anonymous said...

แนวสืบสวน ชิงรักหักสวาท เรื่องนี้มันช่างสนุกดีจริงๆ

แบงค์

nut said...

กำลังสนุกเลย รีบมาต่อเร็วๆ นะคับ ลุงอู อยากทราบว่าลุงนัยคิดยังไงกันแน่

เป็นกำลังในให้นะคับ

Anonymous said...

จบอย่างนี้อยู่เรื่อย... อ่านไปอ่านมาบางทีก็สงสัยว่านี่มันเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ผมไม่ได้มาจับผิดนะคับเพียงแต่ตั้งใจอ่านมากกกก ตั้งใจตั้งแต่ประมาณเริ่มเขียน2-3-4ปีมาแล้วสมัยคุณอูยังอยู่ประถมหนะ^^ จากที่ตามอ่านมาดูเหมือนคุณอูจะอายุสัก20ปลายๆถึง30up มันนานเกินที่ไม่น่าจะจำทุกรายละเอียดสมัยก่อนเป็นฉากๆได้ เรื่องมันก็เกิดมาตั้งสมัยมัธยม. หลังๆผมรู้สึกว่าคุณอูวางเรื่องราวให้มันเครียดขึ้นทุกวัน แต่ละช่วงก็กินเวลานานเป็นอาทิตย์ก็แล้วก็ยังไม่รู้ว่าไอ้นัยมันเกิดอะไร...จนรู้สึกไม่สบายใจที่จะอ่าน อ่านแล้วมันรู้สึกเครียดยังไงไม่รู้. มันไปกระทบแผลที่สำคัญในใจผมซึ่งผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆคนที่มีแผลแบบผมแล้วยังจะมาเจอเรื่องเครียดแบบนี้อีกคงไม่ดีแน่ๆ. ที่ผมคอยติดตามก็เพราะอยากจะรู้เรื่องราวของคนอื่นๆว่าเค้ามีชีวิตเป็นอย่างไรถ้ามันเป็นเรื่องจริง จะได้เอาไปช่วยในชีวิตประจำวัน แต่ถ้ามันเป็นเรื่องแต่งก็จะได้ไม่ไปseriousกับมันมาก. จริงๆในใจผมก็อยากรู้อย่างนึงว่าถ้านี่เป็นเรื่องจริงปัจจุบันนี้คุณอูกับนัยเป็นไงบ้างคับ เพราะถ้าให้ผมตามอ่านก็คงจะต้องรออีกหลายปีกว่าจะจบช่วงมัธยมซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตอนสุดท้ายรึเปล่า เดี๋ยวเผลอกลายเป็นไตรภาคอีกต่อด้วยช่วงมหาลัยคนอ่านก็ตายกันพอดี ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มีตอนพิเศษสักตอนที่เล่าเรื่องสถาณการณ์ปัจจุบันระหว่างอูกับนัยก็ดีนะคับ ถือว่าเอาใจแฟนๆสักหน่อยก็ได้ ขอบคุณคับ

noteam said...

จบแบบนี้อีกแล้ว...

หายใจไม่ทั่วท้องเลย

มาต่อเร็วๆนะคับ

เอ!!!

ทามมายนัยต้องโกหกอูด้วยน้า.......

ยุ่น said...

สงครามชีวิต โอชิน ไม่ค่อยสนุกหรอก หลาน Arus

สงครามรัก อูนัย สนุกกว่า เยอะเลย

ฉัน.......
เหมือนคนกำลังถูกแทงข้างหลัง แล้วมันทะลุที่หัวใจ

ใครทำผมเครียดช่วงสงกรานต์ปีนี้ รับผิดชอบด้วย หุหุ

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่น--ที่กำลังกระแด่ว กระแด่วอยู่ครับ

NoN@me said...

มีอะไรในห้องนั้นหว่า


ลุ้นตามมากๆ


^.^


NoName

Anonymous said...

ถ้าอาอูเขียน Diary ทุกวันแบบผม ก้คงจำได้น่ะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เรื่องนี้เป็นนิยายครับ ผมเกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องแล้ว รวมทั้งย้ำในคอมเม้นต่างๆหลายครั้ง ผู้ที่ติดตามมาโดยตลอดคงเข้าใจดี

เกรดเทอม ๑ นัยได้ ๓.๕ กว่าๆครับ ลดลงมาหน่อย แต่ยังไม่เคยได้ต่ำกว่า ๓.๕

ส่วนอูนั้นได้ ๓ ต้นๆครับ จะหลุดมิหลุดแหล่ ไม่เคยทำได้ดีเกินกว่านี้เลยเช่นกัน

ในด้านความเป็นไปของเนื้อหาอและตัวละครในเรื่อง เนื่องจากผู้อ่านมีหลากหลาย ดังนั้นจึงมีความต้องการต่างๆนานา เป็นเรื่องนานาจิตตัง ยากที่จะตอบสนองให้พึงพอใจได้ครบถ้วน เพราะการตอบสนองในแต่ละประเด็นย่อมมีทั้งผู้ที่ถูกใจและผู้ที่ไม่ถูกใจ เช่นบางคน อยากให้รีบจบ บางคนก็อยากให้อยู่ไปนานๆ ฯลฯ ไม่ทราบจะทำอย่างไรเหมือนกันครับ หวังว่าคงเห็นใจ

อู

Anonymous said...

เง้อ ที่แท้ก็นิยาย นึกว่าเรื่องจริงของคุณอูซะอีก
แบบนี้จะจบแบบสมหวังหรือผิดหวังก็แล้วแต่ท่านอู
ซะแล้ว อ่านตั้งนานนึกว่าเรื่องจริง - -*

Anonymous said...

ภาคหนึ่ง (วัยเด็ก)

นวนิยายเรื่องยาวเรื่อง “เรื่องของไอ้อู” นี้เขียนขึ้นเป็นครั้งแรกราวเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ต่อมาหยุดเขียนไประยะหนึ่งและมาเขียนต่อในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ จนจบภาคหนึ่งหรือภาคประถมในปี พ.ศ. ๒๕๕๐

“เรื่อง ของไอ้อู” เป็นเรื่องของเพื่อนรัก ๓ คน คือ นัย ชัช และอู โดยในภาคหนึ่งเป็นเรื่องราวในวัยเด็ก ขณะเรียนอยู่ชั้นประถม เป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายทั้งสามในโรงเรียนชาย ซึ่งมีทั้งแผนกประจำและไปกลับ

บุคคล และสถานที่ ที่ปรากฏในเรื่องนี้ ล้วนแต่เป็นการเขียนขึ้นจากจินตนาการทั้งสิ้น มิได้มีตัวตนอยู่จริง ดังนั้น หากมีบุคคลหรือสถานที่ในเรื่องที่เหมือนหรือคล้ายกับบุคคลหรือสถานที่ที่มี อยู่จริง ขอให้ทราบว่านั่นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด

Anonymous said...

อ่อ พอได้รู้งี้ก็ไม่เป็นไรละคับ จะได้ไม่ไปseriousอะไรกับเรื่องมาก ผมนึกว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเคยเห็นมีอยู่ครั้งนึงเคยเห็นมีคนเคยเขียนอะไร
สักอย่างว่าเนื่องจากเป็นเรื่องจริงหรืออะไรสักอย่างชื่อตัวละคร
เลยเป็นชื่อที่สมมุติขึ้นมาอะไรแบบนี้
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องแต่งผมก็แจ่มละว่าทำไมเรื่องมันนาน
ก็เข้าใจที่มาละ

Anonymous said...

^
^
^
คุณคิดดูแล้วกันน่ะ ถ้าเป็นเรื่องเขียนขึ้นมาจริง
จะมีภาพประกอบแต่ละตอน แบบนี้เหรอ
ที่คุณอู เค้าตอบมานั้นมันก็เหมือนกันที่
ดาราชอบบอกว่า เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนกันนั้นแหละ

Anonymous said...

แต่ผมว่าเรื่องนี้มันไม่เหมือนนิยายทั่วไปนะ

แต่ เอาเถอะ นิยายก็นิยาย ฮุฮุ (เสียงใครหัวเราะหว่า)

ยุ่น said...

สองคน...ยลตามช่อง
คนหนึ่ง...มองเห็นโคลนตม
อีกคนหนึ่ง...ชื่นชมดวงดาวที่พราวพราย

เหอะ เหอะ อูเนี่ยะน๊า
ฮุ ฮุ

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย --เพลงของPeacemakerน่ะ
ฮ่า ฮ่า

หวัด-ดี-คับ อู

ยุ่น--ที่กำลังหอบ แฮ่ก แฮ่ก อยู่ครับ 555++++

Anonymous said...

เนื้อเรื่องก็เป็นปริศนา แล้วตอนเม้นก็ยังเม้นกันเป็นปริศนาอีก เง็งจิงๆ

ฮุฮุ ฮ่าฮ่า ฮิฮิ

Anonymous said...

ในใจผมคิดว่าเป็นเรื่องจริงใจ
หากแต่เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆมากมาย
ถึงไปถึงการสืบค้นประวัติคุณอาของผม
ก็เลยให้สรุปว่าเป็นนิยาย
ดังนั้นปากจะบอกว่าเป็นนิยายนะครับ
แต่หัวใจให้เป็นเืรื่องจริง...

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

มันเป็นอย่างที่ผมคิดไว้เลยครับ นัยต้องแอบไปนัดเจอกับไอ้พี่เต้แน่ๆครับ อ่านแล้วเศร้าครับเหตุการณ์อย่างนี้ผมเจอเป็นประจำ มันฝังใจผมมาตลอดครับเพราะผมต้องแพ้ทุกทีอ่านมาสองสามตอนมันเหมือนประสบการณ์ชีวิตของผมเป๊ะเลยครับ ตอนนี้มันเลยทำให้ผมรู้สึกสงสารอู มากครับมันเป็นความรู้สึกน้อยใจเสียใจ ผมไม่อยากรักนัยแล้วครับ อ่านแล้วเครียดครับ เครียดสุดดๆครับ

กร ครับ

Anonymous said...

อูครับ ถ้าอูเขียนเรื่องนี้จบแล้วอยากให้มีตอนพิเศษสักตอนที่เล่าเรื่องสถาณการณ์ปัจจุบันระหว่างอูกับนัยและเพื่อนคนอื่นๆก็ดีนะคับ ถือว่าเอาใจแฟนๆสักหน่อยก็ได้
จะเป็นกำลังใจให้ครับ
กร ครับ

Anonymous said...

อูชอบเล่นตลก เขียนแล้วค้างคาใจเอาไว้เรื่อยเลยนะ เฮอะ งานนี้มีเคือง

รีบๆมาต่อนะครับ สงกรานต์ออกจากบ้านไปไหนไม่ได้ จะได้อ่านแก้เหงา

Anonymous said...

มันต้องมีอะไรแน่ๆๆๆ
อย่าให้นัยมีใจเป็นใช้ได้
ให้กำลังคนเขียนค๊าบ

^^sky^^