Tuesday, April 7, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 73

ในที่สุดช่วงเวลาปิดเทอมก็หมดลงและเทอมใหม่ก็มาถึง ว่ากันว่าถ้าเรามีความสุข เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเราไม่มีความสุข เวลาจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า สำหรับผมนั้น ช่วงเวลาปิดภาคเรียนที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็วกันแน่ เพราะว่ามันมีทั้งช้าและเร็วสลับกันไป

วันนี้เป็นวันแรกของการเรียนในภาคปลาย ตอนเช้าผมนั่งรถเมล์มากับไอ้นัยเช่นเคย ผมสังเกตว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ไอ้นัยมีสีหน้าที่ไม่ค่อยแจ่มใสนัก ถ้าได้คุยหรือว่าเล่นกัน ไอ้นัยก็ยิ้มและหัวราะได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่อยู่เฉยๆ ไอ้นัยมักมีสีหน้าครุ่นคิด เหมือนกับคนมีความในใจ ไม่ว่าจะถามอย่างไร ไอ้นัยก็บอกว่าไม่มีอะไรตลอด จนบางทีผมก็อดน้อยใจไม่ได้ว่ามีอะไรจึงต้องปิดบังกันขนาดนี้

เมื่อถึงโรงเรียน หลังจากแวะเข้าไปในห้องเรียนเพื่อวางเป้และทักทายเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันร่วมเดือน หลังจากนั้นก็มุ่งตรงไปยังสหกรณ์หรือว่าร้านหนังสือเช่าของเรา ช่วงหลังผมเริ่มรู้สึกผูกพันและติดห้องสหกรณ์มากขึ้น รู้สึกผูกพันกับพี่ๆทุกคนในนั้นเพราะทุกคนเป็นกันเองและให้ความอบอุ่นแก่น้องๆเป็นอย่างดี ห้องสหกรณ์คล้ายกับเป็นห้องพักของผมยามที่ว่างเว้นจากการเรียน และความรู้สึกนี้ผมคิดว่าคงเกิดกับไอ้นัยและรุ่นพี่คนอื่นๆด้วย เพราะเห็นว่างเมื่อไรก็มานั่งเล่นกันในสหกรณ์

สหกรณ์จะเปิดบริการให้เช่าหนังสืออีกครั้งในสามวันข้างหน้า ช่วงนี้ยังไม่เปิดให้บริการเพราะต้องเตรียมซื้อนิตยสารและการ์ตูนใหม่ๆเข้ามา รวมทั้งจัดหนังสือใหม่เข้าชั้นให้เรียบร้อยเสียก่อน

แม้จะเป็นเช้าวันแรกของภาคเรียนใหม่ และสหกรณ์ยังไม่เปิดให้บริการ โดยมีประกาศปิดไว้ที่หน้าประตูห้อง และประตูห้องก็ปิดอยู่ แต่ก็มีลูกค้ารายหนึ่งหลงเข้ามาจนได้

ลูกค้ารายนั้นเปิดประตู ชะโงกหน้าเข้ามา ในขณะที่พวกเรากำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน

“คุยกันเอะอะ เสียงดังออกไปนอกห้องเชียว” ลูกค้ารายนั้นทักอย่างกันเอง พี่เต้นั่นเอง

“ยังไม่เปิดครับพี่” ผมบอกพี่เต้

พี่มั่วเอามือตบหัวผมเบาๆเป็นความหมายให้หยุดพูด พร้อมทั้งพูดกับพี่เต้

“เฮ้ย เข้ามาก่อนดิ ยังไม่เปิดให้เช่า แค่มานั่งคุยกันเฉยๆ”

พี่เต้เดินเข้ามาร่วมวงด้วย ผมเหลือบมองไอ้นัย เห็นไอ้นัยยิ้มหน้าระรื่น

“เป็นไงกันบ้าง คุยอะไรกันอยู่ล่ะ” พี่เต้ทักทายแบบไม่เจาะจง จากนั้นก็หันหน้าไปทางไอ้นัย “เป็นไงบ้างเรา ปิดเทอมไปเที่ยวไหนมาบ้าง”

“ก็แค่อยู่บ้าน โรงเรียนดนตรี แล้วก็สยามสแควร์ ไปๆมาๆสามแห่งนี่แหละครับ” ไอ้นัยตอบ แล้วย้อนถามบ้าง “แล้วพี่เต้ไปไหนมาหรือเปล่าอะ”

“ก็นิดหน่อย” พี่เต้ตอบ “คุณพี่คุณแม่ไปเที่ยวสิงคโปร์กัน เลยพาพี่ไปด้วย”

ไอ้นัยมีสีหน้าตื่นเต้น “อู้หู ไปเที่ยวเมืองนอกซะด้วย”

ในยุคนั้นสิงคโปร์และฮ่องกงขึ้นชื่อในเรื่องเป็นแหล่งช้อปปิ้งมากกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมทั้งของอื่นๆ เช่น กล้องถ่ายรูป ฯลฯ มีราคาถูกกว่าที่วางขายในประเทศไทยมาก ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นเมืองปลอดภาษี คนไทยจึงนิยมไปซื้อของกันมาก

“ไหนๆ ไปเมืองนอกมา มีของฝากหรือเปล่า” พี่มั่วทวง

“กูไม่ค่อยได้ซื้อของอะไร ตังค์ติดตัวไม่เยอะด้วย โทษทีว่ะ ไม่มีอะไรมาฝากเลย” พี่เต้ตอบ

“ถ่ายรูปมาหรือเปล่าพี่เต้” ไอ้นัยถาม

“ถ่ายมาตั้งหลายม้วน” พี่เต้ตอบ “อยากดูเหรอ”

“เอามาดิพี่ อยากดู” ไอ้นัยตอบ ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส

หลังจากที่ปิดเทอม สบายใจจากเรื่องพี่เต้มาพักใหญ่ พอเปิดเทอมมาวันแรก ผมก็เริ่มหงุดหงิดกับไอ้พี่เต้อีกแล้ว

“ไปก่อนล่ะ” พี่เต้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เอาไว้มาใหม่ ขอไปห้องสมุดก่อน” ว่าแล้วพี่เต้ก็ลาจากไป

- - -

พักเที่ยงวันนั้น ผมไม่เห็นไอ้นัยไปที่ห้องสหกรณ์เลย ผมเองไปนั่งเล่นอยู่สักพักก็รู้สึกเซ็งๆ จึงออกมาและไปห้องสมุดแทน

ที่ห้องสมุด ผมเดินลัดเลาะไปตามชั้นหนังสือเพื่อหาหนังสือที่ถูกใจอ่านแกเซ็งสักเล่ม เมื่อเดินลึกเข้าไปข้างใน ผมก็เห็นเงาหลังที่คุ้นเคยกำลังนั่นหันหลังให้ผมและอ่านหนังสืออยู่... ไอ้นัยนั่นเอง

มาหลบอยู่ที่นี่เอง ผมคิดในใจ พลางเดินเข้าไปใกล้อย่างแผ่วเบา

โต๊ะนั้นอยู่ส่วนลึกของห้องสมุด มีเพียงไอ้นัยนั่งอยู่คนเดียว ไอ้นัยอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ไม่รู้สึกตัวว่ามีใครเดินมาใกล้ตัวแม้แต่น้อย

ผมมองจากด้านหลัง เห็นไอ้นัยควักผ้าเช็ดหน้าออกมา ไม่แน่ใจว่าเช็ดหน้าหรือเช็ดตา เพราะหัวของไอ้นัยบังอยู่ ผมย่องเข้าไปใกล้ พลางแหกปากใส่หูของมัน

“แหะ”

ไอ้นัยสะดุ้งเฮือก ปิดหนังสือดังโครม จากนั้นเอาผ้าเช็ดหน้าป้ายที่ตาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว

ผมเดินอ้อมมานั่งตรงหน้าของไอ้นัย

“เป็นไง สะดุ้งโหยงเชียวมึง ฮิฮิ” ผมหัวเราะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้แกล้งไอ้นัยเท่าไร พอได้แกล้งแล้วนึกถึงตอนเรียนประถม

“ไอ้ห่านี่” ไอ้นัยด่า พลางรีบเก็บผ้าเช็ดหน้า

“ตามึงเป็นไรเหรอ ทำไมชุ่มๆ” ผมถามด้วยความสงสัย “แล้วนี่อ่านอะไรอยู่วะ”

“หาวนอนแล้วน้ำตามันไหลน่ะ” ไอ้นัยตอบ

มือของไอ้นัยยังวางอยู่บนหนังสือ ผมถือวิสาสะแย่งหนังสือจากมันมาดู ไอ้นัยพยายามยื้อหนังสือเอาไว้

“โธ่ จะหวงไปทำไม กูไม่แย่งมึงอ่านหรอก ขอดูหน่อยเดียวว่าเรื่องอะไร” ผมพูด พลางแย่งหนังสือเอามาจนได้

หนังสือเล่มนั้นเก่าคร่ำคร่า หน้าปกที่แท้จริงไม่อยู่แล้ว ปกแข็งที่เห็นเป็นปกที่บรรณารักษ์ห้องสมุดทำขึ้นเพื่อซ่อมแซม เห็นหน้าปกหนังสือเขียนชื่อเรื่องเอาไว้ว่า

‘๒๓ นิยาย’

หนังสือเล่มนี้แปลจากผลงานของนักเขียนชาวรัสเซีย ลีโอ ตอลสตอย ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณแรรม และเจ้าของผลงานเรื่องสงครามและสันติภาพ ที่มีชื่อเสียง แปลโดย อ.สนิทวงศ์ นักแปลนิทานที่เด็กในยุคผมรู้จักกันดี

“นี่นิยายหรือนิทานกันแน่วะ” ผมพึมพำ พลิกดูคร่าวๆ ที่สารบัญเห็นรายชื่อคล้ายกับชื่อเรื่องนิทานอยู่ บางเรื่องก็มีการกล่าวถึงพระเจ้าและอ้างข้อความในคัมภีร์ไบเบิล

“อ่านเรื่องไหนอยู่ล่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“ก็อ่านไปเรื่อยๆ” ไอ้นัยตอบไม่ตรงคำถาม

ผมแน่ใจทันทีว่าหนังสือเรื่องนี้ต้องมีอะไรเป็นพิเศษ ผมเริ่มรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอีก ทำไมหมู่นี้ไอ้นัยมีความลับกับผมหลายต่อหลายเรื่อง ถามก็ไม่ยอมบอก มันเห็นผมเป็นคนอื่นขนาดนี้เชียวหรือ แค่หนังสือเล่มเดียวทำไมต้องมีลับลมคมนัยกับผมด้วย แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้โวยวายอะไร เพราะผมวางแผนที่จะสืบให้รู้ว่าไอ้นัยปกปิดอะไรเอาไว้

- - -

ผลสอบของเทอมที่แล้วออกมาแล้ว ผมได้เกรด ๓ ต้นๆเช่นเคย ส่วนไอ้นัยได้ ๓.๕ กว่าๆ ลดลงกว่าเทอมก่อนหน้านั้นหน่อยนึง แต่ถึงอย่างไรก็ยังเกิน ๓.๕

บ่ายวันนั้น หลังเลิกเรียน เรามาพร้อมหน้ากันอีกที่ห้องสหกรณ์ บ่ายวันนี้เราจะต้องไปร้านหนังสือแถววังบูรพาเพื่อซื้อการ์ตูนใหม่ๆเข้ามาเพิ่มบางส่วน

“เดี๋ยวเอ้ไปซื้อหนังสือ นัยไปช่วยพี่เอ้หิ้วของละกัน” พี่มั่วสั่ง พร้อมส่งรายชื่อมาให้พี่เอ้พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง

โชคดีจริง ปกติพี่มั่วจะให้รุ่นพี่เป็นคนไปซื้อหนังสือ แล้วให้รุ่นน้องตามไปช่วยหิ้ว ดังนั้น ไม่ผมก็ไอ้นัยมักจะต้องรุ่นพี่คนใดคนหนึ่งไป ไม่ค่อยได้ไปด้วยกัน วันนี้ถ้าผมต้องเป็นคนตามพี่เอ้ไป แผนของผมก็ไม่อาจดำเนินการได้

เมื่อพี่เอ้กับไอ้นัยออกไปจากห้อง ผมก็เปิดเป้ของไอ้นัยออกดู จริงดังคาด ไอ้นัยยืมหนังสือนิยายเล่มนั้นมา...

ผมเปิดหนังสือออกดู พยายามหาร่องรอยว่าเมื่อเที่ยงไอ้นัยอ่านเรื่องอะไรอยู่ ผมเห็นมีกระดาษชิ้นเล็กๆคั่นอยู่ที่เรื่อง ‘พรคู่ชีวิต’ แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นเรื่องที่ไอ้นัยอ่านอยู่เมื่อเที่ยงจริงหรือไม่ เพราะอาจเป็นกระดาษที่นักเรียนคนไหนคั่นเอาไว้ก็ได้

เมื่อดูแล้วสังเกตความนัยอะไรไม่ได้ ผมจึงเก็บหนังสือกลับคืนลงไปในเป้ตามเดิม




<ภาพถ่ายจากหน้าปกรองและคำนำของหนังสือเรื่อง ‘๒๓ นิยาย’ สังเกตดู พ.ศ.ที่พิมพ์ก็จะรู้ว่าเก่าแก่เพียงใด>

ผู้ที่สนใจผลงาน 23 นิยายของตอลสตอย สามารถอ่านฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ Electronic Text Center, University of Virginia Library หลาน Arus ผู้น่ารักเป็นผู้หาลิงค์มาให้ เรื่อง พรคู่ชีวิต คือเรื่องที่ 4

17 comments:

Anonymous said...

มาอย่างว่อง!!

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

Leo Tolstoy เหรอครับ >.<
ผมมีครบทุกเรื่องเลยนะนั่น เป็นหนึ่งในนักเขียนคนโปรด
(แต่ปรกติอ่านฉบับภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส,
เยอรมัน, หรือรัสเซี่ยนมากกว่าภาษาไทย)
ถ้าจำไม่ผิด ได้อ่านเรื่องแรกคือ
Anna Karenina แล้วก็ War and Peace
Ivan the Fool กับ The Death of Ivan Ilyich
แต่ชอบ Anna Karenina กว่า

รู้สึกชอบงานเขียนของ Fyodor Dostoyevsky
มากกว่านิดๆ ในเรื่อง The Brothers Karamazov

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

Arus เอาเรื่องย่อ ของ พรคู่ชีวิต มา
อ่านให้ฟังหน่อยสิ ถ้ามีหน่ะ

t1000

เผื่อจะได้เค้าเรื่องที่ในกลุ้มอยู่นี้บ้าง

naja said...

ทำไมพอนัยเจอพี่เต้ แล้วหน้าระรื่นอย่างนั้นอ่ะ

หรือว่าที่ช่วงปิดเทอมทำหน้าเศร้าๆ เพราะว่าคิดถึงพี่เต้

แล้วที่ดูน่ารักตอนที่แล้วกับอูอ่ะ หมายความว่าไง

สับสนแทน

Anonymous said...

ปัญหาหรือผมไม่ได้อ่านฉบับไทยน่ะสิครับ
http://etext.virginia.edu/toc/modeng/public/TolTale.html

ผมเดาว่า Story 7 WHERE LOVE IS, GOD IS

น่ะครับ


ตอนหน้าอาอูช่วยเอาขึ้นไว้ในเนื้อหาด้วยสิครับ
เผื่อพี่ๆที่สนใจอยากอ่านจะได้อ่านได้

หลาน Arus ของอาอู

ยุ่น said...

หายากนะครับ ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือเดี๋ยวนี้ก็ตาม
ที่เด็กอายุ 13-14ปี จะเลือกอ่านเรื่องของตอลสตอย
นัยเป็นเด็กที่น่าค้นหามาก ทึ่งกับนัยจริงๆ ผมว่านัยเก่งนะ สามารถอ่านเรื่องของตอลสตอยตั้งแต่อยู่ ม.ต้น เข้าใจอย่างลึกซึ้งซะด้วย เพราะอินถึงขนาดมีน้ำตาซึมไปกับเนื้อเรื่องเนี่ยะ ไม่ธรรมดา

ผมก็ชอบงานเขียนของตอลสตอยครับ แต่เริ่มรู้จักก็ตอนเข้ามหาลัยแล้ว ตอนแรกๆ ถูกเพื่อนมันเชิญชวนแกมบังคับให้อ่าน พออ่านแล้ว งงอ่ะ มันให้อ่านอะไรของมันนี่ ไม่เห็นเข้าใจเลย หลังๆ พอเริ่มคุ้น อ่านแล้ว เข้าใจ ก็เลยชอบเหมือนมัน แต่เพื่อน..มันนับถืองานเขียนของคนนี้มาก วันดีคืนดีผมก็ถูกปลุกให้ขึ้นมาวิพากษ์งานเขียนของตอลสตอยไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
เอากะมันซิ ผมล่ะอยากจะบ้ากับมันซะจริงๆ ---คนนี้เพื่อนซี้จริงๆคับไม่มีอย่างอื่นแอบแฝง ฮ่าฮ่า

ส่วนเรื่องที่นัยไม่แจ่มใสร่าเริง มีเรื่องให้ครุ่นคิดเนี่ยะ
ผมขออนุญาตเดานะคับอู ผมว่านัยไม่ได้เครียดเรื่องพี่เต้คับ แต่เป็นเรื่องที่นัยรักอู นัยคงสับสน คิดไม่ตกกับอนาคตว่า ถ้านัยกับอูรักกันแล้ว ต่อไปจะทำยังไงดี
เหตุผล--ที่นัยอ่านแล้วนั่งน้ำตาซึมน่ะ ไม่ใช่พี่เต้แน่ๆ แต่เป็นเพื่อนรักนั่นแหละ หุหุ confirm ฟันธง!

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

Anonymous said...

ผมเดาถูกแฮะ Part II = พรคู่ชีวิต
พี่ๆ เชิญอ่านได้เลยครับ
http://etext.virginia.edu/toc/modeng/public/TolTale.html

ภาษาไม่ยากไม่ต้องกลัว เพียงแต่คำ+รูปประโยคค่อน
ข้างเก่า(ผมชอบ)นิดนึงเอง

หลาน Arus ของอาอู

ป.ล. อาอูอย่าลืมไป Link ของหนังสือเล่มข้างบน
ไปแจกนะครับ เปิดอ่านเยอะๆ คนพิมพ์จะได้มีกำลัง
ใจทำงานกัน
แล้วก็งานของ Leo เป็นงานที่ไม่มีลิขสิทธิ์ตั้งแต่
ปี1960 (ห้าสิบปีนับจากผู้เขียนเสียชีวิต) ดังนั้น
ไม่ผิดกฏหมายแน่ครับ

Anonymous said...

อายุ่นก็ได้อ่านเหรอครับ(ฟังจากการพูดจาแล้วน่าจะมี
อายุมากๆเลย อายุ่นเนี่ย)
ช่วยยืนยันได้ไหมครับว่าใช่ Story VII หรือเปล่า?

หลาน Arus อาอู

yo408 said...

อ่า ตอนแรกก็เดาไม่ออกว่าเรื่องต่อไปจะดำเนินต่อไปอย่างไร

พอได้อ่านคอมเม้นท์แล้วก็ บางอ้อ

Anonymous said...

นิยายแนวสืบสวน ชอบๆๆ

แต่จะร้องไห้เพราะอินกับนิยาย
รึว่าร้องไห้เพราะนิยายแทงใจดำ

สงสัยๆ

แบงค์

Anonymous said...

ไม่นึกเหมือนกันว่าชื่อตอลสตอยจะมีคนสนใจอ่านและพูดถึงกันในบล็อกขนาดนี้ สะท้อนถึงวัยของคนในนี้ได้หลายคน

ก่อน อื่นขอชมก่อน arus เก่งมากเลย ชิงที่หนึ่งได้อีกแล้ว อ่านได้ตั้งหลายภาษา คงต้องมีพื้นฐานทางด้านภาษาและวรรณคดีอย่างลึกซึ้งเป็นแน่ ยุ่นก็คงมาทางสายนี้เหมือนกัน

งานของตอลสตอยอ่านไม่เยอะครับ ไม่ถูกรสนิยมกระมังครับ แต่ไพล่ไปชอบงานแบบดอนกิโฮเต

ผล งาน ๒๓ นิยายเล่มนี้เป็นเรื่องสั้นๆของตอลสตอย ในภาคภาษาอังกฤษจะใช้ชื่อว่า 23 Tales เนื้อเรื่องไม่หนัก ออกจะเป็นแนวนิทานมากกว่าด้วยซ้ำ แต่อิงศาสนาเป็นพื้นฐาน เด็กๆก็อ่านเอาสนุกได้ครับ ส่วนเรื่องพรคู่ชีวิตมานั้นในฉบับภาษาอังกฤษคือ What Men Live By การที่นัยอ่านหนังสือเล่มนี้ คิดว่าเป็นการบังเอิญ เช่น อาจเห็นวางทิ้งไว้บนโต๊ะ เลยหยิบมาอ่านโดยเข้าใจว่าเป็นนิทาน (เพราะ อ.สนิทวงศ์มีชื่อเสียงด้านนิทานเด็ก) เมื่อลองอ่านดูแล้วถูกใจก็เลยอ่านต่อ ไม่น่าจะเป็นการเจาะจงไปหานิยายของตอลสตอยมาอ่าน

ภาพที่เอามาประกอบนี้หายากเอาการ เพราะหนังสือเล่มนี้เก่ามาก หาซื้อไม่ได้ ห้องสมุดส่วนใหญ่จำหน่ายสูญไปแล้ว เพราะเก่าและชำรุดหมดสภาพไปตามกาลเวลา ผมไปได้มาจากต่างจังหวัดอย่างคาดไม่ถึง เรื่องฉบับแปลไทยผมถ่ายเก็บไว้ครับ แต่หลายหน้าเหมือนกัน ไม่นึกว่าจะมีคนสนใจ เลยไม่ได้ทำภาพเอาไว้ แต่ประเด็นเรื่องพรคู่ชีวิตนี้ไม่ค่อยสำคัญหรอกครับ เพราะว่าที่จริงแล้วเราก็ไม่รู้ว่านัยอ่านเรื่องนี้ค้างไว้ในวันนั้นจริงหรือเปล่า

ที่แบงค์พูดก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน ต้องติดตามต่อไปครับ

อู

ยุ่น said...

หวัด-ดี-คับ อาอู ของหลาน Arus โฮะโฮะ
ช่างพูดจังนะ Arus ถ้าอยู่ใกล้ๆจะจับมาฟัด
ซะให้เข็ด ฮี้ยยยยย...หมั่นเขี้ยวอ่ะ

ผมไม่ได้เรียนมาทางสายวรรณกรรมหรอกคับอู
แต่เป็น Political science ต่างหาก หุหุ
และก็ชอบอ่านหนังสือเอามากๆๆๆ เป็น Hobbyคับ
ถ้าจะพูดถึงนักเขียนกับวรรณกรรม ผมเชียร์ให้อู
หรือ Arus เปิดบล็อดใหม่เหอะ ลากยาวแน่ๆๆ ฮ่าฮ่า

รักกันนะคับ สังคมไทยจะได้น่าอยู่มากขึ้น เพราะยัง
เชื่ออยู่เสมอว่า...ไม่มีประเทศใดในโลกนี้จะน่าอยู่
เท่ากับประเทศไทยของพวกเรา น่ะครับ

ขอบคุณครับ คุณอู
หลาน Arus ด้วยครับ

ยุ่นครับ

Anonymous said...

ผมได้หลักก็คือไทย-อังกฤษ-จีน-ญี่ปุ่นน่ะครับ

นอกจากนี้ใช้วิธีเปิดอ่านเคียงกัน เช่น
เปิดฉบับเยอรมัน อ่านคู่กับฉบับอังกฤษตั้งใจว่าจะฝึกให้
คุ้นภาษาน่ะครับ

หลาน Arus ของอาอู และอายุ่น(สูงอายุมาก)

Anonymous said...

กะจะทายยุ่นแล้วเชียวครับ ว่าถ้าไม่ได้สายภาษาและวรรณคดีก็ต้องเป็นสายที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เคยรู้สจักหลายๆคนที่สนใจด้านนี้มักชอบอ่านงานวรรณกรรมหนักๆ

ถ้าจะเปิดเว็บด้านนี้ผมคงไม่สันทัดครับ เรียนอะไรก็ไม่เก่งสักอย่าง ก็อย่างที่ทราบจากในเรื่อง แค่พอกล้อมแกล้มเอาชีวิตรอดได้เท่านั้น ยุ่นลองเปิดบล็อกดูบ้างสิครับ อย่างน้อยต้องได้ arus ไปอุดหนุน

arus ก็อย่าพูดเรื่องอายุบ่อยนักสิครับ รู้แล้วก็ทำเฉยไว้

อู

ปล.

ยุ่นห้ามรังแก arus ครับ คนนี้หวง

noteam said...

ติดตามมาตั้งแต่ต้น

แต่ไม่ได้มีโอกาสเม้นซะที

อยากมีเพื่อนแบบนี้จังเลยอ่า

ชอบคนนิสัยแบบนัยมาก

ยุ่น said...

Arus หลานของอาอู
อาอู ของหลาน Arus ครับ

"คุณค่าของคนเรามิได้อยู่ที่สมองดีหรือไม่
แต่อยู่ที่ยอมใช้สมองหรือไม่ต่างหาก"
--บางส่วนจาก :-คนฉลาดแสร้งโง่(อิบูคิ ทาคาชิ)

"ได้รู้จักกับคนเช่นท่าน
มิว่าผู้ใดต่างไม่สำนึกเสียใจภายหลัง
เพียงเสียดาย........
ที่ข้าพเจ้าไฉนมิได้รู้จักท่าน
ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน"
--บางส่วนจาก :-เซียวลี้ปวยตอ ทะเลใจ ลี้คิมฮวง

ตามนั้นน่ะครับ ตามนั้น หุหุ

รักกันนะครับ ยุ่นครับ

Anonymous said...

น่าสนใจดี สงสัยต้องลองหาอ่านแล้วคับ
แต่ท่าทางจะหายากอยู่เหมือนกันน่ะ

มาให้กำลังใจอูเหมือนเดิมน่ะคับ
แล้วเรื่องที่นัยเศร้า ก็ยังไม่กระจ่างเหมือนเดิม
นัยเป็นไรหว่าๆๆๆๆ
ตามเรื่องค๊าบ
^^sky^^