Wednesday, April 1, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 71

กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้นในตอนเช้าวันหนึ่ง ในช่วงปิดเทอมภาคต้น มันดังกริ๊งสั้นๆแล้วก็เงียบไป ยังไม่ทันที่ใครจะรับสาย

“เอ หมู่นี้โทรศัพท์ลึกลับแบบนี้ชักถี่แฮะ โทรมาแล้วก็รีบวางสายไป ยังไม่ทันจะรับเลย ไม่รู้ว่าจะโทรมาทำไม” คุณป้าบ่นอุบอิบ ขณะนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยมีเอ๊ดและผมนั่งดูเป็นเพื่อนอยู่ด้วย

“ต่อผิดมั้งครับ” ผมพยายามคาดเดาสาเหตุ

“คนยังไม่ทันจะรับเลย ทางโน้นจะรู้ได้ยังไงว่าต่อผิด หมู่นี้มีแบบนี้หลายครั้งแล้ว กวนโมโหจัง” คุณป้าแย้งพลางบ่นต่ออีกเล็กน้อยด้วยความไม่สบอารมณ์

ผมรีบเดินเลี่ยงออกไป จากนั้นเดินออกไปโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะไม่ไกลจากบ้านนัก

“โหล” เสียงปลายอีกด้านหนึ่งรับสาย เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครอื่น ไอ้นัยนั่นเอง

“กูเอง เป็นไงบ้าง” ผมถาม

“วันนี้คุณอาไม่อยู่ กว่าจะกลับก็คงเย็น” ไอ้นัยตอบ

“เออ ยังงั้นเดี๋ยวกูไปหา” ผมจบการสนทนาแต่เพียงสั้นๆ

เจ้าของเสียงโทรศัพท์ลึกลับที่คุณป้าบ่นนั้นไม่ใช่ใครอื่น ไอ้นัยนั่นเอง

เนื่องจากผมใช้โทรศัพท์ไม่ค่อยสะดวก บางครั้งไอ้นัยจะโทรมาคุยแต่ก็เกรงใจที่คุณลุงคุณป้ามักเป็นคนรับสาย เราเลยตกลงกันว่า ถ้าไอ้นัยต้องการคุยกับผม ก็ให้โทรศัพท์เข้าบ้านมาเป็นเสียงกริ๊งสั้นๆ แล้วผมจะรีบโทรกลับไปหา ซึ่งหลักการนี้ก็คือการโทรให้เกิด missed call ในโทรศัพท์มือถือยุคปัจจุบันนั่นเอง

ปิดเทอมปีนั้นไอ้นัยไม่ค่อยว่าง เพราะต้องช่วยคุณอาพิมพ์เอกสาร ปกติแม้คุณอาของไอ้นัยจะอยู่ที่บ้าน ผมก็เข้าไปนั่งๆนอนๆเล่นในบ้านได้ เพราะคุณอาทั้งสองเห็นผมมาตั้งแต่ยังเด็ก และปฏิบัติต่อผมเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อมีผู้ใหญ่อยู่จะทำอะไรก็ไม่ค่อยได้เต็มที่ สู้ตอนผู้ใหญ่ไม่อยู่ไม่ได้ ดังนั้นหากวันใดที่คุณอาอยู่บ้าน ผมก็ไปซ้อมเปียโนหรือนัดไอ้นัยออกไปข้างนอกเดินเล่นไปตามเรื่อง แต่ถ้าวันใดที่คุณอาไม่อยู่ทั้งวัน ไอ้นัยมักจะโทรศัพท์แจ้งให้ผมรู้ แล้วผมก็จะเข้าไปนั่งๆนอนๆเล่นที่บ้านของไอ้นัย

“ผมไปละครับ” ผมลาคุณป้าก่อนออกจากบ้าน

“วันนี้ไปไหนละอู” คุณป้าถาม

“ไปซ้อมเปียโนเหมือนเคยครับ” ผมตอบ การไปซ้อมเปียโนที่โรงเรียนดนตรีเป็นข้ออ้างที่มีประโยชน์มาก ถ้าไม่มีข้ออ้างเรื่องนี้ ผมคงออกจากบ้านมาเที่ยวเล่นไม่ได้ง่ายๆ

วันนี้ผมกระตือรือร้นที่จะได้เจอไอ้นัยเป็นพิเศษ เพราะผมเตรียมของขวัญเอาไว้ให้มันอย่างหนึ่ง เป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตที่ผมจะให้แก่ไอ้นัย...

- - -

เมื่อผมไปถึง ไอ้นัยออกมาเปิดประตูรับด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เราอยู่ด้วยกันมานาน ผมรู้ทันทีว่าไอ้นัยมีความในใจอะไรอยู่

“เฮ้ ทำไมหน้าไม่เสบยเลย โดนคุณอาด่ามาเหรอ” ผมทัก

“ฮึ” ไอ้นัยสั่นหัวแทนคำตอบ จากนั้นเปิดประตูบ้านให้ผมเข้าไปข้างใน

“แล้วเป็นไรไปล่ะ วันนี้ดูมึงเซ็งๆ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“เปล่า ไม่ได้เป็นไร” ไอ้นัยตอบเนือยๆ

“ไม่เป็นไรได้ไง ดูหน้าเหมือนคนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ” ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ทำไมหนอ เราสนิทกันขนาดนี้ มีเรื่องคับใจอะไรจะปรึกษากันบ้างไม่ได้เชียวหรือ

“มึงเห็นกูเป็นคนอื่นหรือไงวะ มีอะไรก็ไม่บอก ชอบเก็บความทุกข์เอาไว้คนเดียว ทีกูมีอะไรยังบอกมึง” ผมบ่น

“ไม่มีไรจริงๆ” ไอ้นัยยังยืนกรานคำเดิม

เช้าวันนั้น แค่เจอหน้ากัน การสนทนาก็ไม่ค่อยราบรื่นเสียแล้ว ความกระตือรือร้นยินดีที่จะได้เจอกับไอ้นัยมลายหายไปหมด เหลือแต่ความเซ็งแทน

ผมเดินตามไอ้นัยไปที่ห้องนอนอย่างเงียบๆ ไอ้นัยเองก็ไม่พูดจา เมื่ออยู่ในห้องนอน เรานั่งมองหน้ากันอย่างอึดอัด วันนี้ผมไม่น่ามาหาไอ้นัยเลย สถานการณ์ที่ย่ำแย่มาตั้งแต่ก่อนปิดเทอมดูเหมือนจะค่อยๆดีขึ้น แต่แล้วมันก็กลับแย่ลงไปอีก

ผมนั่งลงอย่างเซ็งๆ หยิบหนังสือการ์ตูนของไอ้นัยมาอ่านเล่น แต่ที่จริงอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะในใจมีแต่ความขุ่นข้อง ของขวัญที่เตรียมมาอยู่ในเป้ แต่ไม่รู้ว่าจะให้ในตอนนี้ดีหรือไม่ เพราะว่าบรรยากาศไม่เป็นใจอย่างคาดไม่ถึง

ไอ้นัยหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นเพื่อทำลายความเคร่งเครียดในบรรยากาศ ส่วนผมเองก็นั่งปึ่งไม่พูดจา ทำทีเป็นอ่านหนังสือการ์ตูน

ไอ้นัยกรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ เสียงจากสายกีตาร์ไนลอนนุ่มละมุน จากนั้นก็เริ่มคลอเพลง

๏ เราเกิดมาแล้วชาติหนึ่ง
เราอาจจะอยู่ดูโลกได้.ไม่นานนัก
ทุกคนที่มีชีวิตผ่านมา..ในอดีต
ย่อมพบกับความสุข..ความทุกข์..
ความสมหวัง..และความผิดหวังในชีวิต
ความผิดหวังในชีวิตที่ผ่านมา..ขอให้มันผ่านไป
เรามาเริ่มความหวังในชีวิตกันใหม่ดีกว่า ๏

..เราได้เกิดมาหนึ่งหน
เราผจญเพื่อความหวัง
ทุกข์ประดังเมื่อความหวังพัง..ทลาย
ลืมอดีตที่ขื่นขม
ทุกข์ระทมให้ลืมหาย
เหมือนนิยายผ่านฝันร้าย..ที่อับเฉา
..แม้บางวัน..ฝันชื่น
หรือบางคืน..ฝันเศร้า
ยิ้มระรื่น..โลมเล้าคลายเศร้าใจ
ยังไม่สิ้นแห่งความหวัง
ชีวิตยังสดแจ่มใส
ทุกข์ทำไมสู้ต่อไป..ในโลกเอย..

เสียงของไอ้นัยแผ่วเบาและจางหายไปพร้อมกับเสียงกีตาร์ ผมฟังจนขนลุก เพราะเสียงร้องของไอ้นัยนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

“ทำไมเพลงมันถึงได้เศร้ายังงี้วะ” ผมถาม เลิกงอนเพราะรู้สึกเป็นห่วงไอ้นัยขึ้นมาจับใจ “นัย มึงเป็นอะไรไป”

ไอ้นัยสั่นหัว “ไม่มีอะไร มันไปตามอารมณ์เพลงน่ะ”

ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก หลายปีที่รู้จักกันมา ผมรู้ดีว่าตอนนี้ไอ้นัยมีอะไรที่ปิดบังผมอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้มันไม่สบายใจ ผมรู้สึกเป็นห่วงมันเกินกว่าที่จะทำงอนต่อไป ผมควรจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ไอ้นัยมีอารมณ์แจ่มใสขึ้นได้?

“นี่ วันนี้กูมีของขวัญมาฝากมึงด้วยนะ” ผมพูด

ไอ้นัยทำหน้าสงสัย “จริงอะ”

“จริงดิ แต่ไหนแต่ไรมาเราไม่เคยให้ของขวัญกันเลย สำหรับมึงกับกูมันคงไม่สำคัญมั้ง แต่วันนี้กูมีของขวัญให้มึง ชิ้นแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย” ผมพยายามพูดอย่างร่าเริง

“ให้เนื่องในโอกาสอะไรวะ” ไอ้นัยทำหน้างงๆ “วันเกิดก็เลยมาแล้ว”

“เอาน่ะ โอกาสอะไรก็ช่างมันเถอะ เนื่องในโอกาสปิดเทอมก็ได้” ผมมั่วไปเรื่อย ที่จริงมันก็ไม่มีวาระพิเศษอะไร ที่ให้เพราะอยากให้เท่านั้นเอง

ว่าแล้วผมก็หยิบของขวัญพิเศษที่ตั้งใจมอบให้ไอ้นัยออกมา มันเป็นตลับไม้เล็กๆ รูปร่างเป็นลำตัวกีตาร์ ผมยื่นส่งให้ไอ้นัย

“อะ แกะดูดิ” ผมคะยั้นคะยอ

ไอ้นัยเปิดตลับไม้ทรงกีตาร์ออก เห็นข้างในเป็นปิ๊กกีตาร์สีสวยวางสงบนิ่งอยู่ ไอ้นัยเงียบไปชั่วขณะ

“ปิ๊กนี้อย่างหรูเลยนะ” ผมอวดสรรพคุณ “เอาไว้เวลามึงเล่นกีตาร์ มึงจะได้นึกถึงกูเสมอไง”

ปิ๊กกีตาร์อันนี้ผมไปเดินหาซื้อมาจากห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวเมื่อวันก่อน ปิ๊กกีตาร์ก็มีหลายเกรด หลายราคา ปกติก็ห้าบาทถึงยี่สิบบาท ผมเลือกอย่างราคาแพงเลย ยี่ห้อดันลอปรุ่นแพง อันหนึ่งเกือบห้าสิบบาท แต่ที่แพงยิ่งกว่าตัวปิ๊กก็คือกล่องใส่ปิ๊ก กล่องหนึ่งตั้งร้อยกว่าบาท แม้มันเป็นของขวัญที่ไม่สูงค่านัก แต่ผมก็ตั้งใจเลือกให้ไอ้นัย

ไอ้นัยทำตาปริบๆ “ทำไมไม่ให้กีตาร์เสียเลยวะ กูจะได้นึกถึงมึงมากขึ้น”

“ไอ้เวร ตัวละเป็นหมื่น จะเอาตังค์ที่ไหนซื้อ เอาปิ๊กไปก็นึกถึงกูได้เหมือนกัน” ผมอธิบายแบบข้างๆคูๆ

ไอ้นัยปิดกล่องใส่ปิ๊ก เงยหน้ามองดูผม สีหน้าดูแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจนะอู กูไม่มีอะไรให้มึงสักอย่าง”

หัวใจไงล่ะนัย หัวใจของมึง ให้กูได้ไหม... ผมร่ำร้องอยู่ในใจ

“อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” ผมถาม ไอ้นัยไม่ตอบ แต่ยิ้มเล็กน้อย

ผมเอื้อมมือหยิบกล่องปิ๊กออกจากมือของไอ้นัย เอาไปวางไว้ที่อื่น จากนั้นสองมือของผมโอบกอดมันเอาไว้ ใบหน้าก็โน้มลงไปที่พวงแก้มสดใสของเพื่อนรักในวัยเยาว์

“ไม่ตอบเหรอ นี่แน่ะ” ผมพูดเสียงอู้อี้ พลางหอมแก้มของไอ้นัย...


<ว่าแล้วผมก็หยิบของขวัญพิเศษที่ตั้งใจมอบให้ไอ้นัยออกมา มันเป็นตลับไม้เล็กๆ รูปร่างเป็นลำตัวกีตาร์ ผมยื่นส่งให้ไอ้นัย>

ฟังเพลง ชีวิตกับความหวัง จากเสียงร้องของวสันต์ โชติกุล

13 comments:

Anonymous said...

ได้อ่านเรื่องของคุณอูมาพักนึงแล้ว แต่ไม่เคยมาคอมเมนต์เลย
วันนี้เลยมาคอมเมนต์ให้เพื่อเป็นกำลังใจนะครับ
เรื่องราวน่าติดตามมาก เสียดายที่แต่ละตอนสั้นไปหน่อย..เอ..หรือว่ามันเพลินจนผ่านไปเร็วก็ไม่รู้นะ

สรุปง่ายๆ ชอบครับ สนุก น่าติดตามมาก

BomB

Anonymous said...

ที่(-_-)" บรรยากาศดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ เพลงนี้มันบอกให้ลืมอดีตแล้วเริ่มชีวิตใหม่นี่น่า เห้อหมายถึงลุงอูรึเปล่าแต่ลุงนัยโทรมาหาลุงนี่แสดงว่ายังคิดถึงอยุ่มั้งสับสนจิงๆ ลุงอูมาต่อไวๆๆๆๆๆนะครับ ขอบคุณนนะครับ อย่าลืมที่ขอนะครับภาค3 ไงกิ้กๆๆ

Anonymous said...

ชักอย่างไงๆ แล้วอ่ะ
จบแบบนี้ใช่ว่าจะดีเสมอไปน่ะในตอนต่อไป
อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย เบื่อแล้ว
อ่านนิยายมีแต่เรื่องเศร้าๆ

เป็นกำลังใจให้อูต่อไปค๊าบๆๆๆๆๆๆๆๆ
^^sky^^

ยุ่น said...

เอ๊ะ!อูให้ปิ๊กกะกล่องกีต้าร์เป็นของขวัญนัยไปแล้วนี่นา แล้วทำไมปัจจุบันยังอยู่ที่อูอีกล่ะ
เพราะนำมาถ่ายรูปประกอบเรื่อง ตอนที่ 71นี้ได้
นัยไม่ยอมรับของขวัญชิ้นนี้เหรอ? ไม่น่าจะใช่นา หุหุ
หรือว่า...ทั้งปิ๊กกับเจ้าของปิ๊ก ตอนนี้ก็อยู่กับอู ฮ่าฮ่า

ตอนนี้เรื่องราวบ่งบอกให้เห็นว่า อูใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับนัยมาก ทั้งเรื่องของขวัญ เรื่องสภาพจิตใจ
อูแคร์นัยมากจริงๆ โอ๊ยยย...อิจฉานัยจังฮิ

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

naja said...

บรรยากาศดูแหม่งๆอ่ะ นัยมีเรื่องไรน๊าา

NoN@me said...

"หัวใจไงล่ะนัย หัวใจของมึง ให้กูได้ไหม"
ชอบประโยคนี้มากๆเลย

ถ้าลุงอูบอกไปเลยความเป็นเพื่อนกันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นรึเปล่านะ

เด๋วนี้ลุงอูไม่เห็นไปหาลูงชัชเลยอะ



NoName

Anonymous said...

ทายว่านัยอกหัก

แบงค์

Anonymous said...

ย่องไปๆๆๆ

หลาน Arus -องอาอู

Anonymous said...

โห ใช้มุขมิสคอลกับโทรศัพท์บ้านเลยนะ เข้าใจคิดจริงๆ

Anonymous said...

ชอบเพลงชีวิตกับความหวังนี้จัง

พี said...

ตอนเด็กๆ ก็อาจสนุกกับเรื่องเพศไปวันๆ แต่พอโตขึ้นมาก็เริ่มมีความรู้สึกแคร์คนที่เราพอใจมากๆ
คนที่ไม่เคยมีความรัก ก็จะอาจไม่ค่อยเข้าใจ...
จะรอดูต่อไปครับว่า คู่นี้จะมีเหตุการณ์ยังไงต่อไป
แม้ว่าจะรู้ว่าท้ายที่สุด จะแฮปปี้เอ้นดิ้ง
พี...

Anonymous said...

ผมว่า ยังไงเรื่องนี้ ไม่ happy ending แน่
ถ้าเป็นอย่างที่คิด
ผมคงไม่โกหกอู ว่าจะเกลียดนัยไปนานแน่

นิสัยอย่างนัยก็เหมือนดาบสองคมเนอะ
เฉยไปหมด เราให้ความรักเค้าก็รับ แต่เค้าเองรักใคร
เค้าก็เฉย เลยเดาใจได้อยากจิงๆ ถ้าเราตัดใจหักห้ามใจเราไม่ได้
เราก็เองก็มีแต่อึดอัด ไม่รู้เค้าจะเอายังไงของเค้า
ถ้านายรักคนอื่นแล้วทำไมเค้าไม่บอกเราสักคำ

แล้วตอนนั้นมาร้องเพลง เลิฟคอนเซอเตอร์ให้ฟังทำไม
ระวังจะเจ็บน่ะอู

แค่อ่านมาแค่นี้ใจมันก็ปวดแล้ว ไม่อยากติดถึงตอนจบเลย

ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าผมรักอูน่ะ(เริ่มจะเกลียดนัย)
t1000

Anonymous said...

ที่ยุ่นถามมานั้น คำตอบก็คือว่ามันเป็นนิยายไงครับ ภาพประกอบนี้ทำขึ้นมาทีหลังครับ รู้แล้วยังแกล้งถามอีก

ที่พีพูดนั้นถูกใจมากครับ เรื่องนี้เป้นความจริง ตอนเด็กๆคิดแต่เรื่องความสนุก แต่พอโตขึ้นมันก็มีอะไรที่มากกว่านั้น นั่นคือความผูกพัน

ชัชนั้นไม่ค่อยได้ติดต่อแล้วครับ มันก็ปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนใหม่ๆของมันได้มาตั้งนานแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างก็มีสังคมของตนเองไป เด็กวัยนั้นติดเพื่อนที่อยู่รอบข้างมากกว่าเพื่อนที่อยู่ห่างไกลออกไป เป็นเรื่องธรรมดาครับ

อย่าไปเกลียดนัยเลยครับ มันนิสัยแบบนั้นเอง เป็นคนที่อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ไม่เลือกอะไร ไม่ตัดสินใจอะไร จนบางทีทำให้คนรอบข้างปวดหัวเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรกันแน่

ส่วนพี่เต้นั้นที่จริงก็เป็นคนดีนะครับ ที่หมั่นไส้ก็เพราะมาวุ่นวายกับนัย แต่นิสัยดี พี่เต้นั้นยังตามมาพัวพันอีกในช่วงเทอมปลาย ตอนนี้ซาไปเพราะว่าปิดเทอมครับ เดี๋ยวเปิดเทอมก็เจอกันอีก

อู