“ดีนะเนี่ย ที่นัยไม่ทะเร่อทะร่าเข้าไปในเมือง” เอ๊ดคุยกับนัยอย่างคุ้นเคย
“นั่นดิพี่เอ๊ด เกือบไปเหมือนกัน ถ้าไปแล้วไม่รู้จะได้กลับมาหรือเปล่า” ไอ้นัยพูดพลางหัวเราะ
หลังจากกินอาหารเช้า ระหว่างที่ไอ้นัยนั่งรอคุณอามารับ เราก็นั่งดูโทรทัศน์กันเพื่อฆ่าเวลา
“เอ๊ะ มีจัดคอนเสิร์ตด้วยแฮะ แปลกดี” ผมอุทานเมื่อเห็นภาพในทีวีเป็นวงดนตรีคาราบาว ขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น กำลังร้องเพลงและเล่นดนตรีกันอยู่
วงคาราบาวในยุคนั้นเป็นวงดนตรีที่โด่งดังมาก และคอนเสิร์ตของวงคาราบาวถือว่าเป็นคอนเสิร์ตอันตราย เพราะว่าจัดแสดงคอนเสิร์ตทุกครั้งก็ต้องมีวัยรุ่นตีกันทุกครั้ง บางครั้งก็ถึงขั้นตะลุมบอนกันก็มี
วงคาราบาวเล่นเพลงไปเรื่อยๆสลับกับการอ่านประกาศของคณะผู้ก่อการ เราเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีได้ไม่นาน คุณอาก็มารับไอ้นัยกลับบ้านไป
ตอนสายๆ คุณลุงโทรมาบอกว่ามีการยิงปืนจากรถถังที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า พร้อมทั้งเตือนให้พวกเราอยู่แต่ในบ้าน เพราะฝ่ายผู้ก่อการกับฝ่ายรัฐบาลอาจปะทะกันอย่างรุนแรง
ตกเย็น สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ฝ่ายรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ กลุ่มผู้ก่อการรัฐประหารเมื่อพ่ายแพ้ก็กลายสภาพเป็นกลุ่มกบฏไป
หลังจากที่เหตุการณ์กบฏ ๙ กันยา ผ่านพ้นไป พวกเราก็กลับไปเรียนตามปกติ และเนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้สอบปลายภาคแล้ว ดังนั้นทางโรงเรียนจึงให้หยุดกิจกรรมนักเรียนต่างๆเอาไว้ก่อน ซึ่งก็หมายความว่าสหกรณ์ของพวกเราต้องหยุดทำการชั่วคราวเพื่อให้นักเรียนดูหนังสือเตรียมสอบ
ทางด้านพี่เต้นั้น เมื่อห้องสหกรณ์ปิดทำการชั่วคราว พี่เต้ก็ไม่มีเหตุที่จะมาพบไอ้นัย ส่วนจะไปหาไอ้นัยที่ห้องเรียนหรือเปล่านั้นผมก็ไม่ทราบ แต่ผมไม่เคยเห็นพี่เต้แถวๆห้องเรียนชั้น ม.ต้นเลย คาดว่าช่วงนั้นพี่เต้เองก็คงวุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบเช่นกัน อาจไม่ค่อยได้แวะเวียนมาหาไอ้นัยก็เป็นได้
ไอ้นัยกับผมก็กลับมาพูดคุยกันเหมือนเดิม เราไปและกลับด้วยกันทุกวันเหมือนเมื่อก่อน แต่ประการหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ ไอ้นัยเงียบขรึมไป แม้ปกติไอ้นัยไม่ใช่คนพูดมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบขรึม อีกทั้งมันยังมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่มาในระยะหลัง ไอ้นัยพูดน้อย อีกทั้งสีหน้าก็ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเช่นเดิม ผมเข้าใจเอาเองว่าไอ้นัยอาจจะคร่ำเครียดกับการดูหนังสือสอบ เพราะว่าผมเองก็คร่ำเครียดและเงียบขรึมไปบ้างเหมือนกัน
ผลการเรียนที่ดีมากของไอ้นัยเป็นกำลังใจทำให้ผมอยากพัฒนาตนเองขึ้นมา ผมพยายามขยันขึ้นเพื่อจะได้ทำเกรดได้ดีๆใกล้เคียงกับไอ้นัยบ้าง ไม่ต้องถึงกับเสมอกับมันหรอก เพียงแค่ห่างจากมันน้อยกว่านี้ผมก็พอใจแล้ว
ผมรู้สึกว่าไอ้นัยนับวันจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของผมมากขึ้น และมากขึ้น ไอ้นัยเป็นทั้งกำลังใจอันยิ่งใหญ่ และก็เป็นผู้บั่นทอนกำลังใจของผมจนหมดอาลัยตายอยากได้อีกด้วย...
- - -
ในช่วงการสอบ ห้องเรียนของเราจะจัดโต๊ะใหม่ จากเดิมที่นั่งติดกันเป็นคู่ กลายเป็นแถวเดี่ยวหมด ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้นักเรียนลอกข้อสอบกันนั่นเอง รวมทั้งยังมีการสลับที่นั่งกันใหม่อีกด้วยเพื่อป้องกันเพื่อนสนิทนั่งอยู่ใกล้กัน พอดีผมได้นั่งสอบข้างหลังไอ้จิยอดนักสืบ
ผมเห็นตี๋นั่งทำข้อสอบอย่างตั้งใจ เทอมนี้ตี๋มีปัญหามาตลอด สภาพจิตใจของมันก็ไม่ค่อยดีนัก คะแนนกลุ่มของมันก็ไม่ค่อยดี ผมได้แต่เอาใจช่วยให้มันผ่านการสอบไปได้ด้วยดี
เมื่อการสอบวันแรกเริ่มขึ้น ผมก็สังเกตเห็นเพื่อนส่งฝิ่นให้ไอ้จิ ฝิ่นก็หมายถึงกระดาษที่จดคำตอบของข้อสอบเอาไว้ ฝิ่นหลายใบเวียนมาถึงไอ้จิ จากนั้นมันก็ส่งต่อไป จนผมแปลกใจว่าทำไมจึงมีผู้ปรารถนาดีกับไอ้จิหลายคน เพราะว่าพกฝิ่นและส่งฝิ่นเป็นเรื่องอันตราย นักเรียนดีๆทั่วไปไม่มีใครทำกัน เพราะหากถูกจับได้จะต้องถูกลงโทษ นอกจากสอบตกแล้วยังอาจถูกพักการเรียนอีกด้วย
“ทำไมคนส่งฝิ่นให้ไอ้จิหลายคนวะ” ผมถามอ๊อดในช่วงพักเที่ยงของวันสอบ
“ก็เพราะหนังสือโป๊ของมันนั่นแหละ” อ๊อดตอบ
“ยังไงเหรอ” ผมถามเพราะยังไม่เข้าใจ
“ก็มึงไม่ค่อยอยู่ที่ห้อง เลยไม่รู้น่ะสิ ไอ้จิมันขายหนังสือโป๊แล้วก็ใช้หนังสือโป๊นั่นแหละผูกไมตรีกับเพื่อนๆ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเกรด แม่งโคตรฉลาดเลย” อ๊อดพูดด้วยน้ำเสียงแกมอิจฉา
“ตกลงมันขายหนังสือโป๊เป็นล่ำเป็นสันเลยเรอะ” ผมอุทาน
“มันก็เอามาขายเรื่อยนั่นแหละ” อ๊อดตอบ “อาจจะไม่ถึงกับเป็นล่ำเป็นสัน แต่ถ้าเรียกว่างานอดิเรกละก็ได้แน่”
ผมได้แต่สะท้อนใจ ตี๋ขโมยเงินเพื่อนและถูกเพื่อนๆตราหน้าจนไม่มีใครอยากคบด้วย ในขณะที่จิขายหนังสือโป๊ ทุจริตในการสอบ แต่เพื่อนๆก็ยังคบมันอยู่ แถมยังอุดหนุนหนังสือโป๊ของมันเสียอีก... ผมหวนนึกถึงเรื่องพระเยซูกับหญิงคนชั่วอีกครั้ง... ผมเริ่มเรียนรู้ถึงความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งเริ่มแยกแยะว่าเพื่อนนั้นก็มีความจริงใจหลายระดับ
- - -
หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ พวกเราก็จะมีเวลาหยุดเทอมเกือบๆหนึ่งเดือนเช่นเคย ช่วงปิดเทอมกลางปี ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก เพราะว่าต้องการใช้เวลาซ้อมเปียโนที่โรงเรียนดนตรี และเรื่องเรียนดนตรีนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่มีไอ้นัย ป่านนี้ผมคงเลิกเรียนเปียโนไปแล้ว อย่าว่าแต่จะมาหาเวลาซ้อมเลย
ปิดเทอมครั้งนี้ ผมกับไอ้นัยมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงกว่าก่อน คุณอาของไอ้นัยมีงานคอมพิวเตอร์หลายอย่างให้ไอ้นัยช่วย ส่วนใหญ่เป็นพวกงานพิมพ์เอกสาร ดังนั้นในบางวันไอ้นัยก็ไม่ได้ออกจากบ้าน ผมจึงต้องเดินทางไปซ้อมเปียโนคนเดียว
เมื่อปิดเทอมไปได้สักระยะหนึ่ง ผมเริ่มสังเกตว่าแม้จะสอบปลายภาคเสร็จและปิดเทอมแล้วก็ตาม แต่ไอ้นัยก็ยังเงียบขรึมอยู่เช่นเดิม อีกทั้งสีหน้าก็ไม่แจ่มใส ถ้าเคร่งเครียดเรื่องสอบ เมื่อสอบเสร็จก็น่าจะหาย หรือว่าไอ้นัยไม่ได้เคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องการสอบ และถ้าไม่ใช่เรื่องการสอบแล้วไอ้นัยจะเคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องอะไร...
หรือว่าเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้เจอพี่เต้? ผมคิด

<กบฏทหารนอกราชการ หรือ กบฏ 9 กันยา เป็นการก่อกบฏเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 ของนายทหารนอกประจำการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย พันเอกมนูญ รูปขจร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกเสริม ณ นคร พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ร่วมด้วยทหารประจำการอีกส่วนหนึ่ง และพลเรือนบางส่วนซึ่งเป็นผู้นำแรงงาน โดยได้ความสนับสนุนทางการเงินจากนักธุรกิจคนหนึ่ง การรัฐประหารครั้งนี้พยายามจะยึดอำนาจการปกครองที่นำโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยพยายามก่อการขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปราชการที่ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในทวีปยุโรป
กลุ่มผู้ก่อการเรียกตนเองว่า “คณะปฏิวัติ” การก่อการเริ่มต้นเมื่อเวลา 3.00 น. โดยรถถังจำนวน 22 คัน จากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) พร้อมด้วยกำลังทหารกว่า 400 นาย จากกองกำลังทหารอากาศโยธิน เข้าควบคุมกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ ระบุนาม พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ
ต่อมาทหารฝ่ายรัฐบาล ซึ่งนำโดยพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผบ.ทบ. รักษาการตำแหน่ง ผบ.ทบ. ประสานกับฝ่ายรัฐบาลซึ่งพลเอกประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งกองอำนวยการฝ่ายต่อต้านขึ้นที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน และนำกองกำลังจาก พัน.1 ร.2 รอ. เข้าต่อต้าน และออกแถลงการณ์ตอบโต้ กองกำลังหลักของฝ่ายรัฐบาลคุมกำลังโดยกลุ่มนายทหาร จปร. 5
เมื่อเวลาประมาณ 9.50 น. รถถังของฝ่ายก่อการ ที่ตั้งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มระดมยิงเสาอากาศวิทยุ และอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และยิงปืนกลเข้าไปในบริเวณวังปารุสกวัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมประมวลข่าวกลาง ทำให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิตสองคน คือ นายนีล เดวิส ชาวออสเตรเลีย และนายบิล แรตช์ ชาวอเมริกัน
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันรุนแรงขึ้น และมีการเจรจาเมื่อเวลา 15.00 น. โดยพลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล และพลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นตัวแทนฝ่ายกลุ่มผู้ก่อการ และทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ และถอนกำลังกลับที่ตั้งเมื่อเวลา 17.30 น. ส่วนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 9 กันยายน แล้วเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาสในคืนนั้น
เมื่อการก่อรัฐประหารล้มเหลว กลุ่มผู้ก่อการก็กลายสถานภาพเป็นกบฏ กลุ่มผู้ก่อการ คือ พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร ได้ลี้ภัยไปสิงคโปร์และเดินทางไปอยู่ในประเทศเยอรมนีตะวันตก ส่วนคณะที่เหลือให้การว่าถูกบังคับจากคณะผู้ก่อการกบฏ มีผู้ถูกดำเนินคดี 39 คน หลบหนี 10 คน
มีข่าวลือเกี่ยวกับการยึดอำนาจครั้งนี้ว่า พันเอกมนูญ รูปขจร ทำหน้าที่เพียงเป็นหัวหอกออกมายึด เพื่อคอยกำลังเสริมของผู้มีอำนาจที่จะนำกำลังออกมาสมทบในภายหลัง และการกบฏครั้งนี้ล้มเหลวเนื่องจาก “นัดแล้วไม่มา”>

<ในขณะนั้น คาราบาว วงดนตรีเพื่อชีวิตกำลังมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างสูง คาราบาวได้การติดต่อแกมบังคับตั้งแต่เวลา 03.00 น. ให้ไปตั้งวงแสดงดนตรีที่สวนอัมพร ซึ่งตามแผนจะมีการถ่ายสดการแสดงคอนเสิร์ตของคาราบาวทางโทรทัศน์ สลับกับการอ่านประกาศของคณะปฏิวัติ เพื่อปลุกใจให้คนหันมาเป็นแนวร่วม แต่ทว่าเกิดการผิดพลาดขึ้น รถถังของกลุ่มผู้ก่อการได้ยิงปืนประจำรถถังใส่เวทีคอนเสิร์ต ดังนั้น ในอัลบั้มชุดที่ 6 ของคาราบาว “อเมริโกย” จึงมีอยู่เพลงหนึ่งชื่อ มะโหนก มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตทหาร ในท้ายเพลงมีบันทึกเสียงปืนจากรถถังที่ ยิงใส่เวทีคอนเสิร์ตในวันเกิดเหตุด้วย พร้อมกับเสียงผู้คนโหวกเหวก และเป็นที่มาของหน้าปกอัลบั้มชุดนี้ที่เป็นลายพรางทหาร และคำว่า “vol.6” ในปกเทปเมื่ออ่านกลับหัวจะกลายเป็นคำ “9 กย.”>
ฟังเพลง มะโหนก ของคาราบาว สังเกตเสียงปืนและเสียงเอะเอะตอนท้ายเพลงเป็นเสียงที่บันทึกจากเหตุการณ์จริงในวันที่ ๙ กันยายน