Monday, November 24, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 37

ชีวิตของผมในช่วงนั้นราบรื่นและมีความสุข ผมมีเพื่อนๆที่ดี ครูและโรงเรียนที่ดี สิ่งที่ดีเป็นพิเศษก็คือการไปเรียนดนตรีในวันเสาร์ ซึ่งทำให้ผมสามารถออกจากบ้านและเป็นอิสระได้ทั้งวัน และสิ่งที่ดีที่สุดนั่นก็คือ... การมีไอ้นัยเป็นเพื่อน

แต่ชีวิตเราจะราบรื่นไร้ที่ติเสียเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ชีวิตของผมก็เช่นกัน คงมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่บ้าง

อย่างแรกก็คือเรื่องการเรียนดนตรี การเรียนดนตรีของผมนั้นไม่ก้าวหน้าเอาเสียเลย สาเหตุสำคัญก็เพราะขาดการฝึกซ้อมนั่นเอง การจองเปียโนสำหรับซ้อมนั้นพอเอาเข้าจริงๆแล้วใช่ว่าจะง่าย เวลาที่ผมสะดวก คนอื่นก็สะดวกในเวลานั้นด้วย ผลก็คือหาเวลาซ้อมได้ยากมาก ส่วนเวลาอื่นที่มีเปียโนว่าง ผมก็ไม่สามารถจะมาซ้อมได้ บางทีได้เครื่องว่างเป็นอิเล็กโทน แทนที่จะเป็นเปียโน แต่ก็ต้องเอาไว้ก่อน

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เวลาซ้อมของผมก็น้อยมาก ทำให้การเรียนของผมไปได้ช้า และมักทำให้ผมกังวลบ่อยๆ เพราะว่าทุกสัปดาห์จะต้องมีการบ้าน การไม่มีเวลาซ้อมก็เหมือนไม่ได้ทำการบ้านส่งครู แต่ก็โชคดีที่ครูของผมใจดีและเข้าใจปัญหา ดังนั้นจึงไม่ได้เข้มงวดกับผมมากนัก ซึ่งผิดกับไอ้นัย ไอ้นัยดูจะชื่นชอบและตั้งใจเรียนกีตาร์คลาสสิกมาก มันฝึกซ้อมบทเรียนกีตาร์ทุกวัน ทำให้มันก้าวหน้าค่อนข้างเร็ว

เรื่องรบกวนจิตใจของผมอีกเรื่องก็คือเรื่องของโหนก ระยะหลังโหนกพยายามสนิทกับผมในห้องเรียนมากขึ้น บางทีก็มาคุย บางทีก็มาขอยืมนั่นขอยืมนี่ ขณะเดียวกัน เวลาพักเที่ยง ขณะที่เรากินอาหารกัน โหนกมักเฉยชากับไอ้นัย จนทำให้ผมนึกถึงตอนที่ไอ้ชัชมึนตึงกับไอ้นัย เหตุการณ์มันช่างคล้ายกันเหลือเกิน หรือว่าโหนก...

ประสบการณ์ที่เคยได้รับมา สอนให้ผมระวังตัวมากขึ้น ผมพยายามระวังไม่ให้สนิทกับโหนกจนเกินไป เพราะไม่รู้ว่าโหนกนั้นคิดอะไรกับผมกันแน่ ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยอีกหน

ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตได้จากโหนกก็คือ หลังจากที่โหนกไปสนิทสนมกับพงศ์ ดูโหนกมันจะมีจริตมากขึ้น ทำอะไรก็ดูกรีดกราย แถมยังมีวี้ดว้ายอยู่บ้างเล็กๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าสาวแตกหรือว่าแต๋วแตก แต่ก็ไม่ถึงกับแตกมาก คงแตกออกมาเพียงนิดหน่อย ดูไปชักจะคล้ายกับพงศ์มากขึ้นทุกวัน

ส่วนพงศ์นั้นก็พยายามจีบหัวหน้าดิษฐ์ หลังๆจีบอย่างออกหน้าออกตามากขึ้น จนเพื่อนๆหลายคนชักจะหมั่นไส้ ส่วนดิษฐ์เองนั้นก็วางตัวเฉยๆ จึงดูไม่ออกว่าคิดอย่างไรกับพงศ์

คนที่เขม่นพงศ์มากที่สุดน่าจะเป็นเล็ก ซึ่งนั่งอยู่หน้าดิษฐ์นั่นเอง ไม่มีใครรู้ว่าเล็กแอบเขม่นพงศ์นอกจากผม สาเหตุที่รู้ก็เนื่องจากมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เป็นช่วงเปลี่ยนคาบและไม่มีอาจารย์อยู่ในห้อง ผมเดินไปส่งการบ้านที่โต๊ะอาจารย์ซึ่งอยู่หน้าชั้น ตอนนั้นพงศ์กำลังเข้าไปจี๋จ๋ากับหัวหน้าอยู่ พอจะเดินกลับมาที่โต๊ะ พงศ์ก็สะดุดอะไรเข้าบางอย่างจนหัวทิ่มและล้มลงไปกองกับพื้น

ผลก็คือพงศ์ปากแตกเล็กน้อย ปากคงไปกระแทกขาโต๊ะตอนที่ล้ม สิ่งที่พงศ์สะดุดนั้นก็คือขาของเล็กนั่นเอง ใครๆก็นึกว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอดว่าเล็กจงใจยื่นขาไปขัดขาของพงศ์ จนมันหกล้ม ส่วนสาเหตุที่เหตุใดเล็กจึงได้เขม่นพงศ์มากมายขนาดนั้นผมก็ไม่ทราบได้ อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว เล็กเป็นคนที่เรียบร้อย นิสัยดี เห็นหงิมๆนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเล่นแรงขนาดนี้

เราสอบปลายภาคกันในช่วงปลายเดือนกันยายน ช่วงเดือนกันยายนเป็นช่วงที่เราทุกคน รวมทั้งไอ้นัยและผม เรียนและดูหนังสือเตรียมสอบกันอย่างเต็มที่ เพราะเราไม่รู้ว่าข้อสอบของที่นี่จะยากง่ายเพียงใด และอีกอย่าง เราก็ไม่อยากให้ผลสอบในเทอมแรกของเราไม่สวย ผมกับไอ้นัยถึงกับพนันกัน

“เรามาพนันผลสอบกันดีกว่า” ผมท้าไอ้นัย

“พนันว่าไงอะ” ไอ้นัยถาม

“ก็เราสองคน ถ้าเกรดใครแย่กว่า ต้องเสียค่าปรับให้อีกคน” ผมบอก

“แล้วจะพนันกันด้วยอะไรล่ะ” ไอ้นัยถามต่อ

จริงสินะ จะพนันกันด้วยอะไรดี เลี้ยงข้าวกันไม่สนุก เพราะถึงไม่พนันกันก็เลี้ยงกันไปเลี้ยงกันมาตั้งแต่เป็นเด็กประถมอยู่แล้ว

“พนันเป็นเงินค่าขนมละกัน ใครแพ้ต้องจ่ายคนชนะหนึ่งร้อยบาท” ผมออกความคิด

ไอ้นัยนิ่งคิด “เอางี้ละกัน ขอแก้เป็น คนชนะต้องจ่ายให้คนแพ้ร้อยบาท ดีมั้ย” ไอ้นัยเสนอ

“ทำไมกลับกันแบบนั้นล่ะ” ผมสงสัย

“ก็กูไม่อยากได้เงินมึงน่ะสิ สงสาร” ไอ้นัยพูดหน้าตาเฉย

“โห...” ผมอึ้ง พูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าไอ้นัยจะหลอกเหน็บผม “เดี๋ยวนี้ร้ายนะมึง”

ไอ้นัยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คงสะใจที่แกล้งผมได้ เป็นอันว่าเราก็ตกลงกันตามนี้

- - -

หลังจากการสอบผ่านพ้นไป ก็เป็นการปิดภาคต้น หยุดเทอมครั้งนั้น ไอ้นัยไม่ได้ไปเที่ยวที่บ้านต่างจังหวัดของผม รวมทั้งผมเองก็กลับบ้านเพียงช่วงสั้นๆแค่สัปดาห์เดียว เวลาที่เหลือผมอยู่ที่กรุงเทพฯและพยายามจองเวลาซ้อมเปียโนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในช่วงปิดเทอมนี้ ผมออกจากบ้านทุกวันจันทร์ถึงเสาร์ มาจองเวลาซ้อมเปียโนได้ราววันละสองถึงสามชั่วโมง ซ้อมเสร็จก็กลับบ้าน แต่ก่อนกลับบ้านก็มักแวะเดินเล่นที่สยามสแควร์นิดหน่อย ตอนนั้นสยามสแควร์เป็นสถานที่ที่ผมโปรดปราน เพราะเต็มไปด้วยสีสัน ยิ่งวันไหนไอ้นัยมาด้วย การเดินเล่นในสยามก็ยิ่งมีสีสันมากยิ่งขึ้น

สาเหตุที่ผมต้องขยันฝึกซ้อมเปียโนส่วนหนึ่งก็เพราะไอ้นัยนั่นเอง เพราะเมื่อผมเห็นมันขยันซ้อมกีตาร์แล้ว มันมีส่วนกระตุ้นให้ผมขยันและพยายามทำเพื่อแข่งกับมัน


<สยามสแควร์และสยามเซ็นเตอร์ในวันที่ยังไม่มีรถไฟฟ้า ไม่มีสยามดิสคัฟเวอรี่ ไม่มีสยามพารากอน ภาพนี้ถ่ายจากสะพานลอยตรงใกล้สี่แยกปทุมวัน เมื่อก่อนนั้นมีสะพานลอยคนข้ามอยู่แห่งหนึ่ง ด้านซ้ายมือในภาพจะเป็นสยามเซ็นเตอร์ ด้านนอกดูเป็นโทนเขียว ส่วนด้านขวามือในภาพเป็นฝั่งสยามสแควร์ มีโรงหนังสามโรง คือ สยาม ลิโด และสกาลา ในภาพพอมองเห็นป้ายโรงหนังลิโดได้เฉียงๆ>

9 comments:

Anonymous said...

เดี๋ยวนี้เมืองกรุงเปลี่ยนไปมากครับ

มากเสียจนดูวุ่นวาย ผู้คนเร่งรีบแข่งกับเวลา

สับสนมากมายครับ.......

Anonymous said...

มาหาอาอูแล้วครับ

หลาน Arus

Anonymous said...

ได้ที่3 ลุงอูนี่เป๊กของโหนกแน่เลย หล่อละซิ ได้แอ้มลุงอูรึเปล่าอยากรู้อะครับ

Anonymous said...

มาเก็บทีเดียวสองตอนครับ พูดถึงโหนกผมว่าจะต้องมีไรคืบหน้ามากกว่านี้แน่นอนครับ จะคอยติดตามและเป็นกำลังใจเหมือนเดิมครับ
กร ครับ

Joice said...

อ่านแล้วมีความสุขจัง

แบงค์

Anonymous said...

ตอนผมเรียนมัธยม สยามสแควร์ก็แน่นครับ คนไม่ได้น้อยกว่าตอนนี้เลย กล่าวได้ว่าความเป็นดาวน์ทาวน์อยู่ที่สยามสแควร์ได้นานมาก ตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนโต แต่ตอนนั้นกับตอนนี้สีสันก็แตกต่างกันออกไป

ยังมีรูปเก่าๆอีกบ้าง แล้วจะทยอยเอามาให้ดูอดีตกันครับ

arus คราวนี้ทำสถิติดีขึ้น คราวหน้าขอให้ได้เป็นที่หนึ่งนะหลาน อา KTB จะได้เลี้ยงไอติมเสียที

เรื่องของโหนกยังไม่จบง่ายๆ ความวุ่นวายอยู่อีกไม่ไกลแล้ว โหนกแอบชอบผมจริงๆด้วย ส่วนได้แอ้มหรือเปล่ายังไม่บอก แล้วเล็กก็แอบชอบดิษฐ์ ถึงได้หมั่นไส้พงศ์เต็มแก่ เรื่องจะเป็นยังไงต้องคอยติดตามครับ

Anonymous said...

ขอบคุณครับอู
รูสึกว่าขณะนี้เรื่องกำลังจะชุลมุนอีรุงตุงนังกันอุตลุต
เล็ก ดิษฐ์ พงษ์
โหนก อู นัย
แล้วไหนจะ ใหญ่อีกคน ชอบชวนอูชักว่าว

ตอนที่แล้ว อูกะนัย ดูดกันซะอร่อยไปเลย หนุกดี
นัยน่ารักมาก แหะแหะ อูจะทำอะไรไม่เคยขัดเลย
อูน่าจะรักนัยมาก ๆ นะ ไม่น่าจะให้คนอื่นเข้ามามีบทบาทอะไรในใจอูเลย อูน่าจะมั่นคงจะหาใครที่ไหนได้อย่างนัยไม่มีแล้ว แต่ที่ได้ฟังอูเกรื่นนำมาก่อน
ก้อรู้ว่านัยกะอูต่อมาก้อมีเหตุการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตอูกะนัยเพราะโหนก
โหนกชักจะแต๋วแตกอย่างที่อูว่า ทำมัยอูต้องเปลี่ยนมาชอบแบบแต๋วแตกล่ะชอบแบบแต๋วแตกด้วยล่ะ

ชักพูดมากไปแล้วครับ อิอิอิ
คอยอ่านต่อไปดีกว่า ช่วงนี้อูนำเสนอเรื่องอย่างต่อเนื่องไม่ต้องคอยนาน ชอบจัง งานการอูคงไม่มีรัยมาบีบรัดให้เครียดแน่เลย
ขอบคุณมากครับ ติดตามและเป็นกำลังใจให้อูนะครับ
ไม่บอกชื่อนะครับว่าเป็นใครที่ตอยกระทู้นี้
แหะแหะ เพราะผมรู้ว่าอูเดาผมได้ว่าเป็นใคร
ครับผม

Anonymous said...

มาให้กำลังใจอู ค๊าบ

Anonymous said...

re #7 ไม่กล้าเผยชื่อ สงสัยกลัวต้องเลี้ยงไอติม