Sunday, November 16, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 35

เพียงแค่สิบเอ็ดโมง ไอ้นัยก็เรียนเสร็จ หลังจากนั้นเราก็มีเวลาที่เป็นอิสระได้ทั้งวัน

“ไปเดินเล่นสยามสแควร์กันดีกว่า” ไอ้นัยชวน

เนื่องจากตอนนั้นมาบุญครองเซ็นเตอร์ยังสร้างไม่เสร็จ ดังนั้นความรุ่งเรืองของย่านนั้นจึงอยู่ที่สยามเซ็นเตอร์และสยามสแควร์ ด้านสยามสแควร์นั้นมีโรงหนังสามโรง คือ สยาม ลิโด และสกาลา เหมือนในปัจจุบัน ร้านรวงแถวนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นร้านขายเสื้อผ้า ของแฟชั่น อาหาร และหนังสือ ส่วนเซ็นเตอร์พอยต์ยังไม่มี ด้านสยามเซ็นเตอร์ตอนนั้นก็มีแต่สยามเซ็นเตอร์เท่านั้น ยังไม่มีสยามดิสคัฟเวอรีและสยามพารากอน ตรงสยามพารากอนตอนนั้นยังเป็นโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลอยู่

เรื่องที่ส่งผลถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในชีวิตของผมและไอ้นัยในเวลาต่อมา ถ้าจะว่าไปแล้ว แท้ที่จริงก็มาจากเรื่องเล็กๆสองเรื่อง นั่นคือ การเรียนดนตรีและการนั่งรถเมล์

การเรียนดนตรีที่สยามกลการเป็นการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ของผม พร้อมๆกับการเติบโตของวัย แต่เดิมในสมัยประถม โลกของผมมีแค่โรงเรียนกับหอนักเรียนประจำซึ่งอยู่ติดกัน พอมาเรียนชั้น ม.๑ โลกของผมค่อยขยับขยายขึ้นบ้าง กลายมาเป็นบ้านและโรงเรียน พอมาตอนนี้ ผมได้เห็นสีสันของชีวิตมากมายที่สยามสแควร์ อันเป็นผลมาจากการมาเรียนดนตรี

แต่ทว่าโลกของไอ้นัยและผมจะขยายออกไปไม่ได้ ถ้าเรายังต้องถูกผู้ปกครองคอยรับส่งด้วยรถส่วนตัวอยู่

ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่ผมเรียนมัธยม หรือในปัจจุบันก็ตาม มีเด็กในวัย ม.๑ จำนวนไม่น้อยที่ผู้ปกครองยังต้องคอยรับส่ง หรือพาไปไหนมาไหน แต่สำหรับเรื่องนี้ คุณอาไอ้นัยบอกว่าถ้าไอ้นัยเรียน ม.๑ แล้วก็ให้นั่งรถเมล์ไปไหนมาไหนเอง ส่วนผมนั้นเป็นเด็กต่างจังหวัดมาพักอยู่ที่บ้านคนอื่น ยังไงก็ต้องนั่งรถเมล์อยู่แล้ว เพราะไม่มีรถส่วนตัว

เรื่องการนั่งรถเมล์นั้นมันเป็นค่านิยมในสมัยของผม ที่จริงต้องบอกมีมาตั้งแต่สมัยคุณอาไอ้นัยแล้ว กล่าวคือ ในโรงเรียนของเรา มีค่านิยมกันอยู่ว่า การนั่งรถเมล์มาโรงเรียนเป็นการแสดงออกว่าโตแล้ว สามารถพึ่งตนเองได้แล้ว ถ้าใครมีผู้ปกครองคอยรับส่งไปโรงเรียน เพื่อนๆก็มักจะมองกันว่าเป็นลูกแหง่ ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ ดังนั้นในตอนที่ผมเรียนมัธยมอยู่ ถ้าใครมีผู้ปกครองมารับส่ง พวกนี้ส่วนใหญ่มักให้ผู้ปกครองจอดรถส่งให้ห่างโรงเรียนไปหน่อย ไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็เดินเอาช่วงหนึ่ง ทำเนียนว่ามารถเมล์เอง เพื่อนจะได้ไม่ล้อ บางรายถึงกับทะเลาะกับพ่อแม่ เพราะพ่อแม่พยายามจะมาส่งที่หน้าประตูโรงเรียน แต่ลูกไม่ยอม เพราะว่าอายเพื่อน ดังนั้นการนั่งรถเมล์ไปไหนมาไหน ถือเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง แต่ว่าค่านิยมนี้สมัยนี้คงเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นว่าถ้าใครมีรถเก๋งราคาแพงๆมาส่งที่หน้าโรงเรียน ก็เป็นเครื่องบ่งบอกถึงฐานะและความมีหน้ามีตาไป

ไอ้นัยกับผมเดินเล่นอยู่ในสยามสแควร์หลายชั่วโมง ดูนั่นดูนี่ ไอ้นัยสนใจเสื้อผ้าวัยรุ่น ส่วนผมนั้นดูไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ ไอ้นัยเคยมาเดินที่สยามสแควร์หลายครั้งแล้วโดยมากับคุณอา ดังนั้นจึงไม่ตื่นเต้นเท่าใดนัก แต่สำหรับผมนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต ดังนั้นจึงรู้สึกว่าอะไรๆก็แปลกใหม่และน่าสนใจไปเสียหมด

“มานี่ อู” ไอ้นัยจับมือผมแล้วลากเข้าไปในร้านดังกิ้นโดนัทขณะที่เราเดินผ่าน ไม่บ่อยนักที่ไอ้นัยจะจับมือของผมกุมเอาไว้แบบนี้ มือของไอ้นัยนั้นอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกินโดนัท แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมเหยียบย่างเข้ามาในร้านโดนัท ภายในร้านคลาคล่ำไปด้วยเด็กวัยรุ่นและหนุ่มสาว

“เค้าสั่งกันยังไงวะ” ผมถามไอ้นัยเบาๆ เพราะว่ากลัวใครได้ยิน อายเค้า

ไอ้นัยพาผมมานั่งที่โต๊ะ “มึงนั่งจองโต๊ะเอาไว้ เดี๋ยวกูจัดการให้เอง”

มาถึงตอนนี้ ไอ้นัยก็กลายเป็นพี่เลี้ยงของผมไป เห็นมันเดินไปเข้าคิวที่เคาน์เตอร์ เพียงครู่เดียว มันก็ยกถาดที่มีโดนัทและน้ำอัดลมเดินมา กลิ่นโดนัทหอมเย้ายวนใจ

“เท่าไรน่ะ” ผมถาม

“กูเลี้ยงมึง” ไอ้นัยตอบ คำพูดสั้นๆแต่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจไมตรี

ราคาโดนัทตอนนั้นดูเหมือนจะชิ้นละ ๗-๘ บาท ซึ่งก็ไม่ถือว่าถูกนัก เรากินโดนัทและนั่งแช่อยู่นาน ผมมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย ในร้านโดนัทมักมีนักศึกษามาใช้เป็นสถานที่สอนพิเศษนักเรียน แต่ปกติพนักงานของร้านก็มักไม่ว่าอะไร แต่ถ้ามาติวกันในช่วงเวลาทำเงิน อย่างเช่นในวันเสาร์อาทิตย์ บางทีพนักงานก็เหล่เอาเหมือนกัน การสอนพิเศษในร้านโดนัทเป็นที่นิยมกันอยู่หลายปี จนมาถึงยุคของร้านแมคโดนัลด์เฟื่อง จึงกลายมาเป็นการสอนพิเศษในร้านแมคโดนัลด์แทน

- - -

ในสัปดาห์ถัดมา ผมจึงได้เริ่มเรียนเปียโน ครูที่สอนผมเป็นครูในวัยราวสี่สิบปี ชื่อครูหลิน

ห้องเรียนของผมเป็นห้องเล็กๆ ในห้องมีเพียงเปียโนหนึ่งหลัง เก้าอี้เปียโนหนึ่งตัว กับเก้าอี้ธรรมดาอีกหนึ่งตัว เครื่องนับจังหวะหนึ่งเครื่อง นอกจากนั้นก็ไม่มีอุปกรณ์อะไรอื่นอีก

ครูหลินเริ่มต้นการสอนด้วยการสอนให้รู้จักวางนิ้วบนคีย์เปียโน เปียโนนั้นเป็นเปียโนยามาฮ่า สภาพค่อนข้างเก่า สังเกตได้จากคีย์ที่เป็นสีเหลืองงาช้าง เดิมคงจะเป็นสีขาว

หลังจากนั้นครูหลินก็สอนให้ผมรู้จักโน้ตและการอ่านโน้ต แบบเรียนเปียโนเล่มแรกของผมก็คือจอห์น ทอมป์สัน เล่มหนึ่ง (John Thompson I) ซึ่งนิยมใช้กันสำหรับผู้เริ่มเรียนเปียโน หน้าปกสีแดงแจ๊ด

ในชั่วโมงแรกของการเรียน ผมก็ถูกจับให้หัดเล่นเพลงบทแรกในเล่มเลย เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ครูหลินบอกว่าเพลงบทแรกนั้นง่ายมาก แต่มันก็ไม่ง่ายสำหรับผมเลย

“ลองเอาไปซ้อมดูนะคะ แล้วเสารห์หน้ามาเล่นให้ครูฟัง” ครูหลินสั่งการบ้านก่อนจากกัน

เอาละสิ เรียนครั้งแรกก็มีการบ้านเสียแล้ว มันช่างเหมือนกับที่โรงเรียนเสียจริง ผมไม่ค่อยชอบการบ้านเท่าไรนัก

หลังจากที่ออกมาจากห้องเรียน ผมก็ไปติดต่อที่ธุรการเพื่อขอซ้อมเปียโน แต่ปรากฏว่าในตอนนั้นไม่มีเปียโนว่างเลย ผมเพิ่งมารู้ตอนนี้เองว่าวันเสาร์อาทิตย์จะหาเครื่องว่างสำหรับฝึกซ้อมได้ยากมาก ส่วนใหญ่จะมีนักเรียนใช้เต็มหมด เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะมาเรียนกันตอนวันเสาร์อาทิตย์ ถ้าเป็นวันธรรมดาเวลากลางวันจะมีเปียโนว่างให้ซ้อมอย่างเหลือเฟือ ผมก็เลยขอจองเวลาซ้อมสำหรับเสาร์หน้า พอดีมีเปียโนว่างตอนเก้าโมงเช้า เอาก็เอาวะ ต้องมาเร็วหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ฝึกซ้อมเลยคงเล่นให้ครูหลินฟังไม่ได้

“เป็นไงบ้าง ฮุฮุ” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังเขียนจองเวลาเปียโนอยู่

“แย่ว่ะ” ผมทำหน้าเบ้ “วันนี้เจอแต่ลูกอ๊อดสีขาวสีดำ แถมมีการบ้านแล้วด้วย”

“แค่นี้ท้อแล้ว” ไอ้นัยเย้ย

“ยังโว้ย แค่บอกให้ฟังเฉยๆ” ผมแก้ตัว “ว่าแต่วันนี้ไปไหนดีล่ะ”

“วันนี้อากูไม่อยู่บ้าน…” ไอ้นัยตอบไม่ตรงคำถาม

“เออ งั้นไปนอนเล่นบ้านมึงดีกว่า” แบบนี้ก็เข้าทางผมเลย


<บรรยากาศของสยามสแควร์ในช่วงที่อยู่มัธยมต้น แฟชั่นการแต่งตัวของวัยรุ่นและหนุ่มสาวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย>

9 comments:

Anonymous said...

คนแรก ลุงอูแล้วมาบุณครองแต่ก่อนมันเป็นอะไรครับ อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอะ อิ อิ
ไปเบรนและ ขอบคุนครับ

Anonymous said...

อุ๊ย มีจับมือกันด้วย

แบงค์

Anonymous said...

มาแล้วครับอาอู
ดูท่าทางว่าอาอูจะพยายามหลบตลอด พยายามมาลงเวลา
แปลกๆ ให้ผมไม่สามารถเข้าคนแรกได้แน่ๆเลย

หลาน Arus

Anonymous said...

ตอนจบมีลุ้นครับ ถ้าไปต่อที่บ้านแล้วจะมีอะไรต่อครับ ฮุฮุฮุ อ่านแล้วมีความสุขครับ ผมอยากให้ความสัมพันธ์อูกับนัยเป็นเพื่อนกันแบบนี้ตลอดไปจริงๆครับ ผมเสียดายครับที่เพื่อนๆสมัยเรียนผมไปอยู่ที่ไหนหมดไม่รู้ครับ ตอนนี้ก้อคอยลุ้นตอนต่อไปอยู่อ่ะครับ ผมยังมีเรื่องคลางแคลงใจอยู่ครับ ที่ว่าโหนกเป็นคนที่ทำให้เกิดจุดเปลียนขึ้นระหว่างอูกับนัย ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยครับ ผมอยากให้ความสัมพันธ์ของนัยกับอูอยู่แบบนี้ตลอดไปจริงๆครับ
ยังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ
กร ครับ

Anonymous said...

ไม่นะโหนกจะเข้ามาทำอะไรกันเนี่ยะ
ว่าแต่นายอู รุ่นเดียวกะผมล่ะ
ผมเกือบได้เป็นเพื่อนคุณอูล่ะ ถ้าแม่ผมให้ผมไปสอบ รร.นี้ อิอิ เพราะผมมั่นว่าผมน่าจะสอบได้ด้วยคน

Anonymous said...

ตอนผมไปเรียนดนตรีมาบุญครองก็ก่อสร้างอยู่ ไม่ทันเห็นตอนก่อนหน้านั้นเหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะเป็นตึกแถวที่ขายเครื่องกีฬาเหมือนกับอีกฝั่งหนึ่งครับ

อาไม่ได้หลบหลาน arus นา จะหลบไปทำไม ที่โพสต์เวลาแปลกๆเพราะว่าสะดวกตอนนั้นน่ะสิครับ

ตอนถัดไปขอความกรุณาทุกท่านอย่าเม้นต์เป็นรายแรกนะครับ ให้หลานของผมคนนี้ได้เม้นต์เป็นรายแรกหน่อย

รีล่างสุด รู้ได้ไงครับว่าเรารุ่นเดียวกัน ยังไม่ได้บอกอายุเลย

อู

Anonymous said...

$o$ ขอบคุณครับอาอู
วันนี้ทานอาหารกลางวันอะไรอ่ะครับ?
ผมทานก๋วยเตี๋ยวปีกไก่บน น้ำพะโล้ล่ะ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

คุณอู ไมช่วงนี้ลงช้ามากเลยรออ่านนานมากแล้ว ไม่เหมือนช่วงก่อนเลย หรือเป็นเพราะงานยุ่ง

Anonymous said...

เศรษฐกิจแบบนี้ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวครับ ไม่ขยันอาจเจอซองได้ ยังไงก็ต้องเอางานไว้ก่อน รอหน่อยนะครับ

หลานรุต มื้อกลางวันอากินพวกขนมปังกับน้ำเต้าหู้น่ะ ไม่ได้กินมื้อใหญ่ ปกติเป็นคนกินน้อยครับ จะกินเยอะเฉพาะตอนที่มีคนจ่ายค่าอาหารให้

อู