Wednesday, November 12, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 34

หลังจากที่ทุกอย่างราบรื่น ตอนนี้ผมเองก็มีอาการเช่นเดียวกับไอ้นัย นั่นคือ ใจจดใจจ่อ อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ จะได้ไปเรียนดนตรี ...

“อู เย็นนี้ไปเดินเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ” โหนกพูดขึ้นในตอนบ่ายวันหนึ่ง

ผมติดหนี้มันเรื่องไปเป็นเพื่อนเดินดูหนังสือที่วังบูรพา พอไอ้โหนกมาทักเช่นนี้ ผมก็รู้ว่ามันมาทวงเรื่องเก่า

“ไปดิ แต่ไปได้เดี๋ยวเดียวนะ ต้องรีบกลับบ้าน” ผมตอบ “เลิกเรียนแล้วกูจะรีบไปตามไอ้นัย แล้วไปกันเลย”

“ทำไมมึงไปไหนก็ต้องไปกับไอ้นัยวะ ไปไหนเองไม่เป็นหรือไง” โหนกพูดด้วยน้ำเสียงที่อธิบายไม่ถูก คล้ายๆหงุดหงิดรำคาญ แต่ผมก็ไม่รู้สาเหตุ

“อ้าว ก็ปกติเราก็ไปไหนด้วยกันสามคนนี่ กินข้าวก็กินด้วยกัน แล้วนี่ก็ต้องกลับบ้านด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกันสิ” ผมอธิบาย

โหนกทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนหน้านี้โหนกไปสนิทกับพงศ์ พอพงศ์ไปคลุกคลีกับหัวหน้า โหนกก็พลอยไปกับเขาด้วย แต่เป็นเฉพาะตอนอยู่ในห้องเรียน ตอนกินข้าวยังไปกินกับผมและไอ้นัยอยู่ บางครั้งก็ตามผมแจ บางครั้งก็ไปอยู่กับพงศ์และดิษฐ์ ผมเองก็ไม่เห็นว่ามีอะไรที่จะทำให้โหนกไม่พอใจไอ้นัย เพราะไอ้นัยไม่เคยขัดใจใคร ยิ่งไม่เคยขัดคออะไรโหนกเลย แต่สังเกตอยู่บ้างเหมือนกันว่าพักหลัง เวลากินข้าวกัน โหนกไม่ค่อยคุยกับไอ้นัยนัก มักจะคุยกับผมมากกว่า

“มึงไม่ชวนมันไปด้วยได้ไหม” โหนกถาม

ผมงงกับคำถามของโหนก “ยังไงก็ต้องกลับบ้านด้วยกัน ไม่ไปดูหนังสือด้วยกัน แล้วจะกลับบ้านด้วยกันได้ไง”

“ก็ให้มันกลับบ้านก่อนก็ได้นี่” โหนกพูด

“ไม่เอาอ่ะ มึงพูดอะไรแปลกๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย” ผมตอบ “วันนี้มึงเป็นไรไปวะ”

“เปล่า ไม่ได้เป็นไร” โหนกปฏิเสธ “แค่อยากไปเดินกับมึงสองคนเท่านั้น”

เอ... มันชักจะยังไง ผมเองเริ่มรู้สึกไม่พอใจโหนก เพราะจู่ๆก็ไปไม่พอใจไอ้นัยโดยไม่มีเหตุผล

“ถ้าไม่ให้ชวนไอ้นัย ยังงั้นกูไม่ไปละกัน ไม่มีเหตุผลเลย” ผมพูด

“เออ ไม่ไปก็อย่าไปวะ ไม่ง้อ ไปคนเดียวก็ได้” โหนกพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจหนักยิ่งกว่าเก่า กลายเป็นว่ามันเคืองผมด้วยอีกคน

ในเมื่อโหนกบอกว่าจะไปคนเดียว ผมก็เลยไม่ได้ว่าอะไร ใจหนึ่งก็อยากจะตามใจไปเป็นเพื่อนกับมัน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเคือง พอถึงเวลาเลิกเรียนก็เลยกลับบ้านไปกับไอ้นัยตามปกติ

สัปดาห์นั้นโหนกดูเงียบๆไป ไม่ค่อยได้คุยกับผมและไอ้นัยมากนัก ซึ่งไอ้นัยก็สังเกตข้อนี้ได้เหมือนกัน มันถามโหนก โหนกก็ตอบแบบห้วนๆว่าไม่มีอะไร ไอ้นัยก็เลยมาแอบถามผม ผมก็บอกไปว่าไม่รู้ เพราะไม่รู้สาเหตุจริงๆ แต่เรื่องที่โหนกมาชวนผมไปวังบูรพาโดยไม่ให้ชวนไอ้นัยไปด้วยนั้น ผมไม่ได้บอกมัน เพราะเกรงว่ามันจะเสียใจ

ทางด้านตัวผมเองนั้น หลังจากที่โหนกมีอาการปั้นปึ่ง ผมก็เฉยๆ ไม่ได้ไปง้อมัน เพราะคิดว่ามันเป็นฝ่ายที่ไม่มีเหตุผลก่อน และอีกอย่าง ผมไม่ค่อยพอใจมันด้วย ที่มันแสดงอาการกีดกันไอ้นัย ซึ่งเหตุผลข้อหลังนั้นมีน้ำหนักมากกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ผมมีเรื่องขัดเคืองใจกับโหนก

- - -

ระยะหลังไอ้ใหญ่สนิทกับผมมากขึ้น พอถึงชั่วโมงพลศึกษาซึ่งต้องมีการจับคู่กันหัด ใหญ่ก็พยายามมาจับคู่กับผมอีก ทั้งๆที่ผมพยายามจะจับคู่กับดิษฐ์ ในที่สุด ผมก็จับคู่กับดิษฐ์ไม่สำเร็จ เพราะใหญ่มันมาเสนอตัว จะปฏิเสธมันก็กระไรอยู่ ส่วนดิษฐ์นั้นมักจับคู่กับเล็กที่นั่งโต๊ะข้างหน้าของดิษฐ์นั่นเอง

เมื่อถึงชั่วโมงพลศึกษา ใหญ่ก็มาชวนผมไปชักว่าวอีก ที่จริงผมอยากจะบอกกับมันไปว่าต่างคนต่างชักมันจะไปสนุกอะไร ยิ่งลีลาของมันธรรมดามาก ดูครั้งสองครั้งก็เบื่อแล้ว ทำไมไม่มาชักว่าวด้วยกันเสียเลย แต่ก็ไม่กล้าพูดขึ้นมาก่อน ครั้นรอให้มันพูด ก็ไม่เห็นมันชวนสักที

สาเหตุที่ผมไม่ชวนใหญ่ก่อน เพราะบทเรียนจากกรณีของอ้วนกับพงศ์ได้สอนให้ผมรู้ว่า สังคมที่นี่ไม่เหมือนที่โรงเรียนเก่า ที่หอโรงเรียนประจำ การที่เด็กผู้ชายชักว่าวด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับที่นี่ พฤติกรรมทางเพศระหว่างชายกับชายเป็นที่รังเกียจสำหรับคนบางคน ดังนั้นผมจึงระวังตัวมากขึ้น และไม่กล้าแสดงออกว่ารสนิยมทางเพศของผมเป็นอย่างไร

ดังนั้น เมื่อใหญ่ชวนให้ผมชักว่าวให้มันดูอีก ผมจึงปฏิเสธมันไป โดยอ้างแบบถูไถไปว่าเมื่อเช้าเพิ่งชักว่าวมา ยังไม่มีอารมณ์ ใหญ่มันก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร

- - -

เสาร์ถัดมา ...

ในที่สุด วันที่ผมรอคอยมาตลอดสัปดาห์ก็มาถึง นั่นคือ วันที่ผมจะไปสมัครเรียนเปียโน

ไอ้นัยกับผมนัดเจอกันที่ป้ายรถเมล์ที่เก่า แต่วันนี้เรานัดกันเวลาแปดโมงครึ่ง เนื่องจากไอ้นัยเรียนเวลาสิบโมง วันนี้ไอ้นัยก็มายืนอมยิ้มรอผมอยู่แล้วเช่นเคย มันใส่รองเท้าแตะสกอลล์คู่เก่งที่อาซื้อให้ สะพายย่ามใบเล็กๆซึ่งภายในย่ามบรรจุแบบเรียนกีตาร์คลาสสิก จากนั้นเราก็นั่งรถเมล์ปรับอากาศสาย ปอ.2 ซึ่งในตอนนั้นวิ่งระหว่างบางกะปิ-สีลม โดยผ่านสี่แยกปทุมวันไปทางสามย่าน

เมื่อลงรถที่สี่แยกปทุมวัน เราเดินข้ามถนนไปยังฝั่งที่ปัจจุบันเป็นหอศิลป์ ตอนนั้นมาบุญครองเซ็นเตอร์ยังสร้างไม่เสร็จ หัวมุมสี่แยกปทุมวันมุมที่ปัจจุบันเป็นหอศิลป์นั้น ตอนนั้นเป็นร้านขายเครื่องกีฬา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นร้านขายเครื่องกีฬาตรานกแก้ว ที่จริงแถวนั้นในยุคก่อนมีมาบุญครองเซ็นเตอร์เป็นศูนย์รวมของร้านขายเครื่องกีฬา และตรงหัวมุมสี่แยกนั่นเองจะมีซอยเล็กๆซอยหนึ่ง เดินเข้าไปเพียงนิดเดียวก็จะมีห้องสมุดประชาชนสาขาปทุมวัน เดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเป็นโรงเรียนดนตรีสยามกลการ ปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แต่ย้ายไปอยู่เลยสถานีรถไฟฟ้าไปเล็กน้อย

โรงเรียนดนตรีแห่งนี้ภายในติดแอร์ทั้งหลัง เมื่อแรกเดินเข้าไป ผมก็ได้เห็นเครื่องดนตรีจำนวนมากจัดวางเรียงรายอยู่ในส่วนหน้าซึ่งเป็นโชว์รูม มีทั้งกีตาร์ เปียโน อิเล็กโทน ฟลุ้ต คลาริเนต และอื่นๆ

วันนั้นผมได้แค่ไปสมัครเรียน ที่จริงการสมัครเรียนต้องมีผู้ปกครองพาไปสมัคร แต่ไอ้นัยทำตัวเป็นผู้ปกครองของผมเบ็ดเสร็จ โดยมันอ้างว่าเราเป็นญาติกัน ผู้ปกครองคนเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่เห็นว่าไอ้นัยเป็นนักเรียนอยู่แล้ว ก็เลยอะลุ้มอะล่วยให้ ไม่ต้องพาผู้ปกครองมาอีก จากนั้น มันก็ช่วยแนะนำผมในการกรอกใบสมัคร วันนี้ ท่าทางที่มันช่วยผมนั้นดูเหมือนเป็นพี่ชายของผมเสียจริงๆ

หลักสูตรการเรียนดนตรีของที่นี่จะมีสองแบบ คือ ถ้าจะเรียนแบบพื้นฐานดนตรีก็จะมีชั้นเรียนแบบเป็นกลุ่ม ชั้นหนึ่งประมาณสิบกว่าคน การเรียนก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวโน้ต และมีการฝึกฝนการเล่นเครื่องดนตรี แต่จะเป็นลักษณะไปด้วยกันทั้งชั้น การเรียนลักษณะนี้จะทำให้เด็กได้เรียนดนตรี อีกทั้งได้คบเพื่อนใหม่ๆไปด้วย

การเรียนอีกแบบหนึ่งเป็นการเรียนเครื่องดนตรีแบบล้วนๆ เรียนคนเดียว ไม่ปะปนกับใคร แบบนี้จะได้ทักษะการเล่นเครื่องดนตรีมากกว่าแบบแรก แต่ค่าเล่าเรียนก็จะแพงกว่า ค่าเรียนชั่วโมงละ 300 บาท เรียนครั้งละหนึ่งชั่วโมง ทุกสัปดาห์ รวมแล้วเดือนหนึ่งก็ราวๆ 1,200 – 1,500 บาท ขึ้นกับว่าเดือนนั้นมีกี่สัปดาห์

ผมกับไอ้นัยเรียนแบบหลัง คือเรียนปฏิบัติเครื่องดนตรีแบบเดี่ยว เมื่อไอ้นัยจัดการให้ผมสมัครเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเรียนของมันพอดี ส่วนผมนั้นก็เดินดูห้องเรียนต่างๆเพื่อฆ่าเวลา


<รองเท้าสกอลล์ที่เด็กวัยรุ่นนิยมกัน ใครไม่มีถือว่าตกยุค>

8 comments:

Anonymous said...

เคยมีสกอลแบบรูปที่ 2 และ 3 ด้วย สีม่วงกะ สีส้ม กรั่กๆ

Anonymous said...

วันนี้ขอตัดหน้าบางตยเป็นเบอร์หนึ่งบ้างละ อิอิอิ
อูน่าจะดูโหนกออกนะ ที่ว่าอยากจะไปเดินกะอูสองคน
ไม่ให้ชวนนัยไปด้วย หมายความว่าอะไร
ก้อเหมือนกะอูนั่นละที่อยากไปไหนกะนัย หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ 5555
เป็นกำลังใจให้อูแล้วกัน
ตอนนี้หลาย arus เค้าบอกรักอาอูแล้วน้า
อาอูจะว่ายังงัย พาไปกินไอติมจิ

Anonymous said...

อ้าวหน้าแตกเลย ตอนพิมพ์ยังไม่มใครเม้นต์เลย 55555
ktb

Anonymous said...

อ้าวอาอูมาแอบหลังจากที่มาถามผมเหรอเนี่ย
T-T

หลาน Arus

Anonymous said...

ผมคงไม่ได้ดูดวงแล้วคับ เพราะไม่รู้เวลาเกิดที่แน่นอน
ไม่ได้ถามแม่มา ขอบคุณมากนะครับ
ยังไงจะติดตามผลงานตลอด

แบงค์

Anonymous said...

ใช่ครับ สกอลล์ในยุคนั้นจะเป็นแบบรู้บนที่สองกับที่สาม ของไอ้นัยจะเป็นพื้นสีเขียว ส่วนตัวผมนั้นไม่เคยซื้อสกอลล์ใช้เลย มีอะไรก็ใส่

เรื่องโหนกนั้น ตอนนั้นยังเด็ก ไม่ได้ไปคิดมากขนาดนั้นครับ แค่คิดว่ามันอาจไม่พอใจอะไรไอ้นัย เลยไม่อยากให้มันไปด้วย ไม่รู้จริงๆไม่ได้แกล้ง

หลาน arus รักอาอูตอนไหนเหรอ ยังไม่เห็นหลานบอกเลย แต่ตอนนี้หลานก็เป็นแฟน (นิยาย) ของอาอยู่แล้วนี่

สำหรับแบงค์ ถ้าเมื่อไรได้เวลาเกิดมา ก็บอกมาอีกที จะดูให้ครับ

น้องโน้ต ได้อ่านอีเมลแล้วนะครับ ขอเวลาหน่อยแล้วจะตอบไปครับ

อู

Anonymous said...

หุหุ เป็นเด็กบ้านนอกเลยนึกภาพของมาบุญครองสมัยก่อนไม่ค่อยออก
แต่พอ get เอาเป็นว่าเคยมี สกอลสีฟ้าด้วยคับ
ตอนนั้นหวงมาก อิอิ
มาส่งต่อกำลังให้อูค๊าบ
^^sky^^

Anonymous said...

หุหุ เป็นเด็กบ้านนอกเลยนึกภาพของมาบุญครองสมัยก่อนไม่ค่อยออก
แต่พอ get เอาเป็นว่าเคยมี สกอลสีฟ้าด้วยคับ
ตอนนั้นหวงมาก อิอิ
มาส่งต่อกำลังให้อูค๊าบ
^^sky^^