ผมเดินกลับห้องเรียนด้วยความรู้สึกอ้างว้าง ความรู้สึกในตอนนั้นคือรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่ได้ตื่นเต้นยินดีแม้แต่น้อย คิดแต่ว่าจะบอกไอ้ชัชอย่างไรดี มันคงเสียใจมาก ที่มันบอกว่ามันทำใจได้ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า
เมื่อถึงห้องเรียน ผมเล่าเรื่องที่พ่อมาหาให้ไอ้ชัชกับไอ้นัยฟัง ไอ้นัยทำหน้าเฉยๆ ดูไม่ออกเหมือนกันว่ามันดีใจหรือเสียใจที่ผมไม่ได้ไปพักอยู่บ้านเดียวกับมัน ส่วนไอ้ชัชนั้นก็หน้าจ๋อยไป แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้
หลังจากวันนั้น ไอ้ชัชก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม ไม่เคยแสดงอาการโกรธเคือง งอน หรือเซ้าซี้ให้ผมเปลี่ยนใจอีกเลย ตรงกันข้าม มันกลับพยายามทำตัวให้ร่าเริงสนุกสนาน บอกไม่ถูกเหมือนกันครับว่าไอ้ชัชรู้สึกอย่างไร คล้ายกับว่ามันพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ของเราสองคนให้ดีที่สุดอะไรทำนองนั้น
เรื่องรายงานตัวของผมผ่านไปด้วยความเรียบร้อย แต่ก็หวุดหวิด หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนทางเอกสารเท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอใกล้ๆเปิดเทอมในปีการศึกษาใหม่ ค่อยมาทำการมอบตัวและอื่นๆ ซึ่งเรื่องยังอยู่อีกไกล
ในช่วงปลายเทอม การสอบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกเราทุกคนต่างก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวสอบ และการแลกเปลี่ยนกันเซ็นสมุดเฟรนด์ชิป ในวันสุดท้ายของการเรียน ก่อนที่การสอบปลายภาคจะเริ่มขึ้น พวกเราก็นัดร่ำลากันหลังเลิกเรียน วันนั้นถือเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันและร่ำลากัน เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นการสอบปลายภาค ซึ่งช่วงการสอบนั้นใครสอบเสร็จก็กลับก่อน อีกทั้งทุกคนก็มัวยุ่งกับการสอบ ดังนั้นจึงอาจร่ำลากันไม่ได้ทั่วถึง ก็เลยมาร่ำลากันอย่างเป็นทางการในวันเรียนวันสุดท้ายของภาค
บ่ายวันนั้น เราไม่ค่อยได้เรียนอะไร ส่วนใหญ่ก็วุ่นกับการร่ำลา ครูประจำชั้นเองก็เข้าใจเด็กๆ จึงปล่อยให้เด็กคุยกันตามสบาย บางคนก็เอาเสื้อนักเรียนมาให้เพื่อนๆเซ็นชื่อลงไปบนเสื้อ บางคนก็พิมพ์นามบัตรเอามาแจกเพื่อนๆ บางคนก็เอากล้องมาถ่ายรูปเพื่อนๆ เพื่อนหลายคู่ที่สนิทกันมากก็กอดคอกันน้ำตาซึม บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นซึ้งใจ มันเป็นบรรยากาศที่ผมไม่เคยประสบมาก่อน
ไอ้ชัช ไอ้นัย กับผม ตกลงกันไว้ว่าเราจะร่ำลากันในวันสอบวันสุดท้ายแทน เพราะว่ามันค่อยมีความหมายหน่อย และหลังจากการสอบปลายภาคเสร็จ ผมชวนไอ้ชัชกับไอ้นัยไปเที่ยวที่บ้านต่างจังหวัดเหมือนเมื่อปีที่แล้ว ไอ้นัยถามคุณอาแล้วไม่ขัดข้อง ส่วนไอ้ชัชนั้นไปด้วยไม่ได้ บอกว่าเมื่อสอบเสร็จวันรุ่งขึ้นพ่อจะมารับกลับบ้านทันที เพราะว่าพ่อมีธุระ แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ความรู้สึกลึกๆของผมบอกผมว่าไอ้ชัชพยายามเลี่ยงที่จะไปกับผมและไอ้นัยมากกว่า ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงไม่อยากไปเที่ยวด้วยกัน ทั้งๆที่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันในแบบเดิมๆ ต่อไปคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว แต่เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย เมื่อมองย้อนกลับไปก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของมันได้
ปลายเดือนกุมภาพันธ์
หลังจากที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินลงมาที่ใต้ตึก ที่นั่น ผมเห็นไอ้นัยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ไอ้นัยสอบเสร็จก่อนผมได้พักใหญ่ และหลังจากที่ผมลงมาไม่นาน ไอ้ชัชก็เดินตามลงมา
เราสามคนตกลงว่าจะร่ำลากันในวันนี้ ที่จริงผมยังคงอยู่ที่หอกับไอ้ชัชอีกคืนหนึ่ง ยังได้เจอกันอีกจนเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนไอ้นัยก็ยังได้เจอกันอีก ดังนั้นที่ว่าร่ำลาจริงๆแล้วเป็นการร่ำลาของไอ้ชัชกับไอ้นัยมากกว่า เพราะสำหรับไอ้นัยแล้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกัน
“กูไปละนะ ชัช” ไอ้นัยพูด พร้อมกับเอามือไอ้ชัชมากุมไว้
ไอ้ชัชทำตาแดงๆ บีบมือไอ้นัยเสียจนแน่น
“โชคดีนะไอ้นัย มึงคงไม่โกรธกูนะ” ไอ้ชัชพูด
“โกรธเรื่องไรอะ” ไอ้นัยถาม
“ก็...ก็ที่กูทำไม่ดีกับมึงไง” ไอ้ชัชตอบเสียงอ้อมแอ้ม คงจะเขิน
“ฮื่อ ไม่เป็นไรหรอก” ไอ้นัยตอบ
“ว่างๆก็มาเยี่ยมกูบ้างนะ” ไอ้ชัชพูดเสียงเครือ ส่วนไอ้นัยเองก็เริ่มตาแดงๆเหมือนกัน
“มึงพูดยังกับที่นี่เป็นสวนสัตว์ อือม์ แล้วกูจะมายี่ยมมึง จะเอากล้วยมาฝากด้วย” ไอ้นัยพูดแล้วก็หัวเราะกิ๊กทั้งที่ตายังแดงๆอยู่ ผมกับไ อ้ชัชเองก็อดขำไม่ได้ ในบรรยากาศซึ้งๆไอ้นัยยังปล่อยมุขออกมา
ไอ้ชัชเขกหัวไอ้นัยดังป๊อก
“โอ๊ย บอกกี่หนแล้วว่าอย่าเขกหัว เดี๋ยวเยี่ยวรดที่นอน” ไอ้นัยเอะอะ
“กูถามมึงจริงๆเถอะ ตั้งแต่มึงโดนเขกหัวมานี่มึงเคยเยี่ยวรดที่นอนบ้างไหม” ไอ้ชัชถาม
ไอ้นัยทำหน้านิ่งคิด “ไม่เคยอ่ะ”
ไอ้ชัชเขกหัวไอ้นัยอีกหนึ่งป๊อก “ถ้ายังงั้นป่านนี้มึงไม่เยี่ยวรดที่นอนแล้วล่ะ เพราะว่ามึงคงมีภูมิคุ้มกันแล้ว เอาไปอีกป๊อกก็แล้วกัน”
เราคุยร่ำลากันอีกสักพัก หลังจากนั้น เมื่อคุณอามารับไอ้นัยกลับ ผมกับไอ้ชัชก็เดินกลับเข้าหอไปด้วยกัน
ตอนกลางคืน
คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ผมได้พักอยู่ในพอนักเรียนประจำแห่งนี้ ผมรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา ทั้งเพื่อน ทั้งครู ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก มาถึงวันนี้ ผมจะต้องจากทั้งผู้คนและสิ่งที่ผมคุ้นเคยไป สำหรับผม ด้านหนึ่งมันคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น แต่อีกด้านหนึ่ง มันคือการพรากจาก ผมรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรจะตื่นเต้น หรือควรจะเศร้าสร้อยดี
คืนนั้น บรรยากาศในหอค่อนข้างเงียบ เพราะเด็กหอหลายคนกลับไปตั้งแต่สอบเสร็จตอนบ่ายแล้ว มีบางส่วนเท่านั้นที่ต้องพักที่นี่อีกคืนหนึ่งเพื่อรอกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น เรื่องการร่ำลาของชาวเด็กหอนั้นทำเสร็จไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันก่อนสอบ
ผมนั่งเล่นอยู่กับไอ้ชัชที่หน้าตึก วันนี้เราจะเข้านอนกี่โมงก็ได้ เพราะถือว่าเป็นวันสุดท้าย ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อะไรให้วุ่นวาย ผมเลยนั่งเล่นกับไอ้ชัชจนดึก ส่วนใหญ่จะนั่งเฉยๆ ใช้การสื่อสารทางความรู้สึกมากกว่า คุยกันไม่ค่อยมาก
“ปิดเทอมนี้กูจะเขียนจดหมายถึงมึงนะ แล้วเปิดเทอมแล้วจะมาหาด้วย” ผมบอก
“พูดแล้วอย่าคืนคำล่ะ” ไอ้ชัชพูดคาดคั้นเอาคำสัญญาจากผม
“ฮื่อ ไม่คืนคำหรอก มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู กูจะลืมมึงได้ไง” ผมพูด เอาตัวแนบเข้าไปชิดกับมัน
“อยากจะรู้เหมือนกันว่าเมื่อเราเจอกันตอนโตแล้วจะเป็นยังไง เรายังจะสนิทกับแบบนี้ไหม” ไอ้ชัชตั้งคำถามขึ้นมา มันเป็นคำถามที่น่าคิดเหมือนกัน
“นั่นสินะ มึงอย่าอ้วนก็แล้วกัน ผอมเป็นลิงแบบนี้ โตขึ้นกูจะได้จำได้ ถ้าอ้วนกูกลัวจำมึงไม่ได้” ผมพูดให้ตลก
“กูจะรอมึงนะ เผื่อมัธยมปลาย เราอาจได้เรียนด้วยกันอีก หรือไม่อย่างนั้นก็มหาวิทยาลัย” ไอ้ชัชพูด นัยน์ตาลอยเหมือนกำลังอยู่ในฝันอันแสนสุข
“ปีหน้า คงมีนักเรียนเข้ามาใหม่เยอะ มึงคงมีเพื่อนใหม่ ขอให้มึงได้เพื่อนที่ดีกว่ากูนะ” ผมพูดจากใจจริง “มึงเป็นเพื่อนที่ดีของกูเสมอ แต่กูเป็นเพื่อนที่เลวของมึง”
ไอ้ชัชเงียบ คงไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดี ผมนิ่งไปสักครู่ แล้วก็บอกไอ้ชัชให้คอยเดี๋ยว แล้วผมก็วิ่งขึ้นไปที่ห้องนอน
เมื่อกลับลงไป ผมยื่นของสองสิ่งให้ไอ้ชัช
“อ่ะ ของขวัญจากกู เอาไว้เป็นที่ระลึก แล้วนึกถึงกูนะ” ผมพูด หนึ่งในของสองสิ่งนั้นเป็นของขวัญที่อยู่ในกล่อง ผูกโบว์สีสวย แล้วใส่อยู่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลอีกที เพื่อพรางตา มันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ผมให้ไอ้ชัช หลังจากที่มันให้ของขวัญผมอยู่หลายปี
ไอ้ชัชแกะกระดาษห่อของขวัญออกอย่างระมัดระวัง
“ฉีกออกมาเลยก็ได้” ผมพูด “จะได้ดูข้างใน”
“ไม่อะ” ไอ้ชัชบอก “กูอยากเก็บกระดาษกับกล่องเอาไว้ด้วย... เอาไว้นึกถึงมึง”
เมื่อไอ้ชัชเปิดดูกล่องของขวัญ ข้างในเป็นกรอบรูปขนาดโปสการ์ด ในกรอบมีภาพของเราสามคน คือ ไอ้ชัช ไอ้นัย และผม ถ่ายอยู่ด้วยกันในชุดนักเรียน ภาพนี้เป็นภาพที่มีเพื่อนในห้องถ่ายเอาไว้เมื่องานวันปีใหม่ที่ผ่านมา ผมแอบไปฝากมันอัดโดยไม่ให้ไอ้ชัชรู้ แล้วก็เดินไปซื้อกรอบรูปสวยๆมาจากห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว
ไอ้ชัชดูกรอบรูปอันนั้น แล้วสะอื้นออกมาเบาๆ
“ไม่ถูกใจเหรอชัช” ผมถาม
ไอ้ชัชไม่ตอบ เอาแต่สะอื้น
ผมหยิบของสิ่งที่สองขึ้นมาให้ไอ้ชัช “เอ้า ช่วยเขียนให้กูหน่อย มึงยังไม่ได้เขียนให้กูเลย”
ของสิ่งที่สองนี้ก็คือสมุดเฟรนด์ชิปของผมนั่นเอง ไอ้ชัชยังไม่เขียนให้ผมสักที ยังไงวันนี้ผมต้องให้มันเขียนให้ได้
ไอ้ชัชยังสะอื้นไม่หยุด “กูก็ยังไม่ได้ให้มึงเขียน ขึ้นไปเขียนในห้องละกัน” ไอ้ชัชพูดไปสะอื้นไป
เราสองคนเดินขึ้นไปที่ห้องนอน จากนั้นแลกสมุดเฟรนด์ชิปกันเขียน ไอ้ชัชเขียนให้ผมว่าผมเป็นเพื่อนที่มันรักมากที่สุด ผมยังเก็บสมุดเล่มนั้นต่อมาอีกหลายปี ต่อมาเมื่อมาดูอีกที กลับพบว่าโดนปลวกกินไปจนเกือบหมด ของที่เก็บไว้สมัยเป็นเด็กเสียหายหมด ไม่ว่าจะเป็นจดหมายที่เขียนติดต่อกัน รวมทั้งสมุดเฟรนด์ชิปด้วย
หลังจากที่แลกกันเขียนสมุดเสร็จ ผมก็พูดกับไอ้ชัช “กูขออะไรมึงอย่างนึงดิ”
“อะไรเหรอ” ไอ้ชัชถาม ทำหน้าสงสัย
“กล่องทิชชู่รูปหมาอันนั้นน่ะ กูขอได้ไหม อยากได้ จะได้เอาไว้นึกถึงมึง” ผมบอก
ผมพยายามใจแข็ง ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนบ่าย ผมไม่ยอมร้องไห้เลย แต่ในที่สุด ผมก็กลั้นไว้ไม่อยู่ ต่อมน้ำตามาแตกเอาตอนที่ขอกล่องทิชชู่นั่นเอง ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนกับว่า ต่อไปจะไม่ได้เจอกับไอ้ชัชอีกแล้ว และอยากได้ของจากมันเอาไว้ดูต่างหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมีความรู้สึกแบบนั้น
ไอ้ชัชเดินไปหยิบกล่องทิชชู่ออกมาจากล็อกเกอร์ของมัน แล้วยื่นให้ผม
“กะจะคืนให้ตั้งนานแล้วล่ะ” ไอ้ชัชพูด มันไม่ได้พูดแก้ตัวหรอกครับ ผมเชื่อว่ามันไม่ได้คิดทวงกล่องทิชชู่คืนไปจริงๆ
ผมเห็นว่าตอนนั้นในห้องนอนไม่มีใคร จึงคว้าตัวไอ้ชัชมากอดเอาไว้จนแน่น น้ำตาไหลพรู อยากจะบอกให้มันรู้เหมือนกันว่าผมรักมันมากขนาดไหน ... แต่ผมก็ไม่เคยได้พูดออกจากปาก … ได้แต่ถ่ายทอดความในใจของผมด้วยการกอด...
กล่องทิชชู่รูปหมากล่องนั้นผมใช้ต่อมาอีกหลายปี เป็นของที่ผมรักมาก ตั้งเอาไว้ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน ใครจะว่ามันเก่าอย่างไรผมก็ไม่เปลี่ยน จนเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จึงได้เอามันเก็บไว้ในลัง เก็บไว้ที่กรุงเทพฯนี่เอง และต่อมาก็ถูกน้ำท่วมเสียหายไป
คืนนั้น หลังจากที่เราเข้านอนไปแล้ว ผมได้ยินไอ้ชัชร้องไห้สะอื้นเบาๆอีกเป็นเวลานาน มันคงยังทำใจไม่ได้ ผมก็เหมือนกัน แต่ผมพยายามเข้มแข็งเอาไว้ ไม่ร้องไห้ออกมา
- - -
วันรุ่งขึ้น
วันนี้เป็นวันที่เราต้องลาจากกันแล้วจริงๆ พ่อไอ้ชัชมารับตั้งแต่แปดโมงเช้า ผมยังจำภาพที่ไอ้ชัชเดินขึ้นรถได้ติดตา มันมองผมตลอด เดินช้าๆ เหมือนไม่อยากไป แต่แล้วในที่สุดมันก็ต้องจากไป ... ผมรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ... ลาก่อนนะ ไอ้เพื่อนรัก…
สิบโมงเช้า พ่อของผมมารับผมพร้อมกับไอ้นัย พ่อแวะไปรับไอ้นัยที่บ้านก่อน จากนั้นจึงมาหาผม
เราใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง ผมนั่งซึมไปตลอดทาง คิดถึงแต่เรื่องไอ้ชัช ความรู้สึกของการพรากจากนั้นมันยากจะบรรยายออกมาได้จริงๆ
ไอ้นัยเองก็นั่งเงียบ คิดว่ามันคงเข้าใจความรู้สึกของผม มีแต่พ่อเท่านั้น ที่ชวนคุยนั่นคุยนี่ เพื่อไม่ให้พวกเราเหงา
เมื่อมาถึงบ้านต่างจังหวัดของผม ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว หลังจากพักผ่อนสักครู่ ผมก็ชวนไอ้นัยขี่จักรยานไปที่บึงน้ำโลกส่วนตัวของผม การจากไปของไอ้ชัช ทำให้ผมคิดถึงโลกส่วนตัวแห่งนั้นเหลือเกิน คิดถึงเวลาที่เราสามคนเคยใช้ชีวิตในวัยเด็กด้วยกัน...
ที่นั่น ต้นเม่ายังคงยืนต้นอยู่อย่างเดิม ทัศนียภาพรอบบริเวณก็ยังเป็นอย่างเดิม อากาศยามบ่ายแก่ในตอนปลายเดือนกุมภาพันธ์เย็นสบาย เพราะยังเป็นฤดูหนาวอยู่ แต่ในความเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยความเหงาเดียวดาย
ที่นั่น ผมนั่งอยู่ที่ริมบึงน้ำกับไอ้นัย เราสองคนทอดสายตามองไปในบึง สายลมเย็นก่อระลอกเล็กๆพลิ้วประกายอยู่ในบึง ต้นหญ้าริมบึงไหวไปตามแรงลม
“ปีที่แล้วมากันสามคน” ผมพูด “ปีนี้มากันสองคน แล้วปีหน้า...”
“อย่าพูดเป็นลางดิ...” ไอ้นัยห้าม
ช่วงปีที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ชีวิตอีกมาก จากชีวิตที่เรียบง่าย มีทุกอย่างพร้อม กลายเป็นชีวิตที่หันเห ต้องดิ้นรน ถ้าเลือกได้ ผมอยากกลับไปเป็นอย่างเก่ามากกว่า แต่ผมรู้ดีว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้ ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย
“แปลว่ามึงจะไม่หนีกูไปไหนใช่ไหม” ผมถาม
ไอ้นัยเงียบ
“ว่าไง” ผมถามซ้ำ พลางอ้อมแขนไปโอบไอ้นัยเอาไว้ แล้วรั้งตัวมันเข้ามา
“ถ้ามึงยอมให้กูมา กูก็มาแหละ” ไอ้นัยตอบยิ้มๆ ไอ้นัยไม่ค่อยชอบแสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่เพียงคำตอบนี้ ผมก็พอใจแล้ว
“ถือเป็นสัญญานะ” ผมสรุป
ผมรั้งไอ้นัยให้เข้ามาใกล้อีก ไอ้นัยไม่ขืนตัวเลย ใบหน้ารูปไข่ที่ชอบตีหน้าตายเสมออยู่ใกล้กับใบหน้าของผม ไรหนวดเขียวๆที่ผมคุ้นเคย ภาพในอดีตไหลเข้ามาในสมองของผมเป็นฉากๆ ผมล้มตัวลง วงแขนของผมรั้งไอ้นัยให้ล้มลงไปนอนกับพื้นดินด้วย
“จะทำไรอะ” ไอ้นัยถาม
ผมไม่ตอบ แต่พลิกตัวขึ้น ใบหน้าของผมแทบจะติดกับใบหน้าของไอ้นัย ริมฝีปากสีชมพูใต้ไรหนวดเขียวนั้นยิ้มเล็กน้อย แล้วผมก็ประทับริมฝีปากของผมลงบนริมฝีปากสีชมพูนั้น…

ฟังเพลง
จบภาคหนึ่ง