Sunday, September 30, 2007

ตอนที่ 61

หลังจากเรื่องในวันนั้น ทำให้ผมรู้สึกคาใจอย่างประหลาด แยกแยะความรู้สึกของตนเองไม่ออกเหมือนกันครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าช่วงนี้ชีวิตมันยุ่งๆ จิตใจก็วุ่นวาย ไม่ค่อยสบายใจเอาเลย มันเหมือนกับมีเงาทะมึนมาบดบังชีวิตอยู่ สังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก

และแล้ว ในที่สุด ผมก็ค้นพบคำตอบของลางสังหรณ์นี้ด้วยตนเอง

ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคมแล้ว ปกติช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่เด็กๆรอคอย เพราะว่ามีเทศกาลสำคัญอยู่สองเทศกาล นั่นคือคริสต์มาสกับปีใหม่ คริสต์มาสไม่ค่อยได้ฉลองอะไรนักหรอกครับ แต่ว่าได้หยุดเรียน ส่วนเทศกาลปีใหม่นั้นแต่ละห้องก็จะจัดงานฉลองกันในห้องของตนเอง ส่วนใหญ่ก็มักจะจัดใกล้ๆสิ้นปี หลังจากนั้นพอสิ้นปีเด็กหอจะกลับบ้านกัน เพราะโรงเรียนจะปิดหลายวัน ให้โอกาสเด็กหอได้กลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านต่างจังหวัด

ปกติงานเลี้ยงปีใหม่นี้จะเป็นการจัดเลี้ยงมื้อเที่ยง วันไหนนี่แล้วแต่ทางโรงเรียนกำหนด อาจจะไม่ใช่วันที่ ๓๐ ธันวาคม เสมอไป เพราะว่าบางปีติดวันหยุดพอดี

การเตรียมงานปกติครูก็จะให้อิสระพวกเด็กๆที่จะตกลงกันเองว่าจะจัดอย่างไรและมีกิจกรรมอะไรบ้าง โดยครูจะมีหน้าที่เพียงคอยแนะนำเท่านั้น ราวๆต้นเดือนธันวาคมเราก็มักเริ่มเตรียมงานกันแล้ว มีการประชุมกันว่าจะจัดเลี้ยงอย่างไร อยากให้มีกิจกรรมอะไรบ้าง อยากกินอาหารอะไร

เรื่องอาหารนั้น ถ้าเอาง่ายๆก็ใช้สั่งอาหารเอา ก็ไปสั่งกับแม่ค้าในโรงอาหารนั่นแหละครับ อยากกินอะไรก็ตกลงกัน แล้วไปให้แม่ค้าตีราคา แล้วเมื่อถึงเวลาก็ไปรับอาหารมา ค่าอาหารก็เอาจำนวนคนทั้งห้องมาหาร สะดวกดี

แต่ถ้าจะเอาแบบที่มันยากๆหน่อย ก็คือแบบที่ว่าแต่ละคนช่วยกันจัดอาหารมา แล้วเอามาแบ่งกันกิน แบบนี้ไม่ต้องออกเงิน ใครจะเอาอะไรมาคนนั้นก็ออกเงินเอาเอง ถ้าเป็นประถมต้น รูปแบบจะง่ายๆ ต่างคนต่างเอากับข้าวมาสักอย่างสองอย่างแล้วมาแบ่งกันกินในกลุ่มเล็กๆ

ถ้าเป็นประถมปลาย รูปแบบจะซับซ้อนขึ้นมาหน่อย เพราะว่าเด็กโตก็เรื่องมากยังงี้แหละ จะต้องมีการประชุมกันเพื่อตกลงว่าใครจะเอาอะไรมาช่วยในงานบ้าง แล้วอาหารที่จะเอามาต้องปริมาณพอสมควร กินได้หลายๆคน ไม่ใช่กินได้แค่คนสองคน ส่วนใหญ่พวกที่รับหน้าที่จัดหามาก็จะเป็นพวกเด็กไปกลับนั่นแหละครับ เพราะว่าเด็กประจำจะไปจัดหาอาหารมาได้จากที่ไหน เช่น เด็กนักเรียนไปกลับบางคนก็อาสาเอาแกงเขียวหวานมาให้หม้อหนึ่ง บางคนก็อาสาเอาข้าวมาให้หม้อหนึ่ง บางคนก็เอาไก่ย่างมาให้ ๒๐ ตัว เป็นต้น อาหารเหล่านี้ก็ผู้ปกครองนั่นแหละที่จัดการให้ บางคนก็พ่อแม่ทำให้เองเลย บางคนก็ไปซื้อมา

เมื่อหมดจากเรื่องกินแล้ว ถัดไปก็เป็นเรื่องเล่น ปกติวันที่จัดงานเลี้ยงนั้นจะไม่มีการเรียนเลยทั้งวัน ให้อิสระนักเรียนเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ ส่วนใหญ่ก็มักจะจัดงานเลี้ยงกันแค่ครึ่งวัน ตอนเช้ามักมีการแสดงนิดหน่อย จากนั้นก็เป็นการจับฉลากแลกของขวัญ แล้วก็กินอาหารเที่ยง หลังจากนั้นก็เป็นเวลาอิสระ ใครจะจัดเลี้ยงต่อ หรือว่ากลับบ้าน หรือจะไปเที่ยวต่อก็ตามสะดวก

สำหรับที่ห้องของผม ในปีนั้น เนื่องจากเป็นชั้น ป.๖ แล้ว โตขึ้นก็รู้มากและขี้เกียจ เลยใช้วิธีสั่งอาหารเอา ง่ายและสะดวกดี ส่วนเรื่องกิจกรรมาการเล่นนั้น ตอนเช้าก็วางแผนกันไว้ว่าจะเป็นการประกวดร้องเพลง แล้วก็มีละครสั้น เล่นกันสองสามคน จากนั้นก็จะเป็นการจับฉลากแลกของขวัญกันและกัน แล้วก็กินอาหารเที่ยง แล้วก็รายการเฉลยบัดดี้

ที่บอกว่ามีรายการเฉลยบัดดี้ก็คือ เรามีการเล่นเกมบัดดี้กัน คือในตอนบ่ายก่อนหน้าวันจัดงาน ๓ วัน พวกเราก็จะจับฉลากเพื่อหยิบชื่อเพื่อนในชั้นกันคนละ ๑ ชื่อ ใครได้ชื่อใครก็ต้องพยายามดูแลเอาใจใส่เพื่อนคนนั้น แต่ต้องทำแบบลับๆ ห้ามเปิดเผยตัว แล้วในวันงานให้ทุกคนมาเฉลยกันว่าแต่ละคนคิดว่าบัดดี้ลึกลับของตนเองเป็นใคร ใครที่ทายไม่ถูกจะต้องถูกทำโทษ คือโดนทำโทษทั้งตนเองและคู่บัดดี้ ในฐานะที่ดูแลไม่ดีอีกด้วย งานนี้ใครออกความคิดก็จำไม่ได้แล้วครับ แต่ว่าทุกคนคิดว่าน่าจะสนุกดีก็เลยเอาด้วย

ในวันจับฉลาก หัวหน้าห้องก็เตรียมฉลากที่เขียนชื่อทุกคนเอาไว้มาให้จับ เมื่อจับแล้วให้เก็บเป็นความลับ และเริ่มภารกิจดูแลบัดดี้อย่างลับๆได้เลย และที่สำคัญคือใครถามก็ต้องห้ามบอกเป็นอันขาด

ผมจับได้ใครน่ะหรือ จับได้ไอ้ชิดชัยครับ ซวยจริงๆเลย

“มึงจับได้ใครวะไอ้อู ทำไมทำหน้าเสีย” ไอ้ชัชยื่นหน้าเข้ามาถามหลังการจับฉลาก

จะไม่ให้ผมหน้าเสียได้ยังไง เพราะว่าไอ้ชิดชัยนั้นผมไม่สนิทกับมัน คุยกันน้อยมากแม้จะอยู่ห้องเดียวกันก็ตาม เพราะว่าอายุห่างกัน แล้วยังงี้จะดูแลยังไงละเนี่ย แค่นึกก็ไม่สนุกแล้ว

“บอกไม่ได้โว้ย” ผมส่ายหน้า

“ไอ้อู ไอ้ชัช ช่วยดูแลกูด้วยนะ” ไอ้นัยพูดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“เรื่องอะไร กูไม่ได้เป็นบัดดี้มึงสักหน่อย” ไอ้ชัชพูด

“กูก็เปล่า” ผมพูดบ้าง

“ไม่ใช่ก็ขอฝากตัว ช่วยดูแลก็ด้วยอีกคนละกัน อยากมีคนดูแลอ่ะ ซื้อข้าว ซื้อน้ำ จะได้ไม่ต้องทำเอง” ไอ้นัยพูดหน้าตาเฉยพลางฉีกยิ้ม เล่นมุขก็ไม่บอก ไรหนวดเขียวๆบนใบหน้าเปื้อนยิ้มของมันน่ารักมาก รอยยิ้มของไอ้นัยทั้งอบอุ่น ทั้งจริงใจ อย่างบอกไม่ถูก

ไอ้ชัชเขกหัวไอ้นัยเบาๆ “นี่แน่ะ ลูกเล่นนัก นึกว่าอะไรที่แท้ก็ขี้เกียจ มึงไปหาบัดดี้ตัวจริงมาคอยดูแลก็แล้วกัน”

สรุปแล้วก็ไม่มีใครยอมบอกใครว่าบัดดี้ของตนเป็นใคร ส่วนผมเองนั้นชักไม่ค่อยสนุกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะดูแลไอ้ชิดอย่างไรดี จะปล่อยไปเฉยๆ เลยตามเลย ก็กลัวว่าจะถูกทำโทษ

หลังจากวันนั้น ผมพยายามเข้าไปคุยกับไอ้ชิดมากขึ้น พยายามทำตัวให้แนบเนียน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเนียนหรือเปล่านะครับ รวมทั้งไม่รู้ว่าจะทำดีกับมันอย่างไรในเวลาตลอดสามวันนี้ ในที่สุดก็เลยปล่อยเลยตามเลย

ก่อนวันงานหนึ่งวัน วันนั้นก็ไม่ค่อยจะได้เรียนหนังสือกันแล้ว เพราะต้องเตรียมจัดงาน จะไปเอาสมาธิเรียนมาจากไหน คนที่แสดงละครก็เตรียมซ้อมละครกัน ไอ้คนแสดงประกวดร้องเพลงก็ซ้อมร้องเพลง แล้วก็มีพวกเราส่วนหนึ่งรวมทั้งไอ้ชิดตัดตัวหนังสือโฟมเป็นคำว่า “สวัสดีปีใหม่”

“ช่วยตัดด้วยคน” ผมเข้าไปเสนอตัวกับไอ้ชิดเมื่อเห็นมันตัดตัวหนังสือโฟมกับไอ้พงษ์ คนหนึ่งวาดตัวหนังสือ มันเป็นคนเอาคัตเตอร์ตัดเจาะเป็นตัว

“ไม่ต้องหรอก กูทำเองได้” ไอ้ชิดตอบปฏิเสธด้วยท่าทีนุ่มนวล ผมเพิ่งจะรู้สึกวันนี้เองว่ามันไม่เกเรอย่างที่คิด

“กูพอตัดได้นะ” ผมยังไม่เลิกตื๊อ

“ไม่เป็นไร คัตเตอร์มีอันเดียว มึงทำแล้วกูก็ไม่มีอะไรทำ” ไอ้ชิดว่า

กูพยายามดูแลมึงแล้วนะ แต่มึงไม่เอาเอง ผมนึกในใจ พยายามหาข้อแก้ตัวให้แก่ตัวเอง

2 comments:

Anonymous said...

ขอบคุณครับ ในที่สุดอูก้อมาต่อแล้ว เสียดายสั้นไปนิดนะครับ อยากอ่านทีละหลายๆตอนอ่ะครับ หุหุหุ
คิดถึงครับ
กร ครับ

Anonymous said...

ขอบคุณครับอู สำหรับตอนใหม่
จะคอยติดตามตอนต่อไปและเป็นกำลังใจนะครับ
KTB